26 May 2016
Review

รีวิวหนัง The Danish Girl


  • lcdtvthailand

เรื่องย่อ : The Danish Girl คือเรื่องราวความรักที่โดดเด่นซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของ ลีลี่ เอลเบ และเจอร์ด้า เวเกเนอร์ ซึ่งรับบทแสดงโดย เอ็ดดี้ เรดเมย์น เจ้าของรางวัลออสการ์ (The Theory of Everything) และอลิเซีย วิกันเดอร์ (Ex Machina) จากฝีมือการกำกับของผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ ทอม ฮูเปอร์ (The King’s Speech, Les Misérables)

ในปี 1926 ในโคเปนเฮเกน ศิลปินชาย ไอนาร์ เวเกเนอร์ แต่งงานกับเจอร์ด้า เวเกเนอร์ และเป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียงจากผลงานภาพวิวทิวทัศน์ เจอร์ด้าเองก็เป็นศิลปินเช่นกัน เธออาจมีชื่อเสียงโด่งดังน้อยกว่าไอนาร์ แต่เธอมีผลงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอในฐานะผู้วาดภาพพอร์เทรตให้กับบุคคลที่มีชื่อเสียง ชีวิตแต่งงานของพวกเขาสองคนเป็นชีวิตคู่ที่มั่นคงและน่ารัก แต่หนทางสว่างทั้งในชีวิตส่วนตัวและงานดูเหมือนจะหลุดรอดจากพวกเขาทั้งคู่ไป

ทุกอย่างเริ่มต้นเปลี่ยนไปในวันหนึ่งเมื่อถึงเส้นตายที่จะต้องส่งผลงานภาพพอร์เทรต เจอร์ด้าได้ขอให้สามีของเธอมาเป็นแบบให้ โดยให้เขาใส่ชุดของผู้หญิงเพื่อให้เธอสามารถวาดภาพนั้นจนเสร็จ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อไอนาร์รู้สึกตัวว่าการได้เป็น ลิลี่ คือการแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ และเธอเริ่มใช้ชีวิตแบบผู้หญิง เจอร์ด้าจึงต้องพบอย่างคาดไม่ถึงว่าเธอได้แรงบันดาลใจคนใหม่ และได้แรงกระตุ้นในเชิงสร้างสรรค์ใหม่ด้วย แต่ในไม่ช้า ทั้งคู่ก็ต้องเผชิญกับการไม่ยอมรับจากสังคม

พวกเขาทิ้งประเทศบ้านเกิดเพื่อเดินทางมายังปารีส ซึ่งเป็นโลกที่เปิดใจกว้างมากกว่า หน้าที่การงานของเจอร์ด้ายังคงเจริญก้าวหน้า ขณะที่ชีวิตแต่งงานของทั้งคู่ก็พัฒนาไปด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเสียเลย แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เจอร์ด้าให้การสนับสนุนลิลี่ในระหว่างที่เธอเดินทางในฐานะผู้หญิงข้ามเพศ ต่างฝ่ายต่างค้นพบความกล้าหาญที่จะเป็นอย่างที่ตัวเองเป็นจริงๆ ผ่านแรงผลักดันของอีกฝ่าย

บทวิจารณ์ : เราต้องขอบอกเลยว่าที่เลือกดูหนังเรื่องนี้ในตอนแรกเป็นเพราะนักแสดงล้วนๆ ก็ใครจะไปเชื่อว่านักแสดงหนุ่มดาวรุ่งที่เคยรับบทเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจนคว้ารางวัลมาแล้ว จะยอมเปลี่ยนแปลงบทบาทตัวอย่างครั้งยิ่งใหญ่ จนกลายมาเป็นสาวประเภทสองคนแรกของโลก ที่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ถึงแม้ว่าตอนสุดท้ายเธอต้องต้องจบชีวิตลง แต่เรื่องราวภาพในเรื่องสามารถสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้แก่คนดูมากพอสมควร

ตอนแรกเราไม่ค่อยชอบที่ภาพในเรื่องในไม่คมชัดเสียเท่าไหร่ แต่พอดูองค์ประกอบอื่นของเรื่องอาทิ การที่ตัวแสดงหลักเป็นศิลปิน และมีฉากวาดรูปอยู่ไม่น้อย แถมยังเป็นเรื่องราวในอดีตราว 100 ปีก่อน เราเลยตีความเอาเสียเองว่าผู้สร้างคงอยากให้เรื่องราวในเรื่องดูกลมกลืนและสวยงามราวกับภาพวาดบนผืนผ้าใบ ซึ่งเราว่ามันก็ให้อารมณ์ที่ต่างออกไปจากภาพยนตร์เรื่องอื่น เพราะเราสามารถสัมผัสได้ถึงความละมุนของเรื่อง จากโทรสีและลักษณะภาพที่มีความไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนผู้หญิงบอบบางที่เราต้องคอยประคองเอาไว้ เฉกเช่นเดียวกันกับความรู้สึกของตัวละครหลัก ที่ถึงแม้ว่าร่างกายจะเป็นชาย แต่เราสามารถสัมผัสได้ถึงความอ่อนไหวภายในใจ นักแสดงสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกออกมาได้ดีมาก จนเรายังสงสัยว่าเขาเป็นพวก LGBT จริงๆ หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า แววตา วิธีการพุดหรือเดิน คือมันใช่มากๆ พอแต่งหญิงแล้วก็สวยซะด้วย

สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือแฟนสาวของเขา เธอช่างแข็งแกร่ง อดทน มีน้ำใจ และคอยอยู่เคียงข้างกับคนที่เธอรักจนวินาทีสุดท้าย โดยไม่สนใจว่าเพศสภาพของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม เราซึ้งมากๆ และอินตามด้วย ส่วนหนึ่งเพราะเราเคยแอบชอบรุ่นพี่ตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลาย แต่ตอนนี้เขาไปคบผู้ชายด้วยกันเองซะแล้ว ในวินาทีแรกที่เรารู้ โลกมันเหมือนหยุดหมุน เหมือนทุกอย่างจะพังทลาย แต่เราก็ผ่านจุดนั้นมาได้ และตอนนี้เราก็ยังชอบพี่เขาเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าอะไรๆ มันจะเปลี่ยนไป และพี่เขาคงไม่กลับมาชอบผู้หญิงอีกแล้วก็ตาม

สรุป : ภาพยนตร์เรื่องนี้มีคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะและประวัติศาสตร์ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีในระดับหนึ่ง มีนักแสดงที่มากความสามารถมาช่วยขับให้เนื้อเรื่องน่าประทับใจมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามหนังเรื่องนี้เป็นหนังทางเลือก ถ้าหากคุณมีทัศนคติต่อเพศที่ 3 ไม่ค่อยดีนัก เราก็ไม่แนะนำให้คุณดู แต่ถ้าหากคุณเปิดใจมากพอ คุณอาจจะได้มุมมองอะไรใหม่ๆ กลับบ้านไปหลายอย่างเลยล่ะ

คะแนน : 7/10