20 Jul 2017
Review

รีวิวหนัง Dunkirk : ในสมรภูมิ เมื่อถึงทางตัน แต่คุณต้องรอด !!!


  • lcdtvthailand

สารภาพว่าผมเป็นติ่งเสด็จพ่อ Christopher Nolan มาอย่างช้านาน และเป็นแบบไม่รู้ตัวเพราะสมัยก่อนเวลาดูหนังไม่ค่อยสนใจว่าใครกำกับคำว่า “เสด็จพ่อ Nolan” เป็นคำที่บรรดาสาวกผู้รักในผลงานหนังของผู้กำกับท่านนี้สถาปนาให้ ด้วยความสามารถที่เก่งฉกาจ พร้อมบทหนังที่มาเหนือเมฆแทบทุกครั้ง

เรื่องแรกที่ทำให้ผมประทับใจคือ The Prestige เพราะมันคือ “หนังกลซ้อนกล” เข้าไปอีกชั้น ฉีกหนีทุกศาสตร์ของมายากลพร้อมจุดจบที่โคตรหักมุม สมัยนั้นทั้ง Nolan ที่เป็นผู้กำกับ ตลอดจนนักแสดงนำทั้งสองทั้ง Hugh Jackman (วูฟเวอรีน) และ Christian Bale (แบทแมน) ยังมิได้เป็นนักแสดงระดับแนวหน้าเสียด้วยซ้ำ จนผ่านมาหลายเรื่องทั้ง Batman ทั้งสามภาค ซึ่งภาคที่ฟินน้ำแตกที่สุดก็คือ The Dark Knight ด้วยวิธีการนำเสนอแบบบีบหัวใจที่คนดูต้องลุ้นไปกับ “ทางเลือกสองแพร่ง” ว่าตัวละครจะเลือกไปในทิศทางไหน ?

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางใด….ก็พาลจะมีแต่ “เจ๊งกับเจ๊ง” ดูแล้วเครียดบีบหัวใจจนโรคกระเพาะกำเริบ (ฮา)

Inception “หนังฝันซ้อนฝัน” ที่หากสมาธิตอนรับชมไม่ดีจริง…เก็บเอาไปฝันร้ายแน่นอน (เพราะตามไม่ทัน)

Interstellar “หนังมิติซ้อนมิติ” ตะลุยอวกาศทะลุอีกมิติของอวกาศ

Memento ที่ผมซื้อ DVD กลับมาเพื่อมาดูฝีไม้ลายมือในยุคแรกของเสด็จพ่อ Memento เป็นหนังที่พังทลายทุกกรอบการดำเนินเรื่องเพราะเล่นเล่าเรื่อง “ถอยหลัง” ได้อย่างยียวนสมอง หนังปกติจะเล่าเรื่องจาก 0 ไปถึง 10 แต่นี่พี่แกเล่าจาก 10 กลับมายัง 0 (ผ่าง)

ทั้งหมดเป็นหตุผลว่าทำไมผมถึงเป็นติ่งของเสด็จพ่อ Nolan และทำไมผมเฝ้ารอหนังเรื่องนี้ของป๋ามาตั้งแต่ต้นปี 2017

Dunkirk เป็นหนังที่อิงประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่ทหารอังกฤษและฝรั่งเศสถูกฝ่ายนาซี เยอรมันไล่มาจนถึงชายหาด Dunkirk ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของชายฝั่งของฝรั่งเศส แล้วภารกิจสุดท้ายของเหล่าทหารกว่าสี่แสนกว่านายที่โดนทหารฝ่ายนาซีตีโอบเข้ามาจนถึงทางตันคือการอพยพขึ้นเรือหนีเพื่อกลับบ้านด้วยความปลอดภัย แต่ปัญหาคือเรือลำใหญ่หรือแม้กระทั่งเรือรบกลับไม่สามารถเทียบฝั่งเพื่อมารับเหล่าทหารได้ ยิ่งส่งมาช่วยก็จะถูกเครื่องบินฝ่ายนาซีสอยจมเกลี้ยง ทุกวินาทีบนหาดคือความเสี่ยง วิถีการเอาตัวรอดในครั้งนี้จึงเริ่มต้นขึ้น จึงเป็นที่มาของคำว่า “ยุทธการ Dunkirk” !!!

หนังดำเนินเรื่องเป็น 3 แกนหลัก ได้แก่

1) ฝ่ายของนายทหารที่กระเสือกกระสนหนีตายเพื่อมายังหาด Dunkirk ต้องรอเรือใหญ่มารับกลับบ้านด้วยความหวังอันริบหรี่

2) ฝ่ายของเรือเล็กพลเรือนที่ถูกวิทยุขอความช่วยเหลือให้มารับทหารที่ Dunkirk แทนพวกเรือรบใหญ่ที่ไม่สามารถมารับเหล่าทหารได้เพราะจะโดนเครื่องบินฝ่ายนาซีสอยจมเอา

3) ฝ่ายของนักบินที่ขับเครื่องบินรบไฝว้กับเครื่องบินของฝ่ายนาซีบนน่านฟ้า

และแน่นอนว่าเรื่องราวทั้ง 3 เส้นขนานจะต้องมา “บรรจบกัน” !

กลิ่นอายการเล่าเรื่องสไตล์ Nolan ตะลบอบอวนไปทั้งเรื่องอย่างไม่มีข้อสงสัย ทั้งการนำเสนอให้ลุ้นระทึกกับการหนีตายของแต่ละตัวละครตามที่แกถนัด ตลอดจนดนตรีประกอบที่ประพันธ์โดยขาประจำอย่าง Hans Zimmer คอยเร้าอารมณ์เราจนแทบไม่มีจังหวะหายใจหายคอ (ทั้ง Batman, Interstellar และ Inception ก็ใช้บริการพี่แก) ทว่าดนตรีปลุกเร้าอย่างเสียงรัวไวโอลินและเสียงจังหวะนาฬิกาไขลานอาจถูกใช้พร่ำเพรื่อไปบ้างก็ตาม

การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก มิได้ขดเคี้ยว หรือซ้อนมิติไปมา อย่างที่หลายท่านคาดการไว้ในแง่ “จุดสุดยอดของหนัง” ถามว่ามีไหม ??? ก็ขอตอบว่ามี แต่มิได้ฟินน้ำแตก เฉกเช่นผลงานเก่าของแก อาทิ เรื่อง The Prestige = ใช้แฝดสลับร่าง หรือ Interstellar = ค้นพบมิติที่ 4 และกลับมายังโลกเพื่อพบลูกสาวตอนชราได้ ซึ่งทั้ง 2 ซีนนี้ถึงกับทำให้ผมขนลุกในโรง และกลับบ้านนอนไม่หลับในคืนนั้น

แต่สำหรับผม ย้ำว่าตัวผม สิ่งที่ทำให้ผมฟินน้ำกระฉูดได้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลยคือเรื่อง “ภาพ” ครับ เนื่องจากผมรีวิวอุปกรณ์ด้านภาพทั้ง ทีวี โปรเจกเตอร์ และจอมอนิเตอร์ มาทั้งชีวิต ผมจะเล่า “ความสุดยอดด้านภาพ” ของหนังเรื่องนี้ให้ฟัง

Nolan เป็นผู้กำกับที่ชื่นชอบการถ่ายทำด้วยระบบฟิล์มมาแต่ไหนแต่ไร หนังหลายเรื่องจะใช้กล้อง IMAX ถ่ายทำ เพราะเสน่ห์ภาพที่ได้จากฟิลม์นั้นมันกินกล้องถ่ายวีดีโอแบบดิจิตอล ในโรง IMAX สาขาสยามพารากอน คือโรงที่สามารถฉายฟิลม์ขนาด 70 มม. ได้ เป็นโรงเดียวในไทยและเป็น 1 ใน 2 โรงของทวีปเอเชีย จะกล่าวได้ว่าเป็นโรงอ้างอิงที่ Nolan สามารถถ่ายทอดทุกฉากออกมาได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องตัดครอปพื้นที่ภาพให้หายไปบางส่วนเฉกเช่นโรงธรรมดาทั่วไปหรือแม้กระทั่งโรง IMAX สาขาอื่นๆ

ภาพจึงใหญ่เต็มตาเต็มอารมณ์แบบ Floor to Ceiling จากพื้นถึงเพดาน และกว้างสุดขอบจากกำแพงด้านหนึ่งสู่กำแพงอีกฝั่งหนึ่ง ในอัตราส่วนแปลกใหม่ 1.43 : 1 ในขณะที่โรงธรรมดาคือ 2.39 : 1 พร้อมความโค้งโอบล้อมนิดๆ ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์แม่แบบที่ผู้ผลิตทีวีนำเอาไปใช้ออกแบบพวก “ทีวีจอโค้ง” ! กว่า 95% ของเรื่องจะใช้กล้อง IMAX ถ่ายทำ ทำให้เวลาเรารับชมภาพจะ “ฟิตเต็มจอ” แทบตลอดเวลา และความสวยงามของภาพนั้นไม่ว่าจะเป็นฉากชายหาด, มหาสมุทร, บ้านเรือน, และเครื่องบินรบบนท้องฟ้า …. ขอบอกคำเดียวว่า “โคตรสะท้าน” !!!

ก็แหงละ…พี่แกถึงกับลงทุนติดตั้งกล้อง IMAX บนเครื่องบินเพื่อบินถ่ายทำฉาก “สงครามเวหา” ! คอวีดีโอไฟล์ผู้รักในทุกศาสตร์ด้านภาพห้ามพลาดโดยเด็ดขาด วิว Landscape กว้างใหญ่ไพศาล ภาพวิจิตรตระการตา ดึงอารมณ์เราให้เข้าไปร่วมได้โดยไม่ต้องเชื้อเชิญ จะมีบางฉาก เช่นฉากห้องข้างในเรือเล็กที่พื้นที่ค่อนข้างแคบเท่านั้นที่ใช้กล้องธรรมดาถ่าย ระบบเสียงก็เช่นกันคาแรกเตอร์ลำโพงของ IMAX มันเป็นแนวดุดันเป็นทุนเดิมด้วยอยู่แล้ว เสียงเอฟเฟกต์ตูมตามสลับกับดนตรีประกอบสไตล์เร้าหัวใจนั้นไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน แม้แต่กลุ่มทหารไทยที่มาเป็นแขกรับเชิญพิเศษ ได้ร่วมชม Dunkirk ในรอบแรกสุดยังเอ่ยปากชมเรื่องเสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินรบนั้นสมจริงมาก ก้องติดหูมาแม้นจะออกจากโรงมาแล้วก็ตาม

สรุปในมุมของผม Dunkirk เป็นหนังคุณภาพสูงเรื่องหนึ่ง นำประวัติศาสตร์สงครามมาตีแผ่ในมุมของ “ความอยู่รอด” ตลอดทั้งเรื่องมีจุดให้ลุ้นหวาดเสียวมากมายตามสไตล์ Nolan แต่ในทุกจุดก็อาจไปไม่สุดนัก รวมถึงจุดไคลแม็กซ์ก็เช่นกัน เชื่อว่าหากรับชมแล้วลองสอบถามเพื่อนๆดูว่าตอนไหนพีคสุด คำตอบน่าจะออกไปคนละทิศละทาง เช่นเดียวกับกลุ่มของทีมงานผม หากจี้ใจดำหน่อยผมเชื่อว่าหลายท่านก็ยังไม่ทราบเลยว่า “ตกลงพระเอกในเรื่องมันชื่ออะไร (วะ)” ???

อย่างไรก็ตามหากท่านที่เคยเป็นทหาร หรืออินกับประวัติศาสตร์สงครามโลกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เชื่อว่าจะมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังได้ไม่ยาก แต่ที่ขออันเชิญขึ้นหิ้งพร้อมคาราวะให้ 3 จอกคือระบบภาพและเสียง ถือว่าจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ สะท้านทุกโสตประสาท เต็มอิ่มทุกอารมณ์ ผมขอยกให้ Nolan คือ “ศิลปินชั้นเอก” ผู้ใช้ศิลปะในการถ่ายทำและบรรจงถ่ายทอดลงบนผืนผ้าใบได้ในแบบ “Best of The Best” !

Dunkirk จึงเป็นหนังอีกเรื่องที่มิควรพลาดด้วยประการทั้งปวง สุดสัปดาห์นี้รีบตีตั๋วเข้าไปรับชมกันครับ

สรุปคะแนนที่ผมให้เป็นอย่างตรงไปตรงมา เป็นในมุมของ Movies Lover มิใช่มุมของนักวิจารณ์หนังมืออาชีพ อาจจะไม่ Overrated เฉกเช่นเมืองนอก

คะแนนตัดสิน 7.5 / 10

Spoiler Alert : คำเตือน มีสปอยล์บทสรุปของหนังด้านล่างนี้

.

.

.

.

.

.

.

.

บทสรุปของหนังคือ

“เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” พี่ตูน บอดี้สแลมได้กล่าวเอาไว้ !!

.

Roman

20/7/2017