ผู้เขียน หัวข้อ: What's That Sound ขาย Klipsch, KEF, Procella , SVS, Anthem, Parasound,Audyn  (อ่าน 329178 ครั้ง)

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


จัดส่ง Klipsch RP-280F ไปให้ลูกค้าที่รังสิต ปทุมธานี
ชุดนี้ลูกค้าเคยสั่ง Klipsch RC-64 ii ไปใช้เมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อน และกลับมาสั่งคู่หน้า RP-280F เพิ่ม โดยเซ็ทนี้ประกอบไปด้วย

Yamaha 3060
Klipsch RP-280F
Klipsch RC-64 II
Surround ทั้งหมดเป็นลำโพง Yamaha
Sub Yamaha
Atmos speaker: Elac A4
--------------------------------------------------




ตัวนี้เราขนไปส่งกันถึงบ้าน ถึงในห้อง ไปถึงก็แกะกล่องเช็คความเรียบร้อยกันก่อนที่จะยกขึ้นห้อง  โดยห้องลูกค้าเป็นห้องนอน ที่ประยุกต์ทำเป็นห้องดูหนังฟังเพลงด้วย
บรรยากาศสบาย น่าอยู่ น่าดูหนังดีมากครับ 
เราไปถึงก็จัดแจงเอาลำโพงเดิมออก และเอาลำโพงใหม่ตั้งประจำตำแหน่ง พร้อมลองเสียบสายลองฟังกันได้พักนึง  เสียงที่ได้ก็ตามสไตล์ AVR Yamaha ครับ คือรายละเอียดดี บรรยากาาศโอบล้อมเด่น ความหนักแน่นพอใช้ได้  แต่ลำโพงหน้าและเซ็นเตอร์ซึ่งถือว่าตัวใหญ่พอสมควรขนาดนี้ หากได้ power มาช่วยดึง ช่วยเผาลำโพงน่าจะลดภาระ avr ได้พอสมควร และยังช่วยเรื่องพละกำลังและการควบคุมพวกเสียงเบสได้ดีขึ้น
โดยรวมเสียงของซิสเต็มถือว่าน่าฟัง และเป็นอีกชุดที่น่าใช้ ฟังสนุก บรรยากาศดี และดูหนังสนุกครับ

จริงๆผมค่อนข้างชอบห้องดูหนังที่มีโซฟาสบายๆ ยาวๆ เอนนอนได้มากกว่าเก้าอี้โรงหนังที่ตั้งโดดๆนะครับ โอเคละ...ไม่เถียงว่า เก้าอี้โรงหนังมันให้บรรยากาศโรงหนังได้ดีกว่า 
แต่ในมุมของการพักผ่อน การใช้ชีวิในบ้านจริงๆแล้ว ผมกลับชอบโซฟาสวยๆ หรือเคยคิดว่าอยากจะเอาเตียงเข้าไปในห้องดูหนังซะเลย (จริงๆต้องเรียกว่า เอาชุดหนังเข้าไปในห้องนอนจะง่ายกว่า)




ผมว่ามันสบายครับ นอนดูทีวี ดูซีรี่ย์  เบื่อก็เปิดหนังดู  หรือเปิด youtube ดูอะไรเรื่อยเปื่อย ฟังเพลงเปิดเพลงบ้าง ง่วงนอนหนังตาชักจะตกก็นอนดูไป หลับไปตื่นมาดึกๆค่อยปิดซิสเต็ม หรือจะนอนต่อไปยันเช้าแล้วลุกมาดูหนังต่อก็ไม่มีใครว่า
ความสะดวกของชุดแบบนี้มันตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตได้ดี และแถมยังสะดวกสบายดีอีกด้วย  ส่วนตัวผมชอบครับ 

ถ้าให้เลือกระหว่างห้องมืดๆ ใช้งานแบบจริงจังซีเรียส ครอบครัวอาจจะไม่สะดวกเข้ามาร่วมใช้งาน แต่เสียงดี
กับห้องสบายๆ แต่เสียงอาจจะดรอปหน่อย 
เป็นใครก็เลือกยาก จริงมั๊ยครับ.....

ราคา Klipsch RP-280F: http://www.whatthatsound.com/product/12/klipsch-rp-280f

ราคา Klipsch RC-64 ii: http://www.whatthatsound.com/product/22/klipsch-reference-rc-64-ii-black



















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2016, 10:13:37 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


จัดส่ง SVS Prime Satellite 5.1 ไปให้ลูกค้าที่ลำปางครับ
ตัวนี้ไม่มีรูปจริงเลยแม้แต่รูปเดียว (ลูกค้าไม่เล่นไลน์ ไม่ส่งรูปมาฝากกัน T_T)

SVS Prime Satellite 5.1 เป็นชุดลำโพงที่มาครบๆทั้ง 5 แชนแนล  มีลำโพงบุ๊กเชลฟ์ให้ 5 ตัวขนาดไซส์กำลังดี และให้ซับ SVS SB1000 ตู้ปิดมาอีกหนึ่งตัว
เอาจริงๆ แค่ซับวูฟเฟอร์นี่ก็คุ้มแล้ว ตัวตู้ผิวไฮกลอส Piano Black  ผิวมันแว๊บ และลำโพงก็ให้มาครบ
แค่มี AVR อีกหนึ่งตัวที่ไม่ต้องรุ่นใหญ่อะไรมาก เอามาต่อก็ใช้ได้เลย ใช้งานได้ทันที

เสียงสไตล์ SVS เป็นอย่างไร  เสียงก็มาในแนวฟังเพลงดูหนังได้สบายๆ ใช้ในห้องขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดกลางได้แบบสบายๆ และจะยิ่งเหมาะมากกับห้องในคอนโด ห้องนอน
เสียงแน่น สะอาด ไม่โฉ่งฉ่าง ฟังสบาย  ดูหนังก็ดี ฟังเพลงก็เพราะ
เป็นอีกซิสเต็มนึงที่ให้มาครบ และราคาอยู่ในชุดจับต้องได้

หากใครอยากจะเริ่มต้นกับชุดขนาดเล็กสักชุด แต่ต้องการคุณภาพดีหน่อย สวย ตกแต่งห้องได้ด้วย  อันนี้เป็นทางเลือกอีกทางที่ผมแนะนำว่า คุ้มค่าคุ้มราคาอีกตัวนึงครับ




ในชุดประกอบด้วย

    Front: Prime Satellite x 2
   
    Surrounds: Prime Satellite x 2
   
    Center: Prime Satellite

    Subwoofer: SB-1000
   

ราคาและสเปก : http://www.whatthatsound.com/product/354/svs-prime-satellite-5-1


















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 12, 2016, 12:27:09 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


จัดส่ง Anthem AVM60
pre-pro ตัวเก่งของค่าย Anthem ไปให้ลูกค้าที่ภูเก็ตครับ

ตัวนี้ลูกค้าใช้ลำโพงหลักเป็น Klipsch RF-7 ii รุ่นใหญ่สุดของ Klipsch แต่เดิมนั้นใช้ pre onkyo อยู่
หลังจากได้ AVM60 ไป เสียงที่ได้ชัด และให้รายละเอียดดีขึ้นในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแยกแยะตำแหน่งเสียง และสเกลเสียงที่ใหญ่โต รวมไปถึงการฟังเพลงที่ดีขึ้นด้วย

ตัว AVM60 เป็นปรี 7.2.4 ของค่าย Anthem ที่รู้ๆกันอยู่ว่าเสียงนั้นเหมือนรวมเอาจุดเด่นของแต่ละค่ายมายำรวมกันออกมา คือแต่ละค่ายมีอะไรดี พ่อเล่นดึงเอามาหมด
- ทั้งเบสที่ไม่แพ้ Harman
- บรรยากาศการแยกแยะและแพนเสียงที่แม่นยำไม่แพ้ Yamaha (ดีกว่าด้วย)
- บรรยากาศการดูหนังที่สดและสนุกอย่าง Pioneer
- น้ำเสียงที่ทำได้ดีในด้านการดูหนัง และแถมเรื่องฟังเพลงยังทำได้ดี ไม่ขี้เหร่เลย




ตัว AVM60 รองรับ Dolby Atmos, DTSX (รอเฟิร์มแวร์อัพเดท) รองรับทุกอย่างเท่าที่ pre ดีๆสักตัวจะทำได้ แต่ช้าก่อนถ้าจะเน้นออปชั่น เราจะบอกว่า Anthem ไม่ใช่แบรนด์ที่อัดออปชั่นมาจนล้นเครื่องแต่อย่างใด แต่กลับกัน Anthem ให้คณภาพเสียง และเน้นคุณภาพของเสียงจริงๆจังๆ โดยเฉพาะใครที่ชอบเสียงในการดูหนังแบบมันๆ ดุดัน ดูหนังสนุก ได้ทั้งเบส ได้ทั้งการแยกแยะเสียงได้ดี สมจริง (Immersive Sound)ตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้ดีมากที่สุดตัวหนึ่งใน pre ระดับนี้ครับ

ตัวนี้เราไม่มีรูป system จริงเอารูปแทนไปก่อน ไว้มีโอกาสจะเอารูปซิสเต็มสวยๆของลูกค้าท่านนี้มาฝากกัน

ราคา Anthem AVM60: http://www.whatthatsound.com/product/446/anthem-avm-60-2




















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 12, 2016, 12:56:17 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Rotel RA1592 จะเอาอะไรกับการฟังเพลงมากไปกว่านี้อีก.........



 
ตอนที่นั่งเขียนบทความนี้อยู่ ก็เปิดเพลงที่ขับขานผ่าน Integrated Amplifiers Rotel Ra1592 เครื่องนี้อยู่   ฟังเพลงไปด้วย นั่งเขียนงานไปด้วย แหม เป็นการทำงานที่มีความสุขอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยครับ 

ก่อนอื่นเกริ่นก่อนว่า  Rotel นี้ผมไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ต้องไปเขียนอวยหรือไปขายของให้เค้าเลย... เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าเค้าขายดีขนาดไหน และมีร้านไหนที่ครองยึดหัวหาดกันอยู่   ผมยิ่งเขียนเชียร์ ก็ยิ่งเหมือนกับไปช่วยร้านอื่นขายของนั่นแล

และอีกอย่าง amp ตัวนี้ก็ได้รับความกรุณาจากลูกค้าผู้มีพระคุณท่านนึงให้เกียรติเราเปิดซิงและเทสสินค้า และเบิร์นให้เค้า  (ต้องกราบขอบพระคุณมาก)  ดังนั้นเราไม่มีความจำเป็นต้องไปเกรงใจใครในการรีวิว ไม่อวย ไม่อะไรทั้งสิ้น เพราะเราไม่ได้ของมาฟรี และเราก็ไม่ได้เน้นขายตัวนี้ด้วย (ใครอยากได้ เดินหิ้วกระเป๋าตังตุงๆ ไปในห้างแล้วนึกครึ้มอยากได้แอมป์ฟังเพลงดีๆสักตัว ก็เดินเข้าร้านในห้างแล้วหิ้วออกมาได้เลยละน่ะ)

 
ตัวนี้เราได้ใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนกับมันอยู่ร่วม 2 วัน  เปิดทิ้งฟังทั้งวันครับ ทำงานไปด้วยฟังไปด้วย เล่นเนท อ่านข่าวอะไรเราก็มีเพลงที่เล่นผ่าน RA1572 คลออยู่ตลอดเวลา   ถ้าให้รีวิวสินค้าตัวนี้จบลงในสองบรรทัด ผมจะขอพูดแบบนี้ครับ




"ในชีวิตของคนเล่นเครื่องเสียงแบบ multi channels (เรียกบ้านๆคือ Home Theater) ทีผ่่านมาฟังเพลงผ่าน avr กับ pre รู้สึกว่านักดนตรีเหมือนเพิ่งหัดเล่น เครื่องดนตรี กีตาร์ เบส กลองใช้แต่ของถูกๆ จังหวะก็แย่งกันเล่นบางทีก็ไม่ค่อยรู้สึกได้อารมณ์นัก แต่ก็ฟัง และทำใจว่า ยังดีกว่าไม่มีจะฟัง   แต่พอมาฟังเพลงเดิมผ่าน Int Amp ตัวนี้แล้ว รู้สึกว่านักดนตรีไปสะสมประสบการณ์มาเต็มเปี่ยม ร้องดี มีเอื้อน มีหางเสียง  นักดนตรีก็ไปลงทุนซื้ออุปกรณ์ดีๆมาเล่นแล้ว ใช้ของดี เสียงชัด มีจังหวะจะโคน เล่นแบ่งวรรค แบ่งจังหวะกันดี เสริมกันดี ไม่มั่วเหมือนเติม  นี่ไปหัดมาจากไหนว่ะ"

 
ตัวนี้อุปกรณ์ที่เราใช้เล่นต้องบอกว่า เราไม่ได้เอาอะไรใหม่ยกเข้าห้องเลย มีอะไรก็จับยัดแล้วเปิดฟัง ดังนั้นขอบอกว่ารีวิวนี้ไม่ไบแอสสุดๆแล้ว เพราะอุปกรณ์เราธรรมดาทุกอย่าง ดังนี้

-----------------------------------------

- Rotel RA1592

 - Klipsch RP280F

 - Source Computer ต่อผ่านสาย Rca Analog (สายไม่ต้องถามว่าใช้ยี่ห้ออะไร ตอบให้เลยว่าไม่รู้ หยิบอะไรมาได้ก็เสียบ ไม่มียี่ห้อครับ)

 - สายไฟ AC ก็ใช้ที่แถมมากับ RA1592 นั่นแหละ

 - ไม่ต่อซับ

-----------------------------------------

เพลงที่เอามาเปิดฟังนี่มีหลากหลายตั้งแต่ pop เพลงไทยวันรุ่นฟังทั่วไป, rock, Soul, EDM, R&B  แนวเดียวที่ไม่ได้เอามาเปิดคือ Audiophile เพราะไม่ค่อยได้ฟังแนวนี้




หลายๆคนดูรายชื่ออุปกรณ์แล้วคงแอบส่ายหัว บางคนคงกำลังคิดจะปิดหน้านี้ แต่ช้าก่อนอ่านให้จบก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที ขอเวลาอีกไม่เกิน 5 นาทีจะเอาให้จบ ฮาๆๆ
ลิสต์อุปกรณ์ที่มันดูแปลกๆในการฟังเพลง และไม่น่ายกเข้ามาในห้องฟังเพลงเลย นั่นคือ Klipsch RP280F ไง   ใช่ครับ ลำโพงดูหนังตัวนี้เสียงจัด เทพในการดูหนังมาก แต่การฟังเพลงเสียงมันจะติดแข๊งหน่อย ฟังเพลงไม่ค่อยละเมียดละไมนั่นแหละ แต่ผมใช้ตัวนี้มาเทส เพราะนี่คืออุปกรณ์ที่ผมใช้และผมฟังมันจนรู้ตับไตไส้พุงหมดแล้วว่าลำโพงตัวนี้มันให้อะไรเราได้บ้าง แต่ถ้าผมยกลำโพงฟังเพลงตัวเป็นแสนมา เราอาจจะไม่รู้ว่าไอ้ที่ฟังเพลงดีขึ้นมันเป็นเพราะลำโพงหรือ Rotel กันแน่  ดังนั้นเราก็ต้องใช้ของที่มีอยู่ให้มันคุ้ม ใช้เพื่อการทดสอบ ไม่ใช่ใช้เพื่อให้มันฟังเพราะที่สุด

หลังจากลองฟังเพลงผ่านตัวนี้มาร่วมวันนึงเต็มๆ ผมก็เปิด Youtube ทิ้งไว้ เปิดเพลง "I Feel Good - Nu Disco ' Chill House Mix" ผ่าน RA1592 หลังจากนั้นผมก็ปิดไฟ แล้วมานั่งเขียนรีวิวนี้อย่างเคลิบเคลิ้ม


 

การฟังเพลงผ่านลำโพง Klipsch RP280F ที่ผ่านมา ผ่าน AVR Harman 370 และ Emotiva XPA3 นั้นเป็นประสบการณ์ที่ต้องบอกว่า ขอแค่ให้มีเสียงออกก็เรียกว่าเป็นเพลงแล้ว  เสียงนั้นทึบ กลางแหลมไม่ค่อยมี รายละเอียดก็ไม่ค่อยจะมี แข๊ง เบสหนัก จังหวะจะโคนบางทีก็เหมือนนักดนตรีแย่งกันเล่น แย่งซีนกันเอาทิป แย่งกันเอาหน้าอะไรประมาณนั้น  มีให้ฟังก็ฟังไป   ชีวิตเหมือนใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนนิสัยนักเลง พร้อมลุย พร้อมพาท่องยุทธจักรในการดูหนัง แต่ยามที่ต้องการจังหวะจะโคน ต้องการความอ่อนหวาน เรากลับได้ความกระด้างและไม่รื่นหูเท่าไร่  ย้ำเตือนให้เรารู้ว่าลำโพงตัวนี้ไม่ใช่สายเปย์ ไม่ใช่สายเอาใจมวลชน แต่เป็นสายบ้าพลัง

ตอนนี้กระชากปลั๊ก AVR Harman 370  ออกไปก่อน แล้วเอา Rotel RA1592 มาต่อแทน วินาทีแรกที่ฟัง ต่อให้เป็นคนหูหนวกก็รู้ได้ว่า เสียงมันต่างจากเดิมเยอะๆๆๆและนี่คือสิ่งที่ได้มาจาก Rotel RA1592


 

1. รายละเอียด  Rotel RA1592 เป็นแอมป์ที่มีจุดเด่นเรื่องรายละเอียด กลางแหลมดี ส่วนเบสเท่าที่ฟัง ผมว่าไม่ต้องต่อซับแล้ว เพียงพอแล้ว กระชับ เร็ว เบสดี ใช้ได้เลยครับ
ตอนที่ฟังเพลง รายละเอียดต่างๆของเพลงที่ไม่เคยได้ยินก็พรูกันมา ทั้งเสียงเลียกีตาร์ ซ้อกแซ่กๆ เสียงในลำคอของนักร้อง เสียงหนุบหนับๆของกีตาร์เบสที่เหนียวหนึบยังกะหมากฝรั่ง  รายละเอียดมาเยอะเท่าที่ source เราเอามาใช้เล่นจะอำนวย ถ้าใช้เพลงบันทึกดีๆนี่ได้ยินไปจนไส้ติ่งเลยมั้ง  บางทีใช้ไฟล์คุณภาพต่ำ ก็ได้ตามที่ป้อนเข้าไป garbage in, garbage out แต่ถึงแม้จะเอาเพลง Mp3 มาเปิด แต่ก็รู้ได้ว่า เพลงมันมีความเป็นเพลงขึ้น นักดนตรีตั้งใจเล่นขึ้น ใช้เครื่องดนตรีดีขึ้น เพราะขึ้นกว่าเดิม (เยอะ)


 

2. หน้าตา Rotel RA1592 ขอบอกว่าดูดีมีสกุลรุนชาติเหลือเกิน  ดูแวบเดียวก็รู้ว่าแพง ลูกคุณหนู ชาติตระกูลดี  ที่พีคคือเอามาตั้งในห้องปิดไฟมืดๆ มันจะมองเห็นตัวเครื่องสลัวๆ สีเงินๆ ไม่มืดสนิท ดูไฮโซมากครับ เปิดไฟพอเอามาตั้งบนชั้นแล้วดูเครื่องเสียงมีราคา มีความมีระดับขึ้นอีกนะเออ อิอิ
และก็ตอนแกะกล่อง เป็นกล่อง 2 ชั้น ตอนแรกเห็นกล่องคิดในใจ ตาย5 ทำไมกล่องดูโลโซจัง ยังกะกล่องลังพนักงานบริษัทเวลาโดนไล่ออก  พอแกะออกมาแล้วค่อยโล่งใจ แกะออกมาทีละชั้นมีแผ่นป้ายสีเขียวใหญ่ๆ พอพลิกกับออกมาจะมีแผนผังวิธีการต่อใช้งานแผ่นเบ้อเริ่มให้อีก  ถ้าใครใช้เป็นแล้วก็เขวี้ยงมันกลับลงกล่องแล้วต่อได้เลย   ในกล่องแถมสายมาให้ 4 เส้น มีสายไฟ สาย usb ต่อกับคอม สาย rca กะสาย lan


 

3. ความเป็นดนตรี โทนัลบาล้านทำได้ดี แนวเสียงจะเป็นแนวโชว์รายละเอียดระยิบระยับ ปลายแหลมดี กลางแหลมเด่น เบสกระชับ ฟังง่าย คนที่ชอบเพลงแนวใหม่ๆหน่อย เพลงที่มีดีเทลเยอะๆน่าจะชอบ แต่แนวเสียงจะไม่ใช่แนวหวานเอื่อยเฉื่อย นุ่ม หวานหยดแบบพวกแอมป์หลอด  พูดง่ายๆว่าโทนเสียงเป็นกลาง เน้นรายละเอียด แต่ไม่หวานเท่าไร่ โทนเสียงสมัยใหม่ เหมาะฟังเพลงได้หลากหลายแนวดี ฟังเพลงเร็วก็ได้ เพลงร็อคก็ดี เพราะถ้าเป็นแอมป์แนวหวานๆแล้ว พอเอาไปๆฟังร็อคปุ๊ป เหลวเป้วไม่มีชิ้นดีเลยทีเดียว ตัวนี้แนวเสียงไปในทางของมันคือกลางๆ ฟังอะไรก็ได้ จับลำโพงอะไรก็ได้ จับกับลำโพงดูหนังเสียงก็จะละเมียดขึ้นแต่ยังไม่ทิ้งแววลำโพงดูหนัง ยังมีจังหวะจะโคน ดูคึกคักของลำโพงติดมา  แต่ถ้าจับกับลำโพงนุ่มๆ แนวฟังเพลงก็จะได้แนวเสียงน่าฟังตามสไตล์ของลำโพงนั้นๆ  พูดง่ายๆคือจับกับอะไรก็เพราะ ฟังง่าย โคดคุ้มเลย
ปล. ผมจับกับ Klipsch RP-280F จากเดิมดุๆ ตอนฟังเพลงเสียงก็ผ่อนคลายมีความเป็นดนตรีสูงขึ้น แต่แนวเสียงยังคงฟังรู้ว่ามันติดโทนคึกคักและเบสดีมาอยู่ แต่โดยรวมแล้วน่าพึงพอใจมากครับ เหมือนจากเดิมที่นุ่งยีนส์ ใส่เสื้อยืด ดูกุ๊ยๆ ตอนนี้ก็ยังนุ่งยีนส์อยู่ ใส่เสื้อยืดอยู่ แต่ได้สูทคลุมทับ ทำให้ออกงานสังคมได้ ดูเรียบร้อย ดูลุคน่าคบหาและน่าพูดคุยด้วยหน่อย แต่ถ้าบทจะบู๊ก็พร้อมจะสะบัดเสื้อสูททิ้งแล้วลุกขึ้นมาบู๊ได้อยู่




4. กำลัง ต้องบอกว่ากำลังมันเอาลำโพงตัวใหญ่ๆอยู่ หมัด เอาอยู่แบบจั๋งหนับเลย ลำโพงตัวท๊อปรุ่นกลางๆ อย่าง Klispch, Kef, B&W รุ่น 600, CM series ตั้งแต่รุ่น 9ลงมานี่มันน่าจะเอาอยู่หมด  ส่วน elac ก็น่าจะขับได้พวกรุ่นราคาแสนกลางๆ ไปจนถึงต่ำกว่า  ส่วนพวกลำโพงโหดๆขับยากๆกว่านี้ทั้งหลาย ผมขอละไว้ไม่พูดถึงละกัน

5. มีช่องต่อปรีเอ้าให้ด้วย ตัวนี้กำลังถึง 200 วัตต์ แต่ดันทำช่องปรีเอ้าท์เอาไว้ให้ต่อเสริม poweramp แต่ยังใช้ภาคปรีของ Rotel เอาไว้เผื่อขับลำโพงยากๆยิ่้งขึ้นได้ด้วยครับ




ตลอดเวลาที่ผมใช้เวลาอยู่กับมัน ผมพยายามเปิดเพลงหลายๆแนว เพื่อศึกษาและหาแนวของมันว่า Rotel RA1592 นี้ มันเหมาะกับแนวเพลงอะไร  แน่นอนครับ ไม่มีเครื่องเสียงชุดใดในโลกที่เหมาะกับเพลงทุกแนว   แต่ก่อนผมเคยเล่น Integrated Amplifiers มาก่อนแล้ว  ตอนนั้นผมใช้ Harmankardon 990 กำลังขับ 150 วัตต์ ฝรั่งวัดออกมาจริงๆได้เกือบ 200 วัตต์ ก็ตามสไตล์ฝรั่งเค้าที่กำลังดี แต่ทว่าพละกำลังในกระดาษมันไม่ได้บอกอะไร  เพราะพอเอามันมาใช้จริงๆนั้น ผมกลับรู้สึกว่าไม่ชอบน้ำเสียงของมันเอาซะเลย  จนสุดท้ายก็ขายไปทิ้งไป

จนวันที่ผมเริ่มแกะกล่อง Rotel RA1592 ตัวนี้ มันทำให้ผมรู้สึกคิดถึงตอนที่แกะกล่อง HK990 ตัวนั้น แต่ความรู้สึกหลังจากฟังเพลงแล้ว มันต่างกัน  ต้องขอบคุณวันเวลาและเทคโนโลยีที่ทำให้พัฒนา Integrated Amplifiers ดีๆ กำลังสูงๆ และน้ำเสียงฟังง่ายแบบนี้ออกมาให้ใช้ในราคาที่ไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนเลย  ใครจะคิดว่า Integrated Amplifiers กล้ามโตกำลังขับร่วม 200 วัตต์ จะสามารถขายได้ในราคา 7-8 หมื่นบาทได้ แถมน้ำเสียงก็ฟังง่าย เล่นง่าย ไม่ยุ่งยาก เข้าถึงมือใหม่ได้ง่าย

ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ คุณมีเครื่องเล่น CD หรือคอมสักเครื่อง แล้วก็มี Rotel RA1592 และก็ไปหาลำโพงดีๆสักตัวที่คุณชอบเสียงมัน เอามาขับ แค่นี้จบแล้ว ไม่ต้องไปหาปรี ไม่ต้องหา poweramp ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มอีกให้มันวุ่นวาย


 

ทีนี้มาถึงข้อเสียของมัน ผมพยายามหาข้อเสียหลายๆข้อ จะได้ไม่ดูว่าอวย แต่เอาจริงๆ พอนึกข้อเสียของมันออก ก็มาโดนราคาค่าตัวที่ย่อมเยาว์มากลบซะหมด ก็แหม จะเอาอะไรกับ  Integrated Amplifiers ราคาแค่นี้ กำลังตั้งเท่านี้ละเนี่ย สมัยก่อนจะเล่นแอมป์ฟังเพลงกำลังเท่านี้ ต้องมีแสนอัพ  เอ้า แต่ไหนๆมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย งั้นมาว่ากันเลย
 

ข้อเสีย

1. น้ำเสียงไม่หวานหยดเหมือนที่นักฟังเพลงที่ชื่นชอบสายหวานต้องการ หากใครฟังเพลงช้าๆ ฟังแต่เพลงร้อง เพลงจีน เพลงเก่าๆที่ต้องการอะไรที่มัน laidback หน่อย ผมว่าตัวนี้น้ำเสียงไม่ใช่แนวนั้น  แต่จะออกไปทางแนวสมัยใหม่ ฟังง่าย เด็กรุ่นใหม่ หรือผู้ใหญ่วัยต้นๆ กลางๆน่าจะชอบ มันฟังได้หลายแนว แต่ไม่ได้สุดไปในแนวทางใดแนวทางหนึ่ง  จริงๆผมสรุปให้สั้นๆก็ได้ครับว่า Integrated Amplifiers ตัวนี้เสียงมันไม่ไฮเอ็นด์ เสียงไม่ใช่แนวผู้ใหญ่ที่ฟังเพลง audiophile ชอบ (แนวโชว์เสียงฉาบ เสียงกลอง โชว์เสียงร้องแบบหวานๆ เพลงเก่าๆอะไรแบบนั้น)  ซึ่งไม่เป็นไร เพราะผมไม่ค่อยได้ฟังแนวนั้น

2. รีโมทใหญ่ ข้อนี้นึกอะไรไม่ออกจริงๆ ฮาๆ แต่เอาจริงๆรีโมทมันหนามาก คือไม่เข้าใจจะทำรีโมทให้มันใหญ่อะไรเบอร์นั้น ด้านข้างหนามาก เชยมาก โบราณมาก ถ้าไม่บอกนึกว่ารีโมททีวี National สมัยก่อน อันใหญ่ๆสีดำๆเชยๆ

หมดแล้ว ข้อเสียคิดออกแค่นี้ครับ


 

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับ Rotel RA1592  แม้จะไม่ใช่แอมป์ที่เสียงดีที่สุด แต่สิ่งที่ Rotel RA1592 ให้มา ผมว่าน่าจะเหมาะกับนักฟังเพลงหลายๆคน โดยเฉพาะกลุ่มคนส่วนใหญ่บ้างนะครับ โดยเฉพาะเรื่องความง่าย ฟังง่าย และกำลังขับที่สูงจนเอาไปขับลำโพงทั่วๆไปได้เกือบจะหมดแล้ว   และแนวเสียงก็เอาใจมือใหม่ คนฟังเพลงยุคใหม่ได้ดีทีเดียว

*** นักฟังเพลงยุคใหม่คือ นักฟังเพลงที่ฟังอะไรง่ายๆ ชอบความสะดวก ไม่จับผิด ชอบฟังเพลงผ่านซอร์จต่างๆหลากหลาย โหลดบ้าง ฟังผ่านมือถือบ้าง ไม่ได้จับเจ่าว่าต้องแผ่นซ๊ดี แผ่นทองอย่างเดียว บางทีเค้าก็เปิดไว้แล้วนั่งทำงานไปด้วย เดินไปเดินมาในห้อง หรือนั่งเล่นนอนเล่นที่โซฟาหรือบนที่นอนไปด้วย  วัตถุประสงค์เพื่อใช้ฟังเพื่อผ่อนคลาย ฟังเพื่อความไพเราะ
แต่ไม่ได้ฟังแบบจับผิดประมาณว่าลากเก้าอี้เข้าไปตัวเดียว จดจ้องฟังแต่เสียงเบส ฟังแต่เสียงกลืนน้ำลาย ฟังแต่เสียงสแนร์ว่าปลายมันทอดยาวแค่ไหน คอยจับเสียงต้อนเอื้อนนาทีที่ 35 ว่าเสียงถูกใจแค่ไหน
ฟังแต่เสียงบรรยากาศแก้วกระทบกันในเพลง คอยจับผิดว่ารูปวงจะใหญ่มั๊ย คอยจับผิดว่ากำแพงและเวทีมันกว้างเพียงไร  บางคนยกสายไฟให้พ้นพื้น เอาน้ำยาอะไรไปถูที่ตัวเครื่อง เอาสติ๊กเกอร์จัดระเบียบไฟไปติดที่เครื่องแล้วหวังว่าเสียงจะดีขึ้น บางท่านเอาของออกจากห้องหมดจนเหลือเก้าอี้นั่งฟังตัวเดียว แปะแผ่นซับเสียงเต็มห้อง ใส่เบสแทรปทุกมุม นั่งหน้าดำค่ำเครียดอยู่ในห้องเพื่อฟังเพลงเดิม นาทีเดิมที่เคยฟัง เพื่อจับผิดว่าวันนี้มันมีอะไรดีขึ้น จนลืมไปว่าเราเสพย์ดนตรีกันเพื่ออะไร


 

ดังนั้นนักฟังเพลงมือเก๋าหลายๆคน จะมองข้าม Rotel RA1592  ตัวนี้ไปก็ไม่แปลกแต่ประการใด เพราะเสียงมันไม่ได้พาไปสุดทางแบบที่นักฟังหลายๆคนต้องการ แต่ทว่าถ้าตรงกันข้าม คุณเป็นคนทำงาน คนที่ต้องการใช้ชีวิตผ่อนคลายหาดนตรีดีๆ คุณภาพดีๆ สูงๆหน่อย หาลำโพงดีๆมาแม๊ท แล้วใช้ฟังเพื่อผ่อนคลายยามว่าง ใช้เติมเต็มชีวิตให้มีสุนทรีย์ เสพย์ดนตรีเป้นงานหลักมากกว่าเสพย์เครื่องเสียง  ตัวนี้ผมต้องบอกว่า "คุ้มและดี"

เอาจริงๆ จากใจนักเล่นเครื่องเสียง Multi channels แนว Home theater แบบผม ผมยังอยากได้ไว้ใช้สักเครื่องนึงเลย  เอาไว้หาลำโพงฟังเพลงดีๆสักคู่มาจับคู่กับมัน แค่นี้ก็ฟินแล้วครับ นั่งทำงานไปด้วยมีเพลงดีๆฟังวนไปเรื่อยๆ ชีวิตไม่ขาดดนตรี เปิดเพลงโชว์ให้ใครฟังก็ไม่อาจใคร ขับลำโพงดีๆคุณภาพสูงๆก็ได้ ฟังก็ง่าย เพราะแบบไม่ต้องจับผิด ชีวิตจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก
ตัวนี้ถ้ามีคนให้ฟรี ฮาๆ  ผมก็จะเอาสีเงินครับ เพราะมันดูสวย ดูไฮโซกว่า   

วันนี้ลากันไปก่อน เขียนอะไรไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือทำให้ผู้ใดเสียหาย ผมต้องกราบขอโทษมา ณ ที่นี้ครับ

ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงทุกท่าน....

ราคา Rotel RA1592: http://www.whatthatsound.com/product/403/rotel-ra-1592
































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 12, 2016, 05:32:18 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


จัดส่ง Rotel RA1592 Integrated Amplifiers กำลัง 200 วัตต์ไปให้ลูกค้าที่สระบุรี

ตัวนี้เป็น Stereo Integrated Amplifiers  ฟังเพลงที่กำลังสูงที่สุดตัวนึงในท้องตลาดตอนนี้ ในราคาประมาณ 7-8 หมื่นบาท  ต้องบอกว่าคุ้มราคาค่าตัวมากๆ

จุดเด่นนอกจากจะเป็นเรื่องความคุ้มค่าแล้ว ตัวนี้ยังมีจุดเด่นที่น้ำเสียงกลางแหลมโดดเด่น เป็นประกาย มีรายละเอียดเยอะ เหมาะจะจับกับลำโพงฟังเพลงเสียงนุ่มๆ อุ่นๆเป็นอย่างมาก เพราะจะแมทชิ่งกันออกมาพอดี
RA1592 แม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ได้ไปทางโทนนุ่ม หวานเหมือนแอมป์ฟังเพลงค่ายอื่น แต่ตัวนี้ฟังง่าย ฟังเพลงได้หลากหลายแนว สามารถแมทกับลำโพงเสียงนุ่มๆได้ง่าย  เหมาะกับคนรักเสียงเพลงยังสามารถเอาไปจับกับลำโพงฟังเพลงตัวใหญ่ๆขับยากๆได้สบาย

ราคาและสเปก Rotel RA1592: http://www.whatthatsound.com/product/403/rotel-ra-1592














« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 13, 2016, 08:13:40 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Review Anthem AVM60 - Preamplifier Processors




เราได้อะไรจากการเล่น Pre?  ทำไมต้องเล่น Pre-Pro ในเมื่อ AVR ให้ได้ทุกอย่างแล้ว  ถ้าติดว่ากำลังไม่พอขับลำโพงก็เอา power มาต่อช่อง preout ก็ได้  ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆ? Pre แผงวงจรนิดเดียวไม่หนัก ทำไมจะยัดรวมในบอดี้เดียวกันร่วมกับ AVR ไม่ได้?  คำถามนี้ดังก้องในหัวผมรอบที่ล้านแล้ว

คำตอบที่ผมคิดขึ้นมาได้คือ  ถ้าเราเปลี่ยนลำโพงตัวใดตัวหนึ่งในระบบ เราก็จะได้แค่เสียงเปลี่ยนเฉพาะแชนแนลนั้นๆ หรือถ้าเปลี่ยนซับ ก็ได้แค่ความถี่ต่ำ
แต่ถ้าเปลี่ยน Pre หรือตัวประมวลผลทั้งภาพและเสียง เสียงจะเปลี่ยนได้หมดทั้งระบบ ตั้งแต่เบส ยันกลาง ยันแหลม ไปจนการแพนเสียง ไปจนบรรยากาศต่างๆ เหมือนเปลี่ยนสมองกล เปลี่ยนความคิดของระบบ นั่นแหละ   คุ้มหรือเปล่า แล้วจริงมั๊ย?

อย่ากระนั้นเลย ตอนนี้เราตัดสินใจยก AVR ตัวเก่าที่ไม่รองรับระบบเสียงสมัยใหม่อะไรเลยไม่ว่าจะ DTS-X, Dolby Atmos อย่าง Harman AVR370 ปลดระวางออกไป และยก Anthem AVM60 มาแทน ไม่ใช่เพราะหวังเรื่องคุณภาพเสียงหรอก (จริงๆก็หวัง) แต่ผมรอและจะอัพเกรดระบบเสียงมานานแล้ว และ "รอ"  ให้ทุกอย่างมันค่อนข้างนิ่งก่อน ให้ระบบเสียงต่างๆมันออกมาครบก่อน และนี่ก็เป็นเวลาที่ดีที่จะอัพมาตรฐานในระบบเสียงในห้องเรา เพราะเราต้องทำรีวิวสินค้ามากมาย บางทีต้องทดสอบเสียง ต้องทำการฟันธงว่าแต่ละตัวมันเสียงยังไง ดีหรือไม่  ดังนั้นมาตรฐานของอุปกรณ์ในห้องจึงเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ (ห้องฟังก็เป็นลำดับถัดไปที่จะปรับปรุง)
 

และนี่คือรีวิวที่ผมตั้งใจเขียนมากที่สุดอันนึง ใช้เวลาเขียนนานที่สุด เพื่อถ่ายทอดข้อดี ข้อเสียของ Pre-Pro เพราะเข้าใจดีว่า มันไม่ค่อยมีใครรีวิวเท่าไร่ และคนเล่นก็จำกัดอยู่ในวงแคบๆเท่านั้น  มือใหม่จะเล่นก็ไม่รู้จะหาข้อมูลจากที่ไหน จะไปลองฟังก็ฟังไม่ออกหรอกครับคุณ เพราะถ้าเค้าใช้ Pre-Pro เนี่ยแสดงว่าลำโพงเค้าต้องใหญ่พอสมควร ต้องใช้ power แล้วทีนี้คุณจะไปเทียบกับอะไรครับว่า ก่อนและหลังใช้ Pre-Pro เนี่ย เสียงมันต่างกันแค่ไหน และไอ้ที่เสียงดีๆเนี่ยไม่ใช่เป็นเพราะลำโพงหรือ power ที่มาช่วยเสริมหรอกหรือ

แค่เริ่มต้นหาฟังก็ยากแล้ว ฟังไปก็ไม่ช่วยอะไรหรอกครับยกเว้นว่าจะไปก้อปปี้ชุดเค้ามาทั้งระบบ อันนั้นก็เสียงดีแน่ แต่สิ่งที่เราอยากรู้คือถ้าเรายังใช้ลำโพงเดิมของเรา ใช้อุปกรณ์เดิมๆ แต่เปลี่ยนแค่ AVR เป็น Pre แล้วเสียงมันจะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน


 

Pre ย่อมาจาก "Pre-Amplifier/Processor"ชื่อก็บอกชัดเจนครับว่า Pre-Amp ก็คือต้นทางก่อนที่จะเข้าไปที่ amp นั่นเอง
ุ่ถ้าอธิบายง่ายๆก็คือ ลำดับการเดินทางของเสียงมีดังนี้

1. ต้นทาง เช่น Bluray Player, HD Player, CD Player, PS4, กล่องดาวเทียม  ชื่อก็บอกว่าต้นทางก็เป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้เล่นหนังเล่นเพลงที่คุณต้องการนั่นแล

2. Pre ตัวนี้จะรับสัญญาณจากต้นทางผ่าน HDMI, Analog (RCA) หรือ digital ก็แล้วแต่ช่องต่อที่ให้มา ตัว Pre จะทำหน้าที่เหมือนตัว Precessor ที่ประมวลผลสัญญาณเสียงที่ได้รับมาในรูปแบบต่างๆ format ต่างๆ เช่น dts, dolby แล้วแปลงมันออกเป็นสัญญาณเสียง และสัญญาณภาพ ส่งออกไปที่ Output ตัวต่อไป
โดยก่อนที่จะทำการส่งออกไปนั้น ตัว Pre จะมิ็ก และประมวลผลให้เสียงมันออกมาน่าฟังเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์ อยู่ที่ยี่ห้อที่ผู้ผลิตเค้าตั้งใจทำออกมาให้เสียงเป็นแนวที่เค้าต้องการครับ  ดังนั้นแล้วจะเห็นว่า Pre เนี่ยคือตัวที่ทำหน้าที่กำหนดบุคลิกเสียงโดยตรงเลยว่า เสียงในซิสเต็มจะออกไปทางโทนไหน  ซึ่งที่ pre นี้เราจะสามารถปรับแต่งเสียง เพิ่มลด volume ได้ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่า pre ส่วนใหญ่ตัวถังจะไม่ใหญ่ ไม่หนัก เพราะมันไม่ต้องแบกน้ำหนักหม้อแปลงในส่วนของภาค power

3. Power ตัวนี้จะรับต่อมาจาก Pre (ถ้าเป็น AVR: Pre และ Power มันจะอยู่ในตัวเดียวกัน ทำงานไปพร้อมๆกันครับ) หน้าที่ของ Power ก็คือ รับคำสั่งจากปรีมา และให้กำลังลำโพงแต่ละแชนแนลทำงานตามคำสั่ง 
Power คิดอะไรเองไม่ได้เลยทั้งสิ้น  เหมือนวัวที่มีพละกำลัง แต่ทำงานตามคน (Pre) ที่คอยชี้นิ้วสั่งว่าจะให้ไปทางไหนนั่นเอง
พอรับคำสั่งมา มันก็จะปล่อยกำลังให้ลำโพงที่ต่ออยู่แชนแนลนั้นๆทำงานไปตามเรื่องของมัน  (สายที่เชื่อมระหว่าง Pre กับ Power ก็คือสายสัญญาณ RCA หรือ XLR)

ดังนั้นการแมทชิ่ง Pre และ Power จึงมีผลมาก ไม่เหมือน AVR ที่เราไม่ต้องเลือกอะไร เพราะผู้ผลิตเค้ายัดทั้งภาค Pre และ Power เอาไว้ในตัวถังเดียวกัน ทำให้แนวเสียงรวมๆแล้วมันก็ออกมาเป็นตามที่ AVR ของผู้ผลิตนั้นๆตั้งใจจะให้เป็น แต่ Pre และ Power นั้นไม่ใช่ เราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Pre แพง Power ถูก หรือ Power ถูก Pre แพง หรือจะจับแนวเสียงมาผสมกันเช่นไรก็ได้

4. ลำโพง เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ทำให้มีเสียง เสียงจะดีไม่ดี ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วครับ เสียงมันถูก process และส่งกำลังมาให้ที่ลำโพงแล้ว  ตอนนี้เสียงจะดีไม่ดีก็อยู่ที่คุณภาพของลำโพงคุณนั่นแหละ  ถ้า pre ดี power ดี แต่ลำโพงห่วย เสียงก็ห่วยนะครับ   ดังนั้นผมจึงยืนยันว่าในระบบ Home Theater (บ้าน) นั้น ลำโพงมีส่วนสำคัญที่สุดของแนวเสียง  หากอยากจะเปลี่ยนอะไรสักชิ้นแล้วต้องการให่้เสียงเปลี่ยนมากที่สุด ผมแนะนำให้เปลี่ยนลำโพงเป็นอันดับแรก  ไม่ต้องไปดิ้นรนหา Accessories หรือหาต้นทางมาเปลี่ยนให้มันแพงเกินลำโพง สู้เอางบไปลงลำโพงเสียงจะเปลี่ยนมากกว่าครับ



 
 อันนี้คือ basic ของการทำงานของระบบเสียง Home Theater บ้าน  ถ้าคุณใช้ AVR ข้อ 2 กับข้อ 3 ก็จะรวมกันเป็นข้อเดียวกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณตัดสินใจว่าจะใช้ Pre  เมื่อนั้นแปลว่าคุณต้องโยน AVR ตัวเก่าคุณทิ้งไปเลย  เพราะมันไม่สามารถเอามาใช้ร่วมกันได้แล้ว (แม่ทัพ หรือมันสมองมีได้คนเดียว)  และภาระอันหนักอึ้งเมื่อคุณตัดสินใจเดินทางสาย Pre นั่นก็คือ คุณต้องหา Power amp มาขับให้มันครบแชนแนลของลำโพงที่จะเล่น 

เช่นเดิมที AVR คุณรองรับ 9 แชนแนล คุณก็เอาลำโพงมาต่อได้เลย  แต่ถ้าเล่น Pre คุณจะต้องหา Power มาให้ครบ 9 แชนแนลเพื่อมาขับลำโพงด้วย
และนี่ละครับ เงินทั้งนั้น  Power (บ้าน) ดีๆนั้นราคาไม่ใช่เล่นๆนะครับ กินแกรบเอาได้ง่ายๆ (ขอไม่พูดเรื่อง Power PA นะ)


 

Anthem AVM60

เป็น Pre-Precessor สัญชาติแคนาดา ภายใต้เจ้าของเดียวกับลำโพง Paradigm  โดย Anthem นั้นทำทั้ง Pre ทำทั้ง Power ครบชุด มีไลน์สินค้าครบถ้วนหลายรุ่น  แต่วันนี้ขอพูดถึง pre อย่างเดียว  power ไว้ว่ากันวันหลัง
ไลน์ผลิตภัณฑ์ pre ของ Anthem นั้นมีแค่ 2 ตัว เริ่มต้นที่ Anthem AVM60 ที่เราจะพูดถึงกันนี่แหละครับ  อีกตัวนั้นเป็นรุ่นแพงของเค้า ที่เราก็ไม่ขอพูดถึงในวันนี้
ราคาค่าตัว Anthem AVM60 นั้น บ้านเราราคาขายอยู่ที่ 150,000 บาท นี่คือตัวเริ่มต้นของเค้า และไม่มีตัวที่ราคาต่ำกว่านี้แล้วด้วย  แน่นอนว่าราคาแพงกว่า AVR ของค่ายญี่ปุ่นตัวท๊อปสองตัวรวมกันซะอีก.......  คืองบนี้ซื้อ Yamaha 3060 คู่กับ Marantz 7010  ยังเหลือตังค์ทอนเลยครับท่านผู้ชม อิอิ

Specification
Anthem AVM60 นั้นรองรับการประมวลผลทั้งภาพและเสียงที่ 11.2 แชนแนล รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS:X ready ณ วันที่ผมเขียนรีวิวอยู่นี้ ยังไม่มี firmware อัพเกรดให้ใช้ระบบเสียง DTS:X ออกมาครับ (13/11/2016)
ฟีเจอร์เด่นๆอย่างอื่นก็มีดังนี้
  - สามารถรองรับการเซ็ทอัพต่างๆ ได้ถึง 4 ชุด (Speaker Profile Memories) เผื่อเอาไว้ยก Pre เอาไปใช้ในงานต่างๆกัน ใช้กับชุดลำโพงหรือห้องอื่นๆได้ โดยไม่ต้องเซ็ทใหม่

- ใช้ Quad Core Digital Processing ในการประมงลผลซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันดียังไง

- ให้ ARC หรือ Anthem Room Correction พร้อมใหม่คุณภาพสูงมาในกล่องด้วย ตัวนี้ก็เหมือนกับพวก YPAO ของ Yamaha หรือ Audyssey ของ Marantz นั่นแหละครับ แต่ต่างกันตรงที่ ARC ของ Anthem นั้นไฮโซกว่าตรงที่ใช้คอมในการเซ็ทอัพและจูนเสียง  โดยใช้ไมค์คุณภาพสูงที่ให้มานั้นต่อเข้ากับช่อง USB ของคอม ที่ดาวน์โหลดโปรแกรม ARC เอาไว้แล้ว  เสร็จแล้วคอมจะหา Anthem AVM60 ของเราเจอเองแบบไร้สาย (คอมและ Anthem ต้องต่อ wifi อยู่)  เสร็จแล้วระบบจะปรับโดยใช้ไมค์ที่ต่อกับคอม และทำการพลอตกราฟลงโปรแกรมในคอม และทำการปรับแต่งให้ตามขั้นตอนครับ  ซึ่งเราก็สามารถเข้าไปดึง EQ และปรับค่าอะไรต่างๆได้โดยตรงจากโปรแกรมในคอมเลย    ตรงนี้ถ้าเป็น AVR ค่ายญี่ปุ่นจะต่อไมค์กับ AVR แล้วจบ ไม่มี user interface หรือกราฟอะไรให้ดูกันอีกแล้ว

- ใช้ Premium 32-bit / 768 kHz DAC

 - รองรับ 4K และ High Dynamic Range (HDR)

- มี DTS Play-Fi ให้มาด้วย สามารถเล่นเพลง ฟังวิทยุได้โดยมีคุณภาพสูงกว่า internet radio และดีกว่าช่องทางอื่นๆ

ตัวนี้ข้อเสียคือไม่มี ฺBluetooth  และก็พวกฟีเจอร์ต่างๆอาจจะไม่เยอะหรือหวือหวาเท่าปรีฝั่งญี่ปุ่นนะครับ

 

 


แนวเสียง Anthem AVM60


Amthem ก็คือ Anthem แนวเสียงพูดให้เข้าใจง่ายๆสามคำจบก็คือ "แนวดูหนัง"
แนวเสียง ชัด สด  รายละเอียดสูง เบสหนัก แพนเสียงรอบตัวดี แยกแยะรายละเอียดต่างๆดี  ด้วยแนวเสียงที่เกือบจะครบเครื่องทุกอย่างแบบนี้เราไม่ค่อยเห็นใน pre หรือแม้แต่ AVR ฝั่งญี่ปุ่นตัวไหนเลยก็ว่าได้ ส่วนใหญ่เราจะได้อย่างเสียอย่าง คือถ้าได้รายละเอียด ก็จะเบสไม่หนัก  หรือเบสหนักก็จะเสียงจัดไป หรืออย่างมากก็บาล้านทุกๆอย่างมา แต่ไปไม่ค่อยสุด

แนวเสียงแบบ Anthem นี้ ถ่ายทอดกรรมพันธ์ DNA มาเหมือนกันหมด ทั้ง AVR ของเค้าซีรี่ย์ MRX  และใน pre ก็เป็นแนวเสียงเดียวกันหมด แนวเสียงแบบนี้ ถ้าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอายุหน่อย ก็อาจจะไม่ชอบ  เพราะว่ามันจะหนัก และสดเกินไป  เพราะผมได้ยินผู้ใหญ่หลายท่านบ่นว่า มันไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนทางฝั่งญี่ปุ่น
ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ชอบครับ แต่ Anthem เค้าจะแนวนี้อยู่แล้ว ถ้าชอบฟังสบายผมแนะนำให้ผ่านไปดูตัวอื่นแทน

ทีนี้เพื่อความง่าย ผมจะขออธิบายแนวเสียงของ AVM60 ในแต่ละแง่มุม เทียบกับแนวเสียงของ AVR ญี่ปุ่นค่ายต่างๆ เพื่อคนอ่านที่ใช้ AVR ค่ายนั้นๆเข้ามาอ่าน และกำลังตัดสินใจจะเปลี่ยนจาก AVR มาใช้ Anthem AVM60 จะได้เกิดความเข้าใจง่ายและเห็นภาพ  โดยทั้งนี้ผมจะเปรียบเทียบกับ HarmanKardon AVR370 ตัวเก่าที่เราใช้ด้วย  และเราจะไม่เปรียบกับ pre ค่ายอื่นในราคาใกล้เคียงกันนะครับ  เพราะรีวิวนี้เรารีวิว Anthem AVM60  ตัวอื่นเราจะยังไม่พูดถึง
ซึ่งเอาจริง ในราคานี้ตัวเปรียบก็มีตัวเดียว (Marantz 8802) และนี่ก็เป็น pre ค่ายฝรั่งตัวเดียวในราคานี้ด้วยในท้องตลาดที่มีให้เล่น



 
1. รายละเอียด

Anthem AVM60 เป็น pre ตัวนึงที่ให้รายละเอียดต่างๆ เสียงเล็กเสียงน้อยได้พรั่งพรูมากที่สุดในตลาดเมื่อเทียบกับ pre อื่นๆ หรือแม้แต่ avr ที่เคยฟังมา  เอาง่ายๆ นาทีแรกที่คุณยก pre / avr ตัวเก่าออก แล้วเอา AVM60 มาเสียบ  แล้วลองเปิดฟังเสียงแค่นาทีแรก  แค่นี้ก็รับรู้ได้ถึงความแตกต่างแบบมหาศาลแล้ว
ไม่ต้องฟังแบบจับผิดอะไรเลย ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องสังเกต แค่ฟัง.....
รายละเอียดที่ว่าผมหมายถึง ดีเทลต่างๆของหนัง ความสงัด เสียงกร้อบแกร้บๆเวลาฉากทีตัวละครในหนังทำอะไรสักอย่างเงียบๆ มันได้ชัดมาก

ถ้าเทียบกับแนวเสียง AVR ที่ผมเคยฟังมา ผมคิดว่ารายละเอียดที่ผมเคยฟังและใกล้เคียงตัวนี้มากที่สุดคงหนีไม่พ้น Yamaha ผมจำความรู้สึกครั้งสุดท้ายที่รีวิว Yamaha 3050 เมื่อปีที่แล้วได้  รายละเอียดกรุ๊กกริ๊กๆ ของหนังเล็กๆน้อยๆที่ได้ยินมนัรู้สึกว่ามาเยอะดี แต่อันนั้นพอฉากแอคชั่นปุ๊ป เราจะรู้สึก ทำไมเบสบางๆ

AVM60 เอาง่ายๆ เรื่อ Man of Steel ฉากสู้กันที่มีกระจกแตก ฉากนั้นของเดิมผมใช้ HK AVR370 กระจกแตกก็เพล้งออกมา  แต่พอใช้ AVM60 ฉากกระจกแตกมันพรูสาดเข้ามาหล่นตรง teen ที่โซฟา  บางฉากสาดพุ่งมาเข้าหน้าเลยก็มี

เทียบกับแนวเสียง AVR
แย่ที่สุด : Harman AVR370
ดีที่สุด : Yamaha Aventage 30x0
AVM60: ทำได้ดีกว่า Yamaha Aventage 30x0 ไปอีกหลายสเตป

 

2. การแยกแยะตำแหน่งเสียง และบรรยากาศรอบๆตัว

ในส่วนของบรรยากาศรอบๆตัวนั้นตัว AVM60 ขอบอกสั้นๆว่า เพิ่งรู้สึกว่าลำโพงเซอร์ราวด์มีประโยชน์มากพอๆกับลำโพงหลักก็วันนี้แหละ   มันเหมือนปลุกชีพให้ลำโพงเซอราวด์ในห้องกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง   ผมไม่ทราบว่ามันทำยังไง แต่ลำโพงเซอราวด์ผมทำงานเยอะกว่าเดิม เสียงชัดกว่าเดิมมาก เสียงกร้อปแกร้ปๆ เสียงลม เสียงลูกกระสุนพุ่งเฉี่ยวหู เสียงดนตรีที่เป็นฉากเสริมอย่างเช่นเรื่อง 300 ภาค2 ดังและชัดและ clear  ได้ยินรายละเอียดแม้แต่เล็กๆน้อยๆจนหมดสิ้น   ถ้าคุณเป็นคนชอบเสพย์เสียงเล็กเสียงน้อย ชอบเสพย์บรรยากาศลม ฝน เสียงสนทนาของผู้คน  ตัวนี้ทำได้ดีมากครับ

ในส่วนของรายละเอียดรอบๆตัวนั้น ตรงนี้ต้องบอกว่า AVM60 ทำหน้าที่แยกแยะตำแหน่งเสียงในแต่ละ layer  และแยกเสียงที่ออกมาพร้อมๆกันได้ดีเช่นกัน  ยกตัวอย่างหนังที่มีรายละเอียดเสียงเยอะๆ   เราอาจจะได้ยินเสียงปืน  ได้ยินเสียงดนตรีประกอบ และได้ยินเสียงสนทนา และได้ยินเสียงลูกกระสุนหลายสิบลูกวิ่งผ่านหน้าไปพร้อมๆในวินาทีเดียวกัน AVM60 แยกแยะตำแหน่งของวัตถุแต่ละขิ้นได้แม่นยำ และชัดเจนว่า "อะไรมันเกินตรงไหน" และไม่มั่ว ไม่เป็นปื้นๆเป็นก้อนๆ อยู่ใกล้ๆ เหมือนอย่างที่เคย  ตรงนี้ภาษาเทคนิคเค้าเรียก Immersive Sound 

ตรงจุดนี้ผมว่านี้คือความคุ้มค่าต่อราคาค่าตัวของ AVM60 ที่สุด ดูราคา อือ.....โอเคแพง แต่พอสัมผัสความรู้สึกตรงนี้แล้วเรารู้สึกว่า ไอ้ที่จ่ายไปแพงๆนั้น มันคุ้มก็ตรงการแยกแยะตำแหน่งเสียงได้อย่างน่าอัศจรรย์เนี่ยแหละ

จะยกตัวอย่างฉากกระสุนปืนลูกซองที่พุ่งมาเข้าหน้าของหนังบางเรื่อง แต่เดิมนั้นลูกซองก็ตูมแล้วก็ฟุบมาเข้าหน้า  แต่ AVM จะให้เสียง ตูมและพุ่งมาตรงหน้าและรู้ว่ากระสุนนั้น "มันกระจาย" อยู่เต็มแผงหน้า คือกระสุนมันไม่ได้เกาและแต่ละเม็ดได้ยินรายละเอียดและรู้สึกว่ากระสุนไหนเข้าเป้า ไม่เข้าเป้า  ฟังดูเหมือนเว่อร์ แต่มันรู้สึกได้เช่นนั้นครับ

เทียบกับแนวเสียง AVR
แย่ที่สุด : Harman AVR370
ดีที่สุด : Yamaha Aventage 30x0, Pioneer LX8x
AVM60: ทำได้ดีกว่า Yamaha Aventage 30x0 ไปอีกหลายสเตป





3. น้ำหนักเสียงเบส

ในส่วนของความกระแทกกระทั้น เสียงเบส เบสคุณภาพที่ให้เสียงกระชับ ไม่ใช่บวมๆกลวงๆนั้น อันนี้ AVM60 แพ้อยู่ตัวเดียว นั่นคือ Harman AVR370  ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าต้องให้ AVR370 เค้า เพราะมันทำมาดีอย่างเดียวจริงๆ นั่นคือเบส อย่างอื่นแย่หมด สไตล์อเมริกันเบสไม่แพ้ใครอยู่แล้วครับ

ตัว AVM60 ให้น้ำหนักเสียงเบส ให้แรงกระแทก ถ้าเทียบกับ  AVR แบรนด์ญี่ปุ่นด้วยกันทุกตัว ผมกล้าพูดว่า ดีกว่า AVR ทุกตัวของญี่ปุ่นครับ ถ้าคุณเคยเล่นค่ายญี่ปุ่นมาก่อนแล้วมาใช้ AVM60 ตรงนี้คือการพัฒนาครั้งมโหฬาร  เสียงเบสที่คุณได้ยินมันช่างตื่นตาตื่นใจเสียเหลือเกิน  และไม่ใช่แค่เสียงเบส เสียงกลางต่ำไปจนถึงเบสต้นๆก็กระแทกมากๆสะใจโจ๋เหลือเกิน    คุณจะไม่เคยได้ยินเบสแบบนี้แน่นอนใน AVR ญี่ปุ่นตัวไหน  โดยเฉพาะกับ Yamaha เมื่อเทียบกันแล้วแนวเสียงเบสต่างกันฟ้ากับเหว

ฉากในหนัง Man of Steel ฉากที่ต่อสู้กัน แล้ว Superman ต่อยอัดไปที่ตัวร้าย เสียง effect น้ำหนักหมัดมันโครมสะใจดีมาก  ถ้าจะหา pre ที่ให้ความสะใจในการดูหนังแอคชั่นที่ดีกว่านี้ในราคาพอๆกันนี้หรือต่ำกว่า บอกตรงๆว่าผมนึกไม่ออก จะมีก็แค่ตัวเดียวนั่นคือ Harman แต่รายนี้เค้าออกจากวงการ AVR และหยุดพัฒนาไปแล้ว  เสียงย่านอื่นๆเช่นกลาง แหลมก็ไม่เอาอ่าวเอาทะเลเลย  เบสเต็มทั้งเรื่องไปหมด เหมือนประมาณว่าภาคประมวลผลของ Harman มองสัญญาณอะไรที่เข้ามาแล้วก็จับโยนไปเป็นย่านเบสหมด  รายละเอียดจุ๊กๆจิ๊กๆ ถูกแปลงไปเป็นเบสหมด

เทียบกับแนวเสียง AVR
แย่ที่สุด : Yamaha Aventage 30x0
ดีที่สุด : Harman AVR370
AVM60: ทำได้ดีกว่า AVR และ Pre ทุกตัวในตลาดที่ราคาเท่ากันหรือต่ำกว่า
แต่ทำได้ด้อยกว่า Harman ในแง่ปริมาณเบส แต่แยกแยะและให้ปริมาณเบสคุณภาพได้สมจริง และดีกว่าในย่านอื่นๆ





4. ความสมจริง

การแยกแยะเสียงหนักเบา การให้เสียงที่เหมือนเหตุการณ์จริงตรงนี้ผมค่อนข้างตกใจเล็กน้อยตอนที่เปิดดูครั้งแรก มันดูสมจริง เสียงต่างๆที่เคยได้ฟังใน avr ตัวอื่น พอมาฟัง AVM60 แล้วรู้สึกโทนเสียงมันต่างออกไปเล็กน้อย  ไม่ว่าจะเสียงปืน เสียงสนทนา ความสงัด รายละเอียด
เช่นฉากกระจกแตก อันนี้จะเห็นชัดที่สุด ลองไปฟังดูเราจะรู้สึกว่า เฮ้ย เสียงมันไม่เหมือนเดิม มันเหมือนจริงมาก หรือฉากเสียงปืนใน 13 days เสียงก็ดูแน่นและสมจริง จากแต่ก่อนอาจจะตูมดังๆ เบสเยอะๆ ทุ้มๆ แต่ AVM60 อาจจะเบสๆไม่เยอะเท่า แต่มันแสดงรายละเอียดของย่านอื่นได้ดีกว่า สมจริงกว่า ฟังแล้วเรารู้สึกว่า เหมือนเราไปอยู่ในฉากนั้นๆร่วมกับตัวละครในหนัง เหมือนไปยืนอยู่ข้างๆปืนที่ถูกยิงออกไปจริงๆ


ในส่วนของบทสนทนาก็มีการพัฒนาไปในทางที่ดี
AVM60 ให้รายละเอียด โทนเสียงใกล้เคียงกับการเข้าไปดูหนังโรงได้มากที่สุดตัวนึงแล้วครับ  ในโรงดีๆ เราไม่รู้สึกว่าเบสมันเยอะหรือเสียงมันจัดไป และที่สำคัญเสียงมันก็ไม่ได้แอคชั่น มัน ดุกันทุกฉาก ฉากที่เงียบๆมันก็ให้รายละเอียด ฉากแอคชั่นค่อยมาดังและโหม  ความรู้สึกแบบนี้มีมาให้เห็นอีกครั้งใน AVM60

ยกตัวอย่างเช่น Madmax ในหนังฉากที่ตัวพระเอกมันคุยกับสาวๆในทะเลทราย ฉากที่เอาหน้ากากครอบหน้าออก ฉากนั้นได้ความรู้สึกว่าหนังมันสงัดขึ้น เงียบกริ๊ปเหมือนไม่ได้เปิดหนัง บทสนทนาได้ยินเหมือนตัวละครพูดกันใน level ความดังปกติที่คนพูดกัน เสียงพูดชัด clear 
ฉากหลังได้ยินเสียงทรายในทะเลทรายปลิวไปเป็นระยะๆ แต่พอฉากเข้า action  โทนเสียงและ level ความดังของเสียงพูดก็แปรเปลี่ยนไปตามที่หนังบันทึกมา ฉากตะเบ็ง ฉากแอคชั่น level เสียงความดังของดนตรีประกอบมันโหมขึ้นได้ในระดับที่หนังที่ดีควรจะเป็นเช่นนั้น  ไม่เหมือนกับ AVR370 เดิมที่เคยใช้ ที่โทนเสียงความแตกต่างของ level เสียงในฉากปกติและฉากแอคชั่นนั้น ไม่ค่อยต่างกันเท่าไร่

 
เทียบกับแนวเสียง AVR
แย่ที่สุด : Harman AVR370
ดีที่สุด : Marantz 7010, Denon X series
AVM60: ทำได้ดีกว่าทุก AVR แต่เมื่อเทียบกับ pre ในระดับราคาเดียวกันก็มีตัวที่ทำได้ดีพอๆกัน


 


5. ความสด ความเฟี้ยวฟ้าว ความมัน

 ตรงนี้ความสด ผมคิดวาคงอยู่ที่เราเอาไปจับกับลำโพงอะไรด้วย ซึ่งส่วนตัวผมเอาไปจับกับ Klipsch RP-280F, RC-62 II, Emotiva XP3,5 โทนเสียงผมว่าบาล้านมาดีมากกกกกๆๆ คือไม่สดจนแสบหู และก็ไม่ทึบจนขาดรายละเอียด  แต่ที่แน่ๆโทนเสียงไปทางดุดัน ไม่นุ่มแน่นอน เสียงขึงขัง จัดจ้าน เสียงทุกย่านออกมาพอดีๆกันหมด ย่านสูงไม่ล้ำนำหน้าย่านอื่น ฟังแล้วสบาย  จะมีในบางฉากเท่านั้นที่รู้สึกว่าแหลมมันสด และล้ำหน้าไปนิด แต่ยอมรับได้ครับ เพราะลำโพงที่เราใช้ก็สด และ power amp ที่เราใช้ก็สด ถ้าปรับจูนหรือเปลี่ยนอุปกรณ์อื่นๆในระบบคงจะช่วยได้  แต่จะว่าไปยรรยากาศการดูหนังนั้น เสียงแนวนี้ผมว่าดีแล้ว ไม่จัดไป ไม่ทึบไป  ถ้าเทียบกับ pioneer อันนั้นเสียงจะสดกว่านี้ครับ  แต่ในย่านเบสและกลางก็จะไม่สมดุลขนาด AVM60
และส่วน Onkyo รหัสเลข 3 หลักเช่น 656, 646, 1030, 3030 อันนั้นก็ติดนุ่มนวลเกินไป ฟังแล้วน่าจะเหมาะกับซิสเต็มฟังเพลงดูหนังเรื่อยๆมากกว่า

 
เทียบกับแนวเสียง AVR
แย่ที่สุด : Onkyo TX-NRxxx
ดีที่สุด : Pioneer LX series
AVM60: ทำได้ดีกว่าทุก AVR แต่แพ้ Pioneer LX  แต่ความสมดุลของย่านเสียงต่างๆนั้น AVM60 ถือว่าทำได้ดีและน่าฟัง และถ้ายังไม่พอใจก็น่าจะปรับได้ใกล้เคียงกับ Pioneer

 

6. การฟังเพลง ความเป็นดนตรี

ตรงนี้ขอบอกว่าการฟังเพลงออกจะติดแข๊งๆ และเบสเยอะๆหน่อย ตามสไตล์ของ Pre ที่ดูหนังดี  และเมื่อเทียบกับการฟังเพลงจาก Pre หรือ AVR ตัวอื่นแล้ว ผมไม่สามารถพูดได้เลยว่า AVM60 ทำได้ดีกว่า  คือความนุ่มนวล จังหวะจะโคน หรือความเป็นดนตรีนั้นอาจจะด้อยกว่า AVR ค่ายญี่ปุ่นอย่าง Marantz, Onkyo เสียด้วยซ้ำ 
ยกเว้นว่าเอามาฟังเพลงร๊อคหรือเพลงประเภทเครื่องดนตรีสังเคราห์ หรือเพลงเต้นรำ ที่พอจะฟังดีขึ้นมาบ้าง
 
เทียบกับแนวเสียง AVR
แย่ที่สุด : Harman AVR370
ดีที่สุด : Denon Xseries, Marantz x010
AVM60: ทำได้ค่อนข้างมาตรฐานค่อนไปทางต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อยเมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายไปแล้ว  มันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ครับ ถ้าเทียบกับ AVR ก็ยังพอทนได้ แต่ถ้าเทียบกับ Intrgated Amp แล้วละก็ ขอบอกว่า AVM60 แพ้อยู่หลายขุมเลยทีเดียว






Pre ตัวนี้เหมาะกับใคร

เราอยากให้คุณตัดสินใจให้ดีๆ เพราะการเดินเข้ามาและเลือกใช้ pre นั้น มันย่อมหมายความว่าคุณต้องลงทุนเพิ่มมากขึ้นอีกเยอะ กับเสียงที่ดีขึ้น   ลองถามตัวเองว่า คุ้มมั๊ยกับสิ่งที่ได้เพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเสียง บรรยากาศรอบตัว เบส และความสนุกในการดูหนัง  ลองเลื่อนขึ้นไปอ่านหัวข้อด้านบนสักนิด ก่อนตัดสินใจ เพราะไม่แน่ว่า AVR หรือ pre ตัวเก่าของคุณ อาจจะทำได้ในบางแง่มุมได้ดีกว่า และแง่มุมนั้น มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ของคุณก็ได้ 
แต่โดยรวมแล้ว AVM60 สำหรับผม ถือว่ายกระดับเสียงในหลายๆด้านในอย่างสมดุล ไม่ว่าจะเป็นเบส บรรยากาศ การแยกแยะรายละเอียดเสียง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันทำได้ดีจริง
ถ้าคุณชอบดูหนัง ชอบเสียงสไตล์แน่นๆ แนวหนักๆ ชอบรายละเอียดเยอะๆ 
และคุณฝันอยากได้จะบรรยากาศในการดูหนังดีๆของ Yamaha มาผสมกับเบสของ HarmanKardon และก็ยังอยากได้ความสดของการดูหนังที่สุดจะมันของ Pioneer
AVM60 มันเอาทุกอย่างมาไว้ในเครื่องนี้จริงๆ  แนวเสียงแบบนี้ คุณชอบมั๊ยต้องลองถามใจตัวเองดู  ผมตอบแทนคุณไม่ได้ แต่คุณต้องตัดสินใจเอง

 
ข้อดี

1. ให้รายละเอียดเสียงที่ดีมากกๆๆๆๆ  การแยกแยะวัตถุแต่ละชิ้น เสียงแต่ละเสียงที่เกิดขึ้นรอบๆตัว  เบสที่หนัก แรงกระแทก อิมแพคก็มีให้แบบถึงตัว  รายละเอียดเสียง กลาง แหลม ก็สมดุลกันดี โดยรวมแล้วดูหนังสนุก ดุดัน

2.  ใช้คอมพิวเตอร์ในการเซ็ทอัพ และให้ไมค์ที่คุณภาพดีระดับนึงมาให้ใช้  โปรแกรม ARC ที่ใช้จูนเสียงนั้น ดีและละเอียดระดับนึงเลย
ตัวนี้สามารถจูนกราฟแบบละเอียดแยกแต่ละแชนแนลได้เลย ว่ากราฟเสียงของลำโพงต่างๆของเราตัวไหนมีย่านไหนที่ดรอป เป็นหลุมลงไปบ้าง และมีย่านไหนโด่งขึ้นมา
มันทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าเราขาดย่านไหน  เช่น Subwoofer เราจะเห็นว่าย่านไหนหาย ตรงนี้สำคัญมาก เพราะเราสามารถจูน eq เพื่อดึงมันขึ้นไปได้ในระดับนึง
ซึ่งโปรแกรมจะคำนวณและปรับให้แบบออโต้ด้วย โดยจะพล๊อตกราฟอุดมคติที่ดีที่สุด ที่ควรจะเป็นมาให้ดูว่าเป็นแบบไหน  และของเราสามารถปรับขึ้นไปได้แค่ไหน
ซึงก็ไม่ 100% หรอกครับ แต่มันก็ทำได้ดี  ทีนี้เราก็สามารถรู้และดึง eq หรือใช้อุปกรณ์มาปรับเพิ่มเองได้

3. มี DTS Play-Fi มาให้ด้วย ตัวนี้คือตัวที่ใช้คอนเนคกับมือถือและเล่นเพลงจากสถานีต่างๆได้คล้ายๆ Internet radio แต่คุณภาพเสียงดีกว่า มีเพลงให้เลือกตามแนวเพลงที่เราชอบ และมีค่ายเพลงไทยให้ฟังด้วย



 


ข้อเสีย

1. ค่อนข้างใช้งานยากไปสักนิด ทั้งเมนู และ user interface รวมไปถึงวิธีการปรับเสียงที่ต้องใช้คอมไปโหลดโปรแกรมมาลง และต่อ wifi และต้องให้ AVM60 ต่อ wifi หรือเสียบสายแลนด้วย ถึงจะสามารถปรับเสียงได้ ถ้าไม่มีสายแลนยาวๆมาถึงเครื่อง และถ้าคอนเนค wifi ไม่ได้ก็จบเลยครับ ทำอะไรไม่ได้เลย ปรับได้แต่มาตรฐาน ดึง distanct, level เบๆแค่นี้

2. Wifi มันจับสัญญาณยาก อันนี้ไม่รู้เป็นที่เนท Wifi ผมหรือบ้านผมมันบล๊อคสัญญาณหรืออะไร คือเวลาต่อหา wifi มันหาเจอแล้วคอนเนคยาก บางทีต่อหลายทีกว่าจะได้  แต่ถ้ามีสายแลนยาวๆ ก็ลากมาเสียบที่หลังเครื่องได้ ก็จบ ง่ายกว่า

3. Firmware ณ วันนี้ที่ผมเขียน 13/11/2016 firmware DTS:X ยังไม่ออกเลยครับ  และ Remote app วันนี้ก็รองรับเฉพาะ ios เท่านั้น android ยังไม่ออก ต้องร้องเพลงกันไปก่อน

4. Distanct ของตัวนี้ดึงได้ค่อนข้างหยาบ นั้นคือ 0.3 m   3.3 แล้วไป 3.6 หรือ 3.0 เลย  ทำให้คนเซ็ทต้องปรับเป็น feet แทน

5. ราคาที่สูงกว่า Pre ญี่ปุ่นหลายๆตัว สูงเอาการครับ กับคนเล่นระดับเริ่มต้นหรือ Mid-end แต่ถ้ามองว่า นี่มันคือ Pre ค่ายฝรั่งคุณภาพสูง และถ้าเอามันไปเทียบกับ AVR หรือแม้แต่ Pre ค่ายญี่ปุ่น ผมว่าตัวนี้ก็ครบเครื่องทุกอย่าง โดยเฉพาะไฮไลท์ที่สุดคือเสียงที่ผมค่อนข้างคิดว่ามันดุดันและเสียงดีกว่า

 




ข้อสังเกต

ผมมีจุดนึงที่สังเกตได้ จากการลองทดสอบเสียงเจ้า AVM60 ถึงสามตัว  นั่นคือการเบิร์นมีผลกับ AVM60 มาก  จริงๆผมไม่ค่อยสนใจเรื่องการเบิร์นกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เท่าไร่นัก ส่วนใหญ่ผมจะเห็นข้อแตกต่างกันในลำโพงดอกใหญ่ๆเช่น ซับวูฟเฟอร์  แต่สำหรับใน avr, power นั้น ผมกลับสังเกตเห็นความแตกต่างน้อย ไปจนถึงไม่ค่อยต่าง  แต่ตัวนี้สิ่งที่ผมเจอทำให้ตกใจมากอยู่เหมือนกัน นั่นคือ

AVM60 ตัวแรก (ตัวโชว์ที่ผ่านการใช้งานมาหลายเดือนแล้ว) เสียงสด สะใจ เบสหนัก ออกแนวดูหนังอย่างแท้จริง วันแรกผมนำตัวนี้ไปติดตั้งที่บ้านลูกค้า ผลลัพธ์ออกมาประทัยใจมาก ให้ประสบการณ์เสียงที่เปิดกว้าง ยิ่งใหญ่สมจริงสุดๆครับ

AVM60 ตัวที่สอง คือของใหม่แกะกล่อง เสียงที่ได้ตอนแรกนั้นดูอุดอู้ แหลมไม่เปิด เบสดูทู่ๆ แต่ยังมีแววหนัก สะใจให้เห็นในฉากแอคชั่น ตัวนี้ผมนำไปเปลี่ยนให้ลูกค้าแทนตัวด้านบน แล้วเอาตัวโชว์คืนบริษัทไป

AVM60 ตัวที่สาม คือของใหม่แกะกล่องอีกเช่นกัน ตัวนี้ผมเบิกมาใช้ในห้อง ทำเทสและรีวิวอยู่นี้  ผมเจออาการเดียวกับตัวที่สองนั่นคือเสียงไม่เหมือนกับตัวแรก และเสียงไม่เปิดเท่าที่ควร  แต่หลังจากผมทนเปิดฟังเพลงดูหนังไปราว 10 ชม. เสียงที่ดูอู้ๆ ก็เริ่มเปิดและชัด สด โหดขึ้นมาจนเริ่มใกล้เคียงตัวที่หนึ่งบ้าง  ผมจึงสรุปได้ว่า AVM60 เป็น Pre ที่ต้องการการ burnin และมีผลจริงครับ

ปล. ผมอาจจะอุปทานไปเอง หรืออาจจะเป็นที่อารมณ์และหูผมก็ได้

 

 

สรุป

นี่คือ Pre Processor อีกตัวนึงที่มีจุดเด่นเรื่องเสียง และการปรับจูนที่ทำได้ดี  ผมค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าใครได้ยินหรือได้ทดลองเล่นเจ้าตัวนี้สักวันสองวัน จะหมดข้อสงสัยหรือหมดข้อกังขาเรื่องคุณภาพเสียงของมันทันที  เพราะเสียงมันดีจริง  เพียงแต่ว่าคุณจะยอมจ่ายเพื่อสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่

ุ่ถ้าคุณใช้ลำโพงคุณภาพสูงหน่อย หรือแม้แต่ลำโพงในแนว THX  และถ้าคุณใช้ power อยู่แล้ว ผมว่า pre เป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณก้าวข้ามและปลดล๊อคเสียงที่อั้นอยู่ของ AVR ให้หลุดจากกำแพงเดิมๆออกไปได้


คุ้มมั๊ย ถามใจคุณดูครับ  สำหรับผม คุณภาพเสียงของ Anthem AVM60 นั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังขาหรือสงสัยแต่อย่างใด เพราะมันทำได้ดีมากในระดับที่จะก้าวข้ามจากจุดนี้ไปนั้น คุณต้องใช้เงินและลงทุนซิสเต็มอีกเป็น 6-7 หลักก็ว่าได้

สุดท้ายหากบทความนี้พูดอะไรทำให้บริษัทหรือท่านใดต้องขุนข้องหมองใจ หรือทำให้รู้สึกไม่ดี หรือไม่ตรงกับความคาดหวังของท่าน ผมกราบขออภัยมาณ ที่นี้ครับขอให้มีความสุขกับการดูหนังฟังเพลงครับ


ราคาและสเปก Anthem AVM60: http://www.whatthatsound.com/product/446/anthem-avm-60-2










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 16, 2016, 10:04:33 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


วันนี้เอารูปสวยๆของห้องลูกค้าเราที่สิงห์บุรี หลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วมาฝากกันครับ

ถ้าใครจำกันได้ ก็คือห้องนี้ครับ: https://goo.gl/nYn3Y0

วันนี้ติดตั้งเสร็จแล้ว ให้บรรยากาศแดงตัดดำ สวยงาม มีไฟเอาไว้เล่นแสง เข้าบรรยากาศช่วงปีใหม่ คริสมาสต์พอดี สวย น่าใช้ น่าเข้าไปดูหนังมากๆๆทีเดียวเชียว

โดยซิสเต็มนี้ห้องเป็นห้องใต้หลังคา เปิดโล่ง มีหน้าต่าง ลูกค้าลงทุนกั้นห้องใหม่ ตีผนังใหม่ปิดทึบหมด ทาสี ปูพรม ติดแอร์ ขนเครื่องเสียงขึ้นมาติดตั้ง เป็น dolby atmos 5.1.2 channels ครับ

อันนี้เป็นอีกห้องนึงที่น่าชื่นชม เริ่มจากห้องที่ไม่มีอะไรเลย ลูกค้าอยู่ตจว ไม่เดินทางเข้ากรุงเทพ และไม่จ่ายเงินสั่งสินค้าด้วย แต่ติดต่อเรามาและให้เราเอาของเข้าไปส่งเลย (วัดใจกันน่าดูครับ)
สุดท้ายไปถึงก็ได้เห็น ได้พูดคุย ว่าห้องนี้คือความสุข ห้องพักผ่อน คือความฝันของแกที่จะใช้พักผ่อนดูหนังในยามว่างของแก

มาวันนี้เราภูมิใจนะ ที่ได้เห็นของที่เราขายไปมันได้ใช้งาน ได้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เห็นลูกค้าได้ใช้อย่างมีความสุข ได้ใช้มันอย่างคุ้มค่า ไม่ใช่ซื้อแล้วไปตั้ง ไม่ค่อยได้ใช้

แบบนี้เราหายเหนื่อย และอยากให้ใครที่มีฝันอยากมีห้อง มีชุดดูหนังดี ลองตั้งเป้าหมาย ตั้งงบประมาณ และหาข้อมูลดูครับ เราเชื่อว่าทุกฝันไม่ไกลเกินไป ถ้าเริ่มต้นลงมือและออกเดินทาง



ลิสต์อุปกรณ์มีดังนี้
1. Klipsch RP280F
2. Klipsch RC-64 ii
3. Klipsch RP250S
4. Klipsch R115SW (มือสอง ตัวโชว์ของเราเอง)
5. Klipsch CDT 5650 CII x 2 (Atmos)
6. Onkyo RZ810
7. สายลำโพง Klotz 2.5mm, 1.5mm
8. สายซับ Inakustik
9. สาย Hdmi Kaibour




ราคาและสเปกอุปกรณ์ทั้งหมด
ราคา Klipsch RP280F: http://www.whatthatsound.com/product/12/klipsch-rp-280f

ราคา Klipsch RC-64 ii black: http://www.whatthatsound.com/…/klipsch-reference-rc-64-ii-b…

ราคา Klipsch RP-250S: http://www.whatthatsound.com/…/klipsch-reference-premier-rp…

ราคา Klipsch R115SW: http://www.whatthatsound.com/product/3/klipsch-r-115sw

ราคา AVR Onkyo RZ810:
http://www.whatthatsound.com/product/367/onkyo-tx-rz810
































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 16, 2016, 10:58:48 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
ARC และไมค์เซ็ทอัพของ Anthem ดีอย่างไร การใช้งานและวิธีการใช้งานฉบับละเอียด


 

สวัสดีครับ
วันนี้เรามีวิธีการใช้งานไมค์ และการใช้งานโปรแกรม Arc (เรียกเต็มๆว่า Anthem Room Correction) สำหรับเหล่าสาวก Anthem ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น AVR MRX 5X0, 7X0, 1120 series หรือแม้แต่เหล่าแฟน Pre-Processor อย่าง Anthem AVM60 หรือ Anthem D2V series ก็สามารถใช้งานได้ด้วยหลักการเดียวกันหมด

โดยประโยชน์ของไมค์และโปรแกรมเซ็ทอัพ ARC นี้ มันช่วยปรับสมดุล ปรับค่าต่างๆให้อัตโนมัติ ช่วยให้เสียงแต่ละแชนแนลตอบสนองความถี่ได้เรียบ เนียน แพนเสียงและบรรยากาศดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ผลลัพธ์จากการปรับนอกจากการได้เสียงที่เนียน แพนเสียงเยี่ยม บรรยากาศโอบล้อมดีๆแล้ว ยังช่วยเรื่องความสมดุลของเสียงได้ เช่น   ใครเคยมีปัญหา เสียงพูดจากลำโพงเซ็นเตอร์เบา แต่พอมีเอฟเฟคมาแล้วดังเกินจนหนวกหู  หรือปัญหาเอฟเฟคจากลำโพงเซ็นเตอร์ดังล้ำหน้าดนตรีจากคู่หน้า ฟังแล้วเหมือนดนตรีไม่ครบ  หรือขาดอิมแพค  ขาดรายละเอียดที่ควรจะได้ โปรแกรม ARC นี้ช่วยได้ครับ

สำหรับใครที่ใช้ Anthem อยู่ ก็คงจะทราบดีนะครับว่า ในกล่องเค้าให้ไมค์เซ็ทอัพคุณภาพสูงพอใช้ได้มาให้ด้วย ซึ่งถ้าใครไม่เคยใช้งานมาก่อนก็จะงงว่า มันใช้ยังไง  แน่นอนครับว่ามันใช้งานไม่เหมือน avr, pre ค่ายญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น YPAO หรือ Odyssey  ที่เอาไมค์ตัวเล็กๆลากสายไปเสียบที่หน้าตัวเครื่อง AVR  แล้วให้เครื่องมันปรับให้แบบออโต้

แต่ของ Anthem มันจะต่างไปจากนั้น ใครที่ไม่เคยใช้ หรือใช้ครั้งแรกบอกเลยว่าต้องงง และไม่อยากจะใช้
สำหรับใครที่ใช้ Anthem เราแนะนำว่ามีของดีอยู่กับตัวแล้ว จงใช้เสียเถิดครับ ของเค้าคิดค้นมา ใช้งานได้จริง ใช้งานได้ดีในระดับที่น่าพอใจ โดยไม่ต้องเซ็ทเอง  ดังนั้นเราขอรวบรัดตัดตอนจบมาให้อ่านกันก่อนว่า ใช้ ARC แล้วได้อะไร เริ่มกันเลย


ข้อดีคือ


1. โปรแกรมและไมค์ที่ให้มานั้น ทำงานได้ดี แม่นยำ ทดสอบด้วยการวัดหลายๆครั้ง โปรแกรมก็วัดออกมาได้ค่าที่ตรงและใกล้เคียงกันทุกครั้ง  และเมื่อไรก็ตามที่มีเสียงอื่นเล็ดลอด หรือมือไม่นิ่งโปรแกรมก็จะ detect เจอและแจ้งเราให้วัดใหม่ทุกครั้ง
ส่วนโปรแกรม ARC2 ประมวลผลได้ดี   ค่าที่ได้หลังจากปรับแล้ว ลองฟังเสียงดี ชัดเจน และได้ยินรายละเอียดที่ต้องบอกว่าออกมาครบๆ ชัดเจนกว่าก่อนปรับเยอะทีเดียว

2. เสียงหลังปรับ ดี น่าพอใจ เป็นครั้งแรกที่ลองเปิดหนังแล้วรู้สึกว่าอยากเร่งให้ดังๆขึ้นไปอีก เร่งแล้วไม่รู้สึกว่ารำคาญหรือแสบหูเพราะย่านความถี่บางย่านที่มันล้ำออกมา แต่ตัวนี้สมดุลดีมาก เร่งแล้วสนุก อยากเร่งอีก

3. บรรยากาศ ความโอบล้อม รายละเอียดต่างๆรอบตัวๆ คือจุดเด่นหลังจากปรับแล้ว Anthem จะเน้นตรงนี้มากครับ แม้ว่าก่อนปรับนั้นจะทำได้ดีอยู่แล้ว แต่หลังปรับ ทำได้ดีขึ้นไปอีก  ส่วนเบส อิมแพค เค้าปรับมาในแบบมาตรฐาน เน้นสมดุล เน้นให้เราเร่งขึ้นไปได้เยอะๆโดยที่ไม่รู้สึกว่าเบสมันอื้ออึงหรือดังจนกลบรายละเอียดที่เค้าต้องการนำเสนอ  ทีนี้ใครที่เร่งไม่ดังมากและรู้สึกว่าเบสน้อยไปนิด ก็สามารถร่ง volume เพิ่มได้ อันนี้ไม่เป็นอะไร อย่าลืมว่าเราปรุงอาหารตามใจปากของผู้กินครับ



 

ข้อเสีย

1. โปรแกรมบางทีเซ็ทแล้วรู้สึกว่าเบสบางไปนิด เพราะมันใช้หลักการเซ็ทอัพที่เน้นความสมดุล ค่าความดังมาตรฐานโปรแกรมของ Anthem ตั้งไว้ที่ 75 dB เน้นความต่อเนื่อง ไม่ให้มีย่านไหนล้ำหน้ามากเกินไป บางครั้งถ้าขาโหดมาฟังอาจจะรู้สึกเบสน้อยไปนิด ซึ่งตรงนี้หลังจากปรับแล้ว หากฟังแล้วไม่ถูกใจ สามารถไปเร่ง volume ที่ตัวซับเพิ่มได้ อันนี้ไม่ผิดกติกาอันใด

2. ถ้าต่อ wifi ไมไ่ด้ก็เซ็ทไม่ได้ บางทีก็ขี้เกียจลากสาย Lan และ wifi ของ Anthem มันก็ผีเข้าผีออก บางทีก็ต่อได้ บางทีก็เข้าไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่ได้ไปเปลี่ยนค่าอะไรมันเล้ย เอ้อออ

3. โปรแกรมมันเซ็ทได้แค่ซับตัวเดียว คือถ้าเราต่อซับสองตัวอยู่ เวลามันปล่อย pink noise เวลาเซ็ท bass มันจะปล่อยทั้งสองตัวเลย ทำให้เวลาเซ็ทนั้นมันเซ็ทได้ไม่ค่อยดี ไม่สามารถแยกปรับทีละตัวได้ครับ

 

ก่อนอื่นเราไปดูกันก่อนว่าแกะกล่องแล้ว Anthem ให้อะไรมาบ้าง



 

1. ไมค์เซ็ทอัพ กล่องที่เขียนว่า USB Microphone แกะกล่องออกมาจะเห็นไมค์เซ็ทอัพคล้ายแท่งปากกาลบคำผิด จริงๆเป็นไมค์คุณภาพสูงกว่าปกติที่ให้กันใน AVR ทั่วๆไป  คือถ้าใช้งานทั่วๆไป ไมไ่ด้เอาไปรับงานหรือเน้นเซ็ทอัพแบบซีเรียสแบบในสตูดิโอ  ตัวนี้เพียงพอและคุณภาพดีมากๆแล้ว
จะว่าไปค่าตัว Anthem ที่มันแพงก็คงเป็นเพราะไมค์ที่แถมให้ และค่าซอฟท์แวร์พวกนี้ด้วย  ดังนั้นแล้วเมื่อเราซื้อผลิตภัณฑ์ของเค้ามาใช้งานแล้ว  เราก็ควรจะใช้ให้เต็มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นั้นๆครับ

 
2. USB Cable ตัวนี้เป็นสาย usb ที่เอาไว้ต่อกับตัวไมค์ และต่อเชื่อมกับ computer  หลายคนงงว่า อ้าวไม่ได้ต่อกับตัวเครื่อง anthem หรอกเหรอ แล้วไปต่อกับคอมแล้วจะใช้งานยังไงล่ะว่ะเนี่ย ไม่ต้องงง เดี๋ยวข้างล่างอธิบาย
ตัวสายมีความยาวมากอยู่ เพียงพอกับห้องได้แน่นอน ถ้าไม่พอก็ใช้ notebook ยกไปละกัน




3. Cat5 cable ตัวนี้ไม่รู้คือสายอะไร แต่พอแกะออกมาแล้วถึงบางอ้อ มันก็คือสาย lan นั่นแหละครับ  สาเหตที่ต้องให้สายแลนก็เพราะ anthem เวลาเซ็ทอัพ Arc มันต้องเชื่อมต่อ wifi เข้ากับ network ด้วย ทีนี้ถ้าบ้านไหนไม่ได้ใช้ wifi ใช้หรือบางทีเชื่อม wifi แล้วเข้าไม่ได้  มันก็จะเซ็ทอัพไม่ได้เลย  ดังนั้นตัวนี้จึงให้สายแลนมาเอาไว้เสียบโดยตรงกับ network เลย เพื่อลดปัญหา wifi ไม่เสถียร เดี๋ยวเข้าได้บ้าง เข้าไม่ได้บ้าง เสียบสาย lan ก็จบหมดปัญหา
 

4. tripod stand/Adaptor มันคือขาตั้งไมค์ครับ ทำมาดูดี ไฮโซ น่าใช้ ไม่ได้ทำจากระดาษเอามาพับเป็นขาตั้งเหมือน avr ค่ายญี่ปุ่น แต่นี่ลงทุนให้ขาตั้งเล็กๆแบบสามขามาเลย  สาเหตุที่ต้องมีขาตั้งเพราะ ไมค์คุณภาพสูง บางทีถือด้วยมือแล้วมือไม่นิ่งส่ายไปส่ายมา ไมค์มันจะไม่นิ่ง มี noise และเสียงเพี้ยน บางทีก็ error เพราะรับเสียงจากลมและมือที่ส่ายไปแทน



 

ทีนี้มาถึงสเตปการใช้งาน  ใครที่มี Anthem ใช้งานที่บ้่านอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น AVR หรือ Pre ก็ทำตามได้เลย หรือใครที่กำลังคิดจะหา avr / pre คุณภาพสูงอย่าง Anthem มาใช้งานที่บ้าน ก็ศึกษาขั้นตอนวิธีการใช้งานเตรียมไว้ก่อนได้ครับ

หลักการสั้นๆ ง่ายๆของ ARC คือ เราเอาไมค์ไปเสียบกับคอม หรือโน๊ตบุ๊คที่ install โปรแกรม ARC (Anthem Room Correction) เอาไว้
แล้วให้โน๊ตบุ๊คเราเชื่อมต่อหา Anthem ของเราอีกที (Anthem ต้องเชื่อมต่อเข้าวง network wifi เดียวกับกับดน๊ตบุ๊กเรา)  พอมันเจอแล้ว เราเอาไมค์เสียบเข้าโน๊ตบุ๊ค และโปรแกรมมันจะใช้ไมค์วัดเสียง และใช้หน้าจอของโน๊ตบุ๊คในการแสดงผลกราฟ และประมวลผล และขั้นตอนสุดท้ายคืออัปโหลดค่าที่ประมวลผลแล้วกลับเข้าสู่ตัว Anthem เป็นขั้นตอนสุดท้ายเป็นอันจบสิ้น

ดังนั้นจะเห็นว่า สาเหตุที่ต้องใช้คอมก็เพราะโปรแกรม Anthem  จะยืมทรัพยากร CPU ของตัวคอมพิวเตอร์เราสำหรับคำนวณค่าการเซ็ทอัพต่างๆ  และขอยืมจอมอนิเตอร์ของคอมเราในการแสดงผลออกทางหน้าจอ แสดงกราฟ แสดงเมนูต่างๆนั้นเองครับ



 

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมมีดังนี้

1. เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุค หรืออะไรก็ได้ที่มันมี cpu ประมวลผล มีหน้าจอ แต่แนะนำว่าใช้ notebook จะดีที่สุดเพราะมันเคลื่อนย้ายง่าย
ของผมใช้ os เป็น window 7 แต่คิดว่าน่าจะใช้ได้ตั้งแต่ xp ไปจน window 7,8  และน่าจะสนับสนุน macOS ด้วย (ผมไม่ได้ลอง mac)

2. เข้าเว็บไปดาวน์โหลดโปรแกรม ARC มา install ที่เครื่องคอมของเราซะ โดยหากใครจะเข้าไปเองก็เข้าไปที่
http://www.anthemav.com แล้วกดเมนู support แล้วกด Software & Firmeware Upgrades หรือสามารถเข้าไปลิ้งค์ตรงได้ที่นี่เลย

http://www.anthemav.com/support/latest-software.php


 

หลังจากเข้าไปก็จะมีให้เลือกโปรแกรมให้เหมาะกับเครื่อง AVR, Pre ของคุณ ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆ เช่น AVM60 หรือ MRX 520, 720, 1120, 710, 510 , 310 ก็จะใช้ ARC 2  (ณ ปัจจุบันที่ผมเขียนบทความนี้ version ล่าสุดจะเป็น 1.4.487)
แต่ถ้าคุณใช้ AVR รุ่นเก่าเช่น MRX 300, 500, 700 ก็จะต้องใช้ ARC 1 แทน

ทีนี้เวลาก่อนจะดาวน์โหลด  มันจะบังคับให้ใส่ Serial number ก่อนเสมอ เพื่อให้สิทธิ์เฉพาะลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ไปใช้งานจริงๆเท่านั้น ไม่ใช่ให้ใครก็ได้ไปดาวน์โหลดมาเล่นๆ  โดยตัว Serial นี้ก็หาได้ที่ตัวไมค์เซ็ทเสียงนั่นแหละครับ  มันจะมีเลข Serial number ติดไว้ที่ตัวไมค์ เราก็กรอกเลขนั้นแล้วดาวน์โหลดมาลงได้เลย

เสร็จแล้วก็ install ที่เครื่องให้เรียบร้อย พร้อมใช้งาน (ขอไม่พูดถึงขั้นตอนการ Install เพราะมัน basic การลงโปรแกรมทั่วไป)




3. เชื่อมต่อ Wifi หรือ Network การจะเซ็ทเสียงนั้น จำไว้ว่า Anthem จะต้องเซ็ทจากเครื่องคอมเท่านั้น ถ้าบ้านคุณไม่มี wifi ก็ต้องมี lan เอาไว้เชื่อมต่อกับคอมและ Anthem ถ้าไม่มีก็ทำใจได้เลยว่า ไมค์และอุปกรณ์เซ็ทอัพของคุณจะใช้งานไม่ได้   ทีนี้ผมจะพูดถึงวิธีที่สะดวกที่สุดก่อน นั้นคือต่อกับ wifi

วิธีการคือเอาเสาอากาศ 2 ต้นที่แถมมาในกล่อง เสียบที่ตูด Anthem
แล้วก็เชื่อมต่อ Anthem ให้เข้ากับ wifi ที่บ้านโดยเข้าไปที่เมนูเซ็ทอัพของ Anthem (เข้าผ่าน remote) เลือก Nerwork / Remote control แล้วเลือก Wireless Setup  แล้วเลือก Manual Setup
โปรแกรมจะลิสต์รายชื่อ wifi ที่หาเจอแถวๆนั้นขึ้นมาให้คุณเลือก  เราก็เลือก wifi ที่บ้านเรา แล้วก็ใส่ password (ถ้ามี) แล้วมันจะ connect เข้ากับ wifi ของเราก็เป็นอันเรียบร้อย  ถ้าเชื่อมต่อได้สำเร็จ เราจะเห็น status ของ network ในเครื่อง Anthem จะโชว์เป็นค่า ip ที่ได้มาจาก wifi ครับตามรูป  (ถ้าต่อไมไ่ด้จะขึ้น not connect ปกติ)


 

แต่ช้าก่อน อย่านึกว่ามันจะง่ายดายเพียงนั้น ปัญหาก็คือ Anthem มีวิธีการเชื่อมต่อ wifi ที่ค่อนข้างไม่เหมือนชาวบ้าน สร้างความงุนงงและปวดหัวให้กับมือเซ็ทอัพหลายๆท่านมาก ปัญหาที่เจอก็คือ บางทีมันก็ connect wifi ไม่ได้ ซึ่งถ้าเข้า wifi ไม่ได้ก็จบเลย ทำอะไรต่อไม่ได้แล้ว  ใช้ไมค์ก็ไม่ได้ด้วย

วิธีการแก้ก็คือบางทีเราต้องเข้าไปแก securities type ของ wifi เราด้วย
เข้าไปที่ 192.168.1.1 แล้วหา WLan --> securities แล้วเปลี่ยน securities type เป็น WPA/WPA2 PSK แล้วค่อยออกมาลอง connect ดูใหม่
ถ้า connect เข้าได้ มันจะเข้าเองให้ครั้งถัดไป และเข้าได้ตลอด ไม่ต้องมานั่ง setup ใหม่อีกแล้วครับ
ทีนี้สุดท้าย ถ้าต่อ wifi ไมไ่ด้จริงๆ เราก้สามารถเอาสายแลนที่แถมมาไปลากมาเสียบที่ตัวเครื่อง Anthem เลยก็ได้ครับ  ใช้งานได้เหมือนกัน

สิ่งที่ต้องเตรียมก็มีแค่นี้ครับ หมดแล้ว ถ้ามีครบ 3 ข้อที่ผมเขียนไปด้านบนก็มาเริ่มใช้งานโปรแกรม ARC กันได้เลย  ทีนี้ตัวโปรแกรมที่ผมจะสอนวิธีใช้ก็จะเป็น ARC2 ซึ่งเป็นโปรแกรมล่าสุดสำหรับ MRX gen 2 (x10, x20) และ AVM60 โดยเฉพาะ
ใครที่มี Anthem รุ่นเก่าก็ต้องเลือก ARC1  ต้องดาวน์โหลดโปรแกรมให้ตรงกับรุ่น AVR ตัวเองด้วยนะครับ เดี๋ยวจะใช้งานไมไ่ด้

 

เอาละมาเริ่มกันเลยครับ


1. เปิดโปรแกรม ARC2


เมื่อเรามีทุกอย่างครบแล้ว ก็ทำการเปิดเครื่อง Anthem  ให้ออนไว้ และเชื่อมต่อ wifi ให้เรียบร้อย  โดยเข้าไปที่เมนู Start แล้วเลือกที่ชื่อโปรแกรม ARC ของผมจะเป็น ARC2




ซึ่งโปรแกรมจะมีให้เลือกสองโหมด ได้แก่

ARC2 - Automatic mode

 ARC2 - Manual mode


ซึ่งทั้งสองโหมดจะทำงานเหมือนกันทุกประการ ต่างกันแค่เพียง Manual mode นั้นเราจะต้องกดเองทีละสเตป  เมื่อเสร็จสเตปใดสเตปหนึ่ง มันจะหยุดและรอให้เราสั่งว่าจะทำอะไรต่อ โดย manual mode เราสามารถปรับแต่งค่าต่างๆ เปลี่ยนค่าที่เครื่องคำนวณได้ด้วย
ส่วน Automatic mode เครื่องจะไม่ให้เรา interrupt ใดๆ กดปุ่มเดียว เราแค่ย้ายไมค์ไปวางตรงจุดที่ต้องการแล้วเครื่องจะทำที่เหลือให้เสร็จไปจนขั้นตอนสุดท้าย คือคำนวณค่าและอัปโหลดค่านั้นไปไว้ที่เครื่อง Anthem เราโดยไม่ต้องยุ่งยากอะไรเลย  ซึ่งวันนี้เราจะพูดถึง Automatic mode ส่วน Manual mode นั้น การทำงานเหมือนกันหมด  ถ้าคุณใช้ Automatic mode เป็นแล้ว ครั้งต่อไป สามารถลองเล่น Manual mode ดูได้เองก็ได้ครับ


 

 
2. ค้นหาเครื่อง Anthem

เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา โปรแกรมจะทำการค้นหา Anthem ของเราก่อนเลย  ดังนั้นถ้าเครื่อง Anthem เราต่อไว้ที่วงแลนหรือ network wifi เดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งาน  ชื่อตัวเครื่อง Anthem ก็จะลิสต์ขึ้นมาให้เราเลือกตามรูปครับ   เราก็แค่กดเลือกว่าจะเอาเครื่องไหน (กรณีที่ใช้ Anthem หลายเครื่อง)



และหลังจากเลือกเครื่อง Anthem แล้ว เครื่องจะให้เราเสียบ Mic เข้าไปที่ usb ของเครื่องคอมที่เราใช้  โดยเครื่องจะอนุญาติให้เราสามารถอัปโหลด profile ของ mic ให้เหมาะสมได้ ซึ่งตรงนี้โปรแกรม ARC2 ที่เราดาวน์โหลดมามันจะมีให้มาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม แค่คลิ๊ก ok ผ่านไปได้เลยครับ






3. เริ่มต้น Setup

เมื่อเข้าโปรแกรมมาแล้ว จะเริ่มต้นการเซ็ทอัพ โดยโปรแกรมจะให้เราเลือกว่าซิสเต็มที่เรากำลังจะเซ็ทนั้น เป็นซิสเต็มแบบไหน เช่น 5.1.2, 5.1.4 หรือ 7.1.4 หรือ 5.1 ซึ่งวิธีการเซ็ทก็ง่ายๆครับ แค่เราติ๊กถูก ตรงหน้าลำโพงที่เราต่อใช้งานอยู่จริงๆ แค่นั้นก็จบ  แต่อย่าลืมว่า ถ้าเราติ๊กถูกหน้าลำโพงที่ไม่ได้มีต่อใช้งานจริงๆ  เมื่อโปรแกรมเริ่มทำการวัดเสียง มันจะ error เพราะหาลำโพงตัวนั้นไม่เจอนั่นเอง

เช่น คลิ๊กเลือกลำโพงให้เซ็ทอัพแบบ dolby atmos และมี surround back แต่ระบบจริงๆต่อแค่ 5.1  ตรงนี้จะ error ตอนวัดเสียงและต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ครับ
ตามรูปด้านล่าง ตรงนี้ต้องเลือกให้ถูกต้องตามความเป็นจริง


 


4. เริ่มต้นวัดเสียงด้วย Mic

หลังจากเลือกตั้งค่าลำโพงให้ถูกต้องแล้ว พอกด ok มาสเตปถัดไป โปรแกรมจะเริ่มทำการวัดเสียง และที่ขั้นตอนนี้ เราต้องมีไมค์เสียบเอาไว้ที่คอมเรียบร้อยแล้ว 
โปรแกรมจะขึ้นหน้าจอเตือนมาว่า ให้เราเอาไมค์ไปวางไว้ที่ตำแหน่งต่างๆ 5 จุดด้วยกันได้แก้

4.1 ณ ตำแหน่งนั่งฟัง

 4.2 ณ ตำแหน่ง ซ้ายขยับไปทางด้านบน ของตำแหน่งนั่งฟัง

 4.3 ณ ตำแหน่ง ขวาขับไปทางด้านบน ของตำแหน่งนั่งฟัง

 4.4 ณ ตำแหน่ง ซ้ายขยับไปทางด้านหลัง ของตำแหน่งนั่งฟัง

 4.5 ณ ตำแหน่ง ขวาขยับไปทางด้านหลัง ของตำแหน่งนั่งฟัง





ซึ่งตำแหน่งทั้งหมดนี้ เราจะเอาไมค์ไปวาง โดยยึดหลักจากพื้นที่ตรงกลางที่เรานั่งฟังนั่นเองครับ คือตำแหน่งแรกที่วัดคือตำแหน่งนั่งจริงๆของเรา  ส่วนตำแหน่งที่สอง เราก้จะเขยิบไปทางซ้ายบน ให้ขึ้นไปหน่อย โดยเขยิบขึ้นไปแค่อยู่ในระยะ Area ของของจุดที่นั่งฟัง อยู่ในจุดที่ไม่ไกล อยู่ในระยะโซฟา แค่ระยะว่าถ้าเราขยับตัวหรือมีคนมายืนด้านซ้ายเราเค้าจะได้ยินเสียงนั้นๆพอ ไม่ต้องเดินไปไกลจนเกินไปครับ

ทีนี้พอกด ok โปรแกรมจะให้เราเลื่อนไมค์ไปวางตรงตำแหน่งแรก นั่นคือตำแหน่งนั่งฟัง  ก่อนเริ่มวัดโปรแกรมจะเตือนว่า ไมค์นั้นควรอยู่ในระยะระดับเดียวกับหู  ไม่ควรเอาไมค์ไปวางกับพื้น หรือมาวางบนตัก  หรือเอาไปวางในที่ที่ไม่ใช่ตำแหน่งหูครับ
ตรงนี้แนะนำว่าถ้าใช้ขาตั้งแล้วระดับมันไม่ได้ ก็ให้ถือไมค์ด้วยมือ แล้วหันตำแหน่งไมค์ออกไปรับเสียงได้เลย สะดวกกว่าใช้ขาครับ





5. วัดเสียงด้วย Mic

เอาไมค์ไปวางตรงตำแหน่งนั่งฟังในระดับความสูงของหู แล้ววางที่ตำแหน่งแรก นั่นคือตำแหน่งที่เรานั่งบ่อยที่สุด (ถ้าเป็นโซฟายาวและนั่งได้หลายตำแหน่ง)
โปรแกรม ARC2 จะปล่อย pink noise จากลำโพงแต่ละแชนแนล แชนแนลละ 5 ครั้ง  เช่นเราต่อ 5.1 อยู่ โปรแกรมจะเริ่มปล่อย pink nosie จากคู่หน้าซ้าย 5 ครั้ง ไปเซ็นเตอร์อีก 5 ครั้งและวนไปจนครบทุกแชนแนล  รวมทั้งสิ้น 30 ครั้ง รวมซับวูฟเฟอร์ด้วย  ก็เป็นอันจบตำแหน่งแรกของการเซ็ทด้วยไมค์   (มีอีก 4 ตำแหน่ง)




เมื่อวัดตำแหน่งแรกเสร็จ ถ้ามีอะไรที่ผิดพลาดซึ่งอาจจะเกิดได้ เช่น

 - มือเราไม่นิ่ง ขณะถือไมค์มีการหันไปหันมาหรือ มือส่ายไปส่ายมา หรือมีลมพัดเข้ามาที่ไมค์

 - มีเสียงอื่นแทรก เช่นเสียงรถ เสียงสุนัข หรือเสียงพูดเข้ามาแทรก

 - บางครั้งค่าเดิมก่อนเซ็ทอัพ เราเปิด volume ของลำโพงตัวใดดังไป เช่นเปิดซับไว้ดัง พอวัดครบทุกแชนแนล โปรแกรมจะเตือนเราว่า เฮ้ย ไปลดค่าความดังของซับหรือลำโพงตัวนั้นลงกี่ dB ก่อนแล้วค่อยมาวัดใหม่ ไม่เช่นนั้นโปรแกรมมันจะเฉลี่ยค่าของลำโพงทุกตัวออกมาลำบาก  ของผมโดนให้ลดความดังซับลง 11 dB
เราสามารถเลือกได้ว่าจะเชื่อมันโดยเดินไปลด volume และกลับมาวัดอีกครั้งได้ (กด retry)
หรือสามาถเลือก ignore แล้วข้ามไปได้เลยถ้าพอใจเสียงแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าดื้อดึงจะไปต่อ โดยไม่ลด volume โปรแกรมจะดึงค่าความดังทั้งหมดของทุกแชนแนลให้สมดุลกันอัตโนมัติ

จากเดิมที่มาตรฐานอยู่ที่ 75 dB ของผมลองกด ignore โปรแกรมเมื่อวัดเสร็จ มันจะบอกเราว่ามันเปลี่ยนค่าความดังให้สมดุลกันทุกลำโพงจากเดิม 75 dB เป็น 85 dB เพราะมีลำโพงบางแชนแนลความดังโด่งล้ำหน้าแชนแนลอื่นครับ

และหากวัดแล้วมีแสียงอื่นแทรกเข้ามา โปรแกรมจะแสดง error ดังรูปและให้เรากลับไปเริ่มวัดที่ขั้นตอนนั้นใหม่อีกครั้ง  แต่ก่อนวัด เราควรจะจัดการห้องให้เงียบที่สุดซะก่อน เช่นปิดแอร์ เอาคนออกไปนอกห้อง ปิดหน้าต่างกระจก และงดใช้เสียงทุกชนิด




เสร็จการวัดเสียงที่ตำแหน่งแรก โปรแกรมจะให้เราเลื่อนไมค์ ไปตำแหน่งที่สอง เราก็เลื่อนไมค์ไปไว้ตำแหน่งที่สอง นั่นคือซ้ายบน และกดโอเค เพื่อเริ่มต้นการเซ็ทเสียงตามขั้นตอนอีกครั้งนึง  โดยโปรแกรมจะปล่อย Pink noise เช่นเดิม แต่ละแชนแนลจะปล่อย 5 ครั้งไปจนจบ
เมื่อเสร็จก็จะต้องเลื่อนไมค์ไปตำแหน่งที่ 3, 4, 5 ไปเรื่อยๆ จนเสร็จ






 


6. ขั้นตอนสุดท้าย ประมวลผลและอัปโหลดค่าเซ็ทอัพกลับไปให้ Anthem

หลังจากวัดเสียงเสร็จด้วยไมค์ครบทั้ง 5 ตำแหน่งแล้ว โปรแกรมจะทำการประมวลผลอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องกดอะไรเลยใน mode automatic แต่ถ้าเป็น mode manual โปรแกรมจะหยุดให้เราสามารถ config หรือปรับแต่งค่าด้วยตัวเองได้ หรือแม้แต่กลับไปวัดใหม่อีกรอบได้

ซึ่งณ จุดนี้หากเราใช้ automatic mode ระบบจะให้เราเลือกว่า หลังจากประมวลผลแล้ว จะอัพโหลดค่าต่างๆที่เซ็ทอัพแล้วกลับไปเข้า Anthem ที่เครื่องไหน  ถ้าเราต่อ Anthem เอาไว้เครื่องเดียว เราก็คลิ๊กเลือกที่ชื่อเครื่องของเราได้เลย
หลังจากนั้น ระบบจะนำเราไปหน้าประมวลผล หน้าจอจะแสดงเป็นตัวหนังสือวิ่งเป็นค่าเซ็ทอัพต่างๆ ดังรูป




เสร็จแล้วเมื่อชั้นตอนสุดท้ายเสร็จ ระบบจะโชว์ว่า Upload complete เป็นอันจบ ตอนนี้ค่าต่างๆที่ถูกปรับ จะไปอยู่ที่เครื่อง Anthem ของเราแล้ว โดยเราสามารถดูค่าที่เซ็ทแล้วได้ที่เมนูในเครื่องของเราไม่ว่าจะเป็น cross over, distant, level
และก่อนที่จะจบกระบวนการทั้งหมด  โปรแกรม ARC2 จะให้เราสามารถเลือกดูค่าและกราฟที่โปรแกรมประมวลผลเอาไว้ให้ ทั้งก่อนปรับ และหลังปรับได้ โดยสั่งพิมพ์หรือสั่งโชว์ออกมาเป็น PDF และเก็บเอาไว้ดูภายหลังได้ด้วย


 

หน้าตาของ Report ที่แสดงค่าการเซ็ทอัพ และกราฟต่างๆ จะทำออกมาเป็น PDF คล้าย report สวยงาม โดยมีลง รุ่น model  วันที่เซ็ทอัพ และเวลาไว้เสร็จสรรพ





 

รูปด้านล่างคือหน้าตา report ที่แสดงกราฟก่อนและหลังปรับ   เราจะเห็นว่าแกน y ซ้ายมือคือค่าความดัง spl มีหน่วยเป็น dB และกราฟแกน x คือความถี่ เริ่มตั้งแต่ 15 Hz ไปจน 10,000 Hz

เส้นสีแดงคือค่าเดิม ก่อนปรับที่ยังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

ส่วนสีม่วง คือค่ากอนปรับที่ผ่านโปรแกรม Bass Management

เส้นสีดำ คือค่าในอุดมคติที่ดีที่สุดที่ควรจะเป็น เส้นนี้เราจะเห็นว่า ค่าที่ดีคือทุกย่านนั้นจะต้องราบเรียบ กราฟไม่ควรเป็นหลุมลึก และไม่ควรโด่งเป็นภูเขา (กราฟโด่งไม่ดีเพราะจะทำให้เมื่อปรับค่าต่างๆ หรือเร่ง volume ย่านนี้จะดังและรบกวนย่านอื่น ทำให้ย่านอื่นเซ็ทอัพยากและลำบากขึ้นด้วย)

เส้นสีเขียว คือหลังปรับแล้วและใช้โปรแกรม Bass Management ช่วย
เราจะเห็นว่าเส้นเขียวนั้นปรับได้ค่อนข้างดี และเกาะไปกับเส้นสีดำ ซึ่งเป็นเส้นในอุดมคติ ซึ่งกราฟของลำโพงคู่หน้า เซ็นเตอร์ และเซอราวด์นั้นจะออกมาในโทนที่ค่อนข้างดีมาก และสมบูรณ์ เนื่องจากลำโพงตอบสนองย่านกลางไปยันย่านสูงทำให้ปรับง่าย ส่วนกราฟสุดท้ายนั้นคือกราฟของ Subwoofer ที่ทำหน้าที่ตอบสนองย่านความถี่ต่ำนั้นปรับไม่ได้ค่อยได้ผล จะเห็นว่าย่าน 40 Hz นั้นโด่ง และย่าน 50-60
Hz ซึ่งเป็นย่านสำคัญนั้นดรอปลง ทำให้ย่านที่เป็นเบส Impact หรือเบสต้นจะหายไปบ้าง  เนื่องจากย่านความถี่ต่ำนี้เซ็ทยากและทำให้กราฟราบเรียบลำบาก โปรแกรมก็อาจจะเอาไม่อยู่  น้อยห้องมากๆที่กราฟจะออกมาในแบบอุดมคติ หรือราบเรียบ ส่วนใหญ่จะเป็นเนินบ้าง แต่ก็อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งฟังด้วยหูจะไม่รู้หรอกครับ แต่ถ้าเราไปฟังเทียบกับในห้องดีๆที่ผ่านการเซ็ทอัพและปรับอคูสติกมาแล้ว เราจะรู้ว่าเสียงเบสห้องเรามันขาดและเสียงไม่ดีเหมือนห้องเหล่านั้น

ดังนั้นทางออกเราอาจต้องใช้วิธีอื่นเข้ามาช่วย นั่นคือ การย้านตำแหน่งซับให้ถูกต้อง หรือใช้ซับสองตัวมาช่วย หรือใช้ dsp

ซึ่งถ้าให้เราแนะนำก็หากเป็นไปได้ ย้ายตำแหน่งซับคือทางออกที่ดีที่สุดครับ  หลังจากย้ายแล้ว ก็ต้องวัดใหม่และดูกราฟว่าราบเรียบมั๊ย ก่อนปรับแนะนำว่าถ้าต่อ dsp หรือต่อพวกอุปกรณ์เซ็ทพวก bass เช่น audyn ให้ปรับค่าให้เรียบทั้งหมดมาอยู่ตรงกลางก่อน เพราะถ้าตั้งค่า Audyn ไว้ บางย่านที่โด่งอยู่ โปรแกรม ARC2 จะปรับให้สมดุลกับย่านอื่นๆลำบากและพลอยทำให้ย่านอื่นๆเซ็ทยากตามไปด้วยครับ














หลังจาก Upload ค่าเสร็จ นั่งดูกราฟ ทีนี้มาลองฟังกันดูว่า ชอบเสียงมั๊ย

ซึ่งผมบอกตรงๆว่า ปัญหาต่างๆของเสียงเช่น ก่อนหน้านั้นเสียงพูดค่อย เสียงเอฟเฟคมาทีดังเกินไป หรือเสียงพูดไม่ค่อยชัด เสียงดนตรีประกอบค่อยดุหนังไม่เร้าใจ เสียงเอฟเฟคดันดังกว่า พอปรับ level ลำโพงเซ็นเตอร์แล้วเสียงเอฟเฟคก็ดันค่อยไปไม่สัมพันธ์กับดนตรีประกอบจากคู่หน้าอีก

ปัญหาเหล่านี้แก้ไปหายจนหมดสิ้นครับ ลำโพงทุกตัวให้โทนเสียง level ความดัง และการตอบสนองเชื่อมต่อกันทั้งระบบได้อย่างดี เนียน และฟังแล้วย่านความถี่กลาง แหลมทำได้ชัดเจน บรรยากาศดี สมจริง การแพนเสียงทำได้ต่อเนื่องและสมูธกว่าเดิมมาก

แต่ในย่านเบสนั้นเสียงก็ยังไม่ต่างกับแต่ก่อนมาก อาจจะได้อิมแพค และความกระชับเพิ่มขึ้นมาอีกนิด ซึ่งตรงนี้ต้องเซ็ทและแก้ไขปัญหากันต่อไป (เบสและซับวูฟเฟอร์เป็นอะไรที่เซ็ทยากกว่าย่านอื่นมาก)
 
ส่วนตัวผมชอบครับ ยอมรับว่าโปรแกรม ARC2 ปรับเสียงได้ดีมาก โดยเฉพาะเรื่องของบรรยากาศ การแพนเสียง ความต่อเนื่องไหลลื่น การแยกแยะชิ้นและวัตถุในหนัง ซึ่งจริงๆอันนี้ก็เป็นข้อดีของ Anthem อยู่แล้ว  แนะนำให้ลองใช้และฟังดูครับ  คุณอาจจะชอบเหมือนผม.....
















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 20, 2016, 02:18:33 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
DTS Play-Fi เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่จะมาพลิกโฉมการฟังเพลงและระบบเสียงแบบไร้สาย




 
หากผมจะพูดว่าในปีหน้า 2017 และปีต่อๆไป เวลาเราจะเลือกซื้อ เครื่องเล่นเช่น Int Amp หรือ AVR หรือ Pre สักเครื่อง เราจะถามก่อนเสมอว่า เครื่องนี้รองรับ Play-Fi มั๊ยครับ / ค่ะ
เหมือนๆ กับปีนี้ที่เราถามกันเวลาจะซื้อ AVR สักเครื่องว่า รองรับ DTS:X และ dolby Atmos มั้ยนั้นแหละ  คำพูดนี้อาจจะดูเกินเลยและดูโม้ไปในปีนี้  แต่ในอนาคตอันใกล้ อาจจะปีหน้าและปีถัดๆไป เมื่อคุณเห็นเหล่าผลิตภัณฑ์ที่พากันตบเท้าพาเหรดกันออกมาทำตลาดแล้ว คุณจะรู้เลยว่า ผมอาจจะไม่ได้พูดเกินจริง...

 

DTS Play-Fi

DTS Play-Fi คืออะไร  เราเคยเห็นแวบๆในเครื่องเล่น AVR, Int Amp หรือแม้แต่ Pre-Pro รุ่นใหม่ๆ บางเครื่องใช้มั๊ยครับ แต่เราก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร และทำงานยังไงอยู่ดี  วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังว่า DTS Play-Fi สำคัญและกำลังจะมาพลิกบทบาทการฟังเพลง และการ Streaming เสียงแบบไร้สายคุณภาพสูงในอนาคตกันอย่างไร

DTS Play-Fi เป็นเทคโนโลยีใหม่ในการ streaming เพลงคุณภาพสูงของค่าย DTS  โดยใช้ Wifi บ้าน ทำหน้าที่ร่วมกันระหว่างของสองสิ่งได้แก่

   1. เครื่องเล่นที่รองรับ DTS Play-Fi เช่น Int Amp, AVR, Pre, Sound bar

   +เชื่อมต่อผ่าน Wifi บ้านร่วมกันกับอุปกรณ์สำหรับแสดงผลต่างๆ+

   2. อุปกรณ์แสดงผล เช่น Smart Phone, Ipad, PC หรือเครื่องเล่นต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็น IOS, Android, PC (window), Kindle fires เป็นอุปกรณ์อะไรก็ได้ที่มันสามารถต่อ wifi ได้และโหลด app DTS Play-Fi มาลงได้ แค่นั้นพอครับ  ส่วน app นั้นสามารถโหลดได้ทั่วไปไม่ว่าจะเป็น Google Play, App Store หรือบน Internet ทั่วๆไป




มีอุปกรณ์แค่สองอย่างนี้ก็เล่นเพลงได้ทุกอย่างแล้วครับ ไม่ต้องใช้เน็ทมือถือ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องกลัวช้า เพราะเราใช้ wifi สตรีมได้ทุกอย่าง โดยการทำงานเมื่อเชื่อมอุปกรณ์เครื่องเล่นกับมือถือเราแล้ว จะมี content ให้เล่นได้มากมายไม่ว่าจะเป็น
Amazon Prime Music, Deezer, iHeartRadio, KKBox, Napster, QQ Music, Pandora, SiriusXM, Spotify, Tidal และ Internet Radio อีกเป็นพันสถานี




content นั้นมีทั้งฟังฟรีและแบบเสียตัง และสตรีมได้ทุกอย่างตั้งแต่ไฟล์ความละเอียดต่ำอย่าง mp3   ไปจนถึง lossless อย่าง Flac, WAV เลยทีเดียว
รวมถึงสามารถคอนโทรลการเล่นแบบ Multi room แยกห้อง แยกลำโพง เปิดและปิดเสียงแยกกันได้อิสระอีกด้วย  มันจะมาแทนเทคโนโลยี Blutooth และ Airplay, Google cast แบบเก่าๆด้วยครับ



DTS Play-Fi มีผู้ผลิตในอุตสา่หกรรมเครื่องเสียงเข้าร่วมมากมาย ซึ่งมีทั้งออกผลิตภัณฑ์ที่รองรับมาแล้ว และกำลังจะออกในอนาคต ได้แก่

Rotel : Rotel RA1592

Anthem : Anthem AVM60, Anthem MRX X20 series เช่น MRX1120, 720, 520

Klipsch : New Sound Bar ที่จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ "Klipsch Stream Wireless Multi-Room ecosystem"

Onkyo : Onkyo NCP-302 และกำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่รองรับ STS Play-Fi ในปี 2017

SVS : Soon

Mcintosh : MB50 Streaming Audio Player และ RS100 Wireless Speaker

Sonus Faber : Sf16


 

จะเห็นว่าค่ายเครื่อเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Klipsch, Anthem, Rotel, Onkyo, Paradigm, Mcintosh, SVS และอีกหลายๆเจ้า รวมถึงที่กำลังพัฒนาและเตรียมจะเข้าร่วมอย่าง SVS อีกด้วย  โดยเทคโนโลยี Play-Fi ที่ถูกนำไปใช้นั้นก็หลากหลายกันไปแล้วแต่บริษัท เช่น

  - Klipsch ได้นำ DTS Play-Fi ไปใช้ร่วมกับ Sound bar ตัวใหม่ ทำให้ Sound bar รุ่นใหม่ของ Klipsch จะรองรับการสตรีมเสียงแบบคุณภาพสูงแบบไร้สายและ multi room และสามารถเอา sound bar มาเชื่อมต่อกันได้หลายๆตัว ทำเป็นระบบเสียง Multi channels ได้ด้วย




  - Play-Fi Surround (Play-Fi sound bar)  ระบบนี้สามารถนำเอาเทคโนโลยี Play-Fi มาใช้ร่วมกับลำโพง Surround ได้แบบไร้สาย โดยสามารถส่งสัญญาณเสียงไปเพื่อสร้างเสียง surround แบบไม่ต้องใช้สายลำโพง ส่วนค่ายไหนจะใส่เทคโนโลนี้เเข้ามานั้น ต้องอดใจรอต่อไป




 - Critical Listening Play-Fi
รองรับการฟังเพลงแบบคุณภาพสูง ร่วมกับอุปกรณ์เล่นเพลงคุณภาพสูง โดยไม่ต้องใช้สาย  ซึ่งนับวันอุปกรณ์คุณภาพสูงเช่น int amp แพงๆ หรือ Network Player ยิ่งจำเป็นที่จะต้องรองรับการเล่นเพลงจากไฟล์มายิ่งขึ้น เพราะการเล่นผ่านสาย ผ่าน cd นั้นนับวันยิ่งได้รับความนิยมลดลง




 - A/V Synchronization

ต่อไปการดูหนังฟังเพลงผ่านคอม หรือแท๊ปเลตจะเปลี่ยนโฉมไป เราจะไม่ต้องทนฟังลำโพงเล็กๆของคอม หรือลำโพงแท๊ปเลตที่เสียงป้องแป้งๆ อีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยี Play-Fi เราสามารถเลือกเครื่องคอมที่รองรับ Play-Fi และแค่เปิด video mode และส่งสัญญาณเสียงไปให้อุปกรณ์เครื่องเล่นที่รองรับ Play-Fi เช่น Int amp, AVR หรือแม้แต่ Sound bar เพื่อให้ได้เสียงที่มีคุณภาพสูงกว่าลำโพงของเครื่องคอมได้ด้วย




จะเห็นว่าที่กล่าวมาข้างบนนั้นจะเปลี่ยนวิถีชีวิตการฟังและคุณภาพเสียงของเราในการดูหนังฟังเพลงไปเลย และที่สำคัญเราไม่ต้องเปลี่ยนการใช้งานในชีวิตประจำวันด้วย เพราะวันๆนึงเราก็ต้องอยู่กับ Wifi บ้านอยู่แล้ว  แต่เรามีอุปกรณ์เครื่องเล่นที่รองรับ Play-Fi   เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งตัว แค่นี้เราก็สามารถสตรีมเสียงทุกอย่างเข้าไปที่อุปกรณ์นั้น สามารถเล่นผ่านลำโพงใหญ่ได้สบายๆครับ

ทั้งนี้ feature ต่างๆที่สำคัญของ Play-Fi มีดังนี้
– สามารถสตรีมมิ่งแบบ Lossless ได้
– เล่นได้หลากหลาย แบบ Multi Room , Multi Zone
– เลือกลำโพงแบบซ้ายขวาได้
– เล่นไฟล์ High-Resolution(24bit/192kHz) ได้
– สามารถส่งผ่านคลื่น 2.4 GHz หรือ 5GHz
– สามารถส่งข้อมูลผ่าน สาย LAN และ PowerLine ได้
– รองรับทั้ง iOS Android Windows PCs หรือแม้กระทั่ง Kindle Fire



การใช้งานเบื้องต้นคือ โหลด Application มาใส่ในเครื่องเล่น iPhone iPad หรือ Android หรือคอมแล้วส่งเพลงไปยังอุปกรณ์ปลายทางที่รองรับ DTS Play-Fi ผ่านทาง Wifi




คารางเปรียบเทียบการสตรีมมิ่งเสียงว่า DTS Play-Fi ทำอะไรได้บ้าง





ที่นี้เห็นความสำคัญของ DTS Play-Fi ในอนาคตกันหรือยังครับ  อย่าลืมว่า เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่ซัพพอรท์อนาคต ย่อมดีกว่าและคุ้มค่าและมี content ให้เล่นได้หลากหลาย  อุปกรณ์ตอนนี้ในบ้านเราที่รองรับ DTS Play-Fi ก็มีดังนี้
Anthem AVM60, Anthem MRX X20, Rotel RA1592 และ Soundbar Klipsch รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวปีหน้า รวมถึง SVS ด้วยครับ






































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 20, 2016, 06:23:11 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์



จัดส่งลำโพงเซอราวด์ไบโพล Klipsch RP-240S ไปให้ลูกค้าที่แกรนด์ บูเลอวาร์ด สาทร-กัลปพฤกษ์
Klipsch RP-240S เป็นลำโพงที่ถูกสร้างมาสำหรับใช้เป็นเซอราวด์โดยเฉพาะ ทำหน้าที่กระจายเสียงได้กว้างกว่าลำโพงบุ๊กเชลฟ์ธรรมดามาก   ลูกค้าทำห้องสำหรับดูหนังโดยเฉพาะ มีการเซ็ทเสียงมาแล้วอย่างถูกต้อง ตอนที่ไปส่ง ผมได้มีโอกาสได้เข้าไปชมห้องและได้เปิดหนังให้ดูแป๊ปนึง  บรรยากาศแรกที่ผมรับรู้ได้ตั้งแต่เดินเข้าไปในห้องก็คือ

ห้องนี้เป็นห้องของคนที่รักการดูหนังอย่างแท้จริง ทุกส่วนในห้องตั้งใจสร้างและแต่งให้ตอบโจทย์การดูหนัง ไม่ว่าจะเป็นผนังด้านซ้ายที่บิ้วอินให้เป็นที่วางแผ่นบลูเรย์โดยเฉพาะ (ไม่รู้เป็นเพราะผนังนี้หรือเปล่าเลยทำให้ไม่สามารถติดตั้งลำโพงเป็น 7 แชนแนล)
ตัวโซฟา และห้องทุกส่วนอบอวลไปด้วยบรรยากาศและความตั้งใจของเจ้าของห้องที่ดูก็รู้ว่าเป็นคนรักการชมภาพยนตร์



ลูกค้าเปิด MadMax ให้ดู ผมได้ฟังแป๊ปเดียวครับ แต่เสียงที่ได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะรายละเอียดและความถี่ทั้งหลายมาครบ ไม่ว่าจะเป็น เบส กลาง แหลม  โดยเฉพาะ เบสนั้นชัดเจนทุกเม็ด เบสดี เสียงทุกเสียงชัด ละเอียด จนตกใจว่านี่ใช้ลำโพงตัวเล็ก ราคาไม่แพงอะไรเท่าไร่เลย  แอบสอบถามลูกค้าว่าห้องขนาดนี้น่าจะเล่นซับ 2 ตัว  ลูกค้าแอบเฉลยว่า นี่ก็เล่นสองตัว อีกตัวแอบอยู่หลังโซฟา !!!! จึงได้รู้ว่าซิสเต็มลูกค้าเป็น 7.2.2


 Onkyo 1030
Klipsch RP150M
Klipsch RP240C
Klipsch RP240S
Klipsch R110SW x 2




ลูกค้าบอกว่าจ้างมืออาชีพ (HAA ท่านหนึ่ง) มาช่วยวางแผนการสร้าง และออกแบบการติดตั้งลำโพง ผลลัพธ์ที่ได้ก็ขอชมว่าทำได้ดี เสียงดีครับ 
โดยรวมห้องน่าอยู่ น่าดูหนัง เป็นห้องพักผ่อนก็ได้ ห้องดูหนังแบบจริงจังก็ได้เช่นกัน  เป็นตัวอย่างที่ดีว่า ลำโพงและอุปกรณ์ต่างๆแม้จะไม่ได้ใช้ของแพง hi-end อะไรมากมาย แต่ถ้าได้รับการออกแบบ เซ็ทอัพดีๆแล้ว เสียงก็ดีได้อย่างน่าตกใจครับ
ยิ่งโดยเฉพาะการดูหนังที่ต้องบอกว่า ถ้าจะเอาให้ดีกว่านี้ คงต้องก้าวข้าวไปชุด THX ราคา 2-3 แสนเลยทีเดียว


ราคาและ spec Klipsch RP-240S:
http://www.whatthatsound.com/product/20/klipsch-reference-premier-rp-240s


















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2016, 10:49:29 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์



ส่งด่วน Klipsch R-15PM ลำโพงแอคทีฟ ไม่ต้องใช้แอมป์ ไปให้ลูกค้าที่กาญจนบุร  ลูกค้าบอกมีวิธีไหนที่ด่วนที่สุด อยากได้ของใน 2 ชม. (รีบอะไรเบอร์น้านนนน) 
ปรึกษากันว่าลูกค้าเคยฝากรถตู้วินที่รู้จักกันมาส่ง  เลยวานให้ส่งให้ วินเคยอยู่อนุสาวรีย์ ตอนนี้ย้ายมาหมอชิตสอง  ตอนขับรถเข้าไปเหมือนไปอยู่ในทะเลทรายไนอาบี ยังไงก็ไม่รู้ ฝุ่นเยอะ แห้งแล้ง 555

สุดท้ายส่งด่วนบ่ายโมงของถึงมือลูกค้าภายในบ่ายสามได้เรียบร้อย

และสำหรับตัวนี้เป็นลำโพงแอคทีฟน่าใช้อีกตัวที่เหมาะกับคนที่ต้องการใช้งานหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะต่อกับทีวี ต่อกับคอม ต่อกับบลูทูธ หรือต่อกับโทรศัพท์ หรือจะต่อกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็ได้เพราะมี pre-phono ในตัว

สนนราคาตัวนี้ย่อมเยาว์ และน่าใช้ครับ

ตัวอย่างห้องที่ใช้ Klipsch R15PM ต่อใช้งานกับทีวี และต่อซับ R110Sw: https://goo.gl/qblBAW


Spec และราคา Klipsch R-15PM:
http://www.whatthatsound.com/product/330/klipsch-r-15pm












« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 26, 2016, 07:45:48 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


จัดส่ง Audyn MA3200 ไปให้ลูกค้าที่รังสิต  ตัวนี้ลูกค้านำไปใช้กับ AVR Yamaha 3060 ต่อแบบปรีเอ้า 3 แชนแนลหน้า เพื่อเพิ่มพลังเสียง  ปัญหาเดิมคือ Yamaha กำลังสำรองไม่พอที่จะขับลำโพงตัวใหญ่อย่าง Klipsch RP280F, Klipsch RC-64 ii และต่อใช้งานครบทุกแชนแนล  เมื่อเร่งดังๆมีปัญหาเสียงมีความเพี้ยนสูง 

หลังจากใช้ Power แยกในการขับลำโพงสามตัวหน้า ลูกค้าแจ้งว่าเร่งได้เต็มที่ไม่มีปัญหาความเพี้ยน หรือเสียงพร่าอีกเลย และยังช่วยเพิ่มพลังให้เสียงในระบบ HT ดุดันและเสียงมันยิ่งขึ้นไปอีกระดับนึงด้วยครับบ

อ่านรีวิวเต็มๆของ Audyn MA3200 ได้ที่นี่: https://goo.gl/nRbxzI

ราคา Audyn MA3200: http://www.whatthatsound.com/product/205/audyn-virtus-ma3200















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 26, 2016, 07:54:43 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
บรรยากาศจัดส่ง Anthem MRX720 และ Klipsch RP-280F , RC-64 ii




วันก่อนเราเอา Anthem MRX720 และ Klipsch รุ่นท๊อป Klipsch R-280F และ RC-64 II ไปส่งให้คุณเล็กที่สาย3 มาครับ

-------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้เต็มๆได้ที่นี่: https://goo.gl/yWyMlb
-------------------------------------------------------------

ตัวลำโพงใหญ่รุ่นท๊อปขนาดนี้ หลายคนคงจะคิดว่า avr จะเอาอยู่มั๊ย ขับไหวหรือเปล่า แล้วแนวเสียง Anthem MRX720 มันจะเป็นยังไง วันนี้ผมขนชุดซิสเต็มทั้งหมดไปด้วยตนเอง (คนเดียว) ไปถึงบ้านลูกค้าที่พุทมณฑลสาย3 ก็เจอบ้านเป็นตึกแถวสูงถึง 3 ชั้น บันไดแคบ ด้านล่างทำเป็นอาคารพาณิชย์ขายสินค้าไปด้วย

เห็นแค่นี้ก็จะสลบแล้วครับ  เพราะลำโพงแต่ละตัวมันตัวเล็กๆซะที่ไหนกัน....
แต่โชคดีลูกค้ามีคนช่วยยกขึ้นไปให้จนถึงห้อง  แต่พอขึ้นไปดูห้อง ก็เจอห้องที่ไม่สมมาตรและมีผนังกั้นระหว่างห้อง ทำให้สภาพห้องกลายเป็นช่องที่แคบ แต่ลึก ห้องใช้เป็นห้องนอนด้วย มีหน้าต่าง และมีฟูก มีของใช้มากมาย อคูสติกจึงดีโดยไม่ต้องทำอะไรเลยครับ เพราะไม่ก้องและมีวัสดุซับเสียงธรรมชาติอย่างฟูกที่นอน และเงียบพอสมควร

ตรงนี้คุณเล็กเป็นมือใหม่ ไม่เคยเล่น Home Theater มาก่อน จึงต้องแนะนำและอธิบายทุกขั้นตอน รวมถึงผมต้องลงมือติดตั้งและทำทุกอย่างเองด้วย งานนี้เหนื่อยแน่นวล....





เริ่มต้นคุณเล็กถามว่า ต้องทำอะไรก่อนดีครับ  ผมตอบแกไปว่า ยังไม่ต้องทำอะไรครับ เอาของแกะออกมากองๆไว้ให้พร้อมก่อนครับ แล้วค่อยทำ งานจึงค่อยๆเดินไปเรื่อยๆพร้อมเวลาที่เดินไปด้วยเช่นกัน  โดยเบื้องต้นเรานำ Anthem MRX720 ออกมาเช็คและวางไว้รอติดตั้ง  ส่วนลำโพง Klipsch RP-280F, Klipsch RC-64 II นั้น หลังจากเอาออกจากล่องแล้ว เราก็มานั่งเล็งกันว่า มันควรจะวางตรงไหนดี

ซึ่งตำแหน่งการวางนั้นคงไม่ต้องพูดเรื่องเซ็ทอัพอะไรกันมาก เพราะลูกค้าไม่สะดวก และให้ความสำคัญกับการใช้งานและพื้นที่มากกว่าเสียงดีที่สุด  ตำแหน่งเลยกลายเป็นว่า ซับต้องขยับหนีหลีกทางให้ลำโพง RP-280F  และก็ไม่สามารถวางตรงไหนได้เลย ยกเว้นจะดันออกมาวางด้านหน้า เพราะลูกค้าจะเอาซับมาไว้วางของ  วางตรงอื่นจะบังทางเดิน (มีลูก)

แกะกล่องลำโพงและอุปกรณ์ทุกอย่างมาครบ จัดวางตำแหน่งคร่าวๆ เราก็มาจัดการเตรียมติดตั้ง เตรียมสายลำโพง และเตรียมเซ็ทอัพ ระหว่างนี้ที่แนะนำและสอนลูกค้าไป ก็วาน (ใช้ลูกค้า) ทำนู้นทำนี้เองด้วย เพราะอธิบายอย่างเดียวบางทีไม่เข้าใจ  ทั้งเรื่องต่อสาย hdmi เสียบสายลำโพง  เราก็ทำเป็นยุ่งๆ แล้วใช้พี่เล็กไปทำฝั่งนู้นให้หน่อย เสียบไอ้นู้นไอ้นี้ให้หน่อย  ให้แกเข้าใจและทำเป็นเองด้วย พอต่อเสร็จเราก็เช็คอีกรอบ  สนุกดีครับ (จริงๆเหนื่อยมาก)

ต่อเสร็จลองเปิดและเซ็ทอัพ (เบื้องต้น) ให้ลูกค้า ซึ่งซิสเต็มลูกค้าประกอบไปด้วย



------------------------------------------------------
  - Anthem MRX720
  - Klipsch RP-280F
  - Klipsch RC-64 ii
  - Klipsch R-115SW
  - Pioneer LX88
  - Magnet กรองไฟ
  - Klipsch R15PM (อันนี้ไม่เกี่ยว ลูกค้าต่อไว้ฟังเพลงเฉยๆ)

------------------------------------------------------

หลายคนงง อ้าวแล้ว Surround ละ  ยังครับ งบหมด เอ้ยไม่ใช่ ลูกค้าขอต่อ 3.1 ก่อนแล้วจะเติม Surround วันหลัง
ส่วนการเซ็ทอัพนั้น เราจะยังไม่ใช้ ARC แต่ให้ลูกค้าเบิร์นลำโพงและ AVR ไปสักระยะก่อน (ต้องเตรียม wifi หรือสายแลน และโหลดโปรแกรม ARC มาลงคอม)
วิธีการเซ็ทอัพ ARC ของ Anthem (Anthem Room Correction) : https://goo.gl/yWyMlb

 

ผลการลองฟัง

โทนเสียงของ Anthem MRX720 จับกับ Klipsch นั้นเอาจริงๆ เข้ากันและ แมทชิ่งกันมากกกกกกว่า AVR ตัวใดในปฐพีนี้แล้ว  เพราะ AVR Anthem MRX720 โทนเสียงดุดัน เบสหนักมว๊ากก และเสียงแหลมก็มีรายละเอียดโดยที่ไม่แสบหูและไม่บางเหมือน AVR บางตัว   ขณะเดียวกันรายละเอียดและอะไรหลายๆอย่างก็แยกแยะและให้รายละเอียดพรั่งพรูดี 

"นี่เป็นส่วนผสมของ Yamaha + Harman + Pioneer ชัดๆ"




ส่วนลำโพง Klipsch ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า เสียงมันสด  ถ้าคุณเอา AVR ที่มันเสียงบาง รายละเอียดเยอะ แต่เบสไม่เยอะ และกำลังสำรองไม่ดีมาขับ มันก็จะแสบหู และแหลมนำ ฟังเพลงก็ไม่เพราะ ดูหนังก็ดูได้ไม่นาน จนใครๆเกลียด Klipsch ไปเลยก็มี
แต่ถ้าคุณเอา AVR เสียงทึบๆมาขับ เบสก็จะเด่น แต่ขาดรายละเอียดและความโอบล้อม

ตอนที่ลองฟังพร้อมกับลูกค้า เราใช้ Blueray Pioneer LX88 เปิดด้วย Pacific Rim เสียงที่ได้ ลืมคำว่าขับไม่ออกไปได้เลยครับ  มันขับออกและกำลังสำรองดีมาก จากที่คิดว่านี่่ AVR มันปริ่มๆจะขับลำโพงไม่ไหวหรือเปล่า?  พอลองเสียงแล้วต้องบอกว่า เหลือ dak    ก็ขนาดบางร้านยังเอา Anthem MRX520 ไปขับลำโพง THX บางยี่ห้อที่กินวัตต์ยังกะซดได้แล้วกัน... คิดดู  และนี่ Klipsch ลำโพงความไว sensitivity ระดับ 97+-


 


เสียงจาก Pacifim Rim หนัก ชัดเบสสะใจเป็นลูกกระชับ และขณะเดียวกันก็ให้รายละเอียดและแยกแยะชั้น layer ของเสียงได้ดีว่ามีเหตุการณ์และวัตถุตรงไหนเกิดขึ้น  เสียงระยิบระยับไม่แสบหู เปิดได้ดังจนพี่เจ้าของกระซิบบอกว่า ถ้าดังกว่านี้คนที่บ้านคงขึ้นมาด่าแล้วครับ อิอิ  ส่วนบรรยากาศโอบล้อมนั้น ผมไม่ได้ลองครับเพราะซิสเต็มลูกค้ายังไม่มีลำโพงเซอราวด์ แต่ที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศด้านหน้า และการแยกแยะรายละเอียดเสียงนั้น  ทำได้ดีครับ "ทั้งหนัก และได้รายละเอียด"
เรื่องกำลังสำรองนั้นเพียงพอจนเกินพอ อาจจะเป็นเพราะว่าห้องของลูกค้านั้น ไม่ใหญ่และอคูสติกของห้องนั้นดีโดยแทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว




ข้อดีของ AVR Anthem

1. ผมพบว่า Gain volume ของมันสูงมากกก  สูงจนผมที่เคยคิดว่า HK คือ AVR ที่ gain volume สูงที่สุดแล้ว มาเจอตัวนี้ต้องเปลี่ยนความคิดเลย เพราะระดับความดังตอนเปิดครั้งแรก ที่ไม่ได้ปรับ level และยังไม่ได้เซ็ทอะไรเลย   เราเร่งไปจน -30 นี่คือดังในระดับใช้งานดูหนังของคนทั่วๆไปได้แล้ว และพอเร่งไปจน -25 นี่คือดังถีงระดับ System ที่อยู่ในห้องปิด system ของพวก Dedicated Home theater กันเลย

ยอมรับว่า Gain มันสูงจริงๆครับ แอมป์กำลังขับในตัว AVR ก็เสียงดี rate กำลังของ MRX ระบุไว้ว่า 140 วัตต์ ซึ่งเอาเข้าจริงๆกำลังมันแรง และคุณภาพดีด้วย ใช้งานขับลำโพงดีๆ ได้ระดับนึงจนไม่ต้องไปใช้ Power amp เลยก็ได้
เมื่อเอามาเทียบกับ Anthem AVM60 (Pre) ที่ห้องของเรานั้นก็พบความต่างตรงที่ Pre Anthem นั้นออกแบบมาไม่ให้ Gain สูงเหมือน Avr คือเหมือนออกแบบมาให้ปรี เร่ง volume ไปจนถึงระดับ volume ที่สูงกว่า AVR  ซึ่งอันนี้ผมไม่ได้บอกว่าอันไหนดีกว่ากัน หรือแย่กว่า เพราะมันเป็นการออกแบบของ Anthem เค้า และมันก็ใช้งานได้ดีทั้งคู่ เสียงดีทั้งคู่ เพียงแต่การใช้งาน การเซ็ทอัพอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย

2. ข้อดีอีกข้อคือ Anthem MRX720 ตัวนี้ให้กำลัง 140 วัตต์ 7.2 แชนแนล แต่ให้ภาคปรีในระดับ 11.2 แชนแนลต่อได้เหมือนกับ MRX1120 เลยครับ  คือวันนึงเราอยากอัพไปเล่ลน 7.2.4 ก็สามารถทำได้ แค่เราหา power amp สัก 4-5 แชนแนลมาขับ ที่เหลือก็ให้ AVR MRX720 ขับไป (แนะนำว่าให้เอา power amp ขับสามแชนแนลหน้า และเซอราวด์เป็นหลัก)
ส่วน Anthem MRX1120 นั้นให้กำลังขับเท่ากับตัว 720 แต่สามารถขับลำโพงได้ครบทุกแชนแนล 11.2 (7.2.4) โดยไม่ต้องพึ่ง power amp ครับ  ถ้าใครคิดจะใช้ AVR ตัวเดียวจบ ไม่ไปข้องแวะกับ power amp ก็ต้องเล่น MRX1120
แต่ถ้าจะเอาคุ้มค่า เน้นคุ้มตังก็ต้องบอกว่าตัว MRX720 นี่คือคุ้มมากที่สุดแล้วครับ




ข้อเสีย

1. ต่อซับได้สองตัว ได้เซ็ทอัพได้ค่าเดียวครับ ไม่ว่าจะ Crossover หรือ distanct หรือ level มันมองเป็นแชนแนลเดียว แบบนี้คนเซ็ทอัพเค้าจะมองว่าทำงานยากและเซ็ทละเอียดยากกว่าการเซ็ทแยกได้สองตัว

2. HDMI channels  ต่อได้ 8 ช่อง แต่เวลาเลือก quick menu จากรีโมทมันจะให้เลือกได้แค่ 3 hdmi
  ถ้าจะเพิ่ม hdmi channel บนรีโมทมากกว่านี้ เราต้องกดเพิ่มเอาเอง ค่าตั้งต้นมันจะให้มาแค่ 3 ช่อง  หากเราต่ออุปกรณ์เข้า AVR เยอะๆ หลายๆตัว ถ้าเราไม่ไปเพิ่ม input channels ซะก่อน มันก็จะเลือกได้แค่ 3 ตัวครับ
สรุปว่า ต้องเพิ่มเอง ทำครั้งเดียว แต่ก็ลำบาก ทำไมไม่ทำให้เลือกมาให้ครบ 9 hdmi ไปเลยล่ะ

3. Wifi มันใช้ยากและไม่ค่อยเสถียร
  บางทีช้า บางทีต่อไม่ค่อยได้ บางทีหาไม่เจอ ยิ่ง Wifi สมัยนี้บางทีมันเซ็ทอัพ securities แปลกๆ ต่อไม่ค่อยได้ ของที่บ้านผม wifi เข้าได้ทุกอัน แต่อันที่ใช้ประจำบ้านหาเจอแต่เข้าไม่ได้ ต้องเอาสายแลนมาต่อให้มันรู้จักกันก่อน แล้วค่อยต่อ wifi ถึงจะยอมให้เข้าได้และหลังจากนี้จะเข้าได้ตลอด
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันมี securities อะไรตั้งไว้หรือเปล่า  และ wifi ของ Anthem นี่ผมบอกเลยว่า มันเป็นสิ่งจำเป็นมากๆในชีวิต เพราะสามารถใช้งาน DTS Play-Fi และก็สามารถเซ็ทอัพ ARC ได้ด้วยครับ   ไม่อย่างงั้นต้องลากสายแลนมาต่อเอง เกะกะครับ





สรุป

ซิสเต็มของพี่่เล็ก (ไม่ใช่เล็กกูรูนะ ) เสียงดีมาก แมทชิ่งมาก หลายคนชอบถามผมว่า Klipsch จับกับ AVR อะไรดีให้มันแมทชิ่ง  ผมก็บอกว่า จับได้ทุกตัวครับ  Klipsch จับกับอะไรก็สด AVR เข้ากันได้หมด ไม่มีเสียงแย่ ต่างตรงบุคลิกเสียงของ AVR  แต่นั้น
วันนี้ขอตอบใหม่ สำหรับคนที่คิดจะเอาไปใช้ดูหนัง และฟังเพลงด้วย AVR ด้วย (ฟังแบบเล่นๆไม่จริงจัง)   Anthem + Klipsch นี่เป็นอีกหนึ่งสุดยอดการแมทชิ่งที่เข้ากันได้ดีมากกอีกตัวนึงที่ผมคิดว่า ทำได้ดี ดุดัน เสียงมีรายละเอียดสูง และฟังได้มัน โดยไม่ล้าหู  ฟังสนุก ดูหนังดี ฟังเพลงก็ดีกว่า AVR ตัวอื่นด้วย    ถ้าใครไม่รู้จะจับลำโพง Klipsch กับอะไรให้มันปลอดภัย และเสียงดี กำลังสำรองสูงๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะขับลำโพงไม่หมด   Klipsch + Anthem เหมาะครับ เป็นทางเลือกที่แมท และปลอดภัยมากสำหรับคนเล่นระบบเสียง multi channels อีกหนึ่งตัว


สุดท้ายเซ็ทอัพกันเสร็จ สอนวิธีการใช้งาน สอนวิธีการต่อสาย การเล่น การใช้รีโมท แล้วก็ลาจากพี่เล็กกันไปพร้อมหยาดเหงื่อ (ของผม) และแอบกระหยิ่มและภูมิใจแทนลูกค้าเล็กๆว่า เสียงมันดีนะ ไม่เสียแรงและเสียดายตัง (ลูกค้า) ที่ตัดสินใจเลือกชุดนี้จริงๆ


 

ราคา Klipsch RP280F: http://www.whatthatsound.com/product/12/klipsch-rp-280f

ราคา Klipsch RC-64 ii: http://www.whatthatsound.com/product/22/klipsch-reference-rc-64-ii-black

ราคา Klipsch R-115Sw:
http://www.whatthatsound.com/product/3/klipsch-r-115sw

ราคา Anthem MRX720: http://www.whatthatsound.com/product/433/anthem-mrx720













































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 27, 2016, 11:53:51 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


มีคนเคยกล่าวไว้ว่า แม้แต่ AVR ที่ดีที่สุด เสียงก็ยังสู้  Pre-Pro ราคาต่ำกว่าไม่ได้
คำกล่าวนี้อาจจะไม่ได้เกินเลยไปนัก หากพิจารณาปัจจัยหลายๆอย่างของ ปรีที่มีคุณภาพดีๆหน่อย และเลือกแนวเสียงของปรีตัวนั้นให้ตรงกับจริตของคุณ

-----------------------------------------------------
อ่านบทความนี้ได้ที่นี่: https://goo.gl/jnXh13
-----------------------------------------------------

ผมเชื่อว่าปรีในราคาต่ำกว่า AVR 2 เท่า ย่อมให้ผลลัพธ์ของเสียง การแยกแยะรายละเอียด ดีเทล และแม้แต่น้ำหนักเสียงได้ดีกว่า AVR ครับ



แต่มีข้อแม้ว่า แนวเสียงของปรีตัวนั้นต้องแม้ทกับชุดลำโพงและ Power ของคุณ และไปในแนวทางที่คุณชอบด้วยนะครับ เพราะปรีแต่ละตัวก็มีบุคลิกและแนวเสียงเฉพาะตัวของมันที่ต่างกันออกไป


และเราได้จัดส่ง Marantz 7702 mk ii  ปรียอดฮิตสุดคุ้มไปให้ลูกค้าเก่าเราที่รามคำแหง โดยลูกค้าชั่งใจอยู่นานมากว่าจะเปลี่ยน AVR มาเป็น ปรีดีมั๊ย เพราะตอนนี้ลูกค้ามี Power อยู่ครบ 5 แชนแนลเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังต่อช่อง pre-out ของ avr อยู่

หลังจากศึกษาและหาข้อดีต่างๆนานา ในที่สุดลูกค้าก็ตัดสินใจอัพ และเปลี่ยนแปลงโดยเอา Marantz 7702 mk ii  มาแทน AVR โดยในระบบของลูกค้ามีดังนี้ครับ


๋  - Klipsch RP-280F
  - Klipsch RC-64 ii
  - Klipsch RP-250S
  - Power Emotiva XPA3 Gen3
  - Pre Marantz 7702 mk ii





หลังจากแกะกล่องและติดตั้งเรียบร้อย สิ่งที่ลูกค้าทักทายและแจ้งผลเรามาก็คือ  การแยกแยะ และรายละเอียดดีขึ้นกว่า AVR ตัวเดิมลูกค้าค่อนข้างมาก (Onkyo 5009)
ลูกค้าแจ้งว่า ไม่ผิดหวังและไปถูกทางที่อัพครั้งนี้ หลังจากชั่งใจอยู่นานเพราะกลัวว่าจะลงทุนไปแล้วไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง 

ซึ่งเอกลักษณ์และจุดเด่นของ Marantz 7702 mk ii นี้ก็คือ รายละเอียด การแยกแยะ ดีเทล  ให้เสียงกลาง และแหลมที่ชัดเจนและโดดเด่น   แต่เบสจะไม่ได้หนักหรือเน้นแนวหนักแน่นมากนัก ดังนั้นหากใครต้องการรายละเอียด การฟังเพลง บรรยากาศการดูหนังที่คุณภาพดีๆ ละเมียดละไม เนียนๆแล้วละก็ ตัวนี้ไม่ผิดหวังครับ

แต่ถ้าเดิม คุณใช้ AVR แนวเบสหนัก ระห่ำๆอย่าง Harman, Anthem อยู่ แล้วมาใช้ตัวนี้ ก็อาจจะได้อย่างเสียอย่าง คือได้รายละเอียด ได้บรรยากาศที่ดีมา  แต่อาจจะเสียเบสหนักๆ และเสียงมันๆไปบ้างครับ


ดังนั้นไม่ใช่ว่า ปรีทุกตัวจะตอบโจทย์ของคุณเสมอไป  คำตอบที่คุณต้องตอบก่อนจะเลือกซื้อปรีมาใช้นั้นก็คือ   คุณชอบเสียงแนวไหน และต้องการอะไรเพิ่ม  ปรีส่วนใหญ่ตอบโจทย์ในแง่ของรายละเอียดเสียงที่มากขึ้น บรรยากาศ การแยกแยะ ความโอบล้อม แต่ก็ไม่ใช่ทุกตัวที่ตอบโจทย์ที่คุณต้องการได้
ปรีบางตัวที่ลดราคากันโครมๆถูกยิ่งกว่า AVR แบบนั้นบางทีเสียงยังสู้ AVR บางตัวที่แนวเสียงเป็นแนวที่คุณชอบไม่ได้ก็มี


ราคาและสเปก Marantz 7702 MK ii: http://www.whatthatsound.com/product/253/marantz-av7702mkii









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 04, 2016, 09:18:32 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Anthem D2V สัมผัส Pre-Processor รุ่นท๊อปสุดของ Anthem


 

วันก่อนได้มีโอกาสไปรับ Pre-Processor Anthem D2V รุ่นเรือธงมาตัวนึง และได้มีโอกาสสั้นๆในการแกะกล่องและลองฟังเสียงมันเทียบกับ Pre-Processor อีกรุ่นของ Anthem นั่นคือ AVM60 ซึ่งเป็นรุ่นรองและถูกกว่า

-------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้เต็มๆได้ที่นี่: https://goo.gl/g9lCZJ
-------------------------------------------------------------

 ซึ่งเราก็สงสัยมานานแล้วว่า เราจ่ายเงินหลัก 2-3 แสนเพื่อซื้อปรีสักตัวมาใช้เนี่ย คุณภาพของมันที่เราควรจะคาดหวัง มันควรจะได้สักแค่ไหน  และเสียงมันจะดีกว่าปรีหลักหมื่น หรือหลักแสนต้นๆสักแค่ไหนกัน (ว่ะ)  อย่าว่ากระนั้นเลย วันนี้ก็โอกาสมาแล้ว ก็จัดการลองซะเลย....

ประวัติความเป็นมาของ Anthem D2V นั่นถือเป็นซีรี่น์สูงสุด (Statement Series) จัดเป็นรุ่นสูงสุด (ราคาขายประมาณ 2-3 แสน) ออกแบบมาเน้นคุณภาพเสียงอย่างที่สุด แต่เนื่องจากเป็นรุ่นเก่าจึงรองรับแต่ 7 แชนแนล

ซึ่งถ้าเทียบกับ AVM60 ที่เป็นรุ่นเล็กกว่าแต่ออกใหม่กว่า แต่จะรองรับ 11.2 แชนแนลและรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆมากกว่าครับ

คือตอนที่ลองแกะกล่องก็สังเกตว่าตัวมันหนักพอสมควร  หนักกว่า pre ทั่วๆไปนิดหน่อย ตัวเครื่องดูบึกบึนและน่าเกรงขามมิใช้น้อย
หลังจากแกะออกมาก็เอามาวางเทียบกับ AVM60 รุ่นน้องกันให้เห็นๆว่าใครดูดีกว่ากัน
จะเห็นว่าหน้าตา AVM60 นั้นดูทื่อและมันสมัยน้อยกว่ารุ่นเก่าอย่าง D2V เยอะเลย  ถ้าไม่บอกก็นึกว่า AVM60 ออกมาก่อน D2V ซะอีก...




ต่อลองฟังมีคอนดิชั่นอยู่นิดนึงตรงที่เรามีเวลาจำกัด ทำให้เราไม่สามารถเซ็ทอัพ Anthem D2V ให้ดีได้ และเราก็ไม่ได้ใช้ไมค์ ARC ด้วย แค่ปรับรายละเอียด level อะไรนิดหน่อยแล้วฟังเลย (รีบจริงๆ) ดังนั้นเสียงของ D2V จึงออกมาไม่สุด และค่อนข้างที่จะได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย  แต่เราเอาแค่ฟังแนวเสียง และลองดูเพื่อให้รู้ว่าปรีตัวนี้แนวเสียงมันเป็นยังไง  โดยเราจะมี benchmark กับ Anthem AVM60 เพื่อให้รู้แนวเสียงคร่าวๆ (AVM60 เซ็ทแล้ว แต่เสียงน่าจะยังไม่พ้นเบิร์นดีเท่าไร่)

 

Anthem D2V  แนวเสียงที่เราสัมผัสได้คือ
  
   - ปรีตัวนี้เสียงดุมากกก  สังเกตจากฉากในหนังที่มีการโหม หรือฉากแอคชั่น บรรดาสรรพเสียงต่างๆมันพุ่งเทเข้ามาที่โซฟาอย่างไม่บันยะบันยัง คือมันมาหมด มาทุกเสียง ทั้งรายละเอียด ทั้งอิมแพค เทโครมลงมาแรงๆ ใส่คนดูแบบไม่ยั้ง ดูครั้งแรกไม่ต้องนั่งจับผิดเลยครับ มันต่างกันเห็นๆว่า D2V ดุดันกว่าเยอะมาก

   - สัญญาณเบสแรงอย่างสะใจ เบสเยอะ แรงอิมแพคหนักจนจุก เบสหนา เสียงใหญ่ เสียงดุกว่า AVM60 ไปอีกระดับนึง คือถ้าคิดว่า AVM60 เสียงดุแล้ว ตัว D2V นี้ดุกว่า หนักกว่าไปอีก
ในขณะที่เสียงพูด เสียง effect ต่างๆก็มีความหนา สเกลใหญ่ ติดไปทางอวบกว่า AVM60 ด้วย  ในบางครั้งถ้าเซ็ทไม่ลงตัว D2V อาจจะรู้สึกบวมๆ ใหญ่ๆ อวบๆเล็กน้อย ในขณะที่ AVM60 เสียงติดบางกว่าเล็กน้อย ดูสมจริง ดูกระฉับกระเฉงกว่า

   - รายละเอียดและการแยกแยะรายละเอียดเสียง เยอะกว่า AVM60 พอประมาณ ซึ่งก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่ามันมากกว่าแค่ไหน เพราะมันไม่มีสเกลวัด แต่มันรู้สึกได้ โดยเฉพาะมิติเสียง ที่ฉากนึงในหนัง Planet of the ape 2 ที่เราดูฉากลิงตกลงไปแล้วระเบิดที่หลุมด้านล่าง เราก็รู้สึกว่าเสียงระเบิดมันอยู่ลึกลงไปด้านล่างจริงๆ
แต่ตอนที่เราดูเสียงเบสมันจะหนักและกลบรายละเอียดไปบ้าง เพราะสัญญาณเบสเอย รายละเอียดอะไรเอยมันพรุ่งพรูมาเยอะไป


 

ซึ่งข้อเสียของ D2V  อาจจะมีตรงที่การเซ็ทอัพให้ลงตัวนั้นอาจจะทำได้ลำบากนิดหน่อย เพราะแนวเสียงที่มันดุ อิ่ม ใหญ่หนักแน่นมาแต่กำเนิดทำให้เวลาฉากที่รายละเอียดมาเยอะๆ แล้วเราเซ็ทอัพไม่ลงตัว เสียงมันจะโหมมาจนดูมั่วและกลบรายละเอียดไปบ้าง  

ข้อเสียอีกข้อก็คือ เมนู การเข้าถึง รีโมทใช้ยากเหลือเกิน   และ user interface ของเมนูบนจอก็ใช้งานยาก และดูโบราณมาก ดูไม่ค่อย user friendly ใดๆทั้งสิ้น
 

โดยเนื้อแท้ของ Anthem D2V นั้นเสียงดุดัน รายละเอียดเยอะ เบสเยอะสะใจ เสียงสเกลหนา ใหญ่ หากใครหาแนวเสียงแบบนี้  เราคิดว่าตัวนี้ตอบโจทย์ได้ดี
ในขณะที่ Anthem AVM60 เสียงจะออกฟังง่ายกว่า ออกแนวธรรมชาติกว่าเมื่อเทียบกับ D2V (เทียบกับ D2V นะ อย่าไปเทียบกับยี่ห้ออื่น) แต่ทั้งนี้  ทั้งคู่ก็ยังติดโทนดุดันอยู่ทั้งคู่ เพียงแต่ AVM60 จะเบสน้อยกว่า สเกลเสียงติดบางกว่าเล็กน้อย  เสียงอาจจะดูจัด กระฉับกระเฉงและเด่นกลางแหลมมากกว่าในขณะที่ D2V มันมาทุกอย่าง ทั้งเบส กลาง แหลม จึงต้องเซ็ทดีๆ ไม่งั้นมันเยอะและรายละเอียดกลบกันไปหมด




สรุป   Anthem D2V เสียงดีครับ แต่การใช้งานดูยาก เข้าถึงลำบาก หากใครไม่ชินก็ไม่แนะนำเลย เพราะขนาดผมใช้ Anthem มาก่อนยังงุนงง หาทางเข้าเมนูไม่เจอ
แต่เนื้อเสียงของมันนั้นคุ้มค่าและเหมาะกับคอหนังโหดๆ คนชอบเสียงสเกลใหญ่ๆ เป็นอย่างยิ่ง  สรุปสุดท้ายเราแพ๊คเข้ากล่องและก็หวังว่า Anthem D2V รุ่นใหม่ที่น่าจะออกเร็วๆนี้จะปรับปรุงให้การใช้งานมันง่ายกว่านี้ ดู user frindly มากกว่านี้ แต่ยังคงรักษาแนวเสียงดุดันแบบนี้เอาไว้..... จะดีมากครับ

























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 06, 2016, 09:42:33 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


จัดส่ง Klipsch RP-140SA ลำโพง Atmos แบบยิงขึ้นใช้วางบนลำโพงคู่หน้า   (ใช้รูปแทนจากลูกค้าท่านอื่น)

ตัวนี้ลูกค้าเดิมทีสั่ง Klipsch RP-280F และ Klipsch RC-64 ii ไปใช้ (รายละเอียดห้อง : https://goo.gl/YTqaA9 )
วันนี้ลูกค้าสั่ง Klipsch RP-140SA ไปใช้วางบน RP-280F เพื่อลองต่อเสียงแบบ Atmos (จำลอง)    ซึ่งการใช้งานนั้นก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย แค่เอาไปวางบนลำโพงคู่หน้า ต่อสาย จบ เสร็จ ...   ส่วนบรรยากาศจะดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพห้องและการสะท้อนของเสียงในห้องนั้นๆครับ

ราคาและสเปก Klipsch RP-140SA: http://www.whatthatsound.com/product/202/klipsch-rp-140sa











« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 11, 2016, 09:43:25 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


ชุดลำโพง Home Theater Cantone Movie 130 เราก็มีขายน้าาาา   สามารถพ่วงกับ Avr Harman และรับราคาพิเศษได้ด้วย

ซึ่ง Canton เป็นชุดโฮมแบบราคาประหยัด ครบชุด มีทั้ง คู่หน้า เซ็นเตอร์ เซอราวด์ และมีซับวูฟเฟอร์ด้วย โทนเสียงและรายละเอียดดี เหมาะจับกับ AVR ที่เสียงหนาๆโหดๆ เพื่อเพิ่มเบส เพิ่มความหนักแน่น

Canton Movie 130 + Harman AVR171

Canton Movie 130 + Harman AVR161

Canton Movie 130 + Harman AVR151

ราคาและสเปก ทั้งหมด:  http://www.whatthatsound.com/category/102/canton














« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 11, 2016, 11:38:34 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์




วันก่อนมีโอกาสช่วงสั้นๆในการได้ลองทดสอบ KEF R Series ตัวเริ่มต้น รุ่นเล็กสุดราคาย่อมเยาว์ นั่นคือ KEF R100 นั่นเอง

จริงๆผมเคยมีโอกาศได้ฟัง Kef R Series มาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งที่ได้ฟังก็รู้สึกแปลกใจว่าลำโพงจากประเทศอังกฤษ series นี้ ทำไมทำเสียงออกมาได้ไม่เหมือนชาวบ้านเค้าเลย เรียกง่ายๆว่า ฟังแล้วไม่มีใครเหมือน เสียงแบบนี้มียี่ห้อนี้ยี่ห้อเดียวจริงๆ และฟังกี่ครั้งๆผมก็รู้สึกถูกจริต ชอบในน้ำเสียงของ Kef R Series ทุกครั้งไป

มันน่าน้อยใจนะครับ ที่บางทีลำโพงที่เราชอบ เสียงแบบที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย เพราะ เสียงดี  แต่กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรในบ้านเรา  อาจจะเป็นเพราะบุคลิกเสียงของเจ้า Kef R เองที่ไม่ได้ไปทางพิมพ์นิยมแบบสไตล์คนฟังเพลงบ้านเราสักเท่าไร่ก็ได้




เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จะขออธิบายแนวเสียงของ Kef R Series (R100) กันเลย

  - เสียงมีรายละเอียด ชัด ยังคงยืนยันว่า ฟังกี่ครั้งๆ แนวเสียง R100 ที่เด่นชัดที่สุดเมื่อได้ฟังก็คือ Kef R Series เป็นลำโพงที่ Detail  เสียงมันมีรายละเอียดสูงมากก  ชัด  ดีเทลจ้าแบบสุดๆไปเลย และที่สำคัญแม้แต่เบสก็มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ตอดเล็กตอดน้อยเต็มไปหมด

- เสียงกระฉับกระเฉง ไม่อ้วน ไม่อวบ ไม่บาง ไม่อุ่น ไม่ laidback  ไม่หวานจนเอื่อยเฉื่อย เสียงชัดแต่ทว่า ไม่สด ไม่พุ่งเกินไป  และนี่คืิอแนวเสียงของ Kef R เสียงจะว่าไปก็ติดไปทางสมัยใหม่หน่อย  โทนเสียงไปทางดิจิตอลนิดๆ  ถ้าใครชอบหวานๆอาจจะผิดหวัง ใครขอบลำโพงเฉื่อยๆ เสียงโทนอุ่นๆอาจจะไม่ใช้แนว

ก็ด้วยแนวเสียงแบบนี้จึงทำให้ Kef R  อาจไม่ได้ตรงสเปกใครหลายๆท่านโดยเฉพาะนักฟังระดับผู้ใหญ่ที่อาจจะชอบแนวเสียงโทน อิ่มๆ ฟังสบาย เนิบๆ หวานๆหน่อย
คือ Kef นั้นก็ฟังสบาย ฟังลื่นหู  แต่มันไม่ใช่ึความลื่นหูในแบบที่ลำโพง B&W หรือ Elac เป็น   แต่ทว่ามันเป็นความลื่นหูในอีกรูปแบบนึงที่แตกต่างออกไป  หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆก็ แนวเสียงของมันมีความเป็นตัวของตัวเอง  โทนเสียงมีความทันสมัยใหม่หน่อย มีความลื่นหูในแบบที่วัยรุ่นและใครก็ตามที่ถวิลหาความกระฉับกระเฉง ความชัด  รายละเอียดที่คมชัด  แต่ฟังสบาย ฟังง่าย ฟังสนุกไปพร้อมๆกันได้




จากการที่เราทดสอบและลองฟัง Kef R Series ให้ดีเทลและรายละเอียดสูงมาก แยกแยะรายละเอียด ชิ้นดนตรีได้ดี   จากการทดลองทั้งดูหนังและฟังเพลง เราพบว่า Kef R นั้นเหมาะกับ AVR หรือ Pre Processor ที่โทนเสียงไปทางหนาหน่อย  เพราะสาเหตุว่า Kef R ให้รายละเอียดดีอยู่แล้ว พอนำไปจับกับแอมป์ที่ให้โทนเสียงมันพลัง หนา จึงไปด้วยกันได้ดีมาก เช่น Anthem, Onkyo หรือ Marantz ก็ไปด้วยกันได้เช่นกัน

และด้วยคุณสมบัติเด่นๆของ Kef แบบนี้ พอนำมาใช้ดูหนัง  สิ่งที่ผมจินตนาการว่า มันต้องบาง ไม่มีอิมแพค ดูหนังไม่สนุก เหมือนกับลำโพงฟังเพลงดีๆหลายตัว ที่ถ้าหากมันฟังเพลงดี เราก็ต้องสูญเสียบุคลิกที่ดีในการดูหนังไปบ้างนั้น   สิ่งที่พบก็คือ Kef R Series ดูหนังได้ค่อนข้างดีมากทีเดียว  มันมีความสมดุลย์อยู่ตรงจุดที่ใช้ฟังเพลงก็ได้ และใช้ดูหนังก็ทำได้ดีมากทีเดียว   ในซิสเต็มที่ผมทดสอบ Kef R100 นั้นจะใช้อุปกรณ์ดังนี้

---------------------------------------
- Pre Anthem AVM60
 - Emotiva XPA 5,3
 - Kef R10
 - Klipsch RC62 ii
 - Klipsch RP250S
 - SVS SB13 Ultra

---------------------------------------


 

ในหลักการแล้ว คู่หน้าและเซ็นเตอร์เราควรจะเป็นลำโพงโทนเดียวกัน ยี่ห้อและซีรี่ย์เดียวกัน  แต่จากที่เราลองใช้งานและเปิดหนังดูไปหลายๆเรื่องแล้ว  พบว่า เออออออ  มันก็ไปกันได้ดี ฟังดี  บางทีบางช่วงอารมณ์ ผมกลับชอบอารมณ์ของคู่หน้า Kef R100 มากกว่าคู่หน้าตัวเดิม Klipsch RP280F ซะอีก
ซึ่งความต่างของมันก็คือ Klipsch RP280F นั้นให้เเสียงพุ่ง สด เบสเยอะ อิมแพคหนัก ติดกระด้างนิดๆ ตามสไตล์ลำโพงดูหนังที่ดี   แต่พอลองสลับมาใช้ Kef R100 แล้ว ผมกลับพบว่าคู่หน้าที่ซอฟท์ลง แต่ให้รายละเอียดได้ดีขึ้น แยกแยะมิติ ชั้น layer และดีเทลต่างๆได้ดีขึ้น ให้เสียงเล็กๆน้อยๆ ออกมาได้ชัดขึ้น เบสเล็กเบสน้อยออกมาทำได้ดี ชัดและเละเอียด  จนส่งผลให้ผลักดันให้ลำโพงเซ็นเตอร์ของ Klipsch RC-62 ii  และลำโพงเซอราวด์ RP250S  ดูเด่นขึ้นไปอีกเพราะ โทนเสียงของคู่หน้ามันชัด แสดงรายละเอียดได้มาก   ซอฟท์ลง  โทนเสียงดูสุภาพลง  เลยทำให้ไม่ไปกวนเสียงอื่นๆ จนทำให้แชนแนลอื่นๆ ดูชัดและเด่นขึ้น โดยเฉพาะเสียงพูดจากเซ็นเตอร์และเสียงเซอราวด์ 

ซึ่งจริงๆถ้าจับคู่กับเซ็นเตอร์ Kef R200C น่าจะเข้ากันและโทนเสียงดูซอฟท์และได้รายละเอียดที่น่าฟังกว่านี้ครับ  (แต่ความดุ ความสด ความกระแทกกระทั้นนั้นก็คงสู้ klipsch ไม่ได้)




ลักษณะภายนอกของลำโพง Kef R100 นั้นสวยงามเหลือเกิน ตัวตู้ไฮกลอสสีดำวับเป็นเงา หน้าตาดูโมเดิร์นมากกว่าจะไปทางคลาสสิค  คือถ้าเทียบกับ B&W หรือ Elac ที่ราคาเท่าๆกันแล้ว เราจะเห็นว่า โทนการออกแบบลำโพงนั้น ไปในทางที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเอาใจกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกันด้วย  ส่วนตัวผมมองว่า Kef R Series นั้นออกจะเอาใจคนที่ชอบความทันสมัย ดูโมเดิร์น ดูกระฉับกระเฉง ดูอายุน้อย ดูสมัยใหม่ มากกว่าเอาใจแฟนๆที่ชอบความคลาสสิค   ชอบอะไรที่ดูลุคออกไปทางอบอุ่นๆและผู้ใหญ่ขึ้นมาแบบอีกสองแบรนด์ข้างต้น 


Kef R Series เหมาะกับใคร


 1. เหมาะกับคนที่ชอบโทนเสียงละเอียด ชัด ไม่หวาน ไม่ช้า ไม่อืด


 2. เหมาะกับคนที่หาลำโพงในงบ 3 หมื่นบาทไปจนไม่เกินแสน

ราคาเข้าถึงได้ไม่แพงเกินไป ซึ่งในตัวเลือกนี้ก็จะไปชนกับคู่แข่งหลายค่ายไม่ว่าจะเป็น Elac, B&W, Monitor Audio Silver, PSB, Wharfedale หรืออีกหลายๆแบรนด์  แต่เอาเข้าจริงๆ กลายเป็นว่า Kef R เป็นแบรนด์และซีรี่ย์เดียวที่ให้โทนเสียงมีเอกลักษณ์และไม่เหมือนชาวบ้านในกลุ่มข้างต้นที่ยกตัวอย่างไปอย่างสิ้นเชิง   ซึ่งโทนเสียงลำโพงในราคาระดับ 3หมื่น- 1แสนบาทนี้ส่วนใหญ่จะจูนกันมาเน้นความฟังง่าย สบาย กรุ๊งกริ้ง เอาใจคนที่มีกำลังซื้อระดับกลาง ที่ต้องการลำโพงฟังสบายๆซักหน่อย (ไม่รวม Klipsch)   แต่ Kef กลายเป็นตัวเลือกเดียวที่แตกต่างในแง่ของเสียงที่ไม่ค่อยเหมือนใครเท่าไร่  และที่สำคัญ Kef มันขับง่าย คือไม่ได้ขับยากอะไรมาก ถ้าให้เทียบก็ขับยากกว่า Klispch แต่ก็ขับง่ายกว่าลำโพงอื่นๆในท้องตลาดมากครับ  แต่ถ้าจะให้มันแสดงศักยภาพออกมาได้ดี เราก็แนะนำว่าให้ใช้ AVR, Pre-Power ดีๆให้มันหน่อย รับรองคุณจะได้ยินอะไรดีๆจาก Kef R Series แน่นอน

3. เหมาะกับคนที่ชอบลำโพงตัวเดียว
และใช้มันไปได้ดีทั้งดูหนัง และฟังเพลง คือมันทำได้ดีทั้งสองอย่างจริงๆโดยไม่ต้องไปเค้น หรือไปรีดอะไร ไม่ต้องเอาอุปกรณ์ราคาแพง ไม่ต้องเอาเส้นสาย acessories อะไรไปยัดให้มันเสียงดีแต่อย่างใดครับ (แต่ถ้าใช้ของดี เสียงมันก็จะดีขึ้นไปอีก)   แต่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า เสียงดีทั้งดูหนังฟังเพลงนี่ มันบาล้านออกมาในจุดที่สมดุลย์กัน  แต่มันก็ไม่ได้ไปถึงระดับลำโพงเฉพาะทางมากๆ เช่นลำโพงเน้นดูหนังจ๋าๆ อย่าง Klipsch หรือโทน THX อย่าง M&K, Klipsch THX Ultra2 หรือแบรนด์อื่นๆที่ไม่ขอพูดถึง
หรือการฟังเพลงมันก็ไม่ได้ไปถึงจุดแบบ Proac หรือลำโพงที่เน้นฟังเพลงมากๆตัวละเป็นแสนแบบนั้น 
Kef R ทำได้สมดุลย์ทั้งสองอย่างในจุดหนึ่ง แต่จุดนั้นจะถูกใจคุณมั๊ย ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆสำหรับผม มันเป็นลำโพงที่ดูหนังและฟังเพลงดีมาก จนแทบจะไม่ต้องแยกลำโพง ไม่ต้องแยกซิสเต็มแล้วก็ว่าได้ (ถ้าคุณไม่ได้หูทองมากจนเกินไป และถ้าคุณประนีประนอมกับมันบ้าง)




Kef R Series ไม่เหมาะกับใคร


1. ไม่เหมาะกับคนที่ชอบลำโพงสไตล์หวานๆ ช้าๆ laidbackๆ โทนอุ่นๆ นุ่มๆ ผู้ใหญ่ๆ เนิบๆ

2. ไม่เหมาะกับคนที่ชอบลำโพงสไตล์สดๆ บ้าพลัง แบบ klipsch แบบพวกลำโพง THX  Kef R Series ทำได้ดีในระดับนึง แต่ไม่ได้จูนเสียงให้ไปในทางสายพลังครับ




จบแล้วครับ  กับ Kef R100 โทนเสียง  ข้อดี ข้อเสีย หากใครคิดว่าตัวคุณลองผิดลองถูกกับลำโพง Home Audio ทั่วๆไปมามากแล้ว  และอยากได้ลำโพงตัวเดียวในชีวิตที่ใช้มันได้ทั้งฟังเพลง และดูหนังก็ดีด้วย โดยไม่ต้องไปยุ่งยากหาชุดแยกซิสเต็มหลายๆชุดแล้วละก็  เราอยากจะบอกว่าให้ลองพิจารณา Kef R Series ดูครับ  มันอาจะเป็นคำตอบที่คุณกำลังค้นหาอยู่ก็ได้
แต่สำหรับผม ถ้าถามว่า ให้เลือกลำโพงที่ดูหนังและฟังเพลงดีในตัวเดียวกัน ผมก็คงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจาก Kef R Series....


ราคา Kef R Series:
http://www.whatthatsound.com/category/10/kef/kef-r-series




















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 11, 2016, 12:37:24 pm โดย keamglad »