ผู้เขียน หัวข้อ: What's That Sound ขาย Klipsch, KEF, Procella , SVS, Anthem, Parasound,Audyn  (อ่าน 329010 ครั้ง)

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Elac ลำโพงสัญชาติเยอรมันแท้ๆ



โดย Philosophy ของ Elac นั้นคือ "Passion for music - ELAC brings it to life."
นั่นก็คือลำโพงของ Elac จะมุ่งเน้นความไพเราะและการถ่ายทอดเสียงเพลงและท่วงทำนองต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นแนวเสียงก็จะออกแนวโปร่งๆ กลางนุ่มนวล เบสนุ่มฟังง่าย สำหรับยี่ห้อนี้จะไม่ได้เน้นมาทางสายโหดเหมือนพวกลำโพงสายอเมริกันจ๋าอย่าง Klipsch
และก็จะไม่ได้มาทางสาย Laid back เหมือนพวกลำโพงฝั่งอังกฤษเช่น Mordaunt Short และ B&W   ซึ่งจะว่าไปก็เป็นอีกแนวนึงที่น่าสนใจ จะเอามาฟังเพลงก็ได้ ดูหนังก็ดี เรียกได้ว่าเดินมาทางสายกลาง และมีเอกลักษณ์ของตัวเองนั่นเอง 



พอพูดถึงลำโพงสัญชาติเยอรมัน เราก็จะนึกว่าเสียงจะต้องโหด แต่จริงๆผู้ผลิตลำโพงสัญชาตินี้มักชอบทำแนวเสียงออกมาในแนวนุ่มนวล ชวนฟังและให้เสียงที่ฟังสบายเป็นธรรมชาติ เช่น Canton, Elac สำหรับใครที่ชื่นชอบในเทคโนโลยี ความพิถีพิถัน งานประกอบ ผิวลำโพงไฮกลอสสวยๆ เสียงที่ฟังแล้วสบายหู ฟังได้นาน ไม่ล้าหู  ยี่ห้อนี้ก็เป็นอีกตัวนึงที่น่าสนใจครับ




โดยก่อนหน้านั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนใครที่เคยสัมผัสเสียงของลำโพง Elac รุ่นเก่าๆนั่น คงจะทราบดีนะครับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในแนวเสียงของลำโพงแบรนด์นี้อย่างมีนัยสำคัญมากๆ  นั่นคือหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของผู้ถือหุ้นในบริษัท ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแนวการรุกของตลาด เสียง รวมไปถึงพัฒนาแนวทางของตัวเองให้มีความชัดเจนมากขึ้นเมื่อ 7-8 ปีมานี้ครับ

โดยแรกๆ ลำโพงรุ่นเก่าเมื่อ 10 กว่าปีก่อนของ Elac นั้นจะไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการฟังเพลง ความไพเราะ ความเนียน นุ่มฟังสบายเหมือนเช่นทุกวันนี้  จนวันที่ ELAC เริ่มพัฒนาและต่อยอด Jet Tweeter จนเสียงออกมาลงตัวและค้นพบแนวทางของตนเองเฉกเช่นทุกวันนี้ครับ  โดยตลาดส่วนใหญ่ของ ELAC นั้นจะมุ่งเน้นตลาด Audiophile ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เยอรมัน ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่นซะเป็นส่วนใหญ่ โดยกลุ่มคนที่รักลำโพง ELAC นั้นจะเป็นคนที่รักในเสียงดนตรี คนที่ใส่ใจในเสียงตัวโน๊ตที่ได้ฟังจะต้องถูกต้อง ลื่นไหล ฟังสบาย ซึ่งจะเห็นว่าไม่ได้เน้นตลาด Home Theater หรือคอที่ชอบลำโพงแนวหนักๆ ร๊อคๆเท่าไรนัก แต่ก็ยังมีการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ออกมาเพื่อเอาใจคนที่ชอบการดูหนังออกมาเช่นกันครับ













ทีนี้ไฮไลท์สำคัญและสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับลำโพง ELAC นั่นก็คือ

1. ดอกวูฟเฟอร์เสียงต่ำและเสียงกลางที่ใช้เทคโนโลยีเฉพาะ ที่ทาง Elac เรียกว่า "Crystal Membrane"  โดยชื่อก็มีที่มาจากผิววูฟเฟอร์ที่มีลักษณะคล้ายคริสตัล  โดยตัวดอกวูฟเฟอร์ใช้เทคโนโลยีแบบ "Aluminum-Sandwich" ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของทาง Elac ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน
ดอกวูฟเฟอร์แบบคริสตัลนี้ทำมาจากอลูมิเนียมผสมกับกระดาษ (Paper cone) ผสานกันด้วยเทคโนโลยีแบบพิเศษทำให้ผลลัพธ์ที่ได้นั้นออกเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า "Aluminum-Sandwich"



2. เทคโนโลยี VX-JET ที่ใส่ให้มาในลำโพงบางรุ่นของ Elac เช่นรุ่น FS-509  นั้น เป็นเหมือน EQ ที่สามารถหมุนปรับจูนเสียงลำโพงให้มีเสียงที่กว้าง หรือจะโฟกัสเสียงให้เฉพาะพุ่งมาที่จุดนั่งฟัง โดยสามารถเลือกปรับให้เหมาะสมกับลักษณะและขนาดของห้องฟังแต่ละห้องได้




3. ดอกลำโพงเสียงสูง (Tweeter)
ที่ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Jet Tweeter โดยพัฒนามาจาก Tweeter แบบ Ribbon 
ข้อดีของ Jet Tweeter ก็คือสามารถให้ช่วงความถี่สูงมากกว่า Tweter แบบปกติ นั่นก็คือสามารถทำงานได้ถึง 50 kHz  แต่จริงๆหูของมนุษย์สามารถรับฟังเสียงได้ประมาณ 20,000 Hz แต่กระนั้นประโยชน์ของ Jet Tweeter นั้นก็คือสามารถตอบสนองความถี่ได้ราบเรียบโดยไม่มีความเพี้ยน (Distortion)ไปจนสุดความสามารถที่หูมนุษย์จะได้ยินนั่นเอง 
และข้อดีอีกอย่างของ Tweeter แบบนี้หากเน้นในเรื่องการฟังเพลง ความนุ่มนวล รายละเอียดเสียงต่าง จะเปิดและให้รายละเอียดออกมาดีกว่าพวกโดมผ้าทวีตเตอร์แบบที่ลำโพงฟังเพลง Audiophile หลายๆตัวนิยมใช้   
เนื่องจาก Jet Tweeter มีน้ำหนักเบา ให้รายละเอียดได้ดี ตอบสนองความถี่ได้สูงมากเมื่อเปิดเบาๆจะให้รายละเอียดของเสียงออกมาดีกว่า Twetter ตัวอื่นในระดับราคาเดียวกันด้วย

ELAC เริ่มเปิดตัว Jet Tweeter ในลำโพงของตนเองครั้งแรกเมื่อ 20 กว่าปีก่อน (1993) โดยชื่อเต็มๆของ Jet Tweeter คือ AMT Tweeter ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาโดยนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน 
หลังจากที่ ELAC เปิดตัว Jet Tweeter ออกมา ก็ได้รับการพัฒนามาเรื่อย จนไปได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงในรุ่น FS407 และก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในบริษัทเอง รวมไปถึงแนวเสียงด้วย จากเดิมที่เสียงแข๊งๆคม หนักแน่น ก็กลายมาเป็น เนียน ใส เบสนุ่มอิ่ม อย่างเช่นทุกวันนี้

** AMT Tweeter นั้นถูกนำไปใช้ในลำโพงยี่ห้ออื่นเช่นกัน แต่จะถูกเรียกในชื่อต่างๆกันไปเช่น
EmotivaPro เรียกว่า Airmotiv
MartinLoganเรียก Folded Motion Tweeter




จะเห็นว่าการดีไซน์ของวิศวกร งานประกอบ ความพิถีพิถันในการปรับจูนและใส่อุปกรณ์ต่างๆของ Elac นั้น ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้เสียงทุกความถี่ที่เล่นผ่านลำโพงของพวกเค้านั้น ได้เสียงที่เป็นธรรมชาติ ฟังสบาย และเหมาะกับการฟังเพลงจริงๆครับ 
ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าใครที่เลือกลำโพง Elac จะไม่มีคำว่าล้าหู เสียงจัด กัดหู ฟังแล้วเหนื่อยแน่นอน

*** Elac นี้เราอยากให้ใส่ใจและเลือก Amp ที่เอามาขับสักนิดครับ เพราะความไวของ Elac นั้นจัดอยู่ในระดับกลางๆไปจนถึงไม่สูงนัก ประมาณ 88-90 dB นั่นก็คือขับยากพอสมควร ดังนั้นถ้าได้แอมป์ที่กำลังดีๆ ถึงๆหน่อยแล้วละก็รับรองว่า Elac จะเปล่งเสียงเพลงได้อย่างไพเราะสมกับชื่อชั้นลำโพงชั้นดีจากเยอรมันแน่นอนครับ



















 ============================================

Facebook: https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
Line ID: keamgladnan
Tel: 089-9695946
Site Store: http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353

============================================

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 07, 2015, 01:14:17 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
จัดส่ง Klipsch RP-250S ไปให้ลูกค้าที่บางใหญ่ครับ
ลำโพงเซอราวด์ไบโพลเสียงดีๆตัวนี้ถูกออกแบบและปรับเปลี่ยนดีไซนตัวตู้ใหม่ การจัดวางดอกแบบใหม่
ตัว RP-250S นี้ถ้าคิดว่าดูจากตัวเลขสเปกแล้วเสียงคงไม่ต่างจากรุ่นเดิม ผมต้องบอกเลยว่า "ต้องไปลองฟังดูครับ"

ดูรายละเอียดและสั่งซื้อ RP-250S ได้ที่นี่: http://www.whatthatsound.com/product/21/klipsch-reference-premier-rp-250s



















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 24, 2015, 10:55:14 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


มีห้องดูหนังดีๆ มีชุดโฮมเธียร์เตอร์เยี่ยมๆกันแล้ว อย่าให้ใครมาค่อนขอดว่าเราเป็นนักเล่นเครื่องเสียงที่ฟังเครื่องมากกว่าเสพความสุขที่ได้จากการรับชมภาพยนตร์นะครับ

วันนี้เรามาแนะนำหนังที่ควรหามาดูเพราะ สนุก ประทับใจ หรือภาพและเสียงยอดเยี่ยม เอามาแชร์กันครับเผื่อว่าใครจะมีใครชอบเหมือนกัน และใครที่ยังไม่เคยดูจะได้ตามมาหาดูกันได้
แล้วหนังดีๆ ที่เพื่อนๆคิดว่าห้ามพลาด มีเรื่องอะไรกันบ้างครับ เอามาแชร์กันได้เลย จะได้มีหนังดีๆดูกันเยอะๆ?

โดยเกณฑ์ที่เราคัดเลือกหนังเหล่านี้นั้น เราจะไม่แบ่งแยกประเภท ไม่แบ่งปีที่ถ่ายทำ และไม่ได้ให้คะแนนว่าต้องภาพและเสียงสุดยอด เบสออกมาเป็นลูกๆ บรรยากาศโอบล้อมดี แต่จะเน้นเนื้อเรื่อ ความสนุกมากกว่าครับ  โดยคราวหน้าเราจะมาแนะนำหนังที่ภาพและเสียงดีที่เหมาะแก่การเก็บสะสมไว้เทสภาพและเสียงประจำห้องโฮมกันบ้าง   อดใจรอกันครับ

ปล ใครมีหนังดีๆที่อยากแนะนำ ก็แชร์หรือบอกต่อกันได้เลยครับเพื่อเป็นการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับคนที่มีใจรักสิ่งเดียวกันครับ

-----------------------------------------------------------------------------

24 The best films should see before die



1. Chungking Express (IMDB: 8.1) - หนังจากผู้กำกับหว่อง กา ไว ที่ขึ้นชื่อว่าทำหนังได้เหงาและเท่ที่สุดในโลก นี่เป็นหนังที่ดึงจิตวิญญาณและอารมณ์ของคุณให้ดำดิ่งไปในห้วงแห่งความเหงา ความว้าเหว่ เรื่องนี้จัดว่าเป็นงานชิ้นเอกของหว่องกาไว ใครชอบก็รักเลย ใครเกลียดก็เกลียดเลย  อารมณ์เหมือนนั่งจิบกาแฟ นั่งอ่านนิตยสาร Wallpapers เหงาๆชิคๆอยู่ที่คลับในบูดาเปส



2. District 9 (IMDB: 8.0) - หนัง Sci-fi ที่เอเลี่ยนไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายรุกรานมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่มนุษย์สามารถรุกรานและรังแกเอเลี่ยนได้ด้วย
เนื้อหาสร้างสรรค์ ดูสนุก ไม่ได้เน้นบู๊ล้างผลาญอย่างเดียว หนังสื่อถึงอารมณ์และมุมมองของทางฝั่งเอเลี่ยน ทำให้หนังดูใหม่ และไม่ซ้ำใคร แถมการถ่ายทำ เนื้อเรื่องยังทำออกมาได้สนุกมากๆอีกด้วย



3. Life of Pi (IMDB: 8.0) - จินตนาการบรรเจิดเหมือนเราไปล่องอยู่กลางทะเลจริงๆ อารมณ์ประหนึ่งนั่งอ่านนิทานอาหรับราตรีสมัยเด็กๆ ที่มีสิงสาราสัตว์ นั่งเรือล่องไปในท้องมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ผจญภัญบนเกาะร้างอันเวิ้งว้าง  ตอนท้ายมีแฝงปมให้คนดูไปคิดกันต่อด้วยว่าตกลงเป็นเรื่องจริงหรือจินตนาการ



4. 300 (ภาคแรก) (IMDB: 7.8) - น่าตื่นตาตื่นใจ ภาพและเทคนิคการถ่ายทำสวยสุดยอด ถือเป็นการฉีกกฏเกณฑ์ของโลกภาพยนตร์ในสมัยนั้นเลย ดูครั้งแรกต้องอ้าปากค้างแน่นอน  ต่อมาก็มีหนังในสไตล์เท่ๆแบบนี้ตามออกมาอีกเช่น Sin City แต่สไตล์นี้เรายังถือว่า 300 ยังเจ๋งสุดอยู่ดี



5. Pandorum (IMDB: 6.8) - หลายคนอาจจะชอบหนัง Sci-fi เรื่องอื่น แต่สำหรับเรา เรายกให้นี่้เป็นสุดยอดหนังไซไฟที่ดีที่สุดเรื่องนึงตลอดกาล ให้อารณ์หลอนของหนังสยองขวัญ และให้อารมณ์หลงทางในห้วงอวกาศในเรื่องเดียวกัน ตอนจบคืออะไรที่สุดยอดและหักมุมโดนใจเรา



6. Trainspotting (IMDB: 8.2) - หนังอินดี้ที่โคตรเท่ สำหรับคนที่ค้นหาความหมายและคำตอบของชีวิตว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตเราต้องการเดินไปตามกรอบเดิมๆ  ใช้ชีวิตมีความสุขตามวิถีทางเดิมๆไปตลอดชีวิตอย่างประโยคที่ในหนังทิ้งท้ายเอาไว้นะหรือ? 
Choose life. Choose a job. Choose a starter home. Choose dental insurance, leisure wear and matching luggage. Choose your future. But why would anyone want to do a thing like that?



7. Goemon (IMDB: 6.8) หนัง animation ที่ดีที่สุดสำหรับคนอื่นอาจจะเป็นอนิเมชั่นของ Pixar แต่สำหรับเรามันคือเรื่องนี้ Goemon นอกจากภาพจะสุดยอดแล้ว เนื้อหายังลุ่มลึก คมคายและทรงพลังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของตะวันออก ภาพสวย เสียงดี แถม Soundtrack ทรงพลังสุดๆ



8. Edge of Tomorrow (IMDB: 8.0) หนังไอเดียสุดบรรเจิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนคิดพล๊อตเรื่องแบบนี้ได้ ถ้าเด็กๆใครเคยเล่นเกม action ที่เวลาจะผ่านด่านยากๆ ก็กดเซฟและรีเซทมาเล่นใหม่เรื่อยๆจะอินกับเรื่องนี้มาก ทั้งสนุกทั้งคมคายในไอเดีย หนังมีคอนเซ็ปที่ซับซ้อนแต่สื่อออกมาให้ดูง่ายและสนุก เสียอย่างเดียวตอนท้ายดูเว่อร์ไปหน่อย เหมือนเล่นตัวเดียวฆ่าบอสผ่านด่านสุดท้ายซะอย่างงั้น



9. The collector (IMDB: 6.4) ที่สุดของที่สุดของหนังสายโหด ถ้าได้ดูจนจบ จะไม่มีวินาทีไหนเลยที่คุณไม่ตื่นเต้นตกใจไปกับความสุดสะพรึงของหนัง ปล ห้ามดูตอนกินข้าวนะ เตือนไว้เลย



10. My Way (IMDB: 7.7) คนอื่นอาจให้ Saving Private Ryan เป็นหนังสงครามที่ดีที่สุด แต่สำหรับเรา เราให้ My Way นี่คือหนังสงครามที่ใส่บรรยากาศความโหดร้าย มิตรภาพ ความงดงาม และถ่ายทอดเรื่องราวอันลึกซึ้งผ่านฉากหลังของสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างยอดเยี่ยม



11. Inception (IMDB 8.8) หนังที่อาจดูครั้งแรกและไม่ตั้งใจดูให้ดี อาจจะงง แต่ถ้ามีสมาธิและให้เวลากับมันจะรู้ว่านี่คือหนังที่พล๊อตเรื่องสุดยอดที่สุดตลอดกาล



12. Infernal Affair (ภาคแรก IMDB: 8.1) ถ้าพูดถึงหนังจีน คงไม่มีหนังแนวไหนที่ดีไปกว่าหนังแนวสืบสวนอีกแล้ว  และนี่สุดยอดของหนังต้นตำรับสืบสวนที่หักเหลี่ยมเฉือนคมกันสุดๆชนิดที่แม้ Hollywood จะซื้อบทมา re-make ก็ไม่คมคายและเท่เท่าต้นฉบับ  บรรยากาศความเนี๊ยบ ความเท่ รังสีของการหักเหลี่ยมยังไงก็สู้ภาคแรกที่ได้พี่หลิวกะเฮียเหลียงเล่นไม่ได้  เรากล้าพูดว่านี่คือหนึ่งในหนังสืบสวนที่ดีที่สุดในโลก



13. Sunshine (IMDB: 7.3)
หนังไซไฟของ Danny Boyle เรื่องที่สามที่อยู่ในลิสต์ของเรา ถามว่าทำไมเราถึงชอบสไตล์หนังแนวของ Danny Boyle นั้นก็เพราะความแนว ความใหม่ ความเท่ในทุกอณูของตัวหนังนั้นเอง



14. Trance (IMDB: 7.0) หนัง Danny Boyle อีกเรื่องที่เราชอบ ภาพและโทนของหนังมันเท่ เหมือนดูมิวสิกวีดีโอเก๋ๆ คูลๆ ภาพและแสงสวยยังกับอยู่ในความฝัน



15. เป็นชู้กับผี: หนังไทยเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่เรายอมรับในความลึก การหักมุม การหลอกคนดุที่มีชั้นเชิงและเจ๋งสุดๆ หนังให้บรรยากาศสุดสะพรึงไปทั้งเรื่องชนิดที่ว่าหวาดระแวงและไว้ใจใครไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ฉากจบทำเราขนลุกและร้องอุทานออกมาว่า "เชี่ย"



16. Inglourious Basterds (IMDB: 8.3)   หนังนาซีในสไตล์ของ Quentin Tarantino ที่ให้บรรยากาศชวนขนลุกในความน่าเกรงขามของนาซีได้ดีมากๆ เสน่ห์ของเรื่องนี้คือบทพูดที่พิถีพิถัน ดูใส่ใจในทุกรายละเอียด และความห่ามในสไตล์เควนติน 



17. Charlie Countryman (IMDB: 6.4)
หนังรักในสไตล์เท่ๆเหมือนนั่งดูงานกำกับภาพเจ๋งๆ มิวสิควีดีโอดีๆยาวๆสักเรื่อง



18. Gravity (IMDB: 7.9) หนังอวกาศที่ใหม่ทั้งไอเดียวและเทคนิคการนำเสนอ หนังสุดยอดเข้าขั้นมาสเตอร์พีช



19. Crank (ภาคแรก IMDB: 7.0)
หนังที่เถื่อน ดิบ และเท่และใหม่ (ในยุคนั้น) ฉากเปิดเรื่องสุดยอด การเดินเรื่องสุดมัน ไม่มีคำว่าน่าเบื่อแม้แต่วินาทีเดียว



20. Black Hawk Down (IMDB: 7.7) ต้นแบบหนังสงครามที่สุดยอด และสนุกที่สุดเรื่องนึง ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แค่รอดออกมาก็พอ



21. Real Steel (IMDB: 7.1) หนังหุ่นยนตร์ความฝันอันสูงสุดของเด็กผู้ชาย ที่ดูยังไงก็สนุกและครองใจหนุ่มๆทั่วโลก



22. A.I. (IMDB: 7.1) หนังไซไฟไอเดียสุดล้ำที่้ต้องดูเพราะสุดยอดทั้งเนื้อหาและคอมพิวเตอร์กราฟฟิค



23. The Curious Case of Benjamin Button (IMDB: 7.8) หนังโรแมนติกดราม่าสุดซึ้ง ที่ถ้าไม่หามาดูแล้วจะต้องเสียใจ



24. I Give it a year (IMDB: 5.8) Begin Again อาจเป็นหนังที่ดี แต่สำหรับทุกคน แต่เราให้เรื่องนี้ดีกว่า ในแง่ของความใหม่ของเนื้อเรื่องที่ความรักไม่จำเป็นซื่อสัตย์กับคนรักและจบลงแบบสมหวัง แต่ก็ยังมีความสุขได้ เอ๊ะยังไง ใครเคยมีความหลังกับการเลือกคนรักจะชอบครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 02, 2016, 10:17:50 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


นานมาแล้ว ผมเคยสนทนากับชายคนนึงเรื่อง "เครื่องเสียง"
 
หัวข้อสนทนาก็คือ ทำไมคนเราถึงต้องซื้อเครื่องเสียงแพงๆๆ ดีๆ ราคาทั้งชุดเป็นแสน-สองแสน
 
ได้แชร์มุมมองกันว่า เอาเงินสองแสนนี้ไปดูหนังในโรงดีกว่า สมมติดูครั้งนึงสองคนใช้เงิน 300 บวกป๊อปคอร์น น้ำอัดลม ค่ารถ ค่าเดินทางตีซะ 500
เราสามารถเอาเงิน 500 บาทนี้ไปดูหนังได้ตั้ง 400 ครั้ง
สมมติดูอาทิตย์ละครั้ง ก็จะดูได้ตั้ง 8 ปีแนะ
ทำไมต้องมาจ่ายซื้อเครื่องเสียงแพงๆละ
 
นั่นสิ!!!!........ เพื่อนผมคนนี้ให้แง่คิดในมุมมองเศรษฐศาสตร์ที่ผมและคนเล่นเครื่องเสียงหลายๆคนไม่เคยคิดถึงเลย
 
 
ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปหรอกครับ
แต่หลังจากนั้นผมก็กลับมานั่งคิดว่า สิ่งที่ชายคนนี้บอกมามันอาจจะเป็นความจริง
แต่มันคือความจริงในแง่ของตัวเลข ในมุมมองของปริมาณ ที่ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก แบนราบ แต่ยังขาดการเปรียบเทียบในเชิงคุณภาพ และความรู้สึก เช่น
 
- โรงหนัง คุณอยากดูวันไหน ตอนไหนคุณดูได้ทุกเวลาหรือเปล่า

- โรงหนัง คุณจะเดินมา ตอนตี 2 ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น ถือไวน์ ถือขนมในตู้เย็น เอามือถือ เอางานเข้าไปดูเหมือนในบ้านได้หรือเปล่า

- โรงหนัง คุณเดินเข้าห้องแล้วดูได้เลย หรือต้องขับรถ ไปแย่งที่จอดรถ ต้องไปเข้าคิวรอซื้อตั๋วกันแน่

- โรงหนัง คุณอยากดูคนเดียว อยากดูกับภรรยา ไม่อยากให้ใครมาเบียด อยากดูมันคนเดียวทั้งโรงได้หรือเปล่า (อาจจะได้ ถ้าเหมาโรง)

- โรงหนัง คุณอยากจะกดหยุด แล้วไปรับโทรศัพท์ ไปหยิบขนม ไปเข้าห้องน้ำ หรือออกไปรับแขกหน้าบ้าน ได้มั๊ย

- โรงหนัง คุณเลือกหนังที่คุณชอบ หนังเก่า เอามาดูซ้ำได้หรือเปล่า

- โรงหนัง คุณสะสมหนัง แผ่นหรือไฟล์เรื่องที่คุณชอบเอาเก็บมาไว้ดูซ้ำๆได้มั๊ย
 
แล้วสุดท้ายถามว่า ผ่านไป 8 ปี ระหว่างคนที่เอาเงินไปดูหนังในโรง กับคนที่ซื้อเครื่องเสียงไว้ที่บ้าน ใครได้อะไรมากกว่ากัน คนเล่นเครื่องเสียงได้ชุดเครื่องเสียงไว้กับบ้าน ดูได้ต่อ คนดูหนังโรงก็ได้ประสบการณ์แต่ไม่ได้ของ
 

 
 
คำถามนี้มันก็เหมือนกับถามว่า ในเมื่อรถคันละ 5 แสนมันพาคุณไปถึงจุดหมายได้ แล้วทำไมคนเค้าซื้อรถคันละหลายล้านละ ในเมื่อฟังก์ชั่นมันพาไปสู่จุดหมายได้เหมือนกัน......
คำตอบถ้าตอบในแง่เศรษฐศาสตร์คือ แค่จุด a ไปจุด b ไม่เห็นจะต้องจ่ายแพง
แต่คนที่เล่นรถก็จะตอบว่า คุณภาพตรงที่คุณเดินทางจากจุด a ไปจุด b นะมันต่างนะครับ อัตราเร่ง ฟีลลิ่ง เวลาเหยียบคันเร่งเอยอะไรเอย ช่วงล่างเอย.....
คนที่ไม่ได้เล่นรถก็จะตอบว่า โอ้ย ถนนกทม ติดจะตายจะเอาเร็ว เร่งอะไรนักหนา
 
สุดท้าย การเปรียบเทียบมากมายก็ไม่มีผลอะไรเพียงเพราะแค่คำว่า "ปัจเจก" ครับ คนเรามีความชอบไม่เหมือนกัน
เราไปคุยกับคนที่ชอบอะไรมากๆ เค้าก็พร้อมจะจ่ายเพื่อสิ่งนั้น
แต่สิ่งที่เราชอบเค้าอาจจะมองว่าฟุ่มเฟือยก็ได้ ดังนั้นอย่าดูถูกความชอบของใครครับ เพราะไม่แน่เรื่องที่เรามองว่าไร้สาระ แต่มันอาจเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ เติมเต็มชีวิตเค้าก็ได้นะ
 

 
ผมเคยเห็นผู้ชายที่สะสมของเล่นเก่า ตุ๊กตาตุ๊กตุ่นสะสมเยอะจนเริ่มนานวันก็เปิดเป็นพิพิธพัณย์ย่อมๆได้ก็มี ผมมองว่าใครชอบอะไร คลั่งไคล้อะไร แล้วทุ่มเท ให้เวลาจริงจังกับมัน มีความสุขไปกับมันนั้น เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมทั้งสิ้นครับ
เพราะคนเราเกิดมามีเวลาแค่สามวัน เมื่อวานใช้ไปแล้ว วันนี้ และวันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะหมดลงวันไหน จากเวลาเฉลี่ย 21,900 วันที่มี วันนี้ผมและหลายๆคนอาจจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร และเจียดเวลา เงิน สิ่งที่มีมาใช้มัน หาความสุขให้ชีวิต ผมว่ามันคุ้มทั้งนั้นตราบใดที่เราไม่ทำร้ายใคร ไม่ดูถูกใคร และไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน
 
ผมรักเครื่องเสียง ชอบดูหนัง ฟังเพลง ชอบงานศิลปะ งานออกแบบ
แต่ไม่ว่าคุณจะรักเครื่องเสียง รักรถยนต์ มอเตอร์ไซต์ ถ่ายรูป ท่องเที่ยว แก๊กเจ็ท ของสะสม ของเก่า กีฬา ศิลปะ ดนตรี อะไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าคุณทำอะไร หรือชอบอะไร แต่สำคัญที่ว่าคุณทำมันแล้ว มันมีความสุขหรือเปล่า? ไม่มีใครผิดหรือถูกทั้งนั้นครับ......
 
แล้วความสุข, งานอดิเรกของคุณละครับ คืออะไร เหมือนของผมหรือเปล่า


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2015, 09:38:17 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


วันนี้เราเอา Preview (ทดลองฟัง) และรูปตัวเป็นๆของลำโพงKlipsch Reference Premier รุ่นใหม่ล่าสุดสดๆร้อนๆ เทียบกับ Klipsch Reference II
ที่เราได้สัมผัสและลองเปิดทดสอบชุดดูหนังฟังเพลงมาฝากกัน ครับ โดยในชุดนี้จะประกอบไปด้วย

---------------------------------------------------------------------------
Amp: Sherwood R607
คู่หน้า: Klipsch RP260F
Center: Klipsch RP440C
Surround: Klipsch Quentet V (รออัพ)
Subwoofer: Klipsch SW350 (รออัพ)
---------------------------------------------------------------------------











โดยชุดนี้มองดูเผินๆ แอมป์เหมือนจะตึงๆเล็กน้อยเพราะกำลังขับไม่มากนัก แต่จากการลองเปิด เซ็ทอัพแบบคร่าวๆ และนั่งดูหนังกันสักพัก พบว่าเสียงไม่ได้มีอาการขับไม่ไหวแต่อย่างใด กลับกันรู้สึกว่าเสียงของแอมป์ Sherwood ให้น้ำหนักเสียงเบสและการแพนเสียงที่กำลังดี ไม่มากไม่น้อย ไม่บางเกินไป ส่วนนึงก็เป็นอาณิสงค์ของความไวของลำโพง klipsch ที่สูงมากๆ (Sensitivity 98) ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้แอมป์กำลังขับสูงๆก็ขับลำโพงดอก 6.5 นิ้ว และขับลำโพงเซ็นเตอร์ 4 ดอกเรียงแบบนี้ได้สบายๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าอัพไปใช้แอมป์ที่กำลังขับมากกว่านี้ ก็คิดว่าเสียงน่าจะดีมากกว่านี้ไปได้อีกพอสมควร



ส่วนซุ่มเสียงตัวใหม่นี้ หลังจากแกะกล่องและลองฟังกันสดๆร้อนๆ พบว่าสิ่งที่ต่างจากตัวเดิมก็คือความลื่น นุ่มหู แต่ยังให้เสียงเบสโครมครามยิ่งกว่าเดิมเวลาดูหนัง สัมผัสแรกที่ได้ฟังนั้นเราสังเกตได้ชัดเจนว่า เสียงไม่กัดหูหรือสดมากเหมือนกับ Reference II ที่เวลาเราได้คู่ใหม่มายังไม่พ้นเบิร์นอินนั้น มักจะพบว่าเสียงจะกร้าว สดและแสบหูไปนิด แต่สำหรับ Reference Premier นั้น เรามองว่าฟังลื่นหูดีมากๆเลยทั้งแผ่นคอนเสิรต์ และหนังบลูเรย์อย่างเรื่อง Edge of tomorrow







จุดเด่นของ Klipsch Reference RP260 และ RP440C
(***ลองฟังครั้งแรก ลำโพงเพิ่งแกะกล่อง ยังไม่พ้นเบิรนอิน คำวิจารณ์ด้านล่างเกิดจากการลองฟังเพียงไม่นาน อาจไม่มีความแม่นยำและเที่ยงตรงมากนัก ใช้เป็นเพียงแนวทางคร่าวๆเนื่องจากลำโพงยังใหม่มาก)

1. เสียงเบส เด่นออกมาชัดเจน ฟังออกและประทับใจตั้งแต่ได้ลองครั้งแรก เราชอบมากๆครับกับเสียงเบสแนวนี้ มันตุ๊บตั๊บๆๆ ที่สำคัญคือเป็นเบสที่กำลังดี ฟังแล้วสนุก แรง หนักแต่ไม่รุกเร้าเกินไปจนปวดหัว กระชับ ไม่ยืดยาด ไม่ยานหรือลูกใหญ่จนเกินไป เรียกว่าเป็นเบสที่อยู่ในช่วงที่ดูหนัง Action หนังสงครามสนุก
และที่สำคัญเบสแบบนี้ฟังเพลงแนว live, pop, rock, ลูกทุ่งใ, Jazz, Electronic และเพลงทั่วๆไปได้ดี เพราะเบสจะกระชับ ไม่มีปัญหาเรื่องเบสตามโน๊ตเร็วๆไม่ทัน

2. งานประกอบ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว เรามองว่างานประกอบสวยกว่าตัวเก่าเยอะเลย ดูเท่ ลงตัวและตัวตู้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาประมาณ 2 กิโล (เทียบกับ Ref II) ส่วนความกว้างและความสูงลดลง ทำให้ลำโพงดูแล้วตัวเล็ก เพรียว กว่า ref II และไม่เกะกะเมื่อวางอยู่ในห้องเล็กๆ แต่ความลึกของตัวตู้นั้นเพิ่มขึ้นชัดเจนเลยครับ คือลึกไปด้านหลังมากกว่าตัวเก่าพอสมควร (ตัวนี้ใครมีรถเก๋งสี่ประตู สามารถขน RP260F แบบใส่กล่องยัดใส่เบาะหลังได้แบบพอดีๆเลยครับ)

3. เสียงแหลมลดความจัด และแสบหูลงจากรุ่นเดิม ให้เสียงกลางแหลมที่เป็นธรรมชาติ ตรงนี้เป็นข้อดีหากใครคิดจะเอาไปจับกับ AVR Yamaha, Denon เพราะเสียงจะไม่บาดหูเหมือนเก่าแล้วครับ

4. ออกแบบฐานลำโพงด้านล่างมาสวยงาม ใช้งานสะดวก
เนื่องจากรุ่นที่แล้วฐานจะเป็นตัวลำโพงที่เป็นไม้เลย วางกับพื้นไปตรงๆ ใช้งานลากไปลากมาลากมากก็มีสิทธิ์ถลอก เยินได้เหมือนกัน ไม่งั้นก็ต้องใส่สไปค์ (มีแถมมาให้) ซึ่งใส่แล้วก็จะครูดพิ้น บ้านใครใช้ปาร์เก้ ลามิเนตก็เป็นรอยครับ
ส่วนตัวใหม่ก็มีสไปค์มาให้เหมือนเดิม แต่ถ้าไม่ประกอบก็จะมีคล้ายๆฐานพลาสติกมาเป็นฐานให้ยื่นออกมานิดนึง ซึ่งเรามองว่าใช้งานได้ดีทีเดียวคือเหมาะที่จะใช้ขยับตำแหน่งลำโพงได้โดยไม่เป็นรอย และถ้าใครไม่ชอบก็จะใส่สไปค์ก็ได้ไม่ว่ากัน

5. ขับง่ายมากๆเลย ไม่กินแอมป์ ข้อนี้เป็นข้อดีมาตั้งแต่รุ่นเก่าแล้ว และสเป็กก็ดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ความไวเท่าตัวเก่า ขับง่ายเหมือนเดิม แต่เบสลงได้ลึกขึ้นนิดนึง







จุดด้อยของ Klipsch Reference RP260 และ RP440C
1. ราคาแพงขึ้นนิดหน่อยครับ ทั้งราคาเมืองนอกและบ้านเราก็แพงขึ้นเทียบกันรุ่นต่อรุ่นพอประมาณ

2.ไม่มีลำโพง center ดอก 6.5 นิ้วแล้วครับ แต่มีดอก 4 นิ้ว และ 5 นิ้ว สี่ดอกมาแทน แต่จริงๆก็ไม่เชิงเป็นข้อเสีย เพราะใช้แบบสี่ดอกก็สวยและเสียงเท่าที่ลองฟังเสียงพูดก็คมชัดและเบสมี Impact กระแทกกระทั้นดี

3. ใครที่ชอบเสียงจัดๆ เบส และเสียงกลางแหลมแบบแผดๆ แสบๆหูนิดๆ อาจจะไม่ชอบใจ เพราะตัวใหม่เสียงกลางแหลมลดความแผดลง เรียกว่าฟังสบาย ลื่นหูขึ้นเยอะ ส่วนเบสไม่ได้ลดความหนักลงเลย กลับกันจะหนักขึ้นด้วย แต่ความแผด ความจัดของเบสออกแนวฟังสบายและกระชับมากขึ้นนิดหน่อย เบสยังติดสไตล์เสียงคล้ายของเดิม
ความเห็นส่วนตัวเราว่าเสียงของรุ่นใหม่ออกไปทางเหมือนจับลำโพง Klipsch รุ่นเก่า Reference II มาผสมกับ Paradigm monitor 9 หรือ Studio รุ่นเล็กๆ คือเสียงหนักแนว klipsch แต่ได้บาล้าน ความสมดุลที่ฟังแล้วสนุก ฟังได้นานเหมือน Paradigm







** สุดท้ายนี้ขอเวลาเบิรนอินสักพัก ก่อนจะพบกับรีวิวชุดลำโพง Klipsch Reference R280F เร็วๆนี้ครับ

**สั่งของ บริการส่งฟรีถึงบ้าน ทุกที่ทั่วกทมฟรี ไม่ต้องเสียเวลาออกจากบ้าน
และของเราเบิกใหม่ มือหนึ่ง สดๆร้อนๆ รับประกันจากตัวแทนจำหน่าย HomeHifi (Sound Replublic) อย่างเป็นทางการครับ

============================================

Facebook: https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
Line ID: keamgladnan
Tel: 089-9695946
Site Store: http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353

============================================



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 02, 2016, 09:42:29 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
จัดส่ง Sound Bar รุ่นท๊อป Klipsch R20B ไปนนทบุรี บางกรวยไทรน้อยครับ   เจ้าของรับสินค้าและทดลองต่อบลูทูธที่ลานจอดรถในบ้านเลย เปิดเพลงขึ้นมา ถ้าไม่มองตัวลำโพงนี่นึกว่าลำโพงแยกชิ้นด้วยซ้ำ เสียงดังมาก เบสมาครบแม้จะเป็นพื้นที่เปิด หรือห้องนั่งเล่นครับ

ลำโพงซาวด์บาร์ที่มาพร้อมกับซับวูฟเฟอร์แบบ wireless ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เสียบปลั๊ก ก็สามารถ เชื่อมต่อซับวูฟเฟอร์เข้ากับตัวซาวด์บาร์ได้ง่ายๆ
และยังสามารถต่อบลูทูธกับโทรศัพท์มือถือ หรือจะต่อกับทีวีหรืิอ HD Player ได้ง่ายดายด้วยสายเพียงเส้นเดียว (สาย Optical แถมมาให้ในกล่อง) ทั้งหมดสามารถควบคุมการใช้ด้วยรีโมทคอนโทรลครับ








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 08, 2015, 08:19:39 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


วันก่อนผมตื่นแต่เช้า (ตี 5) ตามประสาคนเริ่มมีอายุมากที่มักจะตื่นเช้ากว่าปกติ
หาอะไรอ่านอัพเดทข่าวสาร เตรียมข้อมูลคอนเท้นอะไรไปเรื่อยเปื่อย หลังจากนั้นก็ทำอะไรกินเล็กๆน้อยๆ เพื่อเอาแรงเตรียมไปส่งและติดตั้งลำโพงคู่หน้า Klipsch RF-62 II ให้กับลูกค้าท่านหนึ่งแถวบางใหญ่
ซึ่งตัวนี้เป็นลำโพงตั้งพื้นที่มีขนาด "ไม่เล็ก" และ "ไม่ใหญ่" และเหมาะกับห้องขนาด 12-24 ตรม





ไปถึงก็พบกับหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่แฝงตัวอยู่บนถนนย่านชานเมือง ซึ่งแต่ก่อนรถรายังน้อยอยู่ แต่ปัจจุบันความเจริญกระเถิบเข้ามามากขึ้น รถไฟฟ้าก็มาแล้ว ความเจริญต่างๆ ห้างใหญ่ๆรุกคืบมาหาเรา จนหาความร่มรื่นได้ยากแม้จะอยู่ย่านชานเมือง แต่วันนั้นผมเลี้ยวรถเข้าไปก็พบว่า ยังพอจะมีสถานที่สวยๆ บ้านหลังย่อมๆ ดูอบอุ่น อยู่สบายๆน่ารักๆในย่านนี้ ในขณะที่กระเถิบออกไปอีกหน่อยก็มีสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ความสะดวกสบาย การคมนาคมที่สะดวกอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง

หลังจากขนของเข้าไปในบ้านลูกค้า ก็พบว่าเดิมทีลูกค้าท่านนี้ใช้ Polk RTI ทั้งชุด แต่ติดว่าลำโพงเสียงนุ่มไปนิด ขับยากด้วย และอยากได้แนวเสียงในการดูหนังที่ดุดันขึ้น เลยต้องการจะเปลี่ยนไปใช้ Klipsch ทั้งหมด โดยซิสเต็มที่ใช้อยู่ และที่ลูกค้ากำลังจะหามาลงเพิ่มนั้นจะประกอบไปด้วย

- Klipsch RF-62 II
- Klipsch RC-62 II
- Klipsch RC-42 II
- AVR HarmanKardon 360




โดยเราเริ่มจากงานแรกคือค่อยๆบรรจงเอาเจ้า Polk RTI A5 ออกจากจุดวาง หลังจากนั้นเราก็จัดการแกะกล่อง Klipsch RF-62 II

โดยเราไม่ลืมที่จะเอาลำโพงทั้งคู่มาวางข้างกัน เทียบกันถ่ายรูปมาดูกันชัดๆกันไปเลย และให้ลำโพงทั้งคู่ได้มีโอกาสร่ำลากัน (ฮา) ก่อนที่จะมอบหมายภาระกิจสำคัญให้กับลำโพงตัวใหม่อย่าง Klipsch RF-62 II ทำหน้าที่ถ่ายทอดความบันเทิงให้กับเจ้าของบ้านต่อ เพราะภาระนี้ยิ่งใหญ่นัก เสียงต้องชัด ดูหนังต้องมัน และต้องขับง่ายด้วยใช่มั๊ยครับ



หลังจากนั้นลูกค้าก็เช็คความเรียบร้อยของตัวลำโพง อุปกรณ์ ใบรับประกัน และก็ช่วยกันจัดการจับเจ้าลำโพงทั้งสองข้างจับนอนและติดตั้งฐานวางที่แถมมาในกล่องให้เรียบร้อยก่อน และค่อยนำเข้าสู่จุดประจำการและทดลองต่อสายและลองฟัง

นาทีแรกที่ลองเล่น สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือเสียงของ RF-62 II คู่หน้าที่ดังมากกว่าแชนแนลอื่น นั่นเป็นเพราะค่า Sensitivity ของลำโพง Klispsch หรือพูดอีกนัยนึงคือ "ขับง่าย" ทำให้ใช้แอมป์กำลังเท่าเดิม ใช้ค่า setup เท่าเดิม แต่ให้เสียงได้ดังมากขึ้นกว่าลำโพงตัวเก่านั่นเอง เจ้าของบ้านเลยเซ็ทและปรับค่าใน AVR เล็กน้อยเพื่อให้เสียงแต่ละแชนแนลสมดุลกันคร่าวๆ ก่อนจะเริ่มเปิดหนัง

หลังจากเปิดหนังดูไปไม่เท่าไร่ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้อีกอย่างและรู้สึกแบบเดียวกับเจ้าของบ้านคือ เสียงเอฟเฟคด้านข้าง บรรยากาศซ้ายขวา มันดังและชัดเจนข่มเสียงพูด และเกินเสียงเอฟเฟคตรงกลาง สาเหตเป็นเพราะใช้ลำโพงเซ็นเตอร์และคู่หน้าข้ามยี่ห้อและไม่ได้มีการปรับจูนแบบละเอียดนั่นเอง ซึ่งอนาคตเจ้าของบ้านถ้าเปลี่ยนเซ็นเตอร์เป็นซีรี่ย์เดียวกันอย่าง RC-62 II, RS-42 II คาดว่าเสียงจะกลมกลืนและเข้ากัน ดูหนังมันขึ้นกว่านี้อีกอย่างแน่นอน





ก่อนลากลับก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปและเก็บบรรยากาศสวยๆ ในห้องฟังน้อยๆ แต่อบอุ่นไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข หนังฟรีๆดนตรีเพราะๆ เอ๊ย หนังดีๆดนตรีเพราะมาฝากกันคร้าบ อิอิ

ส่วนใครสนใจลำโพง Klipsch series เก่า Reference II ตอนนี้ของหมดเกือบทุกรุ่นแล้ว เหลือเพียง RF-62 II คู่เดียว และ RF-7 II และ RC-64 II เท่านั้นครับ ใครสนใจลำโพงดูหนังฟังเพลงดีๆ เราแนะนำให้ไปลองดูซีรี่ย์ใหม่ที่ได้รับการพัฒนาให้เสียงดีขึ้น สมดุลขึ้นทั้งในแง่ของการดูหนังและฟังเพลงอย่าง Reference Premier โดยสามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ

Reference Premier: http://www.whatthatsound.com/…/kl…/klipsch-reference-premier

Klipsch RC-64 II: http://www.whatthatsound.com/…/klipsch-reference-rc-64-ii-c…

Klipsch RF-7 II: http://www.whatthatsound.com/produ…/6/klipsch-rf-7-ii-cherry

Klipsch RF-62 II: http://www.whatthatsound.com/p…/9/klipsch-rf-62-ii-clearance
























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 29, 2015, 04:07:32 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
วันนี้เอารูปห้องดูหนังสวยๆ จากลูกค้าเราที่สั่ง Klipsch Reference Premier ไปสักพักนึงแล้ว (เดือนสองเดือนก่อน และลูกค้าติดตั้งเอง) โดยชุดนี้ลูกค้าจัดเต็มตั้งแต่ห้องที่มีการปรับอคูสติก โดยบุวัสดุซับเสียง ปูพรม และปรับแอมเบี้ยน แสงต่างๆให้เหมาะกับการดูหนัง โดยซิสเต็มหลักๆของลูกค้าประกอบด้วย



PowerAmp Parasound Halo A21
AVR + Pre Yamaha Aventage
Front: Klipsch Reference Premier RP-260F
Center: Klipsch Reference Premier RP-450C
Surround: Klipsch Reference Premier RP-250S
Subwoofer: Klipsch R-115SW

----------------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้ในรูปแบบเว็บไซต์: http://goo.gl/KTm7Vz
----------------------------------------------------------------------

และยังมี Accessories อีกหลายรายการที่ไม่ได้กล่าวถึง
ห้องของลูกค้ามีขนาดประมาณ 4x4 หรือ 16 ตรม แต่เสียงที่ได้ไม่ได้มีอาการแน่นหรือล้นแต่อย่างใดิสำหรับใครที่คิดว่าห้องไม่ใหญ่ จะใช้ลำโพงตั้งพิ้น และซับวูฟเฟอร์ใหญ่ๆได้มั๊ย ห้องนี้เป็นตัวอย่างสำหรับห้องดูหนังนะครับว่า "มากไปปรับลดได้ แต่ถ้าน้อยไปนี่ปรับขึ้นลำบาก" ลูกค้าจึงจัดชุดนี้ ติดตั้ง ปรับจูนและเบิร์นมา ได้ระดับนึง เสียงที่ได้ลูกค้าแจ้งมาพร้อมกับส่งรูปชุดนี้มาให้เราดูว่า
"ดูหนังมันจิงๆ"

ลำโพงชุด Reference Premier Series ใหม่นี้มีการปรับปรุงอะไรหลายๆอย่างจากรุ่นเก่า ไม่ว่าจะตัวตู้ใหม่ ตู้ทวีตเตอร์ฮอร์นใหม่ ผิวไม้ Crossover ใหม่ เรียกว่าปรับแทบจะทุกๆจุดเพื่อเสริมจุดเด่นในด้านการรับชมภาพยนตร์ให้ดียิ่งๆขึ้น และเสริมจุดด้อยในแง่ของการฟังเพลงให้เนียน เสียงกลางนุ่มนวล เบสกลมกลึงเป็นลูกกลมนุ่มๆ ไม่แข๊งขึ้นขอบจนฟังเพลงแล้วรู้สึกเหมือนฟังเสียงจากดิจิตอลเหมือนซีรี่ย์เก่า














Spce และราคาลำโพงทุกรุ่นในซิสเต็มนี้
Klipsch RP-260F: http://www.whatthatsound.com/product/13/klipsch-rp-260f

Klipsch RP-450C: http://www.whatthatsound.com/…/klipsch-reference-premier-rp…

Klipsch RP-250S: http://www.whatthatsound.com/…/klipsch-reference-premier-rp…

Klipsch R-115SW: http://www.whatthatsound.com/product/3/klipsch-r-115sw



















============================================
Inbox: https://www.facebook.com/messages/whatthatsoundstore

Line ID: keamgladnan

Tel No: 089-9695946

Web site: http://www.whatthatsound.com
============================================
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 02, 2015, 09:03:53 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
หลายท่านที่เริ่มเล่นเครื่องเสียงเริ่มหาลำโพงตัวแรก มักมีคำถามว่า อยากจะได้ลำโพงที่ให้เสียงร้องที่มันหวานฉ่ำ แหลมสดใส กรุ๊งกริ๊ง ฟรุ๊งฟริ๊ง  เบสแน่นๆกระชับๆเป็นลูกหนักแน่น  


คุณสมบัติทั้งหมดที่ว่ามานี้ทราบหรือไม่ครับว่าจะหาได้ครบในลำโพงตัวเดียวกันนั้น ท่านต้องจ่ายเงินแพงมาก และหาได้ยากมาก  ลำโพงส่วนใหญ่มักจะติดบุคลิกมี color ไปด้านใดด้านหนึ่งครับ  เช่นถ้าหวาน เบสก็จะเนิบช้าไม่แน่น  หรือถ้าแหลมพุ่งเป็นประกาย กลางและต่ำก็จะติดบาง นั่นเป็นเพราะบุคลิกเหล่านี้มันขัดแย้งกันในตัวเองครับ  
การที่เสียงจะหวานได้แปลว่ากลางต้องมีมวล เบสช้าๆและนุ่มนวม ทำให้ไปลดบุคลิกเรื่องเสียงต่ำที่กระชับให้ลดลง  
หรือการที่เสียงแหลมดีเป็นประกายนั่นแสดงว่า กลางและต่ำของลำโพงคู่นั่นติดบาง จนทำให้ได้ยินเสียงแหลมชัดเจนดีเป็นประกาย  ถ้ากลางต่ำหนา ยากที่จะได้แหลมเป็นประกายครับ

ดังนั้นเราเลยลองลิสต์คุณสมบัติของลำโพงแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อออกมาเพื่อเป็นแนวทางคร่าวๆให้เพื่อนใช้เป็นแนวทางในการเลือกลำโพงกันดู

แต่อย่างไรก็ดีอย่าลืมว่า ความชอบและรสนิยมของคนเราไม่เหมือนกัน บางทีเราฟังแล้วว่าบาง แต่บางคนบอกไม่บางกำลังดีก็เป็นได้  จึงอยากให้เป็นแค่แนวทางเบื้องต้นเท่านั้น การจะตัดสินใจซื้อลำโพงหรือเครื่องเสียงที่ดี ต้องลองฟังด้วยตัวเอง ยิ่งฟังด้วยชุดของท่านเอง สายและเพลงหรือหนังที่ท่านคุ้นเคย ในห้องท่านเองด้วยแล้ว โอกาสที่จะผิดพลาดเลือกลำโพงผิดก็จะยิ่งน้อยลงครับ



1. PSB รุ่นก่อนๆนั้น image, imagine เด่นในเรื่องความเป็นกลางครับ กลางแหลมชัดเจน แต่เดี๋ยวนี้รุ่นใหม่ๆจูนให้เบสบางลง เน้นแหลมเป็นประกาย ทอดยาวมากขึ้น กลางนุ่มนวล ติดหวานนิดๆ เสียงฟังแนวเรื่อยๆ เรียบๆ เป็นกลาง เบสไม่เยอะเก็บตัวเร็ว ค่อนข้างติดไปทางอุ่นๆ  ส่วน synchorny นี้ให้เสียงต่ำได้ดีกว่ารุ่นล่างๆครับ แต่ก็ไม่ได้มากมายเรียกว่าจูนมากำลังดีไม่มากไม่น้อย

จุดด้อยคือ เรื่องเบส impact, dynamic ที่ไม่ค่อยสะใจคอฮาร์ดคอร์ ติดบางนิดๆ  เหมาะเอาไปฟังเพลงมากกว่าดูหนัง
จุดเด่นคือ เสียงกลางชัดเจน ติดหวานนิดๆ (นิดเดียว) และบุคลิกที่เป็นกลาง เสียงแหลมเป็นประกายดี


2. Klipsch Reference II ทุก series คงความชัดเจนมาตลอดคือความแรง กระชับ เสียงสดๆ พุ่งๆ เสียงแหลมพุ่งมาก คมกริ๊บ ละเอียดยิบเพราะได้เทคโนโลยีลำโพงฮอร์น  
ส่วนกลางติดบาง ไม่หวาน ไม่ฉ่ำ ไม่มีเนื้อเสียงเท่าใดนัก
เบสกระชับแน่นเป็นลูกๆ เหมาะกับดูหนังมาก

จุดด้อย กลางติดบาง ไม่หวาน ไม่ฉ่ำ เอาไปฟังเพลงเก่าๆ เพลงจีน เพลงแนวโชว์เสียงร้องมีลูกเอื้อน ลูกคอแล้วจะไม่เพราะเท่าไร่
จุดเด่นคือ แหลมพุ่ง คม สด เบสกระชับหนักแน่นเป็นลูกๆ ไม่มีย้วย คล้ายๆลูกเหล็กขนาดพอเหมาะกระแทกๆ


3. Polk RTI seires แนวเสียงเบสเยอะค่อนข้างมาก ออกในแนวทางนุ่ม คล้ายๆลูกบอลลูกใหญ่ๆ กลางเนื้อเสียงเยอะ มีรายละเอียดดี แหลมค่อนข้างจำกัด ไม่ทอดยาว  เหมาะกับการฟังเพลงแนวช้าๆ เนิบๆ เพลงร้อง และดูหนังก็ได้อรรถรสเช่นกัน  

จุดด้อย เบสอวบ ใหญ่ ขาดความกระชับบ้างหากแอมป์และอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ถึง ถ้าฟังเพลงเร็วๆ เช่น electronica, rock จะรู้สึกว่าบางครั้งเบสเหมือนจะตามไม่ทันและกลืนไปกับท่อนอื่น  ทำให้ขาดความสนุก
จุดเด่น มีเนื้อเสียง เหมาะกับคนชอบเสียงหนาๆ มีเกรน มีเนื้อมีหนัง ถ้าเอาไปฟังเพลงร้องช้าๆเนิบๆจะดีมาก ให้ความรู้สึกนุ่มนวลดี


4. Paradigm จุดเด่นที่สุดคือ tonal balance คือมีครบทุกอย่างทั้ง กลาง แหลม เบส ให้ทุกอย่างมาครบ เบสกระชับ หนักแน่น ไม่ย้วย แหลมทอดยาวพอประมาณ กลางมีเนื้อเสียงอิ่มพอสมควร  เหมาะกับการดูหนัง และฟังเพลงทั่วไป  

จุดด้อย เนื่องจากมีครบทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ไปสุดทาง  กลางไม่หวานฉ่ำ  แหลมไม่ได้กรุ๊งกริ๊งที่สุด เบสก็ไม่ได้โหดและหนักมาก
จุดเด่น มีทุกอย่างครบ เหมาะกับคนที่ชอบอะไรกลางๆ ดูหนังก็สนุก ฟังเพลงก็เพราะด้วย


5. Wharfedale จะให้โทนเสียงไปทางอบอุ่น นุ่มนวล กลางมีเนื้อเสียงติดหวาน ละเมียดละไม ช้าๆบุคคลิกไปทาง laidback  เบสมีเนื้อแต่ติดไปทางนุ่มนวล ไม่ใช่ไปทางกระชับ  แหลมสดใสเป็นประกายทอดยาว

จุดด้อย ดูหนังอาจไม่ค่อยสนุกเท่ายี่ห้ออื่นเพราะบุคลิกที่ติดนุ่มนวล และละเมียดละไม
จุดเด่น เหมาะกับเพลงร้อง เพลงช้า เพลง audiophile


6. B&W โทนเสียง นุ่มนวล ละเมียดละไม โปร่ง สะอาดๆ แหลมทอดยาว เบสน้อยแต่กระชับ ไม่หนักหน่วง ไม่สด ไม่โหด ออกแนวฟังง่ายๆ นุ่มๆ สบายๆครับ ติดหวานเล็กน้อยด้วย เหมาะกับการฟังเพลงเป็นอย่างมาก

จุดด้อย ดูหนัง action อาจจะไม่เร้าใจมากเท่ายี่ห้ออื่น
จุดเด่น เสียงสะอาดมาก ฟังเพลงช้าๆ นุ่มๆดี ให้บรรยากาศผ่อนคลาย


7. Bose ให้เสียงเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้เสียงเป็นกลาง ฟังสบายๆ เบสไม่ลึก แหลมไม่ทอดยาว เสียงกลางชัดเจน ไม่ว่าเอาแอมป์อะไรมาขับก็ให้แนวเสียงไปในทางเดียวกัน เหมาะกับใช้ฟังเพลงเป็นบรรยากาศ ไม่จับผิดมาก เอาไว้เดินไปเดินมาทำนั้นทำนี่ในบ้านแล้วฟังเพลงไปด้วยเพลินๆ

จุดด้อย แหลมไม่ทอดยาว ไม่ใสมาก เบสไม่ลึกไม่หนักไม่กระชับ กลางให้เสียงทั่วๆไปไม่ละเอียด ไม่อุ่นหนา ไม่บาง
จุดเด่น ให้เสียงเป็นกลางมาก เหมาะกับการฟังเพลงแบบไม่จับผิด เสียงที่ได้มีเอกลักษณ์ความเป็น bose สูงมาก ถ้าชอบก็ชอบเลย


8. NHT เสียงติดหวาน แหลมเปิดเป็นประกายชัดเจน เบสไม่เยอะ ลงได้ไม่ลึก แต่ให้ความเป็นดนตรีสูงมาก ส่วนใหญ่เน้นเอาไปฟังเพลงกันมากกว่าดูหนัง ขับยากต้องการแอมป์กำลังสูงๆมาขับ

จุดด้อย เบสไม่เยอะมาก เอามาดูหนังอาจไม่ได้อรรถรส ขับยาก และเนื่องจากเป็นลำโพงตู้ปิดจึงต้องใช้แอมป์กำลังสูงๆขับถึงจะให้เสียงได้ดี
จุดเด่น แหลมเปิด มีรายละเอียดดี กลางติดหวานเล็กน้อย ฟังเพลงช้า เพลงร้องได้อารมณ์ดีมาก


9. Mordaunt-Short  มีแนวเสียงคล้ายคลึง PSB และ B&W ออกแนวเป็นกลาง เสียงกลางชัดเจนสะอาด และติดไปทางนุ่มนวล ละเมียดละไม เสียงแหลมทอดยาวพอประมาณ แต่เบสจะน้อยกระชับเก็บตัวเล็กไม่ตูมตาม  

จุดด้อย เบสไม่เยอะ ดูหนังอาจไม่ตื่นเต้นเร้าใจ เสียงเรียบๆเรื่อยๆ
จุดเด่น เสียงกลางสะอาดชัดเจน เสียงแหลมทอดยาวพอสมควร เหมาะกับการใช้ฟังเพลงมากกว่าดูหนัง


10. Kef เป็นลำโพงที่ให้เสียงเปิดโปร่ง แหลมทอดยาว กลางสะอาดชัดเจน เบสกระชับเก็บตัวเร็ว ไม่นุ่มไม่หนา

ข้อด้อย ถ้าชอบแนวหนา นุ่ม ฟังเพลงช้าโชว์เสียงหวานๆ อาจจะไม่ได้อรรถรสเท่าใดนัก
จุดเด่น เสียงชัดเจน กระชับเปิดโปร่ง เหมาะกับฟังเพลงทั่วๆไปหรือดูหนัง


11. Cerwinvega เป็นลำโพงที่จูนเสียงมาให้สด พุ่ง กลางชัดเจนไม่มีมวลหนา กลางจะติดไปทางบางนิดๆ ไม่หวาน ไม่ฉ่ำ แหลมเปิดโปร่ง เสียงต่ำกระชับและหนักแน่น ไม่มีย้วย บุคลิกตรงข้ามกับ polk, b&w
เหมาะกับการดูหนัง ฟังเพลงแบบมีจังหวะ

จุดด้อย ไม่เหมาะกับการนำไปฟังเพลงช้าๆ หรือไม่เหมาะกับคนที่ชอบความหวานฉ่ำ ผ่อนคลายฟังสบาย
จุดเด่น จะเน้นความสด สมจริงกระชับหนักแน่น ดูภาพยนตร์ ฟังเพลงร๊อค ดนตรีมีจังหวะสนุก ยิ่งจับกับ subwoofer ดีๆด้วยแล้วจะได้อรรถรสมาก


12. JBL แนวเสียง สด พุ่งกว่า cerwinvega ไปอีกหนึ่งขั้น แหลมพุ่ง สด และทะลุทะลวงมาก บางครั้งอาจรู้สึกสากหรือล้าหูได้ กลางติดไปทางบาง เนื้อเสียงน้อยไม่หวานฉ่ำไม่หนามีมวล  เบสกระชับเก็บตัวเร็ว เหมาะกับดูหนังและฟังเพลงสนุกๆ เพลงร๊อค

จุดด้อย ติดบางเล็กน้อย แหลมสด จนเกินไปจนอาจจะทำให้กัดหูได้ และไม่เหมาะที่จะนำไปฟังเพลงร้องหวานๆ ช้าๆ  ไม่เหมหาะสำหรับคนที่ชอบเสียงแบบนุ่มๆ ทุ่มๆฟังสบายๆ
จุดเด่น ความสด กระชับ แหลมชัดเจน ดูหนังสนุก ฟังเพลงมีจังหวะดี


13. Canton บุคลิกติดไปทางนุ่มนวล ละมุนละไม แต่น้อยกว่า polk นิดนึง เสียงเบสเยอะหนา เสียงกลางมีมวลอิ่ม เสียงสูงพอประมาณไม่ทอดยาวมากนัก เหมาะกับการฟังเพลงร้องช้าๆ หรือดูหนัง

จุดด้อย ติดไปทางอุ่น หนา อาจขาดความกระชับ สดใสฉับไวหากนำไปฟังเพลงเร็วๆสนุกๆ หรือดูหนัง action
จุดเด่น ได้ความผ่อนคลาย อบอุ่น นุ่มนวล มีมวล ฟังเพลงช้าๆ เพลงร้องดี



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 05, 2015, 09:23:42 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


มินิรีวิว Audyn S250 MKII กับ Klipsch Reference II System

เมื่อวันก่อนลูกค้าเก่าผม (คุณใหญ่) ที่สั่ง Klipsch ไปใช้งานทั้งชุดยกหูมาทักทายสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา ก่อนที่แกจะตบท้ายว่าให้ลองเอา Power Audyn S250 MKII ไปส่งให้แกตัวนึง ตอนนั้นในใจผม งง ปน สับสนเล็กน้อย และคิดในใจว่า "อะไรว้า เสียงแกยังขาดอะไรอีก หรือแกมีปัญหาเรื่องเซ็ทอัพ หรือแกไม่ชอบเสียงซิสเต็มเดิม" แต่ปากก็ตอบไปแล้วว่า "ครับ" และต่อด้วย เดี๋ยวผมตามไปช่วยดูให้ด้วยครับว่าเสียงเป็นยังไง ซึ่งที่จะตามไปดูก็แค่จะดูว่าของเดิมเสียงมันมีปัญหาอะไร และทำไมต้องใช้ Power มาขับ ทั้งๆที่ซิสเต็มแกก็โอเคและขับไม่ได้ยากอะไร

---------------------------------------------------------------
เพื่ออรรถรส คลิ๊กอ่านบทความนี้ในรูปแบบเว็บไซต์ได้ที่นี่ครับ: http://goo.gl/BZ4UdX
---------------------------------------------------------------



พอจบการสนทนาผมก็โทรสั่งของ นัดหมายเวลา และผมก็รีบจัดการธุระตัวเองอะไรให้เรียบร้อย เพื่อจะไปดูปัญหาของลูกค้าเจ้านี้สิว่าทำมั๊ย ทำไมต้องเอา power ไปขับลำโพง และแกจะเอาไปขับลำโพงอะไร
บลาๆๆๆๆ แล้วเวลาก็ผ่านไป จนผมมารู้สึกตัวอีกที ก็ไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกค้าเรียบร้อยแล้ว อิอิ
ตอนนั้นน้องเมสเสนเจอร์มาส่งของเรียบร้อยแล้วครับ ผมมาช้าไป แถมขับรถมาโดนตำรวจจับอีก กรรมของเวร (ผมว่าช่วงนี้ยอดขาดนะครับ พี่ตำรวจทำงานกันขยันขันแข๊ง น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก อุอุ) เมื่อมาถึงผมก็พบกับเศษซากอารยธรรม เอ้ย เศษกล่องที่ถูกพี่เค้าแกะทิ้งเอาไว้หน้าบ้าน ในใจผมเต้นรัวๆ ว่าป่านนี้พี่เค้าคงลองแล้วสินะ พี่เค้าจะชอบมั๊ย จะด่าผมรึเปล่าว่าเอาอะไรมาหลอกขายแก แล้วแกจะเอาลำโพงทั้งชุดพร้อมแอมป์หนักร่วม 30 กิโลมาทุ่มคืนที่หน้าบ้านผมมั๊ย ฮาๆๆ

มโนไปเรื่อยครับ ผมก็เดินเข้าไป พร้อมกราบสวัสดีงามๆ ทักทายหนึ่งที แล้วก็พบว่าพี่เค้าแกะกล่องออกมาสำรวจความเรียบร้อยได้แค่ 10 นาทีที่ผ่านมาเอง ยังไม่ได้ลองอะไรเลย มาถึงตรงนี้ผมต้องขออนุญาติอธิบายสภาพความเป็นไปของห้อง และอุปกรณ์ทั้งหมดที่พี่เค้าใช้กันก่อน จะได้เข้าใจว่าสภาพห้องเอย ลักษณะแนวเพลง ความชอบ อุปกรณ์ต่างๆ และ นิสัยใจของคอพี่ใหญ่คนนี้เค้าเป็นยังไง อิอิ



เริ่มจาก System แกนะครับ

1. AVR+ Pre: Yamaha 2010
2. Klipsch RF-52 (ของเก่าแก แกรักตัวนี้มาก รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ใจไม่ยอมเปลี่ยนไป อิอิ)3. Klipsch RC-62 II (ซื้อจากร้านผม)
4. Klipsch RS-52 II (ซื้อจากร้านผม)
5. Klipsch R-115SW (ซื้อจากร้านผม)
6. Accessories ต่างๆ เส้นสายทั้งหมดนั้นพี่เค้าจัดมาเอง

ส่วนห้องนี้ก็เป็นห้องที่ไม่ได้ปรับอคูสติกใดๆ หรือพูดง่ายๆก็ห้องนั่งเล่น ห้องพักธรรมดาๆ ที่ไม่สมบูรณ์พร้อม ไม่เป๋ะ ไม่สวยงามอะไรมากนัก ตามประสาห้องของคนทั่วๆไปที่มีใจรักการเล่นเครื่องเสียง และรักการดูหนังนั่นแหละครับ ก็ดูสภาพเอาตามรูปได้เลยว่าห้องนั้นค่อนข้างเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรมาก แต่ที่ทำให้ผมรู้ว่าแกรักการดูหนังแค่ไหนก็ตรงที่อุปกรณ์แกละอย่าง แกตั้งใจซื้อ ตั้งใจเลือก ทำการบ้านมาอย่างดีทุกชิ้น และแถมด้วยฮาร์ดดิสที่แกมีเกือบ 10 ลูกล้วนบรรจุหนังเรื่องโปรดเรียงรายกันอยู่เป็นตับ ภาพฮาร์ดดิสที่เรียงรายกันอยู่นี่มันทำให้ผมรู้สึกว่า เนี่ย แบบนี้แหละที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า พี่เค้าไม่ได้แค่จ่ายเงินเพื่อเล่นเครื่องเสียงนะ แต่พี่เค้ารักการดูหนัง ฟังเพลง และจ่ายเงินเพื่อเติมเต็มความสุขในการดูหนังของแก

ไม่ต้องดูอะไรมากครับ ดูแค่ลำโพงคู่หน้า Klipsch RF-52 version แรกเก่ากึ๊กตัวนี้ก็พอ แกรักของแกและใช้มาจนป่านนี้ได้ก็รู้แล้วว่าแกไม่ใช่สักแต่ว่าเล่น สักแต่เปลี่ยนเครื่องแน่นอน



เอาละมาเริ่มกันเลย ผมเข้าไปในห้อง ลูกค้ากำลังเช็คเครื่องและกำลังรอผมมาเทส amp ใหม่ด้วยกันอยู่พอดี คุณใหญ่แกบอกว่า เดี๋ยวแกจะเปิดหนังนะ ให้ผมฟังและแกก็จะฟังด้วย เพื่อจะดูว่าตอนใช้ AVR Yamaha 2010 ขับเนี่ยเสียงมันเป็นยังไง

แล้วเดี๋ยวเราจะมาลองเปลี่ยนไปใช้ Power Audyn S250 MKII กำลังขับ 250 วัตต์มาขับลำโพงเซ็นเตอร์ Klipsch RC-62 II แยกต่างหากว่าเสียงมันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือแย่ลง
พอแกพูดมาแบบนี้ผมก็ชักเหงื่อซึมๆ ร้อนผ่าวๆวาบๆที่หลัง และรู้สึกเหมือนขายลำโพงแพงๆ แล้วโดนจับเอามาทำ blind test กับลำโพงราคาถูกๆ คือถ้าทายถูกก็เสมอตัว แต่ถ้าทายผิดนี่คงเสีย... แหงๆ แต่มาถึงตรงนี้แล้วจะถอยก็ไม่ได้ ก็ต้องอยู่ลองกับลูกค้ากันให้ถึงที่สุดให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย



ผมคิดอะไรในหัวแป๊ปเดียว รู้สึกตัวอีกทีลูกค้าก็เปิดหนังแล้ว แกเปิด The Dark Knight อัศวินรัตติกาล ผมฟังๆไป สักพัก แกก็เลื่อนๆเอาฉากนู้นฉากนี้ให้ผมดู แล้วก็พูดอะไรของแกไป ใจผมก็มัวแต่คิดว่าถ้าเสียง power มันไม่ดี จะแก้ตัวยังไงดีละเนี่ย แล้วแกเรียกสติผมด้วยคำพูดขึ้นมาประโยคนึงว่า เนี่ยเห็นมั๊ย เอฟเฟคกับเสียงพูดมันเหมือนจมๆอยู่ ยังไม่ชัดเจน ไม่หนักแน่นเท่าที่ควร

ผมก็ลองตั้งใจฟังสักพัก โดยโฟกัสพวกเสียงโดยรวม และก็โฟกัสเสียงพูด และเอฟเฟคตรงกลางที่ออกจากเซ็นเตอร์เป็นหลักไปด้วยก็รู้สึกบางอย่างว่า เออ เสียงมันจัดครับ คือ effect ต่างๆมันเฟี้ยวฟ้าว แบบพุ่งปรี๊ด แสบแก้วหูเล็กน้อย แต่ฉากไหนระเบิดลง ยิงปืนเบสมันก็มีนะครับ ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าหนักแน่น หรือบางเกินไป สาเหตุก็เพราะว่าดูจากซิสเต็มแกแล้ว Yamaha มา เสียงนั้นมาในแนวดีเทลชัด เบสบางอยู่แล้วตามสไตล์พี่แยม ดังนั้นจะคาดหวังอะไรตูมตาม เสียงหนาจากลำโพงก็คงไม่ใช่ ดังนั้นตามพยาธิสภาพของซิสเต็มแกแล้ว ผมคิดว่ามันทำได้สมหน้าที่และได้เสียงตามสไตล์ที่มันควรจะเป็นแล้วละ

เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ตอบแกไปว่า อืออออ ผมว่ามันก็หนักแน่น ชัดเจนแล้วนะครับ ยังไม่ชอบเหรอครับ อิอิ เหมือนตอบกวน และชาแล้นลูกค้านิดๆนะครับว่า คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ คุณจะเอาอะไรอีก ฮาๆ พูดยังไม่ทันจบประโยค ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ลูกค้าก็ปิดครับ ปิดหนังปิดเครื่อง ปิดสวิทซ์กรองไฟ ผมงี้ตกใจนึกว่าแกจะตะเพิดผมกลับบ้านซะแล้ว







แต่จริงๆแล้วแกเดินไปจัดการต่อสายสัญญาณเข้ากับช่อง Pre-out Center เพื่อทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ AVR Yamaha 2010 ทำหน้าที่เป็นปรีเฉพาะลำโพง Center (การต่อแบบนี้จะทำให้ avr ทำหน้าที่เป็นปรีและไม่ใช้กำลังขับของตัวเองขับลำโพงเซ็นเตอร์ แต่จะส่งสัญญาณเสียงและใช้กำลังจาก Power Amp มาขับแทน ส่วน channel อื่นๆนั้นยังใช้ avr ขับอยู่)
ต่อเสร็จ ไฟสีแดงแสดงสถานะ Stand by พร้อมใช้งานติดขึ้น ผมก็เบาใจไปหนึ่งเปราะว่า เออมันไม่เสียโว้ย ฮาๆ แล้วลูกค้าแกก็เดินไปกดปุ่มเปิดสวิทซ์ที่ตัว power ให้เริ่มทำงาน แต่อนิจจาไฟมันก็ยังคงแดงก่ำแสดงสถานะ Stand by อยู่แบบนั้นไม่ยอมขึ้นสีเขียวซะที ลูกค้าก็หันมาถามผมว่า "ทำไมมันไม่ติดละครับ"

นาทีนั้นเหมือนรู้สึกว่างานเริ่มเข้าแล้วครับ อากาศในห้องร้อนขึ้นมาเลย ผมก็ต้องทำใจดีสู้เสือ เดินไปกดปุ่มเปิดให้อีกที กดยังไงไฟมันก็แดงอยู่แบบนั้นละครับ ตอนนี้เอาจริงๆผมเหงื่อแตก แต่ยังตั้งสติและสังเกตอย่างนึงว่าตอนกดปุ่มแต่ละทีไฟสีแดงมันติดตลอดก็จริงแต่ระดับความสว่างมันไม่เท่ากันแหะ ผมเลยคว้าคู่มือมานั่งดู และก็คิดขึ้นได้ว่าหรือว่าไฟแสดงสถานะมันจะมีแต่สีแดง คือแดงเข้ม กับแดงอ่อน





ตอนนั้นผมกับลูกค้ามึนงงเหมือนติดสตั้นไปแปปนุง อิอิ แต่สุดท้ายก็ลองกดปุ่มเปิดให้ไฟมันแดงเข้ม แล้วผมบอกพี่ใหญ่ว่า พี่ลองเปิดหนังเลยพี่ เอาเลย แกเปิดหนัง ฉาก intro ขึ้นมาผมก็เอามือไปอังๆแตะๆดอกลำโพงด้วยใจตุ้มๆต่อมๆเพื่อดูว่า "มันทำงานหรือเปล่า" และแล้วฉากแรกขึ้นมา ดอกลำโพงทำงานครับท่านผู้ชม ก็แปลว่า Power ทำงานแล้วละ และก็จริงอย่างที่คิดคือ ไฟแสดงสถานะสีแดงเข้มคือแปลว่าทำงาน ส่วนแดงจางๆคือ stand by อือนะก็เป็นเอกลักษณ์ดีครับ อิอิ

ว่าแล้วพอพร้อมทุกอย่างผมกับลูกค้าก็เริ่มมาฟังกันด้วยการกรอหนังให้ไปฉากเดิมๆที่เคยดูมาตะกี้ (กรอยังกับกรอเทป ฮาๆ) คุณใหญ่แกก็เลื่อนๆดูไปเรื่อยๆ ส่วนผมนั้นนั่งอยู่ที่พื้นข้างๆลำโพง ทำเป็นนั่งดูมือถืออะไรไปเรื่อย แก้เขินด้วย และกลัวเสียงมันจะแย่กว่าเดิมด้วย



ผมก็นั่งฟังไปเรื่อย แต่ก็สังเกตได้แบบไม่ต้องจับผิดนะว่าเสียงมันไม่จัดแล้ว เสียงเฟี้ยวฟ้าวหายไป แถม Impact มันหนัก เบสเยอะ เสียงหนาขึ้น มีมวลขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้ทักหรือใส่ใจอะไรเพราะจุดที่ผมนั่งมันอยู่ข้างลำโพง เลยคิดว่าคงเพราะนั่งใกล้
แต่ตาผมก็แอบเหลือบไปมองหน้าลูกค้านิดๆ นาทีนั้นเห็นว่า ลูกค้ามีรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปากเล็กๆ แล้วบอกผมว่า คุณลองฟังดูสิ เสียงมันไม่อั้นแล้ว มีอิมแพคดีเลยนะ

ตอนนั้นละครับทำให้ผมย้ายตำแหน่งจากนั่งบนพื้นมานั่งบนโซฟาลองฟังดีๆดู
ก็รู้สึกครับ คราวนี้ชัดว่า ใช้ Yamaha เป็นปรี แต่เสียงที่ได้มันไม่ใช่ Yamaha แล้วนะ เสียงดูหนังตอนนี้มันหนักแน่น เสียงไม่แหลม ไม่เจี้ยวจ้าว ไม่บาง เสียงพูดจากไดอะลอกของหนัง มันมีมวลขึ้นมานิดหน่อย แต่ที่ดีขึ้นชัดเจนคือเสียงเอฟเฟคต่างๆที่ออกจากเซ็นเตอร์ มันหนัก มันชัด มีอิมแพคขึ้นแบบเห็นๆเลย แล้วอาการบาดหูก็หายไปด้วย แล้วมีฉากนึงที่มันโชว์เอฟเฟคจากเซ็นเตอร์แบบชัดๆเต็มๆ จนผมกับลูกค้าร้องขึ้นมาพร้อมกันว่า โอ้โห อันนี้ไม่ได้แต่งขึ้นมาเองนะครับ แต่พูดขึ้นมาพร้อมกันจริงๆ
พอผ่านฉากนั้นไปผมก็สบายใจแล้วละ คิดในใจว่า รอดแล้ว 555 แล้วหลังจากนั้นก็นั่งดูหนังนั่งเลื่อนฉากนู้นฉากนี้กันไปมาอยู่นาน เพลิดเพลินกันไปพอสมควร



ตอนนี้ผมคิดว่าคงถึงเวลาจะต้องลาจากและกล่าวคำอำลากับลูกค้าแล้วละ
แต่ผมก็สังเกตว่าตอนนี้โลกทั้งใบของคุณใหญ่ลูกค้าผมมันเหมือนมีแต่ตัวแก กับโลกส่วนตัว กับภาพยนตร์ที่แกนั่งดูพร้อมรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ พร้อมกับทิ้งผมไว้อย่างเดียวดายเสมือนห้องนี้ผมไม่มีตัวตนอยู่แล้วยังไงยังงั้น ฮาๆ





รู้สึกดีนะครับที่ทำให้คนที่ชอบดูหนัง ได้ดูหนังสนุกขึ้น ได้บรรยากาศมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือแกดูสมหวัง ดูมีความสุขมากขึ้น แต่งานเลี้ยงมันต้องมีวันเลิกลาครับ (จริงๆแล้วต้องไปหาลูกค้าที่อื่นต่อ) ผมก็เดินไปตรงหน้าแกแล้วบอก เดี๋ยวผมกลับก่อนนะครับพี่ พร้อมยกมือไว้ลาเสร็จสรรพ
นั่นจึงดึงแกกลับมาสู่โลกแห่งความจริงได้อีกครั้ง ฮาๆ ก่อนจะกลับแกดูเหมือนยังคงติดใจ คาใจอะไรบางอย่าง ผมเลยถามไปว่า มีอะไรหรือเปล่าครับ
แกก็บอกผมว่า ผมฝากไปถามบริษัทผู้ผลิต Audyn ทีว่า ไอ้ไฟแสดงสถานะของเครื่องเนี่ย ของผมมันปกติหรือเปล่า สีแดงอ่อนกับสีแดงเข้มเนี่ย ผมก็รับปากแกไปว่า ครับพี่ เดี๋ยวผมโทรมาบอกครับ





ตอนนี้ผมขับรถออกจากบ้านลูกค้ามาแล้ว ผมก็มานั่งคิดๆนะว่า บางทีลำโพงก็ขับไม่ได้ยากอะไร AVR นะมันพอแล้วก็จริงๆ เซ็ทดีๆ ปรับดีๆ จูนดี เค้นมันออกมาเต็มประสิทธิภาพของมันเสียงมันก็ดีได้ แต่บางทีพอเพิ่มแอมป์แรงๆ เพิ่มตัวช่วยเข้ามาเสริมนู้นนิด นี่หน่อย มันก็เร่งให้ซิสเต็มแสดงศักยภาพได้เต็มที่ยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องไปเร่งไปเค้น AVR มันได้เหมือนกัน แถมยังช่วยลดภาระ ลดโหลด ให้AVR ได้อีกด้วยนะ
จริงๆแล้วผมคิดว่าระดับคนเล่นทั่วๆไปการจะไปเพิ่ม Pre-Pro เต็มระบบ เอา Power สามสี่ตัวมาขับ วางเครื่องกันเต็มห้อง สายสัญญาณเต็มห้องไปหมด จะเปิดเครื่องดูหนังทีเดินไปเปิดกันวุ่นวายกว่าจะได้ดู กับทางเลือกง่ายๆ ใช้ AVR ตัวเดียวขับหมดทุกอย่างก็ง่ายดี หรือจะมีทางเลือกอื่นสำหรับคนเล่นที่ไม่ต้องการอะไรสุดโต่งมากแต่ก็อยากได้อะไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องปรีโปรเต็มระบบ เราก็อาจจะใช้ AVR ดูหนังรุ่นกลางๆหรือสูงๆหน่อย แล้วเติม Power แค่บางแชนแนล หรืออย่างมากก็ สามตัวหน้า เครื่องก็ไม่ต้องเยอะมาก แต่เสียงที่ได้มันมีอะไรที่มากขึ้นนะ แถมยังประนีประนอมระหว่างคำว่าเสียงดีที่สุด กับความสบายอยู่ด้วย



ทางเลือกไหนที่ถูกต้องและเหมาะกับตัวคุณ ผมคงตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ในใจผมเองมีคำตอบอยู่ในใจแล้วละ และผมก็จะเล่นในแบบที่ผมชอบ ผมมีความสุข และไม่เดือดร้อนตัวเองและกระเป๋าสตางมากนัก และด้านล่างนี่คือข้อสรุป ข้อดีข้อเสียที่ผมสรุปมาให้สำหรับซิสเต็ม Klispch กับ Power Audyn S250 MKII ตัวนี้

ข้อดี

1. เสียงดี แนวเสียงมาในแนวหนักแน่น impact สูง เสียงไม่จัด ไม่บาง แต่ออกแนวกลางต่ำยอดเยี่ยม เบสกระชับ รวดเร็ว ในขณะที่รายละเอียดกลางแหลมก็ยังดีใช้ได้ ผมว่ามันเหมาะกับการดูหนังมากกว่าฟังเพลง เพราะแนวเสียงค่อนข้างหนักแน่น เบสกระชับหนัก เร็ว ถ้าฟังเพลงแนวนุ่มๆ ช้าๆ ชอบอะไรนุ่มนวลผมว่าไม่ใช่แนวนี้

2. ราคาไม่แพงเมื่อเทียบ วัตต์ต่อราคากับแอมป์นอก

3. เป็นผลงานฝีมือคนไทยที่ดูหน้าตารูปร่างแล้ว ไปวัดไปวาได้ ดูดีในระดับหนึ่ง ไม่ได้ดูหรูหรามาก มันยังมีข้อบกพร่องแต่มันก็ถือว่าน่าภูมิใจและเป็นอีกก้าวของคนไทยที่ผลิต power amp ที่เมื่อเทียบเสียง ต่อวัตต์ ต่อราคาแล้วถือว่าคุ้มค่าที่สุดตัวหนึ่ง



ข้อเสีย

1. อย่างที่บอกไปเลยครับ ไฟแสดงสถานะ สีแดงสองสเตปมันทำให้ดูงงเหมือนกันนะครับ ใจจริงอยากให้เป็นสีเขียว หรือสีแดงก็ได้ แต่ตรงนี้ก็ไม่มีผลกับเสียง ถ้าถามว่ารับได้มั๊ย มันก็โอเคนะหยวนๆ แค่ cosmetic ภายนอกไม่ส่งผลกระทบกับการใช้งานเท่าไร่ เพียงแต่ใช้ครั้งแรกจะงงนิดๆในบางสภาพแสง มันดูแล้วงง ว่านี่ เราเปิดเครื่องหรือยัง อิอิ

2. ดีไซน์ตัวเครื่องตัวนี้มาในแนวยาวไปทางลึก ทำให้ดูเหมือนเครืองกรองไฟ หรือหม้อแปลง หรือเครื่องอะไรสักอย่างมากกว่า power amp แต่ของแบบนี้นานาจิตตังครับ บางคนก็ชอบเพราะมันแคบ แต่ยาวลึกลงไปทำให้มันประหยัดเนื้อที่จัดวางได้ดีเลย เอาไปวางซ่อนตรงไหนก็ได้ ตรงนี้ข้อดีใครจะแอบซื้อแล้วซ่อนเมียไม่ให้รู้เนี่ย เหมาะเลยครับ แต่ถ้าเปิดหนังดูแล้วเมียทักว่าทำไมเสียงมันหนักแน่นขึ้นอันนี้ก็ตัวใครตัวมันนะครับ

3. เสียงมันยังเหมาะกับการดูหนังมากกว่าฟังเพลงแนวหวานๆหรือ Audiophile แบบซีเรียสนะครับ ใครที่ชอบเพลงช้าๆ หวานๆ เสียงนุ่มนวล เบสลึก นุ่ม ใสๆสไตล์ เด็กม.ปลายใสๆผมว่ามันไม่ใช่ทางตัวนี้นะ ถ้าชอบแนวนั้นอาจจะต้องหาตัวอื่นแทน แต่ถ้าฟังเพลงร๊อค ฟังเพลงคึกคักๆ หรือมาแนวดูหนังอย่างเดียว ชอบ action มันๆเบสดีๆ หนักแน่น อันนี้ ใช่เลย



สรุปสุดท้ายนะครับ ทางเลือกในการเล่นเครื่องเสียง เล่น Home Theater นั้นมีมากมายหลายเส้นทาง ผมจะไม่ฟันธงว่าเส้นทางไหน เครื่องเสียงแบรนใด นั้นใช่ และเหมาะกับคุณ แน่นอนครับว่าการเพิ่ม Power Amp นั้นทำให้ขับลำโพงได้เต็มที่มากขึ้น เสียงดีขึ้น ลดภาระของ AVR ลงอีกเยอะ แต่ก็ต้องแลกมากับอะไรๆหลายอย่าง ทั้งการเพิ่มจำนวนเครื่อง สายสัญญาณ ค่าไฟ การแมทชิ่ง และเสี่ยงที่จะโดนแม่บ้านทุบตีได้ ฮาๆ สุดท้ายนี้ผมจะปล่อยให้ทุกท่านลองพิจารณาและค้นหาเส้นทางที่เหมาะกับแต่ละคนเอาเองครับ เพราะไม่แน่ว่าวันนี้เราเล่นของเรามาตลอดแบบนี้ มีความสุขกับแนวทางแบบนี้ แต่วันนึงเล่นๆไป แนวทางก็เปลี่ยนไป ตามอายุ ตามประสบการณ์ ตามรสนิยม และตามกำลังทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง

เหมือนกับผมคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยคิดว่าจะเล่น Power Amp มาก่อน แต่วันนึงกลับหันมาเล่น และก็เช่นเดียวกับใครหลายๆคน ที่คงมีใครหลายๆคนที่เล่นแบบเต็มระบบ Power Amp, Pre-Pro มาก่อนแล้วกลับมาเล่นเหลือแค่ AVR ตัวเดียวก็มีเช่นกัน ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียเสมอครับ ไม่มีใครได้หรือชนะตลอดไป ขอให้มีความสุขกับการดูหนังฟังเพลง และขอบคุณที่ิตดตามกันมาถึงจุดนี้ครับ ขอบคุณครับ



































============================================
Web site: http://www.whatthatsound.com

Line ID: keamgladnan

Tel No: 089-9695946
============================================
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 12, 2015, 10:25:27 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
วันนี้เราเก็บภาพสวยๆ จากห้องฟังเพลงของลูกค้าเราท่านนึงที่เราเอาลำโพง Klipsch RB61 II ไปส่งที่หัวหินมาให้ชมกันครับ
(ขอยืมรูปจากเฟสบุ๊กของเจ้าของห้องมาสองรูปครับ ขอบคุณครับ)

บอกตรงๆว่าผมเคยเข้าไปเยี่ยมชมห้องดูหนังฟังเพลงเยี่ยมๆมาก็หลายห้องแล้ว แต่ห้องนี้ผมรู้สึกว่าประทับใจมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะชุดมีราคาค่างวดเป็นหลักแสนหลักล้านแต่อย่างใด

แต่ย่างเก้าแรกที่เดินเข้าไปสัมผัส มันรู้สึกสบายและรู้สึกถึงความผ่อนคลาย ให้ความรู้สึกว่าเหมือนเราเดินเข้าไปเอนหลังพักผ่อนฟังเพลงเพราะๆในบ้านเพื่อนสักคน หรือร้านกาแฟบรรยากาศกันเองๆสักแห่ง

ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศการตกแต่งที่สวยและน่าอยู่ ไม่ได้มุ่งเน้นปรับจุนเสียงด้วยอุปกรณ์อคูสติกมากมาย หรือจัดวางอุปกรณ์เป๋ะซะจนดูเครียด หรือทำลายบรรยากาศความน่าอยู่ของบ้าน แต่ห้องนี้มุ่งเน้นความเป็นอยู่ของผู้อาศัย เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ และที่สำคัญที่สุดแผ่นเสียงที่เจ้าของสะสมเอาไว้นั้นสะท้อนบุคลิกของเจ้าของได้เป็นอย่างดี ว่านี่แหละคือคนที่หลงรักในดนตรีจริงๆ เสพย์งานดนตรีชั้นดีจริงๆ

บางทีนะครับ admin เองก็คิดว่างบไม่ต้องเยอะมาก แต่แค่เล่นให้เป็นและรู้ว่าตัวเองชอบเพลงแนวไหน เพราะไม่มีลำโพงตัวไหนในโลกหรอกครับ ที่ตอบสนองบทเพลงได้ดีในทุกประเภท

และสุดท้ายนี้เราอยากฝากไว้ว่าลำโพง Klipsch ไม่ได้ฟังเพลงแย่นะครับ ถ้าจับกับ amp ดีๆ เครื่องเล่นเหมาะๆ และเล่นเพลงในแนวทางของมัน มันทำได้ดีมากๆ ยิ่งโดยเฉพาะในแนว Rock, Electronic และดนตรีที่ต้องการชีวิตชีวา และความกระชับครับ























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 07, 2015, 10:10:32 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
ยังจำความรู้สึกของเครื่องเสียงชิ้นแรกในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นลำโพงคู่แรก CD Player ตัวแรก AVR, Int Amp ตัวแรกที่เราควักกระเป๋าตังซื้อกันได้หรือเปล่าครับ?   คุณจำได้มั๊ย มั๊ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  (ทำเสียงเอคโค่)

เค้าว่ากันว่าคนเราจะจดจำแบรนด์ หรืออันดับอะไรก็ตามที่เป็นที่หนึ่ง กับที่สุดท้าย ได้ดีที่สุดเสมอ
และไม่มีใครอยากจะจดจำอันดับที่สองหรือกลางๆแน่นอน
มีใครลืมรักครั้งแรกลงได้มั่ง  หรือมีใครลืมเครื่องเสียงชิ้นแรกที่ซื้อลงมั๊ยครับ  ว่าชิ้นแรกของคุณเนี่ยมันคืออะไร ยี่ห้อไหน เสียงอาจจะลืมไปแล้วอันนี้ไม่เป็นไร (ผมก็ลืม แฮ่ๆ)

---------------------------------------------------------------------------------
คลิ๊กอ่านบทความนี้ในรูปแบบเว็บไซต์ที่นี่: http://goo.gl/PmDrEm
---------------------------------------------------------------------------------

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังติดตรึงในสมองและความรู้สึกได้ดีนั่นก็คือ บรรยากาศ สีสัน และกลิ่นไอของความสุขในช่วงเวลานั้นๆ ไม่ว่าเครื่องเสียงชิ้นแรกของคุณเสียงมันจะไม่ดี จะห่วย จะถูกแสนถูกแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่คุณคิดถึงมัน ก็มักจะได้กลิ่นไอจางๆ ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆลอยมาตามลมที่พัดพาเอาอดีตในช่วงเวลานั้นกลับมาด้วยเสมอ
รวมไปถึงบุคคลที่อยู่ในห้วงความทรงจำช่วงนั้นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้านที่ขาย คนที่คุณนั่งฟังด้วย เพื่อนฝูง ก๊วนที่เคยเล่นเครื่่องเสียงกับคุณในยุคนั้น รวมถึงสถานที่ บ้านเก่าๆ ห้องฟังที่เคยคุ้นชิน ก็หวนกลับมา

สำหรับบางคนช่วงเวลานั้นอาจจะผ่านมานานเป็นหลายสิบปีจนเสียไปแล้วบ้าง หรือขายกินไปแล้วก็มี  หรือบางคนอาจจะเพิ่งเริ่มต้นออกเดินทางในถนนเส้นนี้  หรือบางคนอาจจะเก่าแก่มากไปกว่านั้นจนเข้าขั้น vintage ถึงขนาดเก็บสะสมไว้เป็นความทรงจำและสมบัติที่มีคุณค่า

เกริ่นมาซะไกล ก่อนที่จะเวิ่นเว้อโชว์แก่มากไปกว่านี้ ผมขอเข้าเรื่องเลยละกัน  วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องเครื่องเสียงชิ้นแรกของผมครับว่าคืออะไร และความประทับใจที่มีต่อมันนั้นมากมายแค่ไหน
ซึ่งตรงนี้อยากให้เพื่อนๆ พี่ๆหลายๆท่านในนี้ ร่วมกันแชร์ภาพและบรรยากาศความทรงจำดีที่มีต่อเครื่องเสียงชิ้นแรกกันครับ จะมีภาพด้วยหรือมีแต่ตัวหนังสืออย่างเดียวก็ได้ไม่ว่ากัน (เข้าใจว่านานแล้วคงไม่มีใครเก็บรูปไว้)  เริ่มเลย 1 2 3 Go


1. ลำโพงตัวแรกในชีวิต: Wharfedale emerald  EM-93  ใช่ครับนี่คือลำโพงที่งดงาม กับความไว 86 dB ดูแล้วทรงคุณค่าน่ารักษา ทั้งตัวตู้ผิวไม้ ทั้งทวีตเตอร์โดมไหมแบบนุ่มที่ยั่วยวนเด็กๆให้เอานิ้วไปจิ้มสุดๆ
และนี่คือไม่ใช่แค่ลำโพงที่ look โคดจะวินเทจและย้อนยุค แต่เสียงของมันก็ยิ่งวินเทจ และฟังสบาย เหมาะกับเพลงแนวเก่าๆด้วยเช่นกัน เรียกว่าเปิดลำโพงนี่ฟังแล้วนึกถึงยุคสุรชัย สมบัติเจริญ นึกถึงเสียงกร๊อบแกร๊บๆของแผ่นไวนิล เสียงอุ่นๆ เบสเยิ้มๆ หนืดๆ เสียงกลางอุ่น นุ่ม มีมวล สปีดช้านิดๆ เหมาะที่สุดแล้วสำหรับเพลงช้าและเพลงที่ต้องการปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับชายามบ่าย
แต่ทว่าผมเอามันมาฟังร๊อค และนี่คือลำโพงตัวแรกที่อยู่กับผมได้ไม่นาน และยังประทับใจผมจวบจนถึงทุกวันนี้

 



2. Integrated Amp ตัวแรก: Nad 320 BEE ตัวนี้คือ Integrated Amp หน้าตาทื่อๆ มีฟังก์ชั่นเท่าที่จำเป็น กำลังสำรองโอเค เอาไปขับลำโพงอะไรก็ออก เสียงก็ออกกลางๆ นิ่งๆไม่มีสีสัน แต่คุ้มเงินที่สุดตัวนึงก็ว่าได้ จะว่าไปนี่คือ Amp 2 channel ที่ให้เสียงราบเรียบในทุกย่าน บริสุทธิ์และคัลเลอร์น้อยซะจนเอามันไปจับกับลำโพงอะไรก็ให้เสียงแบบลำโพงตัวนั้น   และที่สำคัญแอมป์ตัวนี้ทนยังกับโคถึก ใช้ไปเถอะกี่ปีก็ไม่พัง ผมเก็บไว้ในห้องร้อนๆไม่ได้เปิดมา 3-4 ปีมันยังอยู่ดีสภาพเหมือนเดิมทุกประการ
และที่สำคัญตัวแทนผู้นำเข้า (Conice) ดูแลลูกค้าดีมว๊ากที่สุดเท่าที่ผมเคยประสบพบมาบริษัทหนึ่ง

 


3. ตัวสุดท้าย Integrated Amp HK3490 ตัวนี้พิเศษที่สุด ซึ่งเป็น Integrated Amp ตัวที่สองต่อจาก Nad 320 BEE ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวแรกก็ตาม แต่ตัวนี้มันมีความพิเศษ ความคุ้มค่า และความประทับใจที่ผมชอบจนซื้อเก็บไว้ถึงสองตัว ปัจจุบันนี้ยังเหลือเก็บไว้หนึ่งตัว ใช้งานดีมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลย  จนปัจจุบันปลดระวางตั้งไว้เฉยๆเก็บไว้เป็นที่ระทึก เอ้ยระลึก
ตัวนี้เป็นแอมป์ฟังเพลง2 channel ที่ให้กำลังขับสูงถึง 120 watt ที่ 8 โอหม์ ในราคามือหนึ่งแค่ 17,000 (ปัจจุบันไม่มีขายแล้ว) เอกลักษณ์ของมันก็คือเสียงทึบ และ dark ใช่แล้ว พูดไม่ผิดแน่นอน ทุกวันนี้วงการเครื่องเสียงบ้านมี amp สำหรับออดิโอไฟล์ แอมป์สำหรับเพลงหวานๆออกมากันเต็มตลาด  ทุกคนต่างหาแอมป์เสียงหวาน อุ่นนุ่ม แล้วทางเลือกของคนฟังร๊อค ฟังลูกทุ่ง ฟังเพลงมันๆละ  คำตอบคือมีครับ ตัวนี้นี้แหละ เสียงก็ฟังเพลงดีในระดับที่ผมพอใจ ขับลำโพงตั้งพิ้นระดับดอก 8 นิ้วพอได้   ถ้าถามว่าซื้ออะไรมาแล้วคุ้มตัง พอใจที่สุด  ผมก็จะบอกว่าเมื่อเทียบวัตต์ต่อราคา ต่อความพึงพอใจ (ของผมเอง) ก็มีตัวนี้นี่แหละ ไม่งั้นคงไม่เก็บไว้จนป่านนี้




มาถึงจุดนี้ผมก็ผ่านเครื่องเสียงมามากมายถ้าถามผมว่าเครื่องเสียงชิ้นแรกของผมคืออะไร ผมก็เล่าความประทับใจและบอกประสบการณ์ในอดีตของมันให้ทุกคนได้ฟังแล้ว
ถ้าถามกลับกันว่าแล้วเครื่องเสียงชิ้นสุดท้ายของผมละ คือเครื่องเสียงชิ้นไหน ตัวไหน ตรงนี้ต้องบอกว่าตอบไม่ได้จริงๆครับ เครื่องเสียงในฝันที่ผมอยากจะได้ และคิดไว้ว่ามีแล้วจะจบ จะหยุดทุกอย่าง อยู่กับมันอย่างมีความสุขไปตลอดนั้นมันคืออะไรผมยังไม่รู้เลย  
จะว่าไปรสนิยมคนเรานี่มันแปรเปลี่ยนไปตาม อายุ สังคม และประสบการณ์ที่พานพบมานะครับ บางทีเราอยู่ในสังคมแบบไหนเราก็มักจะถูกหล่อหลอมมาแบบนั้น อายุก็ด้วย หลายๆคนยิ่งอายุเพิ่ม ก็ยิ่งลดความหนักลง หันมาเล่นเครื่องเสียงที่ให้เสียงนุ่มนวลฟังสบายขึ้น หรือหลายคนเปลี่ยนแนวมาฟังดนตรีบรรเลง เพลงแจ๊ส new age, classic ก็มีเยอะ

เล่ามาถึงจุดนี้ แล้วเครื่องเสียงชิ้นแรกของเพื่อนๆละครับ คืออะไรแล้วมันประทับใจอะไรถึงยังจำมาได้จนถึงทุกวันนี้?

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2015, 10:56:26 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


จะไปเล่น Power + Pre/Pro หรือ AVR รุ่นสูงๆดี


ช่วงนี้ใครเล่นเครื่องเสียงมานาน น่าจะแฮปปี้กันนะครับ เพราะเป็นช่วงที่ AVR รุ่นใหม่ๆ ดาหน้ากันออกมาวางตลาดให้เลือกกันไม่หวาดไม่ไหว เพราะเป็นช่วงที่เปลี่ยนถ่ายระบบเสียงด้วย และก็ถึงเวลาเปลี่ยนรุ่นของแต่ละยี่ห้อเองด้วย   ตั้งแต่ Yamaha Aventage 3050, Marantz 7010, Onkyo RX900, Denon X7200

ซึ่ง AVR ตัวท๊อปแบบนี้ถามว่าดีมั๊ย ดีแน่นอนครับ ฟังก์ชั่นครบๆเลย มาในตัวถังเดียว ง่าย สบาย ประหยัดเนื้อที่ ประหยัดปลั๊กไฟ  แต่พอหันมามองราคา โอ้โห 6-7 หมื่นไปจนถึงแสนแล้ว
นักเล่นหน้าเก่าบางท่านที่เล่น AVR มานานแล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า จ่ายเงินตั้งเกือบแสน ตาม AVR รุ่นใหม่ๆไปเรื่อยๆแบบนี้ แล้วสิ่งที่จะได้ละ มันได้อะไรคุ้มค่ากับเงินที่จะลงทุนไปหรือเปล่า?  เสียงมันดีขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ เทคโนโลยีใหม่ๆได้ใช้บ้างมั๊ย

 
อย่ากระนั้นเลย คนขายบางท่าน หรือนักเล่นมือเก๋าๆก็กระซิบมาว่า เฮ้ย จ่ายตั้งเกือบแสน เพิ่มเงินอีกสักหน่อย เล่น Power, Pre/Pro ไปเลย นั่นแนะได้ยินคำว่า Pre/Pro ก็หูผึ่งกันแล้วใช่มั๊ยครับ เพราะมันดูเทพ ดูโปร ดูก้าวกระโดดกันไปอีกสเตปนึงแล้ว คล้ายๆ จากเปิดร้านขายของธรรมดา จะกลายเป็นมีเฟรนไชน จากมีเฟรนไชนจะส่งออกไปต่างประเทศ ฮาๆ

ทีนี้เคยถามตัวเองมั๊ยว่า ต้องการอะไร แล้วจะได้อะไรระหว่าง AVR ตัวท๊อปๆกับ Pre/Pro บางคนอย่างเช่นผมเองมี Power ใช้อยู่แล้ว เพียงแต่ใช้ภาคปรีของ AVR เรียกว่าใช้ AVR มันให้คุ้มทั้งใช้ขับลำโพง Surround ใช้ทั้งเป็นภาคปรีให้กับ power  แล้วถ้าเปลี่ยนไปเล่นปรีโปรละแค่ 5 หมื่นหรือแสนต้นๆก็เล่นได้แล้ว เฮ้ย แล้วแบบนี้จะเล่น AVR ไปทำไม ราคาก็ไม่ได้ทิ้งกันเลย ลังเลแล้วละสิ เอาแล้วไง เอาแล้วไง

----------------------------------------------------------------------------------------

ใครที่มีคำถามเหมือนผม วันนี้ผมเอาบทความนี้มาฝากครับ Credit เขียนโดยคุณ Schwin ใน Thaidvd.net
อ่านบทความในรูปแบบเว็บไซต์ที่นี่: http://goo.gl/xxLS00

----------------------------------------------------------------------------------------

ช่วงนี้กระแส..Up เพิ่ม PowerAmp กำลังเป็นที่สนใจ...
เลยอยากจะบอกกล่าวคุยก่อนกันซะหน่อย..เป็นที่ทราบๆกันว่าเมื่อก่อนผมใช้ Pioneer Lx 83 อยู่ขับลำโพงคู่ชีพลำโพงลายๆนั้นแหละ..จิงๆถ้าดูหนังสำหรับห้องขนาดประมาณ 3x4.5 m ของผมมันก็พอเพียงได้เสียงที่ต้องการ
คราว นี้เกิดอาการคัน...เคยฟังเพลงมาก่อนก็เลยอยากกลับมาฟังเพลงเหมือนเดิมบ้าง. ทั้งๆที่รู้ว่ากำลังขับใน AVR นั้นมันแค่พอฟังเพลงได้เท่านั้นเพราะเจ้าลำโพงผมนั้นถึงมันจะตัวไม่ใหญ่แต่ มันรับประทานวัตต์เอาเรื่อง.เลยดิ้นรนประกอบ AMP DIY..มาขับคู่หน้า...คราวนี้เสียงฟังเพลงถูกใจละ
ก็เลยจัดแจงประกอบ MONO มาขับ Center คราวนี้ได้เสียงพูดตัวละคอนที่ใหญ่ขึ้น...แจ๋ววะ
โดยใช้กำลังขับใน AVR ขับเฉพาะ ลำโพงหลังเท่านั้น
ที่นี่ AMP เต็มเลย...คันอีก...จะใช้ AVR ทำไมฟะ....เปลี่ยนเป็น Pre/pro ดีฟ่า
จัดการซะ...ได้ 5509 มา....คราวลองเซ็ทลองฟัง...ก็อย่างที่เคยเหลาให้ฟังไปแล้ว...ว่าก็ยังไม่ค่อยถูกใจนัก
เพราะไรหว่า...มีบางเสียงที่มันดีกว่าเดิม...แต่บางอย่างก็สู้ไม่ได้...แสดงว่า..การใช้ AVR รุ่นใหญ่ใช้เป็น Pre
มันก็ไม่ได้แย่ซักเท่าไหร่นิสำหรับดูหนัง....เป็นเพราะไร...ใครรู้บ้าง....
ความ แม็ทชิ่งกันครับ...คือเสียงของ 5509 มันไม่ค่อยลงตัวกับ...ลำโพงตัวที่ผมใช้อยู่(ทั้งๆที่รู้แต่คันอยากเป็นเทพๆ เล่นปรี..กะเค้าบ้าง...555)...ก็เลยต้องแก้ไขกับยกใหญ่..ทั้งสายไฟ...สาย สัญญาณ...สายลำโพง
เอาไปช่วยมันหน่อย...ก็ค่อยยังชั่ว...พอได้..พอได้
ที่ เล่ามาซะยาวจะบอกว่า...ก่อนที่จะ UP หรือเพิ่มอะไรเข้าไปในระบบ...ควรจะพินิจพิจรณาให้ดีๆว่าระบบเราด้อยด้านไหน ก่อนที่จะทำการเพิ่มเติมเสริมแต่งอะไรเข้าไป...ผมมีข้อแนะนำดังนี้
  -ดูก่อนเราชอบฟังเพลงมากไหม..ขนาดไหน..ซีเรียสมากเปล่า...ถ้าไม่ฉันดูหนังอย่างเดียว..
ถ้าใช้ AVR รุ่นกลาง..ค่อนข้างมาทางสูงหรือรุ่น Topๆ ..แล้วลำโพงไม่ใช่พวกดอกเยอะๆขับยาก..ตัวสูงเท่าหัว
ผมว่าไม่ต้องเพิ่ม Power Amp หรอกครับ...มันไม่ได้ต่างกันสุดขั้วขนาดนั้นเวลาดูหนัง...ที่เห็นผลสุดๆของการเพิ่ม power คู่หน้าคือการฟังเพลง 2 Chครับ
  - ถ้าลำโพงของท่านโคตระรับประทานวัตต์....(ส่วนมากเป็นลำโพง Hiend..ทั้งหลาย)..ไม่ต้องคิดเพิ่มเลยเพราะ AVR มันขับไม่ออกแน่ๆ.....
  - ห้องที่ชุดเครื่องเสียงฟังอยู่ที่ไหน...เป็นห้อง..ที่เป็นสัดส่วน..อันนี้ เล่นเล่นไปซักพัก..อยากUp เพิ่มเติมไรก็เห็นหน้าเห็นหลังได้....แต่พวกวางในห้องรับแขกเปิดโล่ง..ไม่ เป็นสัดส่วน...เปิดเสียงดังไม่ได้รบกวน..คนในบ้าน..นอกบ้าน...อันนี้ต้องถาม ตัวเองว่าคุ้มไหม..กับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มไป..เพราะเราเพิ่มเข้าไปมันดี ขึ้นแต่มันไม่ให้ผลที่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก
  - พวกที่ใช้ AVR รุ่น..เล็กๆหรือรุ่นเก่าที่มี pre out ต่อ Amp เพิ่มได้..แล้วเล่นลำโพงที่ไม่กินวัตต์มากนักแล้ว ชอบเสียงของลำโพงนั้นแนวนั้นแล้วแนะนำว่าอยากให้เปลี่ยน AVR เป็น รุ่นใหญ่น่าจะตอบโจทย์มากกว่าเพราะสะดวกเสียงทำเสียงดีได้ไม่ยาก...เพราะการ เพิ่ม power Amp...มันจะจุดประกายทำให้งบเราบานไปเรื่อยตามตัวอย่างข้างต้นไป...เพิ่ม Amp 1 ตัว....เอาเพิ่มมาขับเซ็นเตอร์อีกตัว....เอา...มาขับลำโพงหลังด้วยดี กว่า...เอา...เปลี่ยนปรี....คราวๆ....ไปๆมาๆรวมพวกสายมีสองแสนกว่านะ ครับ....แต่ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา
ตามสบายเลยพี่....
  - และเหตุผลสำคัญของการเพิ่ม Power Amp คือไรละ...ตัวเราไงดันเลือกลำโพงกินวัตต์เองไง
ก็ที่เคยบอกกล่าวให้ฟังแล้วว่า..ถ้าเราเลือกลำโพงที่ขับยากเท่าไรมันก็ต้องใช้ Amp กำลังสูงขับเท่านั้น
ดังนั้น..ไม่ควรเลือกลำโพงที่มันใหญ่โต..หรือรับประทานวัตต์มาก.....เอาแต่พอที่เราจะจ่ายค่า AVR เพื่อขับ
ได้เราก็จะไม่ลำบากถึงขนาดนี้..555

. ..การที่เราใช้ AVR ยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่เถอะ...แล้วเราหา power Amp เพิ่มเสริมเข้าไป..
.ขับคู่หน้าหรือ Center ...แน่นอนถามว่าเสียงดีขึ้นไหม....ดีขึ้นแน่นอน..รายละเอียดดีขึ้น
เบส ดีขึ้น..การแยกแยะดีขึ้น.....การเปลี่ยน AVR ไปใช้ Pre/pro ดีไหม...ดีซิไม่ดีได้ไง....แต่สำหรับผมถ้าใครใช้ AVR รุ่นใหญ่ๆก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ Pre ลองตัดสินใจดูก่อนนะครับ ถ้าจะเปลี่ยนทั้งที่ควรจะข้าม Pre
ระดับไม่ถึงแสนไปเลย(ควรเล่นพวกเทพๆ ไปเลยถึงเห็นความแตกต่างที่คุ้มค่าไหนๆต้องลงทุนกะ Power Ampอยู๋แล้ว)...เพราะเสียงที่ได้มันไม่ทิ้งห่างจาก AVR ตัว Top.เท่าไหร่นัก...แล้วการที่เปลี่ยนบุคคลิกของเสียงมันจะเปลี่ยนไปด้วยแต่ มันจะเข้ากะของเก่าหรือแม็ทชิ่งกับของที่เรามีอยู่หรือไม่..ถ้าแก้ไขได้ถูก หลักก็ดีไป..ถ้าแก้ไม่ถูกหลงทางละยุ่ง..สำหรับบางคนเสียงที่ได้ใหม่อาจจะ คุ้ม...แต่บางคนอาจจะไม่ถูกใจ...เล่นเอาแต่พอเพียงกัน...
คิดถึงปัจจัย หลายด้านดู...ตอนนี้กว่าผมจะดูหนังได้ผมต้องเปิดสวิทซ์ประมาณเกือบสิบ เครื่อง....แต่เราเลือกมาทางนี้แล้วก็ต้องเล่นไป...เสียงที่ได้ดีกว่าเดิม เเน่...แต่มันใช้เราสะเหนื่อยเลยกว่าเราจะมีความสุขกะมัน...เหมื่อนอะไรหว่า

สรุป....เราเล่นเครื่องเสียงให้สนุกหรือจะให้เครื่องเสียงมันใช้งานเรา

 
----------------------------------------------------------------------------------

ความเห็นส่วนตัวผม

อ่านแล้วจะได้คำตอบยังไง เล่น Pre/Pro หรือไม่เล่น ก็แล้วแต่วิจารณญาณและกำลังเงินในกระเป๋าครับ ท่านอาจจะคิดไม่เหมือนผม หรือได้คำตอบคนละแบบ ของแบบนี้ไม่มีผิดไม่มีถูก ขึ้นอยู่กับความพอใจล้วนๆ  ถ้าท่านพอใจ ท่านหยุด ก็เป็นผลดีกับกระเป๋าตังท่านเอง แต่ถ้าท่านอัพต่อ ซิสเต็มท่านก็อาจจะเสียงดีมากกว่านี้ขึ้นไปอีก ก็เป็นผลดีกับตัวท่าน ความสุขในตัวท่านเองในภายภาคหน้า

ความเห็นส่วนตัวผม Pre/Pro ตัวราคากลางๆไม่ถึงแสนหรือบางยี่ห้อ (ขอไม่เอ่ยชื่อ) เล่นแล้ว ให้เสียงทิ้ง AVR รุ่นท๊อปๆบางรุ่นไปไม่ไกลนักหรือเผลอๆแพ้ AVR (เอาเฉพาะภาคปรีนะ) ต้องถามตัวเองว่าคุ้มมั๊ยที่จะอัพ ถ้าจะอัพเล่น Pre เทพๆไปเลยดีกว่ามั๊ย   ถ้าจะเล่น Pre/Pro ต้อง ดูเรื่องการ matching ว่าเข้ากับซิสเต็มเรามั๊ย ลำโพงเรา power เราเสียงมันไปยังไง ถ้าเลือก Pre/Pro ที่เสียงมันไม่เข้ากับระบบและความชอบเราแล้ว ผมบอกได้เลยว่า ยาวววววววววววววครับ ตามแก้กันไม่รู้จบ เผลอๆต้องแก้ทั้งเส้นสาย ปลั๊ก ลำโพง แอมป์เพื่อมาแม๊ทให้เสียงกลับมาได้เสียงแบบที่ชอบเพียงเพราะเลือก Pre/Pro ผิดก็มีเหมือนกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 29, 2015, 09:41:17 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
วันนี้เรามาลองแกะกล่องดูกันสิว่าลำโพงเซอราวด์แบบไบโพลรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Klipsch Reference Premier RP-240S และซับวูฟเฟอร์เสียงดีอย่าง R110-SW จะน่าใช้สักแค่ไหน

Klipsch RP-240S : เป็นลำโพง surround แบบไบโพลรุ่นเล็กสุดของ series Premier ใช้ดอกทวีตเตอร์แบบไทเทเนียม 1 นิ้ว 2 ดอก และดอกเสียงกลางต่ำ Cerametallic ขนาด 4 นิ้ว 2 ดอก หันหน้าออกจากกันคนละด้าน ช่วยยิงกระจายเสียงให้ครอบคลุมห้องได้มากกว่าลำโพงแบบบุ๊กเชลฟ์ที่มีดอกเดียว ตัวนี้เป็นตู้ปิด มีความไว 93 dB น้ำหนักแต่ละข้างหนัก 6 กิโลกรัม
ใครที่ห้องมีขนาดใหญ่สักเล็กน้อย หรือหน้ากว้างของห้องเกินกว่า 5 เมตร ตัวนี้น่าใช้ครับ เพราะการกระจายเสียงทำได้สมจริงและทั่วถึงกว่า

Klipsch R110-SW: ซับวูฟเฟอร์ตัวเล็กราคาไม่แพงตัวนี้สรรพคุณไม่ต้องพูดถึงกับเสียงต่ำที่หนัก กระชับ และเอาอยู่ทุกความถี่ต่ำครับ โดยตัวนี้น้ำหนักประมาณ 17 กิโลกรัม ลงลึกได้ 27Hz
และให้เสียงได้ดังสุดที่ 114 dB

สั่งซื้อสินค้า ส่งฟรีทุกรายการ ฟรี กทม ต่างจังหวัดส่งขนส่งเอกชนเก็บค่าส่งปลายทาง
*** นอกจาก Klipsch Reference Premier, Reference II แล้วเรายังมี KEF Q series, R series, Cerwinvega (PA/Home), PSB, JL Audio, Polk, Energy, Velodyn, Tannoy, JBL อีกด้วยครับ























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 02, 2015, 10:37:27 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์

Review subwoofer: Cerwin-Vega XLS12S

Subwoofer ราคาประหยัดในงบไม่ถึง 15,000 บาทมาแนะนำแนวเสียงกันครับ




เริ่มจากน้ำหนักกันก่อน Active subwoofer ตัวนี้หนัก 21.7 kg ใช้ดอกวูฟเฟอร์ขอบแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Cerwin ขนาด 12 นิ้ว มีกำลังขับ 250 watt สามารถรองรับสายแบบ L&R + LFE RCA ได้
หน้าตาก็ออกแนวบึกบึน และมีตะแกรงคลุมดอกลำโพงอยู่ทั้งหมด ซึ่งตะแกรงนี้จะถอดเองค่อนข้างลำบาก และไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานถอดครับ


แนวเสียง
ตัวนี้แนวเสียงกระชับ เก็บตัวเร็วมาก เสียงเหมือนลูกเหล็กลูกขนาดพอเหมาะกระแทกลงบนพรม หรืออะไรที่นุ่มๆนิดๆ
เสียงกระแทกจะค่อนข้างมีบุคลิกคล้ายคลึงกับ subwoofer ขาโหดทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น klipsch, jbl อยู่นิดนึง แต่ก็มีจุดที่ต่างกันตรงที่ klipsch, jbl เสียงกระแทกจะกระชับ เก็บตัวเร็ว แต่หนัก เหมือนลูกเหล็กกระแทกลงบนวัสดุเช่นไม้ หรืออะไรที่แข๊งๆ ไม่อ่อนนุ่ม กระแทกทะลุทะลวงหูสะใจ ซึ่งจะต่างกับ Cerwin xls12s

Cerwin xls12s จะกระแทกในลักษณะที่เจือความนุ่มมาด้วย ทำให้เสียงที่ได้นั้น เหมาะกับการฟังเพลงทั่วๆไปเช่น pop, rock ด้วย ไม่หนักจนเกินไป

ทีนี้มาดูที่การดูหนัง สเปกตัวนี้ลงได้ไม่ลึกคือประมาณ 38 hz แต่จากการเทสกับแผ่นความถี่ต่ำที่ระดับต่างๆเทียบกับซับวูฟเฟอร์ในระดับราคาใกล้ๆกันแล้ว พบว่าเสียงที่ระดับ 30 hz และ 25 hz ก็ยังได้ยินเสียงความถี่ต่ำสั่นสะเทือนได้ชัดเจนและดังกว่าซับคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าอาจจะเป็นที่แผ่นที่เราทดสอบหรือสภาพห้องฟัง

การดูหนังต้องบอกว่า subwoofer ตัวนี้ให้เสียงความถี่ต่ำประเภท คราง สั่นสะเทือน ได้สะอาดและค่อนข้างชัดเจน คือสั่นๆกึกๆแล้วจบหยุดตามที่ควรจะจบ บุคลิกจะไม่เหมือนซับในระดับราคานี้บางยี่ห้อเช่น paradigm ที่ให้เสียงสั่นสะเทือนได้ดี และยังคงเหลือเสียงค้าง เก็บตัวช้า ซึ่งจะเหมาะกับการดูหนังประเภทที่มีเสียงระเบิด แผ่นดินไหว คลื่นยักษ์ได้ดีกว่า cerwin xls12s
แต่ถ้าเป็นหนังที่ต้องการเสียงต่อย เสียงปืน หรือเสียงรถชนที่ต้องการแรงกระแทกที่กระชับ เก็บตัวเร็วแล้วละก็ ซับ cerwin xls12s ทำได้ดีกว่าครับ

สำหรับตัวนี้เหมาะสมที่จะใช้สำหรับห้องขนาดไม่เกิน 15-20 ตรม นะครับ หากห้องมีขนาดใหญ่กว่านี้แนะนำว่าควรใช้ตัว Cerwin xls15s หรือใช้ cerwin xls12s สองตัวจะสะใจกว่ามาก


ข้อดี
1. กระชับ เก็บตัวเร็ว เบสต้นดี ติดนุ่มนิดหน่อย ทำให้แรงกระแทกที่รุนแรงนั้นฟังสบาย ไม่ปวดหู ไม่ปวดประสาทเหมือนซับบางตัว
2. การประกอบค่อนข้างแข๊งแรง ทนทาน เร่งหนักแค่ไหนก็ไม่มีปัญหาซับเดินได้ ซับผีสิง เหมือนบางยี่ห้อที่ตัวเล็กๆ เบาๆ
3. ตัวนี้เสียงดัง และเร่งได้มากๆเสียงไม่มีแป๊ก และไม่มีเสียงรบกวนหรือซับเดินเองเมื่อเร่งเกิน 12:00 น.


ข้อเสีย
1. เบสลึกๆ เบาและไม่ชัดเจนเท่าเบสต้น
2. หนัก และตัวใหญ่ อาจจะมีปัญหาเรื่องการจัดวาง
3. จากการทดสอบมา 2-3 ตัวพบว่าวัสดุยางที่ตัวตะแกรงปิดดอกลำโพงด้านหน้าบางตัวมีปัญหาสีลอก แต่ไม่มีผลกับการใช้งาน แค่มีผลเรื่องความสวยงาม
4. ขอบลำโพงเป็นโฟม มีอายุการใช้งานทั่วๆไป 3-5 ปีหากใช้งานเป็นประจำ แต่หากที่ใครไม่ค่อยได้ใช้ ตั้งทิ้งไว้หลายๆเดือนเปิดทีหรือเป็นปี อาจจะมีปัญหาขอบเปื่อยเร็วกว่าขอบยาง แต่ค่าเปลี่ยนขอบนั้นก็ไม่เกิน 1,xxx บาท


สรุป Subwoofer ในระดับราคา 10,000-20,000 บาทนั้น ถ้านับกันที่เบสต้น ความกระชับแล้ว หาตัวไหนหรือแบรนด์ใดที่เอาชนะตัวนี้ยาก แถมบุคลิกก็มีความโดดเด่นแตกต่างจาก Klipsch และ jbl ตรงที่แม้จะกระชับเก็บตัวเร็ว กระแทกเหมือนกัน แต่กลับได้ความนุ่มนวลมาด้วย ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นยี่ห้อเดียว ในระดับราคานี้ที่ให้เสียงแนวนี้ครับ

ดังนั้นหากมีตัวเลือกที่จะหา Subwoofer ที่เน้นเบสต้น กระชับๆ กระแทกๆ และมีความนุ่มนวล ในขณะที่เบสลึกๆก็ให้เสียงได้ดี Cerwin-vega XLS12s เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีมากตัวนึงที่ควรพิจารณาก่อนจ่ายเงินซื้อ Subwoofer ซักตัวนึงครับ


---------------------------------------------------------------------------
Price: 13,xxx บาท

Specification

Frequency Response: 43 Hz - 300 Hz (-3 dB)
38 Hz - 350 Hz (-10 dB)
Frequency Range: 1: 28 Hz - 150 (-10dB)
Power Capacity: 250 watts (RMS )
Crossover: Variable LPF: 50 Hz -150 Hz
12" Paper cone foam half roll cast frame woofer
Weight: 48 lb. / 21.7 kg
Dimensions (HxWxD): 18.2" x 13.8" x 20.5"


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 15, 2015, 04:57:25 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Klipsch R-115SW Subwoofer Official AVS Forum Review

วันนี้เราเอารีวิวซับวูฟเฟอร์ Klipsch R115-SW จากเว็บไซต์ชื่อดังของต่างประเทศมาให้อ่านกันครับ โดยเราแปลเป็นภาษาไทยให้จะได้อ่านกันง่ายๆแล้วตามด้านล่างจ้า

บทความต้นฉบับ: http://www.avsforum.com/forum/113-subwoofers-bass-transducers/1997066-klipsch-r-115sw-subwoofer-official-avs-forum-review.html#post34160346

รีวิวแปลเป็นไทยในรูปแบบเว็บไซต์: http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.msg775781#msg775781



===========================================


เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า สำหรับซับวูฟเฟอร์แล้ว คำกล่าวที่ว่า "ยิ่งใหญ่ ยิ่งดี" จริงเหรอ  โดยเฉพาะกับซับวูฟเฟอร์
Klipsch ที่มีดอกวูฟเฟอร์ใหญ่ถึงขนาด 15 นิ้ว

REVIEW SYSTEM
ระบบต้นทาง: PC (Windows 8) running Tidal and iTunes

Amplification and Processing:
Crestron Procise PSPHD pre/pro
Crestron Procise ProAmp 7x250

Cables:
Monoprice 12-gauge OFC speaker cables
Mediabridge Ultra Series subwoofer cable
Mediabridge Ultra Series HDMI cable

ลำโพงอื่นๆ:
Klipsch RP-280F



จริงๆแล้วมีหนทางมากมายนะครับที่จะสร้างซับวูฟเฟอร์ดีๆ ที่ให้เสียงดัง หนัก และลงได้ลึก แต่กับซับวูฟเฟอร์ R-115SW (ราคาประมาณ 900 $ หรือประมาณ 30,000 บาท  **ราคาต่างประเทศ)
นั้นเราพบว่าเป็นซับวูฟเฟอร์ที่ประสบความสำเร็จและโดดเด่นมากๆ ที่ Klipsch ทำซับวูฟเฟอร์ขนาดนี้ในราคาที่ต่ำกว่า 1000$ (ประมาณ 33,000 บาท)

R115 ตัวนี้เป็นส่วนหนึ่งของไลน์การผลิตในซีรี่ย์ Reference Premier ซึ่งอยู่ในคิวที่เราจะรีวิวต่อไป แต่เนื่องจาก R115 ตัวนี้สามารถเข้าได้กับลำโพงหลากหลายยี่ห้อ  R115 สามารถนำไปวางโดยช่วยเสริมคุณภาพเสียงต่ำได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเราจึงอยากจะรีวิว R115 ตัวนี้แยกต่างหาก สำหรับใครที่อยากได้ซับในการดูหนังฟังเพลงจะได้เป็นตัวเลือกที่ดีในการตัดสินใจครับ

ถ้าย้อนมองกลับไป ประวัติศาสตร์ของ Klipsch นั้นไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดซับวูฟเฟอร์แต่อย่างใดนะครับ  เนื่องจากตลาดในอเมริกาเหนือและทั่วโลกก็มีผลิตภัณฑ์ของ Klipsch  วางขายอยู่ในฐานะของแบรน์ตลาดที่หาซื้อได้ง่าย และคุณภาพดี มีปริมาณยอดขายที่สูงมากๆ และปริมาณการผลิตก็สูงจนสามารถควบคุมต้นทุนและราคาได้อย่างสมเหตสมผลและแข่งขันได้

โดยเริ่มต้น Klipsch เริ่มต้นในตลาดด้วย Horn-Loaded Speaker หรือลำโพงฮอร์นปากแตรที่มีชื่อเสียง  ด้วยประสิทธิภาพไม่ว่าจะความไว ความดัง และคุณภาพนั้นต้องบอกว่ายอดเยี่ยมมาก
ไม่มีใครที่ซื้อลำโพง Klipsch ไปเพื่อใช้เป็นแค่ลำโพงเปิดเพลงเบาๆ ฟังผ่านๆเป็นแบร๊กกราวด์ตามออฟฟิสหรือสำนักงานหรือร้านกาแฟนะครับ แต่กลับกัน มีแต่คนที่นิยมเอาลำโพงไปใช้ในงานรื่นเริง ปาร์ตี้ และการฟังที่จริงจัง

กลับมาเข้าเรื่องว่า R115 นั้นเราได้รับ R115SW มาสองตัวสำหรับการเทส ดังนั้นเราก็จะเซ็ทอัพระบบและใช้งาน R115 แบบคู่ (Dual) นั่นเอง  เพราะเรารู้สึกว่าใช้สองตัวย่อมให้คุณภาพและความหนักแน่นดีกว่าตัวเดียว


Features

R-115SW น้ำหนัก 75-pound (34.2 kg) ใช้ดอกวูฟเฟอร์ขนาด 15นิ้ว ยิงหน้า แบบตู้เปิด ท่อระบายลมด้านหน้า
แอมป์ในตัวกำลังขับ 400-watt (800 peak)
ให้ความถี่ (frequency response) 18 - 125 Hz +/-3 dB
ให้ความดังสูงสุด 122 dB (ดังมากๆๆ) สัดส่วน สูง x กว้าง x ลึก  54.61 cm x  49.53 cm x  56.64 cm
ผิวไม้นั้นมาแบบลายเดียวนั้นคือสีดำลาย brushed black-polymer veneer

และ R115 แต่ละตัวจะมาพร้อมกับตะแกรงหน้าที่ถอดและใส่เพื่อปิดดดอกวูฟเฟอร์สีทองแบบ Cerametallic aluminum cone  ขนาด 15 นิ้วได้มิดพอดี

ส่วนด้านหลังนั้นจะมาในแบบ Minimalist คือมีให้ปรับเท่าที่จำเป็น
นั่นคือมีช่อง input (RCA) และปุ่มเพิ่มระดับเสียง และความถี่
อย่างไรก็ตามตัวนี้ไม่มีช่อง level input และไม่มี pass-through  แบบที่ซับ PA ทั่วๆไปนิยมกัน 
จะมีแค่ลูกบิดสำหรับปรับ Crossover และลูกบิดอีกตัวปรับระดับเสียง และสามารถเลือกปรับเป็น LFE เพื่อยกเลิก crossover และรับความถี่ตามที่สัญญาณที่ปรับแต่งและ crossover มาจาก AVR แล้วก็ได้เช่นกัน (หมุนไปขวาสุด)

และอีกจุดคือจะให้สวิทซ์สำหรับปรับเฟส 0 / 180 มาให้เฉกเช่นซับวูฟเฟอร์ทั่วๆไป และที่สำคัญตัวนี้มีสวิทซ์รองรับระบบไฟได้สองแบบนั่นคือ 120v/240v (บ้านเรา สวิทซ์จะใช้ที่ 240 v)
และตัวนี้ที่เมืองนอกจะมีชุดคิท WA-2 สำหรับติดตั้งทำเป็น Wireless Subwoofer ได้โดยนำตัวนี้ไปติดที่ AVR และตัวซับก็จะทำงานแบบไร้สายได้ครับ




Setup


เริ่มวาง R115 ไว้ข้างๆลำโพงคู่หลัก RP-280F โดยวางซับวูฟเฟอร์ที่ด้านหน้า จะเห็นว่าแผงหน้านั้นเต็มเอี๊ยดและไม่เหลือพื้นที่ให้วางอย่างอื่นแล้ว จากลำโพงคู่หน้าสองตัว และซับ R115 อีกสองตัวก็กินพื้นที่ห้องด้านหน้าไปแทบทั้งหมด

แอมป์จะใช้  Crestron's PSPHD 7.3-channel pre/pro
ปรับ crossover ความถี่ต่ำไว้ที่  80 Hz ซึ่งเป็นความถี่ที่เหมาะสมเมื่อใช้ร่วมกับลำโพงแบบตั้งพื้น (ตั้งมากกว่า 80 เสียงอาจบวมเบลอ หรือไปกวนย่านความถี่อื่นได้)

ดูจากรูปคลื่นความถี่ต่ำที่วัดได้จาก R115 ทั้งคู่ พบว่าเสียงความถี่ต่ำที่วัดได้นั้นกระจายไปทั่วทั้งห้อง ไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะจดที่เรานั่งฟัง  โดยวัดที่จุดต่างๆในห้องจะพบว่าระดับเสียงเบสที่ส่งออกจาก R115 กับเมื่อไปวัดระดับความดังที่จุดต่างๆทั้งห้องนั้นพบว่าแตกต่างกันอยู่ประมาณ 12 dB  จากจุดที่ดังที่สุดและค่อยที่สุด  (บางจุดก็ดังมาก บางจุดก็ดังน้อยกว่าที่ควรจะเป็นถึงขนาด -12 dB โดยเฉพาะจุดที่นั่งฟังนั้นอาจไม่ใช่จุดที่ให้เสียงดี แน่น ที่สุด)

อย่างไรก็ตามก็สามารถใช้ EQ มาช่วยปรับและทำให้ระดับเสียงทั้งห้องมีปริมาณเสียงเบสที่ดังทั่วถึง และเน้นเป็นพิเศษในจุดที่นั่งฟังให้มีระดับเสียงใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุดนัั่นคือ +/- 3dB




Performance

R115-SW นั้นเป็นซับบ้านที่มีขนาดใหญ่ ผลิตเสียงและปริมารเบสได้มาก   เรามั่นใจว่าตามบ้านทั่วไป ที่ใช้งานระบบโฮมเธียร์เตอร์ นั้น R115 ตัวเดียวนั้นเพียงพอและเอาอยู่สำหรับการฟังเพลงและดูหนังในระดับทั่วๆไปที่คนทั่วไปนิยมกันครับ

จากการทดสอบเราพบว่าระดับความถี่ที่ R115 ทำได้ดีมากๆ และให้เสียงดัง หนัก และชัดที่สุดอยู่ในช่วงตั้งแต่ 20 - 30 Hz
นั่นคือระดับเบสลึกๆนั่นเอง โดยความถี่ช่วงนี้จะทำให้วัสถุที่อยู่รอบๆห้องสั่น กระจก สิ่งของ โซฟา หรือแม้แต่ทำให้ตัวสั่นได้เลย
โดยเสียงเบสในย่านนี้จะสามารถกระจายไปให้เพื่อนบ้านได้ยินหรือรู้สึกได้ครับ

เราทำการทดสอบ R115 แบบจริงจังโดยยิงคลื่นเสียง (Sine-wave) โดยใช้ R115 เพียงหนึ่งตัวในห้องปิด เพื่อวัดระดับของเสียงเบสในห้องโดยเริ่มจากความถี่ 18 Hz นั่นคือต่ำสุดตามสเปกของซับตัวนี้ที่จะทำงานได้
โดยเสียงความถี่ระดับนี้นั่นคือเสียงออร์แกนท่อครับ

ต่อมาก็ยิงเสียงที่ความถี่ 20 Hz จาก R115 สองตัวที่ระดับความดัง 110 dB วัดที่จุดนั่งฟัง

ณ จุดนี้นะครับ สิ่งที่ได้จากการฟังเสียงความถี่ต่ำระดับ 18 - 20 Hz จากซับ R115 นั้นพบว่าคนที่นั่งฟังสัมผัสได้ว่าตาพล่าเบลอ  และเริ่มปวดหัว
แน่นอนครับ คงไม่มีหนังหรือเพลงเรื่องไหนที่มีเสียงความถี่ต่ำระดับนี้นานๆติดๆกัน เพราะจะทำให้ปวดหัวมาก ยิ่งฉากทีเบสลึกมาๆนั้น ถ้าจ้องไปที่บริเวณหน้าดอกซับวูฟเฟอร์จะเห็นเลยว่าจะเบลอๆและ ปริมาณเบสณ จุดนี้มากเกินระดับพอดีที่คนเราใช้กันครับ

นอกจากนั้นเราลองยิงความถี่ที่ระดับ 16 Hz  จะเห็นว่าดอกมีอาการสั่นไหว แต่มีเสียงและมีคลื่นพลังงานออกมาให้เราสัมผัสและได้ยินน้อยกว่าที่ระดับ 18 Hz
นั้นก็แปลว่า Klipsch R115-SW เคลมความถี่เอาไว้ที่ 18 Hz นั้นถูกต้องและทำงานได้ตรงกับสเปกทุกอย่างครับ คือทำงานได้ดีจนย่านความถี่นี้เท่านั้น ถ้าความถี่ต่ำมากกว่านี้ก็จะเริ่มไมไ่ด้ยินและไม่ตอบสนอง (แต่จะหาหนังหรือเพลงอะไรที่มีความถี่ระดับนี้มาเล่นผมว่าแทบจะไม่มี หรือหายากมากๆ)

ที่น่าสนใจคือ R115 ตัวนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกระดับ micro-dynamic nuance แบบซับวูฟเฟอร์บางตัวที่เราเคยสัมผัสเช่น GoldenEar ForceField 5 หรือ JL Audio e112 

แน่นอนครับ ราคาต่างกันประมาณ 3-4 เท่า โดยซับสองตัวที่ว่า (JL e112, GlodenEar ForceField 5) นั้นใช้แอมป์ในตัวที่มีกำลังขับสูงกว่ามากๆๆๆ R115 และกลับกันดันใช้ดอกวูฟเฟอร์ที่เล็กกว่า R115  รวมไปถึงราคาซับทั้งสองตัวก็สูงกว่ามากด้วย 

แต่อย่างไรก็ตามถ้าเทียบกันแล้ว ซับทั้งสองตัวกับ R115 เทียบความคุ้มค่าที่ได้จากเงินที่จ่ายไป บาทต่อ output ที่ได้ (ความหนัก กำลังเสียง ความดัง ลงลึก) เรายกให้ R115 ทำได้คุ้มค่ากว่า


สรุป / Conclusion

เราจะมีสรุป R115 อีกครั้งตอนรีวิว Reference Premiere 7.2  เร็วๆนี้  แต่สำหรับตอนนี้ เท่าที่ข้อมูลที่เราเทส เราพอใจในปริมาณและคุณภาพเบสลึกๆ ที่ให้เสียงออกมาได้หนักและกระชับ (punch)

และเมื่อเทียบราคาต่อสิ่งที่ได้รับนั้น เรายิ่งกล้าบอกเลยว่า R115 ตัวนี้ คุ้มค่าสุดๆสำหรับใครที่ชอบเบสหนักๆ เยอะๆ และคนที่ชอบฟังเพลงก็เหมาะมากๆกับตัวนี้ (กระชับ ไม่คราง)

แต่สำหรับใครที่เล็งจะจ่ายสำหรับ R115 สองตัวนั้น เราแนะนำนว่าให้หยุดคิดสักพัก เริ่มจากซื้อมาตัวเดียวก่อนแล้วลองเล่นดูว่าพอใจกับปริมาณและคุณภาพเบสที่ได้รับมั๊ย เพราะเราเชื่อว่าแค่ R115 ตัวเดียวก็ให้เสียงหนักมากๆในระดับที่มากพอที่ใช้ในการดูหนังและฟังเพลงแล้ว
แต่ถ้าลองแล้วและคิดว่าไม่พอ อยากได้หนักกว่านี้ก็สามารถเพิ่ม R115 อีกตัวเข้าไปในระบบได้ภายหลังครับ

เร็วๆนี้จะมีรีวิว Klipsch Reference Premier ทั้งชุด ซึ่งจะพูดถึงการดูหนัง และฟังเพลงโดยเฉพาะ และจะได้เห็นกันว่าด้วยคุณภาพและปริมาณเบสของ R115 ที่ได้จากการเทสครั้งนี้ เมื่อนำนำไปใช้งานดูหนัง ฟังเพลงจริงๆนั้นจะยังดีและสุดยอดเหมือนครั้งนี้หรือเปล่า   ติดตามกันต่อไปนะครับ






Credit: http://www.avsforum.com

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 08, 2016, 10:28:05 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Subwoofer แบบไหนดี? ตู้เปิดกับตู้ปิดต่างกันยังไง? ดู spec ยังไง ค่าอะไรเยอะแยะไปหมด? วันนี้เรานำความรู้เล็กๆน้อยๆในการเลือก subwoofer มาฝากกันครับ


บ่อยครั้งนะครับที่เราได้ยินคำถามว่า ตัวนี้เป็นตู้เปิดหรือตู้ปิด? ทราบหรือไม่ครับว่ามันแตกต่างกันอย่างไร เราจึงอยากจะลงรายละเอียดและไขข้อสงสัยเป็นข้อๆกันเลยครับ



1. ตู้ปิด เสียงดีกว่า ตู้เปิด? ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้นทั้งมวลครับ การที่ subwoofer จะเสียงดีนั้นมีปัจจัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดอกที่ใช้ ตัวตู้ แอมป์ที่ใช้ขับ
ถ้าเราใช้ทุกอย่างเหมือนกันหมด ดอก แอมป์ แต่ต่างกันแค่ตู้เปิดกับตู้ปิด เสียงที่ได้จะแตกต่างกัน

- ตู้เปิดเสียงจะดัง ให้ปริมาณเบสที่เยอะ อิ่ม ใหญ่กว่าตู้ปิด เพราะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างตู้ และการไหลเวียนของอากาศภายในตู้ให้เป็นประโยชน์

- ตู้ปิดจะให้เสียงและปริมาณเบสที่น้อยกว่า แต่ได้เบสที่กระชับและสะอาดกว่า ให้เบสต้นที่ชัดและหนักแน่น

- ตู้เปิดจะไม่ต้องการกำลังขับสูงเท่าตู้ปิด

- ตู้ปิดจะต้องการกำลังขับที่สูงกว่าตู้เปิดเสมอ เพราะฉะนั้น subwoofer ในราคาและงบประมาณเท่าๆกัน ใช้วัสดุทุกอย่างเหมือนกันหมดแอมป์ตัวเดียวกัน ต่างกันแค่ตู้เปิดกับตู้ปิด ตู้ปิดมีโอกาสที่เสียงจะแย่กว่าตู้เปิดได้ หากแอมป์ที่ใช้นั้นให้กำลังไม่มากพอ

- ตู้ปิดจะให้เสียงได้ดี กระชับ สะอาด หนักแน่นนั้น ล้วนต้องการกำลังขับที่สูงกว่าปกติแทบทั้งนั้น ดังนั้นการที่จะหา subwoofer ตู้ปิดในราคาต่ำกว่า 3-4 หมื่นบาทและต้องการเสียงที่ดีกว่าตู้เปิดในราคาเดียวกัน เป็นเรื่องค่อนข้างเป็นไปได้ยากครับ และจะเห็นว่าในราคาระดับ 3-4 หมื่นบาท เราจะเห็น 95% ของ subwoofer ทั่วๆไปจะเป็นตู้เปิดแทบทั้งหมดครับ นั่นเป็นเพราะว่าต้นทุนของแอมป์ที่จะนำมาขับนั้นสูงกว่าตู้เปิดนั่นเอง
แต่ก็จะมีบางยี่ห้อที่ทำตู้ปิดมาในราคาไม่แพงมากนัก ส่วนใหญ่พวกนี้จะใช้เทคโนโลยีเฉพาะ เน้นใช้ดอกที่ขับง่าย และการออกแบบตู้ที่ดี และใช้แอมป์ที่ราคาไม่สูงมากนัก จึงสามารถทำตู้ปิดมาในราคาที่โดนใจได้ ซึ่งข้อดีที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของสะอาดและกระชับของเบส แต่เสียงจะดีกว่าตู้เปิดในระดับราคาเดียวกันหรือไม่นั้น ต้องเป็นเรื่องที่ผู้ใช้งานเองต้องตัดสินใจครับ

- ลำโพงตู้ปิดเสียงไม่จำเป็นต้องดีกว่าตู้เปิดเสมอไปครับ ยกตัวอย่างเช่น JBL 4645 ที่ได้รับการรับรองจาก THX และนิยมนำไปใช้ในโรงหนัง และผู้ผลิตส่วนใหญ่นิยมนำไปเป็นต้นแบบในการผลิต subwoofer ระดับเทพๆหลายตัว ก็เป็นตู้เปิดครับ แถม spec ยังลงได้ลึกถึง 22 Hz (-3 db) และ 18 Hz (-10 db)





2. Active หรือ Passive subwoofer ดีกว่ากัน subwoofer ทั่วๆไปที่ขายสำหรับใช้ใน home theater นั้นส่วนใหญ่จะเป็น active ทั้งนั้นครับ ข้อดีของมันก็คือ ง่าย เพราะภายในตัวตู้จะมีแอมป์บิ้วอินมาให้เลย เราไม่จำเป็นต้องหาแอมป์มาต่อให้วุ่นวายครับ เรียกว่าซื้อตัวเดียว เสียบปลั๊ก เสียบสายสัญญาณแล้วจบ
ส่วนอีกแบบคือ passive นั้นจะมีแต่ตัวตู้ซับมาให้ ไม่มีแอมป์ ให้ลองนึกภาพลำโพงคู่หน้าก็ได้ครับ คือมีแต่ตู้ แล้วต้องหา avr หรือ power มาขับเองมันถึงจะทำงานได้ ข้อดีของแบบนี้ก็คือเราสามารถเลือกแมทชิ่งใช้แอมป์ดีๆได้ เสียงที่ได้ส่วนใหญ่ถ้าแมทชิ่งดีๆก็จะได้เสียงที่ดี กระชับ หนักแน่นกว่าแบบ active และตัวซับมักจะมีความคงทนมากกว่าเพราะไม่ค่อยมีวงจรเรื่องภาคขยายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ข้อเสียก็คือยุ่งยาก ต้องต่อสายกับ power แยกออกไปถึงจะใช้งานได้ และรวมๆแล้วก็จะมีราคาแพงด้วยครับ




3. ค่า spec ของซับแต่ละตัวต่างกันอย่างไร เราจะเคยเห็นค่าพวกนี้นะครับ 27 Hz (-3 db) 22 Hz(-10db) ค่าที่ว่านี้ใช้บอกว่าซับตัวนี้ลงลึกได้แค่ไหน แต่ๆๆ เดี๋ยวก่อนครับ ในวงการเครื่องเสียงก็มี trick เล็กๆน้อยๆเหมือนกัน ค่าของเสียงที่ได้จะไม่ใช่เส้นตรงอย่างที่เราคิดกันนะครับ ค่าพวกนี้จะเป็น curve ให้เสียงได้ดีที่ระดับความดังและความถี่ Hz นึงเท่านั้น แม้ว่าสเปกจะบอกว่าลงได้ถึง 22 Hz แต่ที่ระดับ 22 Hz นี้ค่ากราฟมันลาดลงและให้เสียงค่อยกว่าปกติแล้วครับ สังเกตจากเลข 22 Hz (-10db) ดังนั้นค่ามาตรฐานทั่วๆไปที่เราควรดูจะอยู่ที่ -3 Hz เช่น 27 Hz (-3 db) เป็นหลักครับ ซับบางยี่ห้อ ราคาถูกดี แถมสเปกยังลงได้ลึก แต่ดูดีๆแล้วค่าที่แจ้งนั้นเป็นค่าที่เสียงเริ่มจะ fade out ออกไปแล้วครับ คือลงได้ลึกก็จริงแต่หูเริ่มจะไม่ได้ยินเสียงแล้วนั่นเอง




4. เหตุใดต้องใช้ subwoofer ในเมื่อลำโพงคู่หน้าผมก็ลงได้ลึกตั้ง 30 Hz หรือ 27 Hz
ใช่ครับ ลำโพงคู่หน้าบางคู่ลงได้ลึกขนาดนั้นจริง แต่ที่จริงแล้วต้องไปดูกราฟครับ ว่าที่ระดับความถี่ต่ำกว่า 30 Hz นั้นสำหรับดอกวูฟเฟอร์ 5-8 นิ้วทั่วๆไป ส่วนใหญ่ 99.99% จะให้เสียงเบสที่ fadeout ลงไปมากแล้ว เสียงที่ได้ยินนั้นจะขาดน้ำหนัก ค่อย แม้ว่าจะลงลึกได้เท่านั้นก็จริง แต่ความสนุก ความมัน ความดังแถบจะไม่เหลือแล้วครับ
ก็แหม ลำโพงคู่หน้าส่วนใหญ่รับหน้าที่ตอบสนองความถี่ตั้ง 22 kHz ไปยัน 30 Hz คงไม่มีลำโพงเทพตัวไหนที่ให้เสียงดีเสมอกันไปจนทุกย่านความถี่ แม้กระทั้งความถี่ต่ำๆแน่นอนครับ



5. เอาซับ PA มาดูหนังในบ้านแทนได้มั๊ย เสียงกระแทกดี แถมราคาไม่แพง คำตอบคือได้และไม่ได้ครับ ปกติแล้วซับ PA จะทำมาสำหรับดนตรี การแสดงสดจึงให้เสียงที่สด กระชับ โหด เบสต้นชัดกว่าซับบ้านแทบทั้งนั้น แต่ซับ PA ส่วนใหญ่จะลงได้ไม่ลึก ส่วนใหญ่จะได้ประมาณ 38Hz แค่นั้น ถ้าความถี่ที่ต่ำกว่านี้ก็จะเริ่มเฟดไปแล้ว จะมีแค่บางตัวที่ลงได้ลึกอย่างเช่น JBL 4645 ที่ลงได้ถึง 22 Hz แล้วถ้าถามว่าถ้าจะใช้ PA Subwoofer ทั่วๆไปที่ลงได้ไม่ลึกมาก เช่น Cerwin Vega CVA118 ที่ลงได้แค่ 38 Hz เอามาใช้จริงๆในบ้านจะได้มั๊ย คำตอบก็คือได้ครับ คงไม่มีใครห้ามท่านได้ แต่การใช้งานควรจะต้องมีซับบ้านอีกตัวไว้คอยเสริมความถี่ลึกๆ ใช้งานเป็นเป็นคู่ไปเลย ที่นี้ท่านจะได้ทั้งบรรยากาศระลอกคลื่นหนักๆ ความกระชับเช่นเดียวกับโรงหนัง และยังได้เบสลึกๆจากซับบ้านอีกตัวนึงด้วยครับ



6. ถามว่าดูสเปกแล้วลงได้ลึก เลือกตู้เปิดตู้ปิดที่ชอบได้แล้ว แล้วจะซื้อเลยดีมั๊ย ยังก่อนครับ สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวเลขและสเปกบนกระดาษแค่นั้น ความจริงแล้วซับจะเสียงดีหรือถูกใจเรานั้นยังมีปัจจัยอื่นอีกมากครับ ทั้งตัวดอกที่ใช้ด้วย และความชอบรสนิยมส่วนตัวของเราด้วย ซับบางยี่ห้อสเปกเหมือนกับอีกยี่ห้อหนึ่งเลย แต่ให้เสียงต่างกันราวกับมาจากคนละดาวกัน เช่น Klipsch ให้เสียงเบสต้นหรือหัวเบสชัด จัด กระแทก และกระชับ ไม่แผ่ หุบตัวเร็ว ฟังเพลงเร็วๆ ดูหนังดี
แต่กับอีกยี่ห้อนึงเช่น Velodyn ให้เสียงเบสต้นที่เบา ไม่ชัดเจน แต่กลับให้เบสลึกๆที่นุ่มนวลชวนฝัน ฟังสบาย สะอาด เหมือนกระโจนลงไปบนเบาะน้ำนิ่มๆอย่างไงอย่างงั้นเลย ฟังเพลงช้าๆสุนทราภรที่ไม่ต้องการเบสเยอะๆดี ดูหนังได้บรรยากาศเล็กๆ


ดังนั้นการที่ท่านจะเลือกซับวูฟเฟอร์ดีๆมาไว้ใช้งานสักตัวนั้น นอกจากดูสเปกแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวกำหนดว่าซับตัวนั้นเหมาะกับท่านหรือไม่ คือรสนิยมของท่าน และบุคลิกของซับตัวนั้นๆเองครับ
ก่อนที่จะเลือกซื้อซับสักตัวสิ่งที่ต้องตอบให้ได้นั่นคือ ท่านชอบเสียงต่ำแบบไหน? แล้วจึงไปเลือกซับในแนวและยี่ห้อและงบที่ท่านชอบครับ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 10, 2016, 08:19:29 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


Preview AVR Onkyo TX-NR646 และ TX-NR747 รุ่นใหม่ล่าสุดที่รองรับ (เกือบ) ทุกระบบเสียง

วันนี้เรามีพรีวิวจากเว็บไซต์ชื่อดังจากต่างประเทศอย่าง Audioholics มาฝากกันครับ กับ AVR รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาวางจำหน่ายในบ้านเราเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ Onkyo TX-NR646 และ TX-NR747

โดยทั้งสองรุ่นนี้เพิ่งออกใหม่สดๆร้อนๆจากเตา และยังรอบรับ Dolby Atmos และ DTS:X ด้วย ทีนี้เรามาดูกันว่าทั้งสองรุ่นนี้มีฟีเจอร์อะไรเด่นๆ แตกต่างกันยังไง แล้วน่าซื้อมั๊ยกับ AVR ที่รองรับ DTS:X ทั้งสองรุ่นนี้

------------------------------------------------------------------------------
คลิ๊กอ่านพรีวิว Onkyo 646/747ในรูปแบบเว็บไซต์ที่นี่: http://goo.gl/2a6y3r
------------------------------------------------------------------------------





Specifications
จะว่าไปในท้องตลาดตอนนี้ AVR รุ่นต้นๆไปจนถึงรุ่นกลางๆที่รองรับระบบเสียงครบถ้วนอย่าง Dolby Atmos และ DTS:X (ready)ในเครื่องเดียวนั่นหาไม่ได้ง่ายๆนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AVR ที่ราคาประหยัดในงบแค่ 2-3 หมื่นบาทแบบนี้ ซึ่ง Onkyo 646, 747 เป็นรุ่นแรกๆที่รองรับระบบเสียงนี้ ในราคาแบบ "สบายกระเป๋า"

DTS:X

DTS:X ระบบเสียงแบบใหม่ล่าสุดที่ลงมาสู่เครื่องเสียงบ้าน ซึ่งใช้แนวคิดแบบ object-based surround sound ที่อนุญาติให้ผู้ใช้งานสามารถกำหนด หรือ adjust เสียงรอบทิศทางที่เหมาะกับห้อง และความชอบของคุณได้เอง ซึ่งจะแตกต่างจากระบบเสียงแบบเดิมๆอย่าง channel-based ที่จะฟิกซ์ตำแหน่งลำโพงและเสียงที่ได้จะถูกมิกซ์มาแล้วจากผู้สร้างหรือผู้ผลิตตายตัว ไม่สามารถกำหนดหรือปรับแต่งได้ แต่ DTS:X สามารถเลือกได้ว่าจะให้เสียงออกมาเป็นอะไรและเน้นเสียงที่ตำแหน่งหรือแชนแนลไหน ตามสภาพห้องของคุณเอง (โดยใช้ DTS:X encoded software เป็นตัวช่วยปรับ) และที่สำคัญ DTS:X จะสามารถรองรับกับระบบที่คุณมีอยู่ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น 5.1, 5.1.2, 5.1.4, หรือ 7.1.4 ก็สามารถรองรับได้

รายละเอียดระบบเสียง DTS:X - DTS:X Surround Sound Overview and First Listen


Dolby Atmos

แน่นอนว่าระบบเสียงอย่าง Dolby Atmos นั้นทั้ง NR646 และ NR747 สามารถรองรับได้มาจากโรงงานทันที ซึ่งระบบเสียงแบบ Dolby Atmos นั้นเราอาจจะคุ้นเคยกันมาสักพักแล้ว แต่ด้วยคอนเซปจริงๆของ Dolby Atmos นั้นจะประกอบไปด้วย channel-based และ object-oriented ผสมกัน นั้นคือตัวลำโพงยังใช้รูปแบบลำโพงที่ต้องเพิ่มลำโพงตัวด้านบนหัวเข้าไป ไม่ว่าจะเป็น 5.1.2 หรือ 5.1.4 โดยเสียงจะถูกมิกซ์และบันทึกมาจากผู้ผลิตภาพยนตร์หรือผู้สร้างให้เสียงมีลักษณะรอบทิศทาง เสมือนเราเข้าไปอยู่ในเหตการณ์จริงๆ โดยเสียงที่ได้จะมีความสมจริงมากกว่าระบบเสียง Dolby True HD ปกติเนื่องจากมีการเติมลำโพงด้านบนเข้าไปทำให้ได้บรรยากาศรอบตัวของจริง และที่สำคัญ AVR ที่รองรับระบบเสียงนี้จะสามารถนำหนังที่ไม่ได้ถูกบันทึกมาแบบ Dolby Atmos มาเล่นโดย Up-mix เสียงให้กลายเป็น Dolby Atmos ได้ด้วยนะ (แน่นอนว่าเสียงที่ได้ย่อมไม่ดี สมจริงเท่าหนังที่ถูกบันทึกมาแบบ Dolby Atmos จริงๆแน่นอน)
ส่วน Onkyo 646, 747 นี้จะรองรับ dolby Atmos ได้แค่สองแชนแนลนั่นคือ 5.1.2 เท่านั้น ถ้าใครอยากจะเล่นแบบเต็มระบบอย่าง 5.1.4 หรือ 7.1.4 นั้นอาจจะต้องหา AVR รุ่นสูงๆกว่านี้ครับ

รายละเอียดระบบเสียง Dolby Atmos: Dolby Atmos for Home Theater Explained




4K Ultra HD

AVR ทั้งสองรุ่น รองรับเทคโนโลยี HDMI HDCP 2.2 แบบใหม่ล่าสุดที่สามารถรองรับแบนวิธได้สูงสุดถึง 18 Gbps ซึ่งนั่นหมายความว่ามันสามารถรองรับการส่งถ่ายข้อมูลผ่านสายสัญญาณ HDMI จากเครื่องเล่นมายังตัว AVR และส่งต่อสัญญาณภาพไปยังจอภาพไม่ว่าจะเป็นจอ led หรือ projector ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงระดับ 4k Ultra HD ได้ โดยมีข้อแม้ว่าเครื่องเล่น สาย hdmi ทั้ง Input / output และจอต้องรองรับภาพแบบ 4K ultra HD ด้วย ซึ่งปัจจุบันก็จะมีภาพยนตร์ที่ถูกบันทึกในความละเอียดแบบ 4K นี้ทยอยออกสู่ตลาดในอนาคต

ด้วยความละเอียดระดับ 4K@50/60 (2160p) นั้นมีความละเอียดกว่าภาพแบบ hidef ในปัจจุบันที่มีความละเอียด 1080p/60 video resolution ถึง 4 เท่า
และ AVR Onkyo ยังสามารถส่งถ่ายข้อมูลแบบ High Dynamic Range (HDR) formats ได้ด้วย รวมไปถึงยังช่วยปรับปรงคุณภาพภาพในส่วนที่มืดและสว่างได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่าด้วย


Bluetooth / Wi-Fi with Pandora, Spotify, and AirPlay

Onkyo TX-NR646 และ NR747 รองรับ AirPlay, Wi-Fi, Bluetooth มาจากโรงงานโดยไม่ต้องหาอุปกรณ์เสริมใดๆมาต่อเพิ่ม และยังสามารถ streaming เพลงต่างๆผ่านทางอุปกรณ์เช่น Smartphone, Tablet และเครื่องเล่นต่างๆผ่าน network โดยควบคุมผ่านทาง Onkyo Remote app หรือจะสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เช่นมือถือเข้าโดยตรงกับ AVR โดยใช้ Bluetooth ก็ทำได้เช่นกัน .
AVR ตัวนี้มาพร้อมกับ service ไม่ว่าจะเป็น Spotify, Pandora, SiriusXM Internet Radio, Slacker and TuneIn ซึ่งสามารถเลือกใช้และเล่นได้ตามใจชอบได้เลยผ่านทาง Onkyo Remote app บน Smartphone หรือ Tablet




Hi-Current Amp Design for Authentic Sound Reproduction

Onkyo's มีการปรับแผงวงจรและภาคจ่ายไฟให้มีคุณภาพสูงขึ้นเพื่อรองรับเสียงในการรับชมภาพยนตร์ เพลงและเกมให้ดีกว่าขึ้นเดิม โดยรูปแบบแผงวงจรแบบใหม่ที่ Onkyo ใช้นั้นเราเรียกว่า "Wide Range Amplifier Technology" (WRAT) ซึ่งคีย์การทำงาน การออกแบบวงจร รวมถึงภาคจ่ายไฟหลักๆดังนี้

Onkyo amplifier design
- Low negative feedback design: ช่วยให้เสียงเบสที่ได้ชัดเจนกระชับ เสียงกลางแหลมสมจริง สะอาดตลอดทุกย่านความถี่
- Closed groundloop circuits: ลด noise ในวงจร และลดสัญญาณรบกวนที่ส่งผลต่อคุณภาพเสียง
- High instantaneous current: รองรับช่วงไดนามิค และช่วงพีคให้ตอบสนองได้ราบเรียบ

จากตัวเลข spec ของ Onkyo NR-TX646 ทึ่เคลมกำลังขับไว้ที่ 170 W/Ch (6 Ohms, 1 kHz, 0.9% THD, 1 Channel Driven, FTC) หรือถ้าเทียบที่มาตรฐานทั่วๆไปก็จะได้อยู่ที่ 100 W/Ch (8 Ohms, 20 Hz–20 kHz, 0.08% THD, 2 Channels Driven, FTC)

และ Onkyo TX-NR747 ให้กำลังขับ 175 W/Ch (6 Ohms, 1 kHz, 0.9% THD, 1 Channel Driven, FTC) หรือให้กำลังขับที่ 110 W/Ch (8 Ohms, 20 Hz–20 kHz, 0.08% THD, 2 Channels Driven, FTC).


===========================================
มุมมองของผู้เขียน:: วิธีการบอกตัวเลขกำลังขับนั้นโดยปกติจะมองที่กำลังขับที่ 8 โอห์ม อย่างน้อย 2 channel มากกว่าดูที่ 6 โอหม์ 1 channel อย่างที่ Onkyo เคลมสเปกไว้ ซึ่งการใช้งานในชีวิตจริงจะไม่ได้กำลังขับอย่างที่แจ้ง
ถ้าจะดูตัวเลขในการใช้งานจริงๆให้ดูที่ full bandwidth ทุกแชนแนลหรืออย่างน้อย 2 channel (20Hz to 20kHz, 8 ohms) เป็นหลักครับ
===========================================




รุ่นใหม่นี้ Onkyo ใช้ DAC คุณภาพสูง AK4458 digital-to-analog converter จาก Asahi Kasei ที่ให้ความเพี้ยนต่ำและให้เสียงที่สะอาดในทุกๆย่าน (low-distortion filtering technologies) ซึ่งหมายถึงว่าเสียงทุกฟอร์แมทที่นำมาเล่นจะดีขึ้นในทุกๆย่านไม่ว่าจะเป็น compressed, lossless, hi-res audio (MP3, WMA, WMA Lossless, FLAC, WAV, OggVorbis, AAC, Apple Lossless, DSD 5.6 MHz, LPCM, and Dolby TrueHD).
และ AVR รุ่นใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเล่นไฟล์ analog โดยให้ช่องต่อ Phono input line มาไว้ต่อกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงได้เลยโดยไม่ต้องหา Pre-Phono นอกมาต่อเพิ่มเพื่อเล่นแผ่นเสียง และนอกจากนั้นยังรองรับ digital audio แบบ hi-res audio playback, gapless playback, DSD, Double DSD, FLAC และ ALAC ไฟล์ Hi-Res รูปแบบอื่นๆด้วย เรียกได้ว่ารองรับสนับสนุนไฟล์ hi-res เกือบทุกรูปแบบเลยก็ว่าได้


Powered Zone 2 and Zone 2 Line-Outs

Onkyo TX-NR646 และ NR747 มีฟังก์ชั่นสามารถเชื่อมต่อลำโพงไปยัง Zone2 ได้สำหรับใครที่มีหลายห้อง และอยากจะต่อเครื่องเสียงออกไปห้องอื่น ไม่ว่าจะเปิดเพลงเดียวกันจาก avr ทั้งบ้านทุกๆห้อง หรือเล่นแต่ละห้องคนละเพลงแยกกันก็ได้เช่นกัน เรียกว่ารองรับความบันเทิงภายในบ้านทุกรูปแบบเลยจริงๆ

- Powered Zone2: สามารถเชื่อมต่อสายลำโพงออกไปกับลำโพงที่ห้องอื่นโดยใช้กำลังขับจาก AVR Onkyo โดยวิธีนี้สามารถลากสายไปต่อลำโพงได้เลยโดยตรง

- Zone 2 line-outs: วิธีนี้จะลากสายสัญญาณออกไปเชื่อมต่อกับ power amp อีกห้องนึง ซึ่ง AVR Onkyo จะทำหน้าที่เป็น pre-processor และส่งแต่สัญญาณออกไปที่ amp และลำโพงอีกห้อง โดยห้องนั้นจะต้องมีลำโพงและ amp เอาไว้ขับลำโพงแยกต่างหากด้วย

ทั้งสองแบบจะทำให้สามารถต่อลำโพงแยกการใช้งาน แยกห้องได้สูงสุดถึง 3 ห้องนั่นคือ ห้องหลักที่ใช้ avr onkyo เอง และห้องที่สองที่ลากสายลำโพงออกไปผ่านช่อง Powered Zone 2 และห้องที่ 3 ที่ใช้สายสัญญาณเชื่อมกับลำโพงและ amp อีกตัวได้ครับ


เล่นตัวไหนดีระหว่าง Onkyo 646, 747
ราคาขายของทั้งสองตัวที่ห่างกันอยู่ราวๆหนึ่งหมื่นบาทนั่นคือ
----------------------------------------------------------------------

Onkyo 646: 23,900 บาท: http://www.whatthatsound.com/product/223/onkyo-tx-nr646

Onkyo 747: 33,900 บาท: http://www.whatthatsound.com/product/224/onkyo-tx-nr747
----------------------------------------------------------------------

ความแตกต่างที่ 6 โอห์มระหว่าง 170 วัตต์ (646) กับ 175 วัตต์ (747) นั้นดูน้อยนิดเดียว และที่ 8 โอห์มที่ 100 วัตต์กับ 110 วัตต์ ก็ยังดูไม่เยอะพอที่จะลงทุนนะครับ

ถ้าถามผมว่า ถ้ามันต่างกันแค่นี้ ถ้าเป็นผมจะเลือกตัวไหน แน่นอนครับ เงิน 10,000 บาทอาจจะดูไม่เยอะ แต่ถ้าความแตกต่างของรุ่น 646, 747 มันต่างกันแค่นี้จริงๆ ผมก็ต้องเลือก 646 อย่างไม่ต้องคิดมากเลย

แต่ในความเป็นจริงนั้น Onkyo 747 ให้อะไรมากกว่านั้นครับ สิ่งที่ได้นอกจากกำลังขับที่มากกว่านิดนึง ก็คือ "THX Select2 certified receiver" ซึ่งตัวนี้เป็นตัวการันตีมาตรฐานให้ Onkyo 747 ว่าได้รับการรับรองและผ่านมาตรฐานต่างๆที่ทาง THX กำหนดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานเรื่อง volume, low distortion เสียงต่างๆที่ต้องผ่านมาตรฐานในระบบ THX (มาตรฐานที่ใช้มี 75 หัวข้อ, 2,000 มาตรฐาน และครอบคลุม 14,000 หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานเสียงของ THX.
ส่วนเรื่องอื่นนั้น 747 น้ำหนักมากกว่า 646 ประมาณเกือบสองโล


บทสรุป

หากมองหา AVR ระดับเริ่มต้น ระดับกลางที่รองรับอนาคต รองรับทุกอย่างแบบครบๆในตัวเดียว ในขณะที่จ่ายไม่ต้องแพงมากนัก ซึ่งในอนาคต DTS:X จะมี firmware มาอัพเดท (ตอนนี้จะมีอีกตัวที่สเปกและรองรับครบๆคล้ายกันคือ Pioneer VSX-90)
และประเด็นที่ต้องคิดคือระบบเสียง Dolby Atmos ที่รองรับนั้นรองรับแค่ 5.1.2 configuration ซึ่งยังไม่รองรับ Dolby Atmos แบบเต็มระบบ ซึ่งถ้าหากคุณอยากได้ Dolby Atmos ที่รองรับ 7.1.4 น่าจะต้องลองไปดูรุ่นอื่นแต่นั่นก็หมายความว่าฟีเจอร์นี้จะอยู่ใน AVR รุ่นสูงๆที่ต้องจ่ายแพงขึ้นเยอะ นอกเหนือจากระบบเสียงอย่าง DTS:X, Dolby Atmos ก็ยังมีฟีเจอร์เด่นๆอย่าง 4k Ultra HD, Bluetooth, Wi-Fi, and Apple Connect, ที่รองรับแบบครบๆเช่นกัน หากคุณยอมรับได้กับ AVR รุ่นใหม่ที่รองรับทุกฟีเจอร์เกือบครบ ในราคาแค่ 2-3 หมื่นบาท ในราคาประหยัดเช่นนี้ได้ และลำโพงคุณไม่ได้โหดร้าย ขับไม่ได้ยากอะไรนะ AVR ทั้งสองตัวของ Onkyo 646, 747 เป็นอะไรที่คุ้มค่าน่าเล่นมากครับ (อย่าลืมว่ากำลังขับที่เอามาพิจารณาลำโพงควรจะต้องดูที่ 8 โอห์มนั่นคือ 100, 110 วัตต์)

------------------------------------------------------------------------
Credit บทความ: http://www.audioholics.com/av…/tx-nr646-and-tx-nr747-preview
Credit รูป: http://www.cnet.com/products/onkyo-tx-nr646/

------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 15, 2015, 11:56:05 am โดย keamglad »