ผู้เขียน หัวข้อ: What's That Sound ขาย Klipsch, KEF, Procella , SVS, Anthem, Parasound,Audyn  (อ่าน 327771 ครั้ง)

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์



รบกวนอ่านก่อนครับ เพื่อเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร มีที่มายังไง และจุดยืนในการค้าขายของเรา รวมถึงวิธีการสั่งสินค้า ระยะเวลา การส่งสินค้า การจ่ายเงิน ได้ที่นี่



1. มีหน้าร้านมั๊ย
Ans: เราไม่มีหน้าร้านครับ เราสื่อสารกับลูกค้าผ่านทางหน้าเฟสบุ๊ก และในเว็บไซด์หลัก www.whatthatsound.com และจะมีเพจขายของตามเว็บบอร์ดเครื่องเสียงต่างๆเช่น LCDTVThailand, โอเว่อร์คล๊อกโซน, ThaiDVD.net (ทั้งหมดคือของผมคนเดียว)
ช่องทางการติดต่อและที่อยู่ที่จดทะเบียนพาณิชย์นั้นตามรายละเอียดด้านล่างครับ
ชื่อ: สืบศักดิ์ เข็มกลัด
เบอร์: 089-9695946
Line ID: keamgladnan


2. จุดยืน จุดขายของเราคืออะไร
Ans: สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเปิดร้านนั้น เพราะผมเองเป็นนักเล่นเครื่องเสียงมาก่อน ใช้เวลาในวงการนี้มาร่วมสิบปี  ลองผิดลองถูกและพบเจอกับร้านค้าต่างๆ สินค้าแบรนด์ต่างๆมาพอสมควร จึงทำให้เข้าใจว่าการจะตัดสินใจซื้อเครื่องเสียงซักชิ้นนั้นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ และการแมทชิ่งที่ดี ไม่ใช่เดินไปชี้ๆแล้วหยิบกลับบ้าน สิ่งที่ต้องระวังนอกจากไม่รู้ว่าเสียงของสินค้าที่เราจะซื้อนั้นเป็นอย่างไรแล้ว  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการเดินเข้าร้านที่ไม่รู้ในสินค้าของตัวเองที่ขาย ร้านบางร้านมีวิญญาณความเป็นพ่อค้าเต็มตัว แต่ไม่มีวิญญาณของการเป็นนักเล่นเครื่องเสียง ตัวไหนเสียงดี เสียงอย่างไรยังไม่รู้เลย เดินเข้าไปฟังเสียงในห้องฟังที่จัดอคูสติกแบบเต็มที่ ใช้สายเส้นละร่วมแสน ทั้งระบบปาเข้าไปร่วมหลายแสน แล้วลำโพงมันจะเสียงไม่ดีได้อย่างไรครับ ร้านเค้าตั้งใจจัดไว้ให้คุณประทับใจอยู่แล้ว  หลายปีก่อนบางร้านด่ายี่ห้อนึงไว้แหลก ว่าเสียงไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่น่าเล่น  แต่พอปัจจุบันหันมาจับมือกันทำตลาดผลักดันสินค้ายี่ห้อเดิมเพราะได้ข้อเสนอที่ดีร่วมกัน ได้มาร์จินเยอะ กลับออกมาเชียร์บอกเสียงดีสุดๆเกินราคาค่าตัวไปไกล ก็เป็นซะยังงั้นไปครับ
เราเคยมีประสบการณ์ผิดพลาดในการซื้อเครื่องเสียงมาแล้วครับ เราอยากบอกว่าร้านค้าก็คือร้านค้า เค้าย่อมเชียร์สินค้าตัวที่เค้าขายและนำเข้า และได้มาร์จินเยอะ  ผมเป็นคนฟังเพลงร๊อค เข้าไปหาลำโพงมาฟังเพลงร๊อค แต่คนขายกลับแนะนำลำโพงยี่ห้อนึงที่ให้เสียงหวานสุดๆ laid back สุดๆเสียงเบสบางจ๊อย กลางหนานุ่ม แบบที่ audiophile นิยมเอาไปฟังเพลงจีน และเพลงร้องช้าๆกันมาให้ผม  วันนั้นทำให้ผมตระหนักว่าการซื้อสินค้าในวงการเครื่องเสียงนี้ แม้เราจะได้ลองฟัง แม้จะได้เข้าไปยืนถึงหน้าร้านเค้า ได้เห็นตัวสินค้า ได้แบกมันกลับบ้านมาเองกับมือ ก็มีโอกาศผิดพลาดได้เช่นกันถ้าตัวเราขาดความรู้ และคนขายขาดจรรยาบรรณที่ดี

ผมเองยึดมั่นมาตลอดว่าถ้าลูกค้าซื้อสินค้าของผมไปต้องได้สิ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิม และตรงกับสิงที่ต้องการ ถ้าเค้าต้องการในสินค้าที่เราไม่มี หรือตอบโจทย์ไม่ได้ หรือซื้อที่อื่นแล้วได้ราคาดีกว่าเราเยอะ ผมจะบอกเค้าไปตรงๆถึงสินค้าตัวที่เค้าต้องการว่าควรไปดูตัวไหน เพราะสินค้าของผมไม่ได้มีสินค้าทุกชนิด ทุกแบรนด์ในตลาด และราคาบางตัวก็ถูกกว่าที่อื่น บางตัวก็พอๆกับที่อื่น และบางตัวก็แพงกว่าที่อื่นเพราะทางผู้นำเข้าบางแห่งไม่สนับสนุนและให้ราคาทุนมาแพงกว่าที่อื่นครับ


3. ไม่มีหน้าร้านแบบนี้ก็ไว้ใจได้หรือเปล่า ?
Ans: เราอยากจะบอกจากใจนะครับว่า การมีหน้าร้านเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าในเรื่องการทดลองฟัง การอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ไม่รู้อะไรเลยสามารถเข้ามาทดลองจับ ทดลองฟังเสียงจริงๆได้ที่โชว์รูม แต่การมีหน้าร้านนั้นไม่ได้แปลว่าร้านนั้นไว้ใจได้แต่อย่างใด   เราในฐานะร้านค้าที่เป็นคนเล่นเครื่องเสียงมาก่อนนั้นตระหนักในข้อเท็จจริงข้อนี้ดีครับ และเราเลือกที่จะเปิดตัวในแบบไม่มีหน้าร้านก่อน เพราะ เรื่ืองต้นทุน การมีหน้าร้านนั้นเพิ่มต้นทุนในทุกๆด้านทั้งของสต๊อก ของโชว์ ลุกจ้าง ค่าเช่าร้าน ค่าจ้างคน ซึ่งเรามองว่าเราอยากจะให้บริการลูกค้าที่ในราคาที่ค่อนข้างย่อมเยากว่าที่อื่น  โดยไม่มีบริการลองฟังให้ลูกค้า ซึ่งภาระในการศึกษาหาข้อมูลว่าตัวไหนเสียงอย่างไรก็จะตกเป็นของลูกค้าที่ต้องหาข้อมูลและทดลองฟังจากผู้นำเข้าหรือที่อื่นมาเองครับ
ซึ่งการไว้ใจได้หรือไม่ได้นั้น ด้วยประสบการณ์ของเราต้องบอกเลยว่าของแบบนี้ไม่เกี่ยวกับว่ามีหน้าร้านหรือไม่มีครับ แต่มันอยู่ที่จรรยาบรรณของเจ้าของและพ่อค้าคนนั้นๆ  พ่อค้าออนไลน์หลายคนที่ขายสินค้าแบบเดียวกับผมมีหน้าร้านให้ลองฟังก็ยังมีข่าวคดโกง ขายสินค้าตัดราคาแบบถูกมากๆรับเงินสินค้าไปแล้วไม่สามารถหาของให้ลูกค้าได้ก็มี เช่นกรณี Marantz 7009 ขายกันในราคา 45000 ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในทุกกรณี และบางรายก้ขายสินค้าที่ทางตัวแทนกำหนดราคาไว้ว่าห้ามขายต่ำกว่านี้เเพื่อป้องกันการตัดราคากันเอง เช่น Oppo  พ่อค้าบางรายมีหน้าร้านก็ยังเอามาขายราคาต่ำๆจนตัวแทนเค้าต้องออกมาล่อซื้อและดูว่ารับสินค้ามาจากไหน และลงโทษกันไปครับ
และล่าสุดร้านดังๆมีหน้าร้านในห้างหลายสาขาก็มีปัญหาพนักงานขายบางคนเอาลำโพงยี่ห้อเสียงไฮเอ็นด์ๆยี่ห้อนึงเอาของโชว์มาขายลูกค้าก็มีเช่นกัน และตัวแทนบางยี่ห้อร้านใหญ่โตก่อนนั้นก็มีปัญหาลูกค้ามัดจำแล้วสั่งของให้ลูกค้าไม่ได้ แล้วไม่คืนมัดจำ ให้ลูกค้าซ์้อสินค้าตัวอื่นในแบรนด์ตัวเองไปแทน แต่พอคุยไปคุยมา ก็บอกว่าผู้จัดการที่รับมัดจำลาออกไปแล้ว ไม่รู้เรื่องจะไม่คืนมัดจำ ไม่สั่งสินค้าให้ และไม่ให้ซื้อสินค้าตัวอื่นในแบรนด์ด้วย  ใครที่อยู่ในยุคนั้นคงทราบกันดีว่าแบรนด์อะไร
ดังนั้นเรื่องความซื่อสัตย์และจรรยาบรรณนั้นเราอยากเรียนว่า มันไม่เกี่ยวกับว่ามีหน้าร้านแล้วจะปลอดภัยแต่มันอยู่ที่จรรยาบรรณพ่อค้าล้วนๆครับ

เมื่อก่อนที่ใครบอกทีไหนดี ยี่ห้อไหนมาใหม่ ยี่ห้อไหนเยี่ยม ผมจะตระเวนขับรถไปฟัง บางทีฟังแล้วหลงในเสียงที่เค้าพยายามจะนำเสนอให้เป็นแบบนั้นก็บอกมีของเลยมั๊ยอยากได้ ก็พบว่าก็ต้องสั่งของและรอของจากทางผู้นำเข้าอีกเหมือนกัน หรือบางร้านดีหน่อยมีของสต๊อกไว้เลย  เราใจร้อนอยากเข้าไปเห็นของ ไปแบกของมาเองจะได้มั่นใจว่าเนี่ยไม่โดนหลอกแน่นอน ปรากฏว่าร้านที่มีของเลยนั้นก็กลับเป็นของเก่า สต๊อกไว้นานแล้วซะงั้น เปิดกล่องดูก็รู้ครับว่าของมันเบิกไว้นานแล้วแต่ขายไม่ออก แถมยังดูออกด้วยว่ามันเคยเปิดมาแล้วจากรอยเปิด รอยเทป ซีลต่างๆ เราก็ผิดหวัง ถ้าของมันใช้ได้ก็ไม่อยากไปยุ่งหรือไปโวยวายอะไรเค้ามาก
หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราก็เลยคิดว่า ไอ้การไปซื้อที่หน้าร้านแล้วเอาของสต๊อก หรือให้ร้านสั่งของมาให้มาส่งที่บ้านมันก็ไม่ต่างอะไรกับซื้อสินค้าที่เรามั่นใจในแนวเสียงแล้ว และแค่กดโทรศัพท์ให้เค้าเบิกตัวใหม่สดๆวิ่งมาส่งเราเลยโดยที่เราไม่ต้องเครียด เหนื่อยฝ่ารถติดไปหาเค้าถึงที่ครับ


4. เรากำลังทำอะไร และก้าวต่อไปของเรา
Ans: สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้คือ จัดหา ทดสอบสินค้า ให้คำแนะนำ ขายสินค้า รวมไปถึงติดตั้ง และบันทึกความเป็นไป รีวิวสินค้าต่างๆที่ทดสอบ รูปถ่ายทั้งหมดที่เรามีลงในโลกออนไลน์ โลกอินเตอร์เน็ทนี้  ซึ่งบางครั้งการที่คุณหาอ่านรีวิวที่ได้รับการว่าจ้่างโดยบริษัทเครื่องเสียงให้เขียนรีวิวลงหนังสือ หลายปีถัดมาหนังสือเล่นนั้นก็สูญหายและตายจากไป คนรุ่นหลังหรือนักเล่นหน้าใหม่อยากรู้ อยากอ่านความเห็นแนวเสียงที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาก็อาจจะหาไม่ได้ เพราะปกติหนังสือนั้นถ้าไม่ได้ติดตามเก็บไว้ จะหาซื้อเล่มเก่านั้นบอกตรงๆยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
แต่สิ่งที่เราทำคือ บันทึกความคิดเห็น รีวิว รูป คลิป ทุกอย่างที่เรามีลงในโลกออนไลน์ ในอนาคตคนรุ่นหลังอาจจะแค่คลิ๊กพิมพ์ลงใน Search engine สักแห่ง ก็ยังสามารถอ่านความเห็น อ่านแนวเสียง อ่านสิ่งที่เราเคยทำ สิ่งที่เราเคยไปติดตั้ง สินค้่าที่เราเคยไปจัดส่ง สิ่งที่เราเคยทำเอาไว้ได้ตลอดไป ไม่สูญหายไปจากโลกใบนี้ครับ  จวบจนโลกใบนี้จะไม่มีอินเตอร์เน็ทให้ใช้
ดังนั้นทุกสิ่งที่เราเขียน เราจะพึงระลึกไว้เสมอว่า เหมือกับเราสลักข้อความลงบนศิลาหรือหิน มันจะคงอยู่ ยั่งยืน และทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังมาอ่านมาเรียนรู้ได้ ดังนั้นความรับผิดชอบในข้อความทุกข้อความคือสิ่งที่เรายึดมั่นมาตลอด  การอวยสินค้าจนเกินจริง การให้ความเห็นหรือรีวิวที่มุ่งเน้นแต่ยอดขายโดยหลอกลวงตัวตนจริงๆของเครื่องเสียงนั้นๆคือสิ่งที่เรา "จะไม่ทำ" เด็ดขาด
ดังนั้นขอให้จงมั่นใจ แม้เราจะไม่ใช่มืออาชีพที่เก่งกาจที่สุดในวงการ แต่อย่างน้อยเราก็สามารถให้คำปรึกษาได้ตรงและไม่หลอกลวงคุณ


5. ไม่มีหน้าร้านนั้นถ้ามีปัญหาจะติดต่อยังไง จะเชิดเงินหายไปหรือเปล่า
Ans: ตอบแบบนี้ครับ ของทุกชิ้นที่เราขาย เรารับมาจากผู้นำเข้าในประเทศไทยอย่างถูกต้องทุกชิ้น สินค้าทุกชิ้นมีมูลค่าและมีสิทธิ์เทียบเท่ากับซื้อจากร้านค้าอื่น หรือซื้อจากในห้างทุกประการ  
เรามีตัวตน ติดต่อเราได้ เราจดทะเบียนพาณิชย์
ในนามของนาย สืบศักดิ์ เข็มกลัด  โทรศัพท์: 089-9695946

และประเด็นเรื่องการโกงนั้นขอตอบว่าไม่ต้องห่วงครับ เพราะการทำธุรกิจนี้เราเองระวังและดูแลลูกค้าทุกท่านเสมอ เราถือว่าโกงลูกค้าครั้งเดียวหรือทำให้ลูกค้าเสียความรู้สึกไปหนึ่งคน ร้านเราก็เสียชื่อ และอยู่ไม่ได้ ต้องปิดเบอร์ ปิดเว็บ หนีไปแล้วตั้งใหม่ มาหลอกลูกค้าอีกเรื่อยๆ แบบนี้บอกตรงๆครับ เหนื่อย ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไรครับ คุณอาจจคิดว่าโกงได้เงินลูกค้าไป แต่เราเสียอนาคต โดยหมายจับ มีคดีอาญาติดตัวอีก เงินแค่ไม่กี่พันหรือไม่กี่หมื่น แลกกับรายได้ในอนาคตระยะยาว  อีกอย่างวงการเครื่องเสียงนี้แคบมากนะครับ รู้จักกันหมดทั้งพ่อค้า ผู้นำเข้า ลูกค้า คนเซ็ทระบบเสียง ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันหมด ใครทำอะไรแย่ๆไว้ มันรู้ถึงกันหมดครับ พ่อค้าคนไหนโกง ผู้นำเข้าเค้าก็รู้จักมีเอกสารจดทะเบียน ไอ้การที่จะเชิดเงินแล้วไปตั้งร้านใหม่ในเน็ทเหมือนพวกขายมือถือปลอมแบบนั้นขอบอกว่าเป็นไปไม่ได้ครับ
เราทำงานนี้ เพราะเราชอบ มีความสุข ไม่ได้ตั้งมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะหาเงินให้เยอะที่สุดครับ เราไม่ใช่มิจฉาชีพครับ รายได้ในส่วนของการขายเครื่องเสียงนั้นไม่มากครับเมื่อเทียบกับรายได้ทางอื่น  แต่เราคือพ่อค้าที่เล่นเครื่องเสียงและขายสินค้าไปด้วยเพื่อหาประสบการณ์และเป็นความสุข ความรัก เป็น passion ที่ได้เล่นครับ


6. เรารับของมาจากที่ไหน ไว้ใจได้หรือเปล่าเอาของมือสอง ของโชว์ หรือของย้อมแมวมาขายหรือเปล่า
Ans: ของทุกชิ้นที่เราขาย เรารับมาจากผู้นำเข้าในประเทศไทยอย่างถูกต้อง ทุกชิ้นจะเบิกใหม่จากผู้นำเข้าและไม่เคยผ่านการเปิดกล่องหรือใช้งานมาก่อน  โดยสินค้าทุกชิ้นมีมูลค่าและมีสิทธิ์เทียบเท่ากับซื้อจากร้านอื่นๆ หรือซื้อจากในห้างทุกประการ  
เรามีใบรับประกันถูกต้องหากมีปัญหาสามารถเข้าศูนย์และเซอร์วิสได้แน่นอน  หากมีปัญหาในเจ็ดวันเราก็วิ่งเครมและติดต่อประสานงานบริษัทขอเปลี่ยนตัวใหม่ให้ และในช่วงหลังจากนั้นลูกค้าก็สามารถเข้าไปใช้บริการที่ศูนย์บริการของยี่ห้อนั้นๆได้ทุกที่ ทุกแห่ง  และบางท่านอาจคิดว่าเรานำเข้ามาเองหรือเปล่า ไม่ผ่านทางผู้นำเข้าหรือเปล่าทำไมทำราคาได้ถูกกว่าที่อื่น (บางตัว)
ต้องขออนุญาติตอบว่า เอาสินค้าเข้ามาเองมีความยุ่งยากมากครับ ต้องมีเรื่องภาษี ต้องสต๊อกของ แถมการรับประกันก็ไม่มีด้วย  เราไม่มีเวลาทำแบบนั้นครับ เรารับสินค้าจากผู้นำเข้ามาขายสะดวกกว่า และที่เราขายถูกกว่าร้านอื่นก็เพราะเราไม่มีต้นทุนในการสต๊อกของ ไม่มีหน้าร้าน ไม่มีค่าเช่า และเราก็หั่นกำไรส่วนของเราไปด้วยทำให้ลูกค้าได้ราคาที่พอๆหรือดีกว่าที่อื่นครับ

7. แล้วถ้ายังไม่มั่นใจ จะเช็คได้ยังไงว่าสินค้าเป็นของแท้มีประกันจริงมั๊ย
Ans: เอาเบอร์ serial number ที่กล่องหรือตัวสินค้า แล้วกดโทรศัพท์มือถือโทรไปที่บริษัทผู้นำเข้า เช็คกับทางบริษัทว่าสินค้าของคุณนั้นมีประกันมั๊ย เค้าจะตอบคุณได้ครับว่าสินค้ามีประกันและนำเข้าโดยเค้าหรือไม่


8. ในอนาคตมีแพลนจะมีหน้าร้านหรือไม่
Ans: แน่นอนครับ อยู่ในแพลนของเราแน่นอนที่จะสร้างสตูดิโอดีๆ มีสินค้าให้ลูกค้าสามารถทดลองฟังเสียงในแบบ hi-end  เพียงแต่เงื่อนไขที่เราจะสร้างนั้นจะต้องไม่ไปกระทบกับราคาขายที่ลูกค้าต้องจ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนของค่าเช่าที่ ค่าจ้างคน ค่าสต๊อกของต่างๆ หรือกระทบก็ต้องให้น้อยที่สุดครับ
เพราะแนวทางการทำงานของเรานั้นจะไม่เน้นกำไรสูงสุด ดังนั้นการไปเช่าที่กลางเมือง การไปจ้างคนเยอะๆมาช่วยงานเพื่อกวาดลูกค้านั้น ไม่ใช่แนวทางของเราแน่นอน  
สิ่งที่เราจะสร้างนั้นจะต้องเป็นพื้นที่ของเราเอง ใช้คนที่น้อยที่สุดในการดำเนินงาน และกระทบกับราคาราคาขายที่ลูกค้าต้องจ่ายน้อยที่สุดครับ


9. การสั่งสินค้าทำอย่างไร รอสินค้านานมั๊ย ส่งสินค้าอย่างไร
Ans: การสั่งสินค้าตอนนี้มี 4 ช่องทาง
 - โทรศัพท์ สั่งโดยตรงที่ผม  โทรได้ 24 ชม จะติดตามสินค้า สอบถามโทรได้ตลอด ถ้าโทรแล้วไม่สะดวกรับ หรือติดลูกค้า ผมจะโทรกลับ
 - Line ID: keamgladnan หากไม่สะดวกที่จะโทรมา ก็สามารถพูดหรือขอคำปรึกษา หรือสั่งซื้อทางไลน์ได้เช่นกันครับ
 - Inbox: Inbox: https://www.facebook.com/messages/whatthatsoundstore เป็นอีกช่องทางนึงที่สามารถติดต่อได้เช่นกันครับ แต่ช่องทางนี้บางทีออกไปหาลูกค้าข้างนอกก็อาจจะไม่ได้ตอบทันที ดังนั้นถ้าเร่งดวน ใช้สองช่องทางด้านบนจะดีกว่าครับ
 - ช๊อปและเลือกซื้อสินค้าโดยตรงที่เว็บไซต์ www.whatthatsound.com ซึ่งสามารถตัดบัตรเครดิตได้เลย หรือจะเลือกวิธีโอนเงินผ่านบัญชีก็ได้เช่นกัน

ตามปกติสั่งสินค้าเราจะเบิกตัวใหม่ให้ท่านเสมอ เพราะเราจะพยายามไม่สต๊อกสินค้าไว้ที่เรา เพราะเราไม่มีหน้าร้าน การสต๊อกสินค้านอกจากไม่ส่งผลดีกับตัวเราแล้ว ลูกค้าก็ย่อมได้ของเก่าค้างสต๊อกเหมือนที่ซื้อตามหน้าร้านทั่วไปครับ
โดยระยะเวลาสั่งสินค้านั้นขึ้นอยู่กับสินค้าที่ท่านสั่ง ถ้าเป็น Klipsch, Kef, Cerwinvega เราสามารถเบิกสินค้าให้ท่านได้ทันที สั่งเช้าส่งบ่ายได้เลย ถ้าสั่งบ่ายก้ส่งได้วันรุ่งขึ้น แต่ถ้าเป็นสินค้าอื่นในกรุ่ม mi engineering เช่น Harmankardon, Marantz หรือในกลุ่ม CMG เช่น onkyo ก็ใช้เวลาเบิกของหนึ่งวันเต็มๆครับ

การจัดส่ง การรับของนั้น ในกทม จะจัดส่งถึงบ้านท่านฟรีด้วยเมสเสนเจอร์ของร้านเราหรือในบางกรณีผมก็จะไปส่งด้วยตัวเองครับ แต่ถ้าบางท่านไม่สะดวกให้ส่งที่บ้านก็สามารถแจ้งจุดที่ให้เราส่งได้เช่น ที่ทำงาน หรือแล้วแต่สะดวกลูกค้า
ส่วนในต่างจังหวัดนั้นเราจะใช้ขนส่งเอกชนจัดส่งเท่านั้น
ในบางจังหวัดที่ไม่ไกลมาก เช่นไม่เกิน 200 กิโลเมตรจากกรุงเทพก็สามารถให้เราวิ่งส่งเองได้เช่นกัน ก็จะรวดเร็วกว่า ใช้เวลาไม่เกิน สามชั่วโมงก็ได้รับสินค้าเลย และมั่นใจได้ว่าสินค้าปลอดภัยแน่นอน ด้วยค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยเป็นค่าน้ำมันให้เราตามระยะทางจริงครับ
จนส่งที่เราใช้นั้นหลักๆก็จะมี NTC, นิ่มซีเส็ง, SDS, SD Express แต่หากลูกค้าต้องหารให้เราส่งกับขนส่งเอกชนเจ้าไหนก็สามารถระบุมาได้เช่นกัน  แต่ยกเว้นไปรษณีย์ไทย เราจะไม่ส่งกับเจ้านี้โดยเด็ดขาดครับ

การชำระเงินค่าสินค้า สินค้าที่เบิกศูนย์ มีสินค้านั้นๆเลยท่านสามารถชำระเงินหน้างานได้เลย    แต่สินค้าบางอย่างที่ต้องสั่งจอง หรือต้องให้ทางผู้นำเข้าเอาเข้ามาให้เป็นพิเศษ เช่นลำโพงบางรุ่น สีพิเศษ ตัวนี้เงื่อนไขต้องชำระเงินมัดจำ 50% ครับ โดยเราจะมีเอกสารการมัดจำและสัี่งสินค้ากับตัวแทนให้ท่านขึ้นอยุ่กับผู้นำเข้าแต่ละราย
ส่วนลูกค้าบางท่านที่สั่งสินค้าจำนวนมาก สั่งเป็นชุด เช่นลำโพงรวมราคาแล้วราคาสูง หรือสินค้าบางชิ้นที่ราคาสูงเกินกว่า 50,000 บาท เราจำเป็นต้องขอเก็บมัดจำจากท่านในจำนวน 20-25% ของราคาสินค้าครับ เพราะมีความเสี่ยงหากลูกค้าไม่รับสินค้า ติดต่อไม่ได้ เราจำเป็นต้องแบกรับของที่มีราคาสูง และโอกาศที่จะขายต่อก็ยาก เนื่องจากสินค้ามีราคาสูงหรือจำนวนมากชิ้น ทำให้เสียโอกาศในการขายสินค้าอื่นๆ และเงินทุนหมุนเวียนก็จมไปกับสินค้านั้นๆครับ

โดยการชำระเงินนั้นท่านสามารถเลือกได้สามแบบคือ
 - เงินสดชำระหน้างานสำหรับกรณีสินค้ามูลค่าไม่สูงมากและมีของเลย
 - ชำระผ่านทางบัญชีธนาคารสำหรับลูกค้าต่างจังหวัดที่ต้องชำระเงินค่าสินค้าก่อนจัดส่ง และลูกค้าในกรุงเทพบางรายที่สั่งสินค้าที่ต้องรอสั่งของ หรือมีมูลค่าสูง เราจะแจ้งเบอร์บัญชีธนาคารเพื่อชำระเงินมัดจำให้ท่านทราบครับ
 - ชำระผ่านบัตรเครดิต เรารับชำระด้วยบัตรเครดิตทุกธนาคาร โดยมี service charge 3.75% ตัดออนไลน์ผ่านทาง Paypal เมื่อลูกค้าตัดสินใจสั่งสินค้าตัวใดแล้ว เราจะส่ง Invoice ไปให้ลูกค้าสามารถกด pay เพื่อกรอกรายละเอียดบัตรเครดิตก่อนในกรณีที่ไม่ได้เป็นสมาชิก paypal หรือสามารถสามารถกด pay และขำระเงินได้ทันทีในกรณีที่เป็นสมาชิก paypal อยู่แล้วครับ โดยวิธีนี้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเอามาบัตรรูดครับ สามารถทำออนไลน์ได้เลย  และกรณีนี้ลุกค้าต้องชำระเงินเต็มจำนวนก่อนเราถึงจะจัดส่งสินค้าให้ครับ


10. การรับประกันสินค้าเป็นอย่างไร
Ans: การรับประกันสินค้านั้นเราจะยึดตามนโยบายการรับประกันสินค้าจากบริษัทผู้นำเข้าเป็นหลักครับ เช่นสินค้าในกลุ่มของ Sound Republic เช่น Klipsch, Kef จะรับประกันหนึ่งปีและเข้าเซอร์วิสที่โชวรูมของทางบริษัท


11. จุดยืน จุดขายของเราคืออะไร
Ans: สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเปิดร้านนั้น เพราะผมเองเป็นนักเล่นเครื่องเสียงมาก่อน ใช้เวลาในวงการนี้มาร่วมสิบปี  ลองผิดลองถูกและพบเจอกับร้านค้าต่างๆ สินค้าแบรนด์ต่างๆมาพอสมควร จึงทำให้เข้าใจว่าการจะตัดสินใจซื้อเครื่องเสียงซักชิ้นนั้นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ และการแมทชิ่งที่ดี ไม่ใช่เดินไปชี้ๆแล้วหยิบกลับบ้าน สิ่งที่ต้องระวังนอกจากไม่รู้ว่าเสียงของสินค้าที่เราจะซื้อนั้นเป็นอย่างไรแล้ว  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการเดินเข้าร้านที่ไม่รู้ในสินค้าของตัวเองที่ขาย ร้านบางร้านมีวิญญาณความเป็นพ่อค้าเต็มตัว แต่ไม่มีวิญญาณของการเป็นนักเล่นเครื่องเสียง ตัวไหนเสียงดี เสียงอย่างไรยังไม่รู้เลย เดินเข้าไปฟังเสียงในห้องฟังที่จัดอคูสติกแบบเต็มที่ ใช้สายเส้นละร่วมแสน ทั้งระบบปาเข้าไปร่วมหลายแสน แล้วลำโพงมันจะเสียงไม่ดีได้อย่างไรครับ ร้านเค้าตั้งใจจัดไว้ให้คุณประทับใจอยู่แล้ว  หลายปีก่อนบางร้านด่ายี่ห้อนึงไว้แหลก ว่าเสียงไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่น่าเล่น  แต่พอปัจจุบันหันมาจับมือกันทำตลาดผลักดันสินค้ายี่ห้อเดิมเพราะได้ข้อเสนอที่ดีร่วมกัน ได้มาร์จินเยอะ กลับออกมาเชียร์บอกเสียงดีสุดๆเกินราคาค่าตัวไปไกล ก็เป็นซะยังงั้นครับ
เราเคยมีประสบการณ์ผิดพลาดในการซื้อเครื่องเสียงมาแล้วครับ เราอยากบอกว่าร้านค้าก็คือร้านค้า เค้าย่อมเชียร์สินค้าตัวที่เค้าขายและนำเข้า และได้มาร์จินเยอะ  ผมเป็นคนฟังเพลงร๊อค เข้าไปหาลำโพงมาฟังเพลงร๊อค แต่คนขายกลับแนะนำลำโพงยี่ห้อนึงที่ให้เสียงหวานสุดๆ laid back สุดๆเสียงเบสบางจ๊อย กลางหนานุ่ม แบบที่ audiophile นิยมเอาไปฟังเพลงจีน และเพลงร้องช้าๆกันมาให้ผม  วันนั้นทำให้ผมตระหนักว่าการซื้อสินค้าในวงการเครื่องเสียงนี้ แม้เราจะได้ลองฟัง แม้จะได้เข้าไปยืนถึงหน้าร้านเค้า ได้เห็นตัวสินค้า ได้แบกมันกลับบ้านมาเองกับมือ ก็มีโอกาศผิดพลาดได้เช่นกันถ้าตัวเราขาดความรู้ และคนขายขาดจรรยาบรรณที่ดี

ผมเองยึดมั่นมาตลอดว่าถ้าลูกค้าซื้อสินค้าของผมไปต้องได้สิ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิม และตรงกับสิงที่ต้องการ ถ้าเค้าต้องการในสินค้าที่เราไม่มี หรือตอบโจทย์ไม่ได้ หรือซื้อที่อื่นแล้วได้ราคาดีกว่าเราเยอะ ผมจะบอกเค้าไปตรงๆถึงสินค้าตัวที่เค้าต้องการว่าควรไปดูตัวไหน เพราะสินค้าของผมไม่ได้มีสินค้าทุกชนิด ทุกแบรนด์ในตลาด และราคาบางตัวก็ถูกกว่าที่อื่น บางตัวก็พอๆกับที่อื่น และบางตัวก็แพงกว่าที่อื่นเพราะทางผู้นำเข้าบางแห่งไม่สนับสนุนและให้ราคาทุนมาแพงกว่าที่อื่นครับ


12. นโยบายการตอบคำถาม และการรีวิวสินค้าต่างๆ
Ans: จุดยืนของผมคือ การเป็นพ่อค้า ที่เป็นคนเล่นเครื่องเสียงเองด้วย สามารถตอบคำถาม ใช้งานเอง เล่นเอง จัดหาสินค้า แนะนำสินค้าที่เหมาะกับรสนิยมของลูกค้า ในราคาที่ลูกค้ารับได้ ถูกหรือพอๆกับที่อื่น โดยดูความต้องการของลูกค้าก่อนเสมอ
แต่อย่างไรก็มีข้อจำกัดนะครับ ไม่ใช่ว่าถามตัวไหนแล้วตอบได้ทุกตัว เพราะสินค้าต่างๆที่เคยทดสอบ และเคยเล่นนั้น ส่วนใหญ่ก็ใช้เงินตัวเองซื้อเอง เล่นเอง เจ็บเอง ไม่ได้มีสปอนเซอร์จากบริษัทไหนส่งเครื่องมาให้เล่นฟรีๆครับ
ดังนั้นสินค้าตัวไหนที่เล่นเอง และเคยสัมผัส ก็จะบอกและให้ความเห็นไปตรงๆ ตรงไปตรงมา ข้อดีก็บอกว่ามีอะไร ข้อเสียก็ต้องบอกควบคู่กันไป จะไม่หมกเม็ดเหมือนบางร้านที่บอกข้อดี แต่ข้อเสียเลี่ยงไปตอบอย่างอื่น ดังนั้นเวลาผมบอกว่าตัวไหนดี ผมจะบอกเสมอว่าตัวนี้เหมาะกับคนที่ชอบ...แบบนี้ แต่ถ้าคุณชอบแบบนี้มันจะไม่เหมาะ  และข้อเสียของมันคืออะไรเสมอ  
ดังนั้นรีวิวหรือความเห็นอะไรที่ออกมาจากผมมันอาจจะดูแรงและไม่ส่งผลดีกับสินค้าต่อบริษัทใด ก็ต้องขออภัยไว้ณ ตรงนี้ด้วยครับ
แต่ผมระลึกเสมอว่า สินค้าทุกชิ้นมีข้อดีข้อเสียของมันเอง ไม่มีสินค้าไหนห่วยทุกอย่าง และไม่มีสินค้าตัวไหนดีทุกอย่าง  แม้แต่สินค้าที่ห่วยที่สุดก้ยังมีข้อดี เช่น ราคาอาจจะถูก หรือใช้งานง่ายเป็นต้น


13. ร้านเรามีสินค้าอะไรบ้าง
Ans: ตามแบนเนอร์ด้านบนเลยครับ หรือหากไม่แน่ใจว่าเรามีสินค้าอะไรบ้าง ก็อาจสอบถามได้ เพราะสินค้าบางอย่างก็สามารถสั่งให้ได้ในราคาที่ถูกกว่าร้านข้างนอกครับ
โดยส่วนใหญ่นั้นสินค้าเราจะเน้นไปทางด้านลำโพง เพราะเรามีความเชื่อว่าลำโพงคือสิ่งที่ทำให้เสียงในระบบคุณเปลี่ยนมากที่สุด (ภายใต้เงื่อนไขว่าแอมป์คุณต้องมีกำลังมากพอที่จะขับลำโพงนั้นๆ) รองลงมาก็คือแอมป์ รองลงมาก็เป็นพวก accessories ต่างๆเส้น สาย อะไรที่เห็นผลชัด เห็นความเปลี่ยนแปลงแนะนำให้ลูกค้าใช้แล้วเห็นผลชัดเจน ลูกค้ามีความสุข เราก็อยากทำแบบนั้นเพราะจุดยืนเราไม่ใช่เรื่องกำไรสูงสุด แม้สินค้าลำโพงจะขายยาก ติดตั้งยาก ตัวใหญ่ ส่งลำบาก แต่ก็เป็นอุปกรณ์เดียวที่เป็นหัวใจในระบบเสียงของคุณที่เปลี่ยนแล้วมั่นใจได้เลยว่าเสียงเปลี่ยนแน่นอน ส่วนสินค้าอื่นๆที่อาจต้องใช้ความรู้สึก และสังเกตการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจจะขายง่ายกว่า ตัวเล็ก จัดส่งง่าย เปลียนกันได้บ่อยๆ ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องสินค้าเสีย เช่นสาย เราต้องบอกว่าไม่ได้เน้นทางด้านนี้ครับ


14. มีบริการรับติดตั้งมั๊ย
Ans: เรามีบริการติดตั้งสองแบบ
14.1 ปัจจุบันเรามีบริการรับติดตั้งแบบง่ายๆ เช่นต่อสาย เซ็ทอัพ ทดลอง ปรับเสียงเบื้องต้น แต่จะไม่รับเดินสายขึ้นฝ้า ออกแบบระบบ สร้างห้อง หรือใช้เครื่องมือวัดแบบละเอียด ซึ่งหากลูกค้าต้องการให้เราติดตั้งให้ในรูปแบบนี้ ต้องแจ้งและนัดเวลากับผมก่อน เพราะผมจะได้เข้าไปด้วยตัวเอง เนื่องจากผมอาจไม่สะดวกที่จะเข้าไปหาลูกค้าทุกท่านครับ
14.2 เรามีบริการมืออาชีพช่วยเซ็ทอัพแบบละเอียด ตามหลักการ ใช้เครื่องมือวัด แนะนำจุดติดตั้ง เซ็ทอัพเสียงแบบละเอียด โดยการติดตั้งและเซ็ทอัพรูปแบบนี้มีค่าใช้จ่าบต้องโทรนัดวันและเวลากับเราก่อนครับ


15. ถ้าสินค้ามีปัญหาทำอย่างไร
Ans: ถ้าหลังจากรับสินค้าไปแล้วพบปัญหา หรือสินค้ามีปัญหาภายในเจ็ดวัน ติดต่อเราครับ เราจะช่วยบริการและติดต่อประสานงานเครมตัวใหม่ให้ท่านได้
หากเกินช่วงระยะเวลาเจ็ดวัน ท่านจะสามารถติดต่อเราให้ช่วยประสานงานกับทางบริษัทนำเข้าสินค้า หรือจะนำสินค้าไปตรวจเช็คด้วยตัวเองกับศูนย์บริการก็ได้เช่นกัน


16. ราคาที่เราขาย ถูกกว่าที่อื่นมั๊ย มีราคาพิเศษสุดๆมั๊ย
Ans: ต้องเรียนตรงๆครับ ว่าสินค้าที่เรารับมาก็รับมาจากตัวแทนผู้นำเข้าที่เดียวกับร้านอื่น ดังนั้นต้นทุนเราก็จะเท่าๆกับร้านอื่น เผลอๆเราก็จะรับมาแพงกว่าร้านใหญ่ด้วย เพราะเราร้านเล็กโวลุมน้อยกว่าร้านใหญ่ แต่สินค้าบางอย่างเราก็จะขายถูกกว่าที่อื่นเพราะค่าใช้จ่ายเราน้อยกว่าที่อื่น แต่โดยรวมราคาก็ยังอยู่ในช่วงราคาเดียวกันกับร้านอื่น คือไม่ได้ห่างกันมากหลายพันหลายหมื่น  ยกเว้นของบางอย่างที่เราได้ต้นทุนมาค่อนข้างสูงจากผู้นำเข้า เช่น avr หรือลำโพงบางยี่ห้อ ที่แม้ราคาทุนของเราก็ยังแพงกว่าราคาขายของบางร้าน ซึ่งตรงนี้เราจะแจ้งลูกค้าก่อน และเราจะพยายามลดมาร์จินของเราให้อยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกับของที่อื่นครับ แต่ถ้าจะให้ขายถูกกว่านั้นคงเป็นไปไม่ได้เพราะเราจะขายทุนทันที


17. ทำไมจะขายของต้องให้ถามราคา ต้องให้ Inbox ลงราคาลงไปตรงๆเลยไม่ได้เหรอ
Ans: เครื่องเสียงเราจะมีข้อกำหนดเรื่องราคารกับทางผู้นำเข้าค่อนข้างเข้มงวดครับว่าต้องขายราคาเท่าไร่ ลงราคาเท่าไร่ ดังนั้นถ้าเราลงราคาต่ำๆไปก็จะโดนผู้นำเข้าต่อว่า และก็เป็นการเสียมารยาทที่ไปตัดราคากับร้านค้าอื่น รวมถึงทำให้โครงสร้างราคาของสินค้าชิ้นนั้นๆเสียไปครับ   ลองคิดดูว่าถ้าสินค้าราคา 10,000 บาท แต่มีร้านนึงประกาศราคาลงในเว็บว่าจะขาย 5,000 บาท อะไรจะเกิดขึ้น ร้านอื่นก็ต้องลดราคาลงมาตาม เพื่อให้สามารถแข่งขันราคาได้ และราคาก็จะเสียไปทั้งระบบ กลไกตรงนี้ทางผู้นำเข้าจึงต้องเข้ามาควบคุมครับ
ดังนั้นเราจึงขอความกรุณาว่าสอบถามราคากันทาง Inbox / line / call จะดีกว่าครับ ราคาที่เราจะลงในหน้าเว็บได้นั้นจะเป็นราคาเต็มที่ราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นลงราคานั้นไปก็อาจทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดว่าทำไมขายแพงจังได้

ส่วนเรื่องการปรึกษา การพูดคุยเรื่องสินค้าที่ไม่ใช่เรื่องราคาแล้วสามารถพูดคุยลงหน้าเว็บได้ตามสะดวกครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 27, 2015, 06:19:27 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


มีอะไรใหม่บ้างในซับวูฟเฟอร์ JL Fathom V.2 ตัวใหม่

วันนี้เราจะพาไปดูกันครับ ว่า ซับวูฟเฟอร์ JL Fathom Series ที่ออกขายในตลาดมาตั้งแต่ปี 2004  นับถึงปัจจุบันก็ทำตลาดมาร่วม 10 ปีแล้ว  วันนี้ถึงเวลาแล้วครับที่จะเผยโฉมซีรี่ย์ใหม่อย่างเป็นทางการที่จะมาแทนที่ Fathom Series
โดยรุ่นใหม่นี้ยังคงใช้ชื่อตามแบบดั้งเดิม นั่นคือ Fathom V.2 Series (คล้ายๆ reference มาเป็น Reference II)



-----------------------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้ในรูปแบบเว็บไซต์ได้ที่นี่: http://goo.gl/L4VVvR

บทความแปลจากต้นฉบับ: http://www.acousticfrontiers.com/jl-audio-fathom-v2-digital-automatic-room-optimization-daro-review/
-----------------------------------------------------------------------------

ซับวูฟเฟอร์รุ่นใหม่ในซีรี่ย์ Fathom ประกอบไปด้วย 4 รุ่น

    - F110 v2 ดอก 10″ หนึ่งดอก   แอมป์ 1100 W RMS short-term  ตอบสนองความถี่ 27 - 111 Hz (±1.5dB)
    - F112 v2 ดอก  12″ หนึ่งดอก แอมป์ 1800 W RMS short-term  ตอบสนองความถี่ 21 - 119 Hz (±1.5dB)
    - F113 v2 ดอก 13.5″ หนึ่งดอก  แอมป์ 3000 W RMS short-term  ตอบสนองความถี่ 20 - 86 Hz (±1.5dB)
    - F212 v2 ดอก 12″ สองดอก แอมป์ 3600 W RMS short-term  ตอบสนองความถี่ 20 - 97 Hz (±1.5dB)




วันนี้จะพาไปดูกันครับว่า JL Fathom V.2 ซีรี่ย์ใหม่นี้มีอะไรที่น่าสนใจแตกต่างจากเวอร์ชั่นเดิมกันบ้าง โดยตัวตู้และดอกลำโพงที่ใช้จะยังคงใช้ดอกและตู้เดิมเหมือนกับรุ่นเก่าทุกอย่าง โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปมีหลักๆ สองส่วนนั่นคือ

1. D.A.R.O. (Digital Automatic Room Optimization)

JL พัฒนา DSP เฉพาะของตัวเองที่ใช้กับซับรุ่น Fathom โดยเฉพาะภายใต้ชื่อทางการค้าว่า D.A.R.O. ซึ่งตัวนี้จะถูกฝังอยู่ในตู้ของซับวุฟเฟอร์ทุกรุ่นในซีรี่ย์ Fathom
ซึ่งการทำงานก็ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อนครับ ทาง JL ออกแบบให้ง่ายไว้ก่อนเพราะคนใช้งานทั่วๆไปคงไม่มีความรู้ในการปรับ DSP ได้เอง หรือหาตำแหน่งซับที่ถูกต้องกันได้ทุกคน




โดยวิธีการทำงานคือ เอาไมค์เสียบที่ตัวตู้ ลากไมค์ไปวางณ ตำแหน่งที่เรานั่งฟัง กดปุ่ม calibrate ที่ด้านหน้าของตัวซับ... โปรแกรมจะปล่อยเสียงที่ใช้สำหรับการ Calibrate  ไมค์และและโปรแกรมจะทำการรับคลื่นเสียงและ
ปรับประมาณหนึ่งนาที โดย DSP แก้ไขความถี่ต่ำที่เป็นหลุม หรือโด่งให้เรียบ
เกลี่ยให้มีความสมูธและคลอบคลุมทุกย่านเสียงให้เหมาะกับห้อง และจุดที่วางได้เอง ซึ่งจะง่ายตรงเราอาจไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องจุดวางมาก
เพราะ DSP ภายในตู้จะช่วยปรับให้ส่วนหนึ่ง โดยสามารถปรับได้ 18 band, 1/6 octave แต่อย่างไรก็ตาม การจัดวางซับในตำแหน่งที่ถูกต้อง หรือห้องที่ดี ย่อมช่วยให้เสียงดีได้มากกว่าหวังพึ่ง DSP มาเกลี่ยให้ครับ
ซึ่งจากกราฟจะเห็นว่า ลองย้ายซํบไปตำแหน่งต่างๆ 4 ตำแหน่ง  กราฟสองกราฟเทียบกันระหว่างใช้กับไม่ใช้ DARO จะเห็นว่า DARO ช่วยเกลี่ยกราฟให้สมูธขึ้น ราบเรียบขึ้น
แต่ก็แก้ได้แบบพอประมาณนะครับ แบบเคส 4 เนี่ยเป็นหลุมหุบเหวขนาดนั้นแสดงว่ามีปัญหาความถี่ต่ำมากๆ แบบนี้ DARO ก็แก้ให้ไม่ไหวเหมือนกันครับ แค่ช่วยให้ดีขึ้น... แต่ไม่ได้แก้ปัญหาความถี่ต่ำนั้นๆในห้องให้หายไป 100%




โดยขั้นตอนนี้ทำครั้งเดียว หรือทำซ้ำเมื่อมีการปรับเปลี่ยนอคูสติกในห้องหรือย้ายตำแหน่งซับหรือตำแหน่งนั่งฟังครับ
ขั้นตอนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องหาซื้อโปรแกรมหรือ DSP แยก หรือคอมพิวเตอร์มาปรับจูน เพราะราคาค่าตัวเจ้าซับ Fathom ตัวใหม่นี้รวมทุกอย่างให้แล้ว ทั้งไมค์ ทั้งโปรแกรม ทั้ง DSP เรียกว่าทุกอย่างพร้อมเสร็จสรรพในกล่องเรียบร้อย
แค่จ่ายเงิน รอของมาส่ง แล้วก็คลิ๊กๆๆ เป็นอันจบครับ




=========================================
กราฟ P1 (เส้นฟ้าคือหลังใช้ DARO)


กราฟ P2 (เส้นน้ำตาลคือหลังใช้ DARO)


กราฟ P3 (เส้นม่วงคือหลังใช้ DARO)


กราฟ P4 (เส้นเขียวคือหลังใช้ DARO จะเห็นว่าปัญหาใหญ่ๆ DARO ก็ยังแก้ได้ไม่ดีนัก)


กราฟ P5 (เส้นแดงคือหลังใช้ DARO)



=========================================
 

2. เพิ่มแอมป์

รุ่นใหม่ Version 2 นี้ทาง JL เพิ่มกำลังขับภายในตัวตู้ให้เยอะขึ้น ประมาณ 20% เพื่อให้สามารถตอบสนองดอกลำโพง และเสียงความถี่ต่ำให้ดีขึ้น  เช่น F110 ตัวเก่าจะใช้แอมป์ 900W แต่ตัวใหม่ F110 V.2 จะใช้แอมป์กำลังขับ 1100W แทน
ซึ่งเป็นเรื่องดีครับ เพราะแอมป์กำลังขับสูงขึ้นก็สามารถตอบสนองความถี่ฉับพลันเช่นฉากที่เบสกระพือหรือกระแทกแรงๆได้ดีขึ้น



และนอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์อีกอย่างที่น่าสนใจ นั่นคือ JL สามารถเซ็ทอัพและต่อพ่วงซับหลายๆตัว ในลักษณะของ Multiple mono subwoofers ได้
ซึ่งเจ้า Multiple mono subwoofers นี้มันต่างยังไงกับ Multiple subwoofer ที่เราใช้กันตามปกติ   พูดให้ง่ายๆคือ ซับสองตัว  สามตัว หรือสี่ตัวที่เราใส่เข้าไปในระบบนั้นหากทำงานแยกกัน (individual)
โอกาสที่จะเกิดการหักล้างกัน เกิด room mode หรือได้เสียงความถี่ต่ำที่ไม่สมูธ ไม่ราบเรียบได้ค่อนข้างมาก

แต่ตรงข้าม Multiple mono subwoofers คือการเซ็ทให้ซับ JL Fathom ตัวใดตัวหนึ่งให้เป็น Master และสามารถเซ็นอัพซับตัวอื่นๆในระบบให้เป็น Slave โดยสามารถต่อพ่วงกันในลักษณะนี้ได้สูงสุด 10 ตัว
โดยต่อกันเป็นโซ่ (Daisy chain) ด้วยสาย XLR ซึ่งการเซ็ทอัพลักษณะนี้จะช่วยให้การเซ็นอัพและเสียงความถี่ต่ำที่ได้ มีความแม่นยำ ถูกต้องและกลมกลืนกันได้มากกว่าต่างคนต่างวางต่างคนต่างเซ็ทครับ



















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 29, 2015, 10:34:33 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
 
วันนี้เราเก็บภาพสวยๆในงานติดตั้งชุด Home Theater 5.2 Channels ที่หมู่บ้านลัดดารมย์ elegance มาฝากกันครับ

งานนี้โจทย์คือ มีห้องเปล่าๆหนึ่งห้อง ต้องการดูหนังฟังเพลงเสียงดีๆ สวยและไม่ใหญ่เกินไป
โดยลูกค้าได้ไปทดลองฟังเสียงลำโพง Klipsch มาแล้วชอบ เลยมาสั่งชุดลำโพง Klipsch ชุดใหม่ล่าสุด Reference Premier ซึ่งประกอบด้วย

- คู่หน้า: RP260F
- เซ็นเตอร์: RP450C
- เซอราวด์: RP250S
- ซับวูฟเฟอร์: R112SW x 2 (Dual Subwoofers)
- AVR: Marantz SR7009

โดยเสียงชุด Reference Premier ตัวใหม่นี้นอกจากจะสวยและเข้ากับห้องแล้วยังเหมาะมากๆกับทั้งดูหนังและฟังเพลงอีกด้วยนะครับ
งานนี้ทีมงานเราเข้าไปแนะนำตำแหน่งวางลำโพงทั้งหมด ตำแหน่งวางโปรเจคเตอร์ จุดนั่งฟัง และเส้นสายที่ต้องใช้รวมทั้งเซ็ทอัพเบื้องต้นก่อนที่จะเข้ามาเซ็ทอัพเต็มระบบอีกครั้งนึง โดยงานนี้เริ่มทำกันตั้งแต่ 11 โมง ไปจนถึงเกือบ 3 ทุ่ม ซึ่งก็ยังไม่สมบูรณ์ทั้งหมดเพราะต้องมีปรับห้องเพื่อติดตั้งโปรเจคเตอร์กันอีกพอสมควร

งานนี้คุ้มครับกับการวางรากฐานห้อง Home Theater ดีๆสักห้อง เพราะการลงทุนทำห้องและเลือกอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้นั้น ลงทุนกันทีเดียวแล้วใช้งานกันไปยาวๆเป็นสิบปี ผลตอบแทนคือความสุขให้ตนเองและคนในครอบครัวได้ใช้กันไปยาวๆ
ดังนั้นการเริ่มต้นเลือกสิ่งที่ดีที่สุดไปใช้ การเลือกลำโพงและ AVR เสียงดีๆ ตำแหน่งที่ทางและการเซ็ทอัพที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญมากครับ
และทีมงานเรานอกจากมีหน้าที่ให้คำปรึกษาเรื่องการเลือกซื้อลำโพง AVR ต่างๆแล้วเรายังช่วยเข้าไปออกแบบ และรับติดตั้งโดยมือเซ็ทอัพระดับมืออาชีพ ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานสากล "HAA THX"

*** งานนี้ต้องขอขอบคุณพี่ชวินมากๆครับ ที่เข้ามา consult การติดตั้งทั้งหมดตั้งแต่เช้าจนค่ำ (https://www.facebook.com/Schwin.HTSetup)
รวมไปถึงทีมงาน HomeHifi (Sound Replublic) ทุกคนที่คอยซัพพอรท์และช่วยให้งานนี้ลูกค้าพอใจและยิ้มได้ครับ

สำหรับใครที่มือใหม่ต้องการคำแนะนำในการเลือกซื้อลำโพง AVR หรือเลือกซื้อไปแล้วไม่รู้จะติดตั้งยังไง เซ็ทอัพยังไงให้เสียงดีถูกต้อง วางตำแหน่งไหนดี ซับวูฟเฟอร์ควรใช้ขนาดไหน กี่ตัวถึงจะได้เสียงอย่างที่ต้องการ
สามารถติดต่อเรามาได้ เรามีบริการและเซ็ทอัพโดยทีมงานมืออาชีพครับ


































































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 10, 2016, 08:16:50 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ threeyemen

  • New member
  • *
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
ราคาโดดมากเลยนะครับ
จาก 82 ไป rf7


ผมรักลำโพงยี่ห้อนี้มากดูหนังมันส์ดี

ผมโผล่มาทักทายเฉยๆ ยังไม่มีแพลนจะซื้อนะครับ

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


บรรยากาศจัดส่ง SVS PB13Ultra ใหญ่จนคนส่งยังเบือนหน้าหนี

เมื่อวานนี้มีโอกาศไปส่ง SVS PB13Ultra มาครับ ตัวนี้เห็นกล่องแล้วท้อแท้ใจมากเหลือเกิน   มันใหญ่มว๊ากกกก  อะไรจะขนาดนี้... น้ำหนักตัวไม่รู้เท่าไร่แต่ยกสองคนยังหอบกินเลยคร้าบบบท่านผู้อ่าน  

สุดท้ายความเหนื่อยทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อแกะกล่องออกมา (กล่องสองชั้นแน่นหนาดี) พอเห็นตัวซับผิวตู้เป็นไฮกลอสสีดำเงาวับ มีรูพอร์ทสามรูด้านหน้าก็มั่นใจได้เลยว่าเสียงต่ำที่จะได้นั้น... ยิ่งกว่าคำว่าหนักแน่นของซับตัวไหนๆในงบประมาณ 70,000 บาทแน่นอนจ้า

ห้องนี้ลูกค้าใช้ PB13Ultra อยู่ก่อนแล้วหนึ่งตัว ตอนนี้เพิ่มเข้าไปกลายอีกเป็นสองตัว  ตอนแรกเล็ง Klipsch R115SW ไว้แต่เนื่องจาก PB13Ultra ตัวเดิมของลูกค้าต่อ QBass Audyn อยู่แล้ว การเซ็ทอัพซับตัวที่สองด้วยยี่ห้อและรุ่นเดิมจึงง่ายกว่าและใช้ QBass ตัวเดิมได้เลย ดีกว่าเปลี่ยนไปไปใช้ซับตัวอื่นครับ




 

เครื่องเคราของลูกค้าก็มีตามนี้

1. Power: Audyn MA9
2. Power: Audyn D300
3. Pre: Marantz 8802A
4. Front: Klipsch RF-7 II5. Center: Paradigm CC690
6. Surround: Back Klipsch RB-61 II
7. Surround: Klipsch THX KS525
8. Subwoofer: SVS PB13Ultra x 2
9. Atmos Speaker: XAV
10. Projector: JVC

 

แกะกล่องมีคู่มือ หน้ากาก สายไฟ และมีฟองน้ำอุดรูมาให้สามอันตามจำนวนรูที่มี  ซึ่งซับตัวนี้สามารถเซ็ทเสียงให้เป็นตู้ปิดหรือตู้เปิดได้ด้วยเมนูเซ็ทเสียงที่ตัวซับร่วมกับฟองน้ำพวกนี้แหละครับ (รายละเอียดเขียนอยู่ที่ด้านล่าง)

จัดการยกเข้าที่อย่างทุลักทุเลกันสามคน ช่วยกันกับเจ้าของห้องเหงื่อตกกันไปคนละนิดคนละหน่อยพองาม  เสียงที่ได้ลองเปิดเบาๆเบิร์นอินไว้ก่อน ผมนั่งปรับนั่งขยับนู้นนี่นั่น..อยู่ข้างหลัง รู้สึกได้ถึงความหนักแน่นมากๆตั้งแต่เปิดนาทีแรกเลย เบสมาโครมๆจนรู้สึกเลยว่า ซับ PB13Ultra นี่มันหนักของจริง ความถี่ต่ำกระแทกแบบไม่บันยะบันยังอะไรทั้งสิ้น   ขาโหดบอกเลยว่าชอบแน่นอน
ยิ่งตอนนี้ห้องนี้ใช้ PB13Ultra ถึงสองตัวในการคุมความถี่ต่ำ เปิดดูหนังแล้วรู้สึกเลยว่า โรงหนักสู้ไมไ่ด้จริงๆครับ เบสลงลึกและหนักจนเรารู้สึกและสัมผัสได้ไม่ใช่แค่ด้วยเสียง... แต่รู้สึกมาถึงพลังที่แผ่มากระแทกที่ขา ที่ตัวและที่หน้าอกจริงๆ




รุ่นนี้แนะนำว่าใครซื้อหามาเล่น ยกเข้าห้องแกะกล่องควรช่วยกันอย่างต่ำสองคนขึ้นไปนะครับ จะสะดวกและเหนื่อยน้อยกว่า บอกตรงๆ ขนาดตัวมันใหญ่เหลือเกิน กว่าจะยกกว่าจะย้ายแต่ละทีถ้าทำคนเดียว ผมบอกเลยว่า "ไม่มีทาง"
 
ตัวนี้ช่องต่อด้านหลังสามารถต่อได้ทั้ง RCA และ XLR  การเซ็ทอัพเป็นแบบดิจิตอลทั้งหมด  คือไม่มีปุ่มสำหรับหมุนปรับ volume หรือ crossover มาให้เลย มือใหม่ใครซื้อไปคงงง เล็กน้อย  แต่มีปุ่มมาให้ปุ่มเดียว คือการเซ็ทอัพทั้งหมดทำโดยผ่านปุ่มนั้นปุ่มเดียว กดเลื่อนไปเรื่อยๆ แล้วปรับผ่านหน้าจอแบบดิจิตอล   ค่าความดังเริ่มต้นจาก 0 ไปติดลบ  ค่าติดลบมากยิ่งดัง

ส่วนการเซ็ทอัพอื่นๆก็ทำได้ค่อนข้างละเอียดไม่ว่าจะเป็นเฟส ที่เซ็ทได้ละเอียดเพิ่มขึ้นทีละ 5-10 (ซับทั่วๆไปจะปรับ 0 - 180)  และก็มีปรับ Crossover Hi Pass และ Low Pass ให้ ค่าดีฟอลท์ที่ซื้อมาตอนแรกทั้ง Hi Pass และ Low Pass  ตั้งdisable ไว้ทั้งคู่  มือใหม่เอาไปใช้อาจจะงง "ซับเสียหรือเปล่า" เร่งยังไงก็ไม่ดัง  ไม่ต้องตกใจ แค่เข้าไปปรับ Low Pass ซะให้ตัดที่กี่ Hz ก็ว่ากันไป เสียงก็จะมาครับ



 

จุดที่ผมชอบมากสำหรับตัวนี้คือซับออกแบบมาใช้ดอก 13 นิ้ว เป็นตู้เปิด มีรูท่อลมขนาดใหญ่สามรู  ด้านหลังมีเมนูสำหรับปรับ Tune เสียงได้สี่แบบคือ

1. Sealed: ตั้งค่านี้จะทำให้ซับเสียงออกมาเป็นตู้ปิด (สะอาด กระชับ อะไรทำนองนั้น) แต่ต้องใช้งานคู่กับฟองน้ำอุดรูที่แถมมาด้วยสามอัน โดยคู่มือระบุให้เอาฟองน้ำทั้งสามอันไปอุดรูให้หมด  ค่านี้ผมไม่ได้ใช้

2. 20Hz:
ค่านี้ตั้งสำหรับเป็นตู้เปิดโดยเฉพาะ  คู่มือให้เปิดพอร์ททั้งสามให้หมด

3. 15Hz:
ค่านี้ตั้งให้เป็นกึ่งตู้เปิดและตู้ปิด คือให้เอาฟองน้ำมาอุดรูหนึ่งรู

4. Disable: คานี้ตั้งให้เป็นกึ่งตู้เปิดและตู้ปิด คือให้เอาฟองน้ำมาอุดรูซะสองรู




เสียงทีไ่ด้แต่ละค่า ก็จะให้เสียงที่แตกต่างกันออกไป ตรงนี้แล้วแต่ห้อง แล้วแต่การใช้งาน และแล้วแต่ความชอบของใครของมันครับ ส่วนตัวผมชอบ 20Hz มากกว่า คือเปิดหมด ให้เสียงมันเป็นตู้เปิดไป  สะใจที่สุด  ตรงนี้ใครมี PB13Ultra อยู่ก็ลองไปเล่นดูได้หลายแบบครับสนุกดี  อาจจะลองตั้งเป็น Sealed แต่ไม่อุดท่อลมดูก็ได้ครับ

ยิ่งเล่นยิ่งสนุกจริงๆครับตัวนี้ เผลอแป๊ปๆเดียว ผมก็ใช้เวลาอยู่บ้านลูกค้าท่านนี้ไปร่วมเกือบ 2 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว  บอกตรงๆว่าตัวมันใหญ่มาก หนักมาก คนขายอย่างผมไม่ค่อยปลื้มเท่าไรเลย เพราะเวลาส่ง เวลายก หรือปรับอะไรที มันลำบาก เหนื่อย  แต่พอได้เข้าไปสัมผัสจริงๆแล้ว  เออ เรารู้สึกว่าภายใต้ความใหญ่โตมโหราฬของมันเนี่ย  



 

มันเป็นซับอีกหนึ่งตัวที่มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง น่าเล่น น่าใช้ น่าเป็นเจ้าของอยู่มากๆเลยครับ  ถ้าพูดเรื่องความโหด ความหนักของเสียง ผมคงไม่ลังเลที่จะบอกว่ามันเป็นซับที่เสียงโหดที่สุดตัวหนึ่งในงบประมาณนี้แล้วละครับ  ซับที่โหดกว่านี้มีมั๊ย ตอบเลยว่ามี ซับที่ได้รายละเอียดของเสียงเบสดี กระชับกว่านี้มีมั๊ย ก็บอกว่าเลยว่ามีอีกเหมือนกัน แต่ถ้าจะเอาโหดกว่านี้หนักกว่านี้ รายละเอียดดีกว่านี้ด้วยในตัวเดียว และเอาราคานี้ด้วย ก็บอกเลยว่า ไม่มีครับ  คงต้องเขยิบงบไปเกินแสนจะดีกว่าถึงจะหาได้

วันนี้ขอส่งท้ายว่า ซับวูฟเฟอร์ และความถี่ต่ำเป็นเหมือนฐานของเสียงทุกย่านไม่ว่าจะเป็น สูง กลาง ต่ำ  เพราะลำพังความถี่ต่ำ หรือซับวูฟเฟอร์ตัวมันเอง เอามาเปิดโดดๆ ตัวเดียว เสียงมันแย่มาก ฟังไม่ได้เลย มีแต่เสียง อื้อ อึงๆๆ  แต่เมื่อไร่ที่มันทำหน้าที่ของมันร่วมกับทุกความถี่ในระบบอย่างถูกต้อง ได้รับการเซ็ทที่ถูกต้อง และอยู่ในตำแหน่งที่ดีพอ ห้องที่รองรับมันได้ คุณจะพบว่า มันกลายเป็นกระดูกสันหลัง หรือฐานเติมเต็มให้เสียงในทุกๆย่านมีความน่าฟังขึ้นได้อีกหลายเท่าตัวเลยครับ

-----------------------------------------------------------------------
สเปกและราคา SVS PB13Ultra: http://www.whatthatsound.com/product/322/svs-pb-13ultra

-----------------------------------------------------------------------














« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 05, 2016, 10:16:07 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
เสน่ห์และภาพสวยๆของการจัดส่งลำโพง Klipsch RC-64 II   ให้ลูกค้าสองรายที่ปทุมธานี และลพบุรี

 
1. จัดส่ง Klipsch RC-64 II สีดำไปให้ลูกค้าที่ลพบุรีครับ
 


ตัวนี้เดิมทีลูกค้าสั่ง Klipsch RP-160M และ Klipsch R-112SW ไปใช้เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว
ตอนนี้ลูกค้าเลยอยากอัพเกรดลำโพงเซ็นเตอร์จากของเดิมมาเป็น RC-64 II โดยเฉพาะ
โดย ตัวนี้ลูกค้าจ่ายเงินไว้เรียบร้อยแล้ว พอของมาถึงเรา ลูกค้าจึงอนุญาติให้แกะกล่องเช็คสภาพของและต่อเบิร์นไว้ที่ห้องฟังของเรา ก่อนไปพลางๆ
 
---------------------------------------------------------------
แกะกล่อง RC-64 II Balck: http://goo.gl/kmhR6M
---------------------------------------------------------------


 
จนเมื่ออาทิตย์ก่อนจึงได้ฤกษ์ขับเอาไปส่งให้ลูกค้าที่ลพบุรี ส่งมอบกันเรียบร้อยครับเลยถ่ายรูปซิสเต็มลูกค้าไว้เป็นที่ระลึก
บางทีลำโพงบุ๊กเชลฟ์ตัวเล็กๆ ผสมกับลำโพงเซ็นเตอร์ตัวใหญ่ๆแบบนี้ก็ดูสวย ดูเท่ดีเหมือนกันครับ
เป็นการผสมผสานกันระหว่างตัวท๊อปของรุ่นเก่า (Reference II) และลำโพงคู่หน้าของรุ่นใหม่ (Reference Premier) ได้อย่างลงตัว


 
*** ลำโพง RC-64 II ตัวนี้ขับง่าย ความไว 99 dB ทำให้ AVR ระดับทั่วไปก็สามารถขับมันได้ดีในระดับนึง และตรงกันข้ามหากได้ Power amp ที่กำลังขับดีๆมาต่อเมื่อไร่ RC-64 II จะยิ่งแสดงศักยภาพของมันได้ดียิ่งขึ้นไปอีกจนคุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียวละครับ
หลายคนถามว่าลำโพงเซ็นเตอร์ใช้ไซส์ไหน ขนาดเท่าไร่ดี
ก็ยังยืนยันว่า ความเห็นส่วนตัวผมยังให้ความสำคัญกับลำโพงเซ็นเตอร์พอๆกันกับซับวูฟเฟอร์เลยด้วยซ้ำ
สำหรับลำโพงเซ็นเตอร์คือ ใช้ให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่แอมป์เราขับไหว และกำลังทรัพย์เราไปถึงโดยไม่เดือดร้อนการเงินครับ
เพราะ ลำโพงเซ็นเตอร์ถือเป็นหัวใจหลักตัวหนึ่งของระบบเสียง Home Theater ทั้งทำหน้าที่ในการถ่ายทอดบทพูด dialouge ต่างๆ เสียง effect ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า ดังนั้นลำโพงเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ และถ่ายทอดเสียงพูดได้ชัดเจน หนักแน่น จึงทำให้บรรยากาศการดูหนังเปลี่ยนไปได้จากหน้ามือเป็นหลังมือครับ







2. ส่ง RC-64 II ให้ลูกค้าที่ปทุมธานี
 


ตัวนี้ลูกค้าปรึกษามาว่าเดิมทีใช้ Klipsch RP-260F รุ่นใหม่  และ Marantz 5010
ตั้งใจจะอัพเกรดลำโพงเซ็นเตอร์จากเดิมตัวเล็กมาเป็น Klipsch แต่ลังเลว่าจะเอา RP-450C หรือ RC-64 II ไปเลยดี
เลยแจ้งลูกค้าไปว่า ถ้าอนาคตไม่มีแพลนจะเปลี่ยนแอมป์อีกแล้ว ให้ใช้ RP-450C เพราะ AVR จะขับตัวนี้ได้ดีกว่า
แต่ หากจะเปลี่ยนแอมป์ หรือซื้อ Power มาเพิ่มในอนาคต ให้ใช้ RC-64 II ไปเลย เพราะคุณภาพเสียงดีกว่ามาก โดยเฉพาะเสียงแหลมจากทวีตเตอร์ 1.75 นิ้วตัวนี้ ให้เสียงละเอียดยิบ และสดสุดๆ

สุดท้ายลูกค้าแจ้งมาตอนสองทุ่มบอกให้ ส่งคืนนี้เลยได้มั๊ย  ก็เลยส่งด่วนถึงบ้านลูกค้าที่ปทุมตอนเกือบสามทุ่มครับ  ตัวนี้ผมส่งเอง ไปถึงก็แกะกล่อง เช็คของให้ลูกค้าเหมือนเดิมแ
 


เสร็จเรียบร้อยผมขับรถกลับมาบ้าน ลูกค้าบอกว่าชอบมากและตัดสินใจไม่ผิดจริงๆกับ RC-64 II ตัวนี้    เพราะนอกจากขนาดดอกที่ได้ดอกใหญ่ขึ้น  ทวีตเตอร์แบบใหญ่พิเศษ และผิวลำโพงเฟอร์นิเจอร์เกรดสีดำเงา เทียบกับเงินที่เพิ่มอีกแค่ไม่เท่าไร่   สำหรับผมคุ้มนะครับ  แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า คุณมีที่วางได้ และแอมป์คุณขับมันไหว

ส่วนตัวผมมองว่า RC-64 II ตัวนี้เสียงแหลมของมันคือเสน่ห์ที่ผมชอบและหลงรักตั้งแต่ฟังครั้งแรกจริงๆ ไม่นับพลังเบส อิมแพคของวูฟเฟอร์ 6.5 นิ้วสี่ดอกที่อัดเรียงกันอยู่ในตู้ลำโพงที่ใหญ่และแข๊งแรงตู้นี้
 

 

 

 

 
============================================
ราคาและสเปก RC-64 II: http://www.whatthatsound.com/product/22/klipsch-reference-rc-64-ii-black
 
รีวิว RC-64 II Cherry: http://goo.gl/p1DIrf
















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 08, 2016, 11:14:49 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
วันนี้เรามี Review ลำโพงคู่หน้ารุ่นเรือธงใหม่ล่าสุดจากเว็บไซด์ชื่อดังอย่าง avsforum.com มาฝากกันครับ

โดยครั้งก่อนมีรีวิว Klipsch R115-SW กันไปแล้ว  วันนี้กลับมาพร้อมกับรีวิวลำโพงรุ่นท๊อป Klipsch Reference Premier RP-280F และก็เหมือนเดิมครับ เราแปลเป็นภาษาไทยมาให้อ่านกันง่ายๆแล้วตามรายละเอียดด้านล่าง   ตามไปอ่านกันได้เลยครับ



============================================

รีวิวต้นฉบับภาษาอังกฤษ: www.avsforum.com/forum/89-speakers/2012897-klipsch-rp-280f-tower-speakers-official-avs-forum-review.html

รีวิวฉบับภาษาไทยในรูปแบบเว็บไซต์: http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.msg775974#msg775974

============================================


รีวิว Klipsch RP-280F

RP-280F จัดได้ว่าเป็นลำโพงที่มีขนาดใหญ่ และทรงพลังที่สุดในซีรี่ย์ Reference Premier ครับ โดยตัวนี้จะมาแทน RF-82 II ในรุ่น Reference II
โดย Klipsch นั้นเป็นบริษัทลำโพงสัญชาติอเมริกันที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่โด่งดังมาจากลำโพงแบบฮอร์นที่ใช้ฟังเพลงตามบ้าน เป็นหลัก (Horn-loaded) โดยลำโพงฮอร์นของ Klipsch จัดได้ว่าเป็นลำโพงที่มีเอกลัษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร โดยลำโพงฮอร์นของ Klipsch นั้นเริ่มต้นมานับรวมถึงปัจจุบันก็ 69 ปีแล้ว
นอกเหนือจากนั้น Klipsch ยังต่อไลน์การผลิตไปมุ่งเอาดีทางด้านการดูหนัง โดยผลิตลำโพงที่ใช้ตามโรงหนังอีกด้วยครับ

ปัจจุบัน Klipsch ออกลำโพงสำหรับ Home Theater และ Audio สำหรับฟังเพลงรุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อของ Reference Premier series
โดยในซีรี่ย์นี้มีลำโพงขนาดและแบบต่างๆกันถึง 10 รุ่น โดยความตั้งใจของ Klipsch นั้นตั้งใจจะเอารุ่นนี้มาแทนที่รุ่นเดิมนั่นคือ Reference II (แต่ก็มีบางรุ่นใน Reference II ที่ยังมีผลิตอยู่ เช่น RC-64 II, RF-7 II)
โดยซีรี่ย์ Reference Premier  ตัวใหม่นี้ได้ทำการปรับปรุงหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตัวตู้ วัสดุที่ใช้ทำฮอร์นโหลด หน้าตาลำโพง ไปจนกระทั่งวัสดุปิดผิว  โดยซีรี่ย์ Reference Premier นี้ตั้งใจจะให้เป็นรุ่นสูงสุดใน Reference line และเป็นสินค้าหลัก (คอร์บิสสิเนส) ของบริษัทอีกด้วยครับ  เรียกว่าทุ่มสุดตัวกันไปเลยกับซีรี่ย์ใหม่นี้

ในรีวิวนี้เราจะจับเอาลำโพงรุ่นเรือธงของซีรี่ย์ Reference Premier อย่าง RP-280F ซึ่งต่อไปเราจะเรียกย่อๆว่า RP280F โดยราคาขายต่อคู่ตัวนี้อยู่ที่ประมาณ 1350 เหรียญ (ราคาเมืองนอก) เทียบกับเงินบาทตอนนี้ก็ประมาณ 47,000 บาท  
ส่วนราคาบ้านเรานำเข้าโดยผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Sound Replublic) นั้นราคาตั้งอยู่ที่ 62,900 บาท ซึ่งราคาซื้อจริงๆก็จะมีส่วนลดแตกต่างกันไปตามร้านหรือสถานที่ซื้อครับ
โดยในการทดสอบนี้เราจะทดสอบแบบ 2  channels (เอามาใช้ฟังเพลง) โดยลองต่อซับวูฟเฟอร์ และแบบไม่ใช้ซับวูฟเฟอร์





Features

RP-280F เป็นลำโพงแบบ 2 ทางแบบตั้งพื้น
ใช้ดอกลำโพงทวีตเตอร์แบบ horn-loaded ขนาด 1 นิ้ว
และใช้ดอกลำโพงเสียงกลางและเสียงต่ำแบบ 8 นิ้วข้างละสองดอก (Dual) มีค่าความไวอยู่ที่ 98dB (จัดได้ว่าไวมาก)
ตัวลำโพงมีน้ำหนักข้างละ 62.5 ปอนด์ (28.35 กิโลกรัมต่อข้าง)

สัดส่วนของลำโพงเมื่อเทียบกับ RF-82 II ก็ใหญ่กว่าในทุกมิติครับ โดยเฉพาะที่ชัดเจนคือความลึก ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเก่าแบบชัดเจน
สูง:  109.4 cm
หน้ากว้าง:  26.8 cm
ลึก:  46.5 cm

ตัวตู้ลำโพงใช้ไม้แบบ MDF
สีมีให้เลือกสองสีนั่นคือสี Ebony (ดำ) และสีเชอรี่ โดยบ้านเรานั้นผู้นำเข้าเอาเข้ามาจำหน่ายเฉพาะสี Ebony
ด้านหน้าลำโพงจะไม่ใช่แผงหน้าพลาสติกแบบรุ่นเก่าอีกแล้ว แต่จะโชว์ผิวไม้แทน โดยแผงหน้าจะมีการลบเหลี่ยมมุมแบบใหม่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมแบบทื่อๆเหมือนเดิม โดยเหลี่ยมมุมแบบใหม่นี้จะช่วยลดเสียงสะท้อนและความผิดเพี้ยนของเสียงได้

แผงหน้ากากลำโพงใช้เป็นแบบแม่เหล็กเหมือนเดิม
โดยเราคิดว่าลำโพงรุ่นนี้ถอดหน้ากากลำโพงออก โชว์ดอกลำโพงจะดูสวยกว่าใส่ไว้ครับ (ประสบการณ์ส่วนตัวของเราคือใส่ไว้ได้ประโยชน์อย่างนึงคือช่วยกันฝุ่นได้ดี)

Klipsch เคลมเอาไว้ว่า RP-280F ตอบสนองความถี่ได้ตั้งแต่ 32 Hz - 25 KHz (+/- 3 dB) ตัวเก่า Rf-82 II ตอบสนองความถี่ได้ (33 Hz - 24 KHz) เท่ากับว่า RP-280F ตอบสนองความถี่ต่ำได้ลึกกว่า 1 Hz และตอบสนองความถี่สูงได้มากกว่า 1000 Hz (หูมนุษย์รับรู้เสียงสูงได้ราวๆ 20 KHz)

ค่าความไวอยู่ที่  98 dB (เท่า Rf-82 II) สามารถรองรับกำลังขับได้ตั้งแต่ 150 Watts (RMS กำลังขับใช้งานทั่วๆไป) ไปจนถึง 600 watts (peak: กำลังขับชั่วขณะใดขณะหนึ่ง) ที่ 8 ohms

RP-280F ตัดความถี่เสียงกลางต่ำให้ทำงานที่ดอกวูฟเฟอร์ 8 นิ้ว และตัดความถี่เสียงสูงที่ดอกทวีตเตอร์ที่  1750 Hz (นั่นคือความถี่ที่สูงกว่า 1750 Hz จะทำงานที่ดอกทวีตเตอร์ และความถี่ที่ต่้ำกว่านั้นจะมาออกที่ดอกวูฟเฟอร์ 8 นิ้วนั่นเองครับ)  และสามารถรองรับการต่อสายแบบ Bi-Amping และ Bi-Wiring
RP-280F เป็นแบบตู้เปิด จึงมีท่อระบายลมอยู่ด้านหลัง (rear-mounted Tractrix port)

อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นก็คือดอกลำโพงเสียงสูง (ไทเทเนียมทวีตเตอร์) นั้นถูกติดตั้งอยู่ในท่อฮอร์นแบบใหม่ ซึ่งถูกออกแบบมาเป็นแบบวงกลมด้วยวัสดุยาง (Molded rubber) โดยรุ่นเก่าเป็นท่อฮอร์นแบบพลาสิก ABS

ด้วยวัสดุยางและดีไซน์แบบใหม่นี้เองที่ช่วยลดเสียงสะท้อนที่อาจเกิดขึ้นจากเสียงย่านความถี่สูงได้ ซึ่งเสียงสะท้อนตรงนี้ทาง Klipsch เองบอกว่าเป็นต้นเหตของเสียงสูงที่หยาบ กัดหูและมี color ผิดเพี้ยนไปจากเสียงดนตรีจริงๆที่ควรจะเป็นครับ



Setup
ลำโพง RP-280F คู่นี้ถูกส่งมาถึงแล้วแบบสภาพสมบูรณ์มากๆครับ  ใหม่แกะกล่อง และเมื่อเปิดกล่องออกมาก็แพ๊กมาอย่างดี มีโฟมที่หัว ท้าย และตรงกลาง สามารถแกะออกมาใช้งานง่ายดี
โดยจะสามารถต่อสไปร์คที่ฐาน หรือจะไม่ต่อก็จะมียางรองมาเป็นฐานมาให้เลยครับ ใช้งานง่าย สามารถเคลื่อนย้ายและลากได้นิดๆหน่อยๆแบบไม่เป็นรอยครับ

SYSTEM
Sources: PC (Windows 8) running Tidal and iTunes

Amplification and Processing:
Crestron Procise PSPHD pre/pro
Crestron Procise ProAmp 7x250 Watts
MiniDSP DDRC-88A Dirac Live processor

Cables
Monoprice 12-gauge OFC speaker cables
Mediabridge Ultra Series subwoofer cable
Mediabridge Ultra Series HDMI cable

Subwoofers
Klipsch R-115SW subwoofers (2)

แอมป์ที่ใช้ขับ Crestron Procise PSPHD นั้นสามารถรองรับการถอดรหัสเสียง digital ได้ ดังนั้นเราจะสามารถเล่นเพลงโดยส่งสัญญาณ digital จากคอมเข้าไปที่ amp ให้ DAC ทำงานได้เองได้เลย  และในการทดลองฟังนี้เราใช้ miniDSP DDRC-88A with Dirac Live ในการช่วยปรับ EQ ให้เสียงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เริ่มต้นต่อสายลำโพงเข้ากับตัวลำโพง โดยใช้ต้นทางเล่นเพลงจากคอม Windows และใช้ app iTunes, Tidal
โดยต่อคอมเข้าแอมป์ Crestron Procis PSPHD โดยใช้ HDMI ปกติธรรมดาทั่วๆไป

RP-280F ตัวนี้สามารถต่อแบบ bi-amp สำหรับใครที่อยากเบิ้ลกำลังขับเข้าไปนะครับ แต่เนื่องจาก Crestron ProAmp ตัวนี้ให้กำลังขับที่มากเกินพอ เราจึงต่อแบบธรรมดา

การจัดวาง RP-280F ตัวนี้ เราเลือกที่จะจัดวางห่างจากผนังประมาณ 2 feet (ประมาณ 60 เซนติเมตร) เนื่องจากตัวนี้ท่อลม (rear-mounted Tractrix ports) นั้นอยู่ด้านหลัง เราจึงเลือกที่จะวางลำโพงให้มีพื้นที่ห่างจากผนังด้านหลังสักเล็กน้อยครับ

และระยะห่างจากผนังด้านข้างของลำโพงวัดจากจากดอกลำโพงคือ 28 นิ้ว  และวัดระยะจากจุดนั่งฟังถึงตัวลำโพงอยู่ที่ประมาณ 76 นิ้ว

ส่วนซับ Klipsch R-115SW subwoofers (เคยรีวิวไปครั้งก่อน: http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.msg775781#msg775781)
ที่เราจะเพิ่มเข้าไปในระบบนั้น จะช่วยเพิ่มแรงกระแทก และเสียงเบสในช่วงฐานความถี่ต่ำในการฟังเพลงแบบ 2.2 channels ให้คึกคักยิ่งขึ้นครับ
โดยเราจะวางซับไว้ด้านหน้า ข้างลำโพง RP-280F ที่มุมซ้าย และมุมขวาของห้อง และเราใช้ Dirac Live room ซึ่งเป็นฟังชั่นของ DDRC-88A  ในการช่วยปรับจูนเสียงให้เสียงออกมาดีที่สุดครับ




Performance
RP-280F ถือเป็นลำโพงที่จัดได้ว่าอยู่ในระดับใหญ่พอสมควรครับ
โดยในวินาแรกที่เราเริ่มเสียบสายลำโพงเข้าไปนั้น  RP-280F สร้างความประทับใจให้เราด้วยความรื่นหู (smoothness) ให้รายละเอียดที่ระยิบระยับ (detailed) ให้อิมเมจ และซาวด์สเตจที่ชัดเจน  และแน่นอนสุดท้ายที่ประทับใจมากๆคือ อิมแพคที่ได้จาก เสียงเบส  และเสียงที่บิด volume นิดเดียวก็ดังโดยไม่ต้องไปเร่งหรือเค้นแอมป์มากเหมือนลำโพงที่กินวัตต์ทั่วๆไป

เราเริ่มทดสอบโดยวัดเสียงที่ระยะใกล้ลำโพง (nearfield) ความถี่ที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ 36 Hz
ด้วยค่าความไวระดับ 98 dB จึงจัดได้ว่า RP-280F เป็นลำโพงที่ขับได้ง่ายมากๆ แอมป์กำลังขับไม่มากก็ขับตัวนี้ได้แล้วครับ แถมลำโพงตัวนี้ยังสามารถตอบสนองช่วงความถี่ได้กว้างมากๆ เรียกว่าครอบคลุมช่วงความถี่ต่ำระดับที่ซับวูฟเฟอร์ทำงาน (32 Hz) ไปจนย่านสูงเกินกว่าที่หูมนุษย์จะได้ยินไปจนถึง - 25 KHz
เมื่อเราทำการปรับ EQ ให้เหมาะสม พบว่าย่านเสียงต่ำที่วัดได้นั้นสามารถลงได้ลึกถึง 24 Hz เลยทีเดียว ซึ่งเสียงย่านความถี่ต่ำที่ได้นั้นไม่เพียงแค่ลงได้ลึก แต่ยังเร่งได้ดังโดยยังกระชับไม่พร่าเพี้ยนอีกด้วยครับ

และด้วยศักยภาพของแอมป์ที่เราใช้ (ProAmp - 250 watts) บวกกับประสิทธิภาพของ RP-280f นั้นเราลองเร่งเสียงดูและมันสามารถทำระดับเสียงได้ดังในระดับพอๆกับคอนเสิรต์ หรือปาร์ตี้ย่อมๆเลยทีเดียวครับ  แต่ถึงกระนั้นในการใข้งานจริงๆทั่วไปนั้นไม่จำเป็นต้องเร่งขนาดนั้นก็ได้บรรยากาศของเสียงดนตรีที่มีคุณภาพจากลำโพงคู่นี้แล้ว

หลังจากนั้นเราลองเล่นเสียงที่มีความถี่ 24 Hz ที่ระดับความดัง 96 dB โดยผ่านลำโพงคู่นี้ดู  จากการวัดค่าที่ได้เราพบว่าไม่พบความเพี้ยน (distortion) จากความถี่และความดังระดับนี้ครับ กลับกันเรารู้สึกได้ถึงเบสลึกและเสียงเบสที่ยังมีพละกำลังดีมากๆด้วย

RP-280F นั้นนอกเหนือจากจุดเด่นเรื่องเสียงต่ำที่เราคิดว่ามีพละกำลังดีและลงได้ลึกแล้ว ยังมีจุดเด่นที่ทำได้ดีไม่แพ้กันนั้นคือย่านเสียงกลาง และเสียงสูง
ย่านเสียงกลางนั้นทำงานได้เที่ยงตรง กระจ่างชัดเฉกเช่นเดียวกับซีรี่ย์ที่ผ่านมา แม้ว่าตัวนี้จะเป็นแค่ลำโพงสองทาง ยังไม่ใช่ลำโพงแบบสามทางแท้ๆก็ตาม
ส่วนย่านเสียงสูงนั้น ทวีตเตอร์นั้นทำงานได้เนียนและดีขึ้นกว่าเดิมโดยปราศจากความกระด้าง กัดหูเหมือนเสียงแหลมที่ได้จากฮอร์นในซีรี่ย์ Reference II ครับ

หลังจากนั้นเราลองเพิ่มซับวูฟเฟอร์ R-115SW เข้าไปสองตัว (dual subwoofer) การผสมผสานของ RP-280F และซับวูฟเฟอร์แบบคู่ หลังจากผ่านการปรับ EQ ด้วย Dirac Live room correction เล่นที่ความดังระดับนึงแล้ว เสียงต่ำลงได้ลึกไปถึง 18 Hz  ในห้องฟังสตูดิโอของเราถูกปกคลุมด้วยเสียงความดังระดับ 100 dB แบบสบายๆ โดยเสียงยังคงน่าฟัง ไม่มีอาการกัดหูหรือปวดหัวใดๆครับ

ในการเซ็ทอัพซับวูฟเฟอร์ เราตั้ง crossover เอาไว้ที่ 50 Hz (ความถี่ต่ำกว่า 50 Hz ลงมาจะทำงานที่ซับ ซึ่งเราถือว่าเหมาะสมสำหรับการฟังเพลง และการใช้ซับวูฟเฟอร์ขนาดใหญ่ถึงสองตัวแบบนี้ ที่จะต้องการให้ความถี่ต่ำจริงๆเท่านั้นทำงานที่ซับวูฟเฟอร์ โดยไม่มีเสียงต่ำจากซับที่อาจจะขาดความกระชับและอวบอ้วนมากวนย่าน upperbass หรือเสียงกลาง)



Listening

RP-280F คู่นี้ทำให้เรารู้สึกว่าการฟังเพลงทั่วๆไปที่เราเคยฟังนั้น มีความสุนทรีย์น่าฟัง และทำให้ฟังได้นานขึ้นกว่าปกติด้วยคุณภาพของเสียงจากลำโพงที่ถือว่ายอดเยี่ยมทั้ง อิมเมต ซาวด์สเตจที่กว้าง ไดนามิค อิมแพคที่กระแทกกระทั้น และยังให้เสียงชัดเจน ใสในระดับที่น่าพอใจสำหรับการฟังเพลงครับ

หลังจากฟังเพลงแบบจริงจังไปสักพัก  เราลองเล่นและเปลี่ยนเพลงไปแต่ละเพลงโดยเล่นเพลงนึงไม่ต่ำกว่าสองครั้ง

บทเพลง Bill Laswell's "Thomupa" จากอัลบั้ม Sacred System Chapter Two ทำให้ลำโพง RP-280F ตัวนี้แสดงศักยภาพในตัวมันได้อย่างเต็มที่และสุดยอดในเรื่องของความกระชับ รวดเร็วของเสียงเบสและตัวโน๊ตดนตรีที่ไม่ยืดยาดและตามทันในทุกท่วงทำนอง

เครื่องดนตรีแต่ละชนิดไม่ว่าจะเป็นกลอง ทรัมเป็ท และเบสจากซินทิไซเซอร์ นั้นจัดเรียงและให้รายละเอียดสอดประสานกันอย่างน่าประทับใจ โดยดีเทลของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นยังคงชัดเจนและเที่ยงตรงอย่างที่บันทึกมาอย่างไม่มีที่ติครับ ด้วยความแม่นยำของจังหวะช่องไฟ ตัวโน๊ต และเครื่องดนตรีนี้เองทำให้อิมเมจที่ได้สำหรับลำโพงคู่นี้นั้นชัดเจนและน่าประทับใจมากๆ

เมื่อเปรียบเทียบแทร๊กเดิมนี้โดยเอาซับวุฟเฟอร์ R115SW ออก  ความแตกต่างที่เราพบก็คือเสียงเบสลดลง เสียงเบสไลน์จากกีตาร์เบสชัดเจนน้อยลง
แต่กระนั้นด้วยเสียงเบสจากตัว RP-280F ก็เพียงพอที่จะบรรเลงเสียงโดยไม่ต้องพึ่งซับวูฟเฟอร์ได้สบายๆครับ ไม่ได้ขาดอรรถรสของเสียงดนตรีแต่อย่างใด

เราลองเปลี่ยนเพลงมาเเพลงจังหวะมันๆบ้าง โดยเล่น Snoop Dogg จากอัลบั้ม Bush
เพลงนี้เป็นแนว funky disco rap ซึ่งเพลงแนวนี้มีจังหวะและเดินเบสชัดเจน และรวดเร็ว ถ้าเป็นลำโพงบางตัวที่หนา ช้าไม่กระชับอาจจะเจอปัญหาเสียงบวมเบลอ และตามโน๊ตไม่ทัน เสียงกลืนไปเลยก็มีครับ
จากแทร๊กแรกที่เราเล่น "California Roll," features Stevie Wonder
เสียงเต็มไปด้วยพละกำลัง กระฉับกระเฉงในระดับนึง
หลังจากนั้นเราลองหยุด และต่อซํบ R115SW เข้าไป เสียงที่ได้ต่างจากตอนแรกพอสมควร ในเรื่องของเบสที่กระชับ หนัก มีอิมแพค ฟังสนุก
สำหรับแนวเพลงนี้เราคิดว่าซับวูฟเฟอร์ช่วยให้การฟังเพลงมันและเพราะขึ้นอีกเยอะมากๆครับ

หลังจากนั้นเราก็ลองเล่นอีกสองเพลงต่อเนื่องเพื่อทดสอบเสียงดูสิว่าเจ้า RP-280F นี้จะยังทำให้เราประทับใจได้อีกหรือเปล่าเมื่อมาเจอกับเพลงเร็วๆหนัก ร๊อคๆ อย่างเพลงของ Ministry เพลง Just One Fix" and "TV II"
ซึ่งเพลงของวงนี้จุดเด่นคือเพลงที่เล่นในสตูดิโอนั้นนั้นให้บรรยกากาศไม่ต่างจากในสตูดิโอ  เมื่อเร่งเสียงขึ้นไปดังระดับนึงและด้วยระบบของเรากับลำโพงคู่นี้ก็ดึงเราเข้าไปสู่บรรยากาศประหนึ่ง Live music ดีๆที่เหมือนได้วง Ministry มาเล่นตรงหน้า ได้บรรยากาศเหมือนเราไปยืนอยู่ตรงหน้าเวที และเห็นคนที่มันเต็มที่พร้อมจะกระโดดเล่น surf ลงมาจากเวทีเลยทีเดียว

ส่วนเพลง "TV II"  นั้นมีสปีดที่เร็วมากๆ หนักและมีรายละเอียดในเพลงเยอะมาก  เพลงนี้เองก็โชว์ศักยภาพของลำโพง RP-280F ได้ว่าสามารถตอบสนองเสียงกีตาร์ที่เร็วๆ โหดๆ และซับซ้อนมากได้เป็นอย่างดี

แต่สองเพลงที่ผ่านมานั้นเรากลับไม่พบความแตกต่างของการใช้ซับวูฟเฟอร์และไม่ใช้ อาจจะเป็นเพราะเสียงความถี่ต่ำในเพลงของ Ministry นั้นตอบสนองได้ดีจากลำโพง RP-280F โดยไม่ต้องพึ่งเสียงความถี่ต่ำจากซับวูฟเฟอร์แต่อย่างใด

มาที่เพลงถัดไปอย่าง "Inertia Creeps" ของ Massive Attach อัลบั้ม Mezzanine  วง Triphop ชื่อดังที่เด่นในเรื่องสไตล์เพลงเนิบๆ ช้าๆ โชว์เสียง electronic sound ที่ซับซ้อน  
เราไม่มีคำพูดอะไรมาก แต่อยากให้ใครที่ได้มีโอกาศได้ลอง RP-280F เราอยากให้ลองใช้เพลงนี้ทดสอบดู เพราะเพลงนี้โชว์ศักยภาพของลำโพง เสียงเบส ลงลึก ความซับซ้อนของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆครับ
แต่เพลงนี้เมื่อต่อซับ R115SW เข้าไปกลับพบว่าได้บรรยากาศและมีอรรถรสดีกว่าฟังแบบไม่มีซับครับ (ความเห็นส่วนตัวของผู้แปลคิดว่าเพลงแนวอิเล็กทรอนิกส์จะฟังดีเมื่อมีซับวูฟเฟอร์และเบสลึกๆหนักๆครับ)

ถัดมาเราเปิดเพลงของ The Beastie Boys
เพลงแนว funky อย่าง "Ricky's Theme" มีทั้งกลอง เบสไลน์ที่ชัด และเสียงสังเคราะห์ เพลงนี้ก็พิสูจน์ได้ดีว่าอิมเมจของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นชัดเจนจนออกมาเป็นรูปร่าง และบอกตำแหน่งได้ว่าใครเล่นอะไรอยู่ตำแหน่งไหนจริงๆ
และแนวเพลงแบบนี้ถ้าถ้าเสียบซับวูฟเฟอร์เข้าไปจะพบว่าเบสหนา ชัด มีอิมแพคขึ้นแบบชัดเจน ต่างจากเพลงอื่นๆที่เติมซับเข้าไปแล้วไม่พบความแตกต่างมากถึงขนาดนี้


มาถึงตรงนี้นะครับ เราไม่แน่ใจว่าภาพลักษณ์ในอดีตที่ผ่านมาของลำโพง Klipsch ที่เป็นลำโพงดูหนังที่เสียงติดแข๊ง หนัก และอาจจะไม่ค่อยถูกในคอออดิโอไฟล์ (audiophiles) ที่จะหาซื้อลำโพง Klipsch มาฟังเพลงแบบจริงจังเท่าไร่  แต่วันนี้เราอยากบอกเหลือเกินว่าด้วยข้อดีของตัวลำโพงเอง ถ้าคนรักเสียงดนตรี หรือคอออดิโอไฟล์จะใช้ลำโพงคู่นี้มาใช้ฟังเพลงแนว "คลาสสิค" แล้วละก็ รับรองว่าไม่ผิดหวังครับ

ในปี 1975 วง Deutsche Grammophon recording ของ Beethoven's Symphony No. 5, บรรเลงโดย Vienna Philharmonic ควบคุมวงโดย Carlos Kleiber ถูกจัดให้เป็นเพลงคลาสสิคชั้นดีตลอดกาลที่ผมมักนิยมใช้ในการทดสอบลำโพง โดยในอดีตผมมีโอกาศได้ฟังสองสามครั้งกับลำโพงตัวอื่นที่เราได้ทำการรีวิวไปแล้ว
มาวันนี้อยากจะบอกว่า Klipsch RP-280F สามารถสอบผ่านกับบทเพลงนี้ได้แบบสวยงามครับ

ความเห็นส่วนตัวของผมแนวเพลงคลาสสิคแบบนี้ ระหว่างต่อซับวูฟเฟอร์กับไม่ใช้ซับวูฟเฟอร์นั้น เราคิดว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญครับ
กล่าวคือซํบวูฟเฟอร์ไม่ได้ช่วยเพิ่มรายละเอียดเสียงของเครื่องดนตรีแนวนี้ได้เหมือนแนวเพลงอื่นๆ กลับกันเครื่องดนตรี โน๊ต จังหวะของเสียงดนตรีในแนวคลาสสิคัลนั้นกลับต้องการความเหมาะสมของเสียงเบส รายละเอียด และอิมแพคที่พอดีๆ มากกว่าเน้นเสียงหนักๆเหมือนเพลงแนวร๊อค rap หรือดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ครับ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ลำโพง RP-280F นั้นตอบสนองเพลงแนวคลาสสิคได้ดีนั่นคือเสียงกลางต่ำที่มีอิมแพคพอเหมาะพอดีกับแนวเพลงแบบนี้
นอกนั้นเพลงแนวนี้ยังมีช่วงที่เงียบ และช่วงที่ดนตรีโหมขึ้นหนักๆมาก
ซึ่ง RP-280F นั้นตอบสนองความหนักแน่นในช่วงดนตรีแบบนี้ได้แบบถือว่าสอบผ่าน
แต่จริงๆที่เราเคยรีวิว มันก็มีลำโพงที่สามารถบรรเลงบทเพลงแนวคลาสสิคได้ดีกว่า Klipsch อยู่นะครับ ไม่ใช่ว่า Klipsch จะทำได้ดีที่สุด แต่แน่นอนว่าลำโพงที่เล่นเพลงคลาสสิคได้ดีกว่านั้นราคาก็สูงกว่า Klipsch RP-280F ด้วยเช่นกันนะครับ

ทีนี้ลองมาเปลี่ยนแนวมาฟังแนวแจ๊สกันดูบ้างครับ โดยใช้เพลงของ Herbie Hancock's อัลบั้ม Head Hunters.
ทั้งอัลบั้มตั้งแต่เพลงแรกนั้นคือ "Chameleon" ไปยันเพลงสุดท้าย "Vein Melter,"

อัลบั้มนี้และลำโพง RP-280F ทำให้ขากระดิก และโยกหัวได้แบบเพลินไปกับบทเพลงได้ตลอดทั้งอัลบั้มแบบไม่มีเบื่อ ด้วยความชัดเจนของเสียง และความกระชับแน่นของเสียงเบส ทำให้แนวแจ๊สนั้นเป็นอีกแนวนึงที่เล่นได้ดีกับ RP-280F ครับ
น่าสนใจอย่างนึงคือแนวเพลงแจ๊สนั้นถ้าต่อซับวูฟเฟอร์เข้าไป กลับไม่ช่วยเพิ่มเบสและความไพเราะให้บทเพลงได้เท่าไร่ครับ แม้จะเร่ง volume เข้าไปมากๆก็ไม่รู้สึกถึงความน่าฟังเมื่อเทียบกับการไม่ใช้ซับวูฟเฟอร์

สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดของเราคือ horn-loaded tweeters นั้นสามารถตอบสนองเสียงแหลมไม่ว่าจะจากคีย์บอร์ด ซินทิไซเซอร์ หรือเครื่องดนตรีที่มีเสียงแหลมสูงๆ ได้อย่างดี โดยไม่มีความกระด้างหรือกัดหูเหมือนซีรี่ย์ก่อนๆแล้วครับ จึงนับว่าจุดนึงที่ Reference Premier พัฒนาขึ้นมากๆนั่นคือสามารถให้เสียงแหลมที่ฟังสบายขึ้น  แต่ตอบสนองความถี่สูงได้มากขึ้นกว่าตัวเก่า

มาตบท้ายกันด้วยเพลงโหดๆ กัดหูอย่างเพลงแนว industrial music อย่าง  Nine Inch Nails  เพลง "Closer (Unrecalled)"
เสียงต่างๆไม่ว่าจะเอฟเฟค กลอง และสารพัดเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกที่ระดมมาในบทเพลงแนวนี้ไม่ได้ทำให้การแยกแยะชิ้นดนตรีมั่วหรือตีกันแต่อย่างใด แต่กลับกันยังสามารถตอบสนองเสียงเบสลึกๆได้โดยไม่กลบเสียงกลางสูง ทำให้โดยรวมแล้วเวทีเสียงที่ได้จากลำโพงคู่นี้กว้างใหญ่จนดูเหมือนลำโพงล่องหนไปเลยทีเดียวครับ




บทสรุป

Klipsch RP-280F  เป็นลำโพงที่พัฒนาขึ้นต่อยอดจาก RF-82 II และทำได้ดีมากๆในการฟังเพลง 2 channels ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลงแนว Audiophile หรือฟังเพลงทั่วๆไป ซึ่งก็ลบข้อสบประมาทในซีรี่ย์ก่อนอย่าง Reference II ที่ถูกนักฟังเพลงแบบจริงจังดูถูกไว้ว่า Klipsch ฟังเพลงไม่ได้เรื่องได้แล้วนะครับ
และยิ่งกว่านั้นด้วยความไวและคุณสมบัติของลำโพงที่ให้เสียงได้ดังมาก มันยังสามารถเร่งเสียงได้ดังมากๆในระดับปาร์ตี้ย่อมๆ ได้ประหนึ่งกำลังร๊อคและเมามันไปกับลำโพง PA ดีๆนี่เองครับ

หากใครคิดจะเลือกลำโพงฟังเพลงแบบ 2 channels RP-280F ก็เป็นตัวเลือกที่ดีตัวนึงครับสำหรับการฟังเพลง แต่มีข้อจำกัดนิดนึง เนื่องจากตัวลำโพงค่อนข้างมีขนาดใหญ่ ดังนั้นใครที่มีห้องเล็กๆก็อาจจะเสียงล้นหรือพบปัญหาเบสเกินได้  ยกเว้นว่าจะมีห้องฟังเล็กแต่มีคุณสมบัติและอคูสติกดีก็สามารถใช้ตัวนี้ได้ครับ
อย่างไรก็ตามเราแนะนำให้ใช้การปรับ EQ ช่วยเพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด
เมื่อจับคู่กับซับวูฟเฟอร์อย่าง R115SW จะยิ่งช่วยเติมเต็มประสิทธิภาพให้ตัวลำโพง RP-280F ทำงานได้ดีขึ้น มีอิมแพคมากขึ้น เบสลงลึกขึ้น
และ RP-280F ตัวนี้ขับง่ายและจับคู่ได้กับ AVR, integrated amp ตัวไหนก็ได้ที่พอมีกำลังขับไม่ต้องสูงมากก็สามารถขับได้ครับ


และการออกแบบตู้ฮอร์นแบบใหม่ (Tractrix cone tweeter) โดยใช้ยางมาแทนพลาสติก ABS
Klipsch ได้ลดข้อด้อยเรื่องเสียงแหลมที่อาจจะฟังดูเครียด แข๊ง ไม่ธรรมชาติในซีรี่ย์ก่อนๆไปได้แล้ว
จากที่เราลองฟังดูเสียงแหลมนั้นเที่ยงตรง ไม่มีการเติมแต่ง หรือเพี้ยนจากที่ควรจะเป็นครับ เสียงแหลมจากทวีตเตอร์ที่ถูกติดตั้งในลำโพงตู้ฮอร์นในซีรี่ย์นี้
ชัดเจน น่าฟังและสมกับราคาลำโพงครับ
ดังนั้นใครที่ติดภาพลักษ์เดิมๆของลำโพง Klipsch ที่ว่าเสียงต้องแข๊ง เสียงดิจิตอล หยาบ ฟังแล้วแสบหู เครียด มาลองฟังซีรี่ย์ Reference Premier ตัวใหม่นี้ก็ตกใจครับว่า Klipsch ลบข้อด้อยเหล่านั้นทิ้งไปหมดแล้ว คงเหลือแต่เสียงแหลมที่ทอดยาวและเป็นธรรมชาติน่าฟังมาแทนครับ

อย่างไรก็ดีนะครับ รีวิวนี้บอกเล่าตัวตนของลำโพง Klipsch RP-280F แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น นั้นคือการฟังเพลงสองแชนแนล แต่เรายังไม่ได้เราถึงตัวตนในด้านการดูภาพยนตร์ที่ในซีรี่ย์ที่แล้วนั้นขึ้นชื่อลือชาว่า Klipsch นั้นไม่แพ้ใครในเรื่องการดูหนังครับ

ซึ่งเร็วๆนี้ เราจะกลับมาพร้อมกับรีวิวอีกครึ่งนึงที่ยังบอกเล่าไม่ครบ นั่นคือการรับชมภาพยนตร์ในระบบ  7.1
โดยเราจะเติมเซ็นเตอร์ Klipsch RP-450C
และลำโพงบุ๊กเชลฟ์เซอราวด์ข้าง Klipsch RP-160M  
และลำโพงไบโพลเซอราวด์หลัง Klipsch RP-250S

ตอนนี้เราได้ทอสอบไปแล้วนิดหน่อย เราก็ยังไม่อยากจะพูดนะครับว่า Klispch RP-280F นั้นสุดยอดในเรื่องการดูหนังมากๆ  
แต่อดใจอีกนิด รอรีวิวฉบับเต็มเร็วๆนี้ แล้วมาดูกันทีละจุดว่าอีกครึ่งด้านที่เหลือของ Klipsch Reference Premier นั้นจะทำหน้าที่ในการดูหนังได้ดีเหมือนอย่างการฟังเพลงหรือเปล่า

พบกันเร็วๆนี้กับรีวิว Klipsch Reference Premier 7.1 HomeTheater ครับ

============================================
Inbox: https://www.facebook.com/messages/whatthatsoundstore

Line ID: keamgladnan

Tel No: 089-9695946

http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.0
============================================

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 29, 2015, 02:03:20 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


สิ่งเล็กๆที่เรียกว่าสายไฟ มีผลกับเสียงมากน้อยแค่ไหนแค่ไหน?


ลูกค้าจากเชียงรายบุกมาถึงห้องฟังครับ พร้อมหนีบเอาสายไฟมาให้ลองประชันเสียงกันเล่นๆ ถึงสามเส้น   ดังนั้นบทความในวันนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของสายไฟครับ  

ว่าด้วยสายไฟเส้นสั้นๆ ไม่กี่เมตร มันจะมีผลกับเสียงในระบบ Home Theater หรือเครื่องเสียงของเราสักแคไหนเชียว  สายไฟฟ้าจากการไฟฟ้าลากมาเป็นหลายร้อยกิโล แล้วลากเข้าหม้อแปลง ผ่านเข้ามาในบ้าน ผ่านปลั๊กผนัง  ผ่านปลั๊กราง ก่อนที่จะผ่านเข้ามาสู่สายไฟของเครื่องเสียงเราแค่ 1-2 เมตร  เสียงเปลี่ยนจริงอะ     เปลี่ยนแค่สาย 1-2 เมตรแค่นี้ เสียงรับรู้ได้เลยจริงรึเปล่า

ตอนผมเป็นนักเล่นมือใหม่ๆ ตังน้อย ผมก็มักจะคิดว่า ไร้สาระ เสียงไม่เปลี่ยนหรอก มโน แค่สายไฟเส้นนิดเดียว ขายเป็นพันเป็นหมื่น เป็นแสนยังมี
เอ๊ะ แต่ถ้ามันไม่มีผลจริง แล้วทำไมคนเล่นเค้าถึงซื้อไปใช้กันละ ทำไมๆ
ประเด็นนี้นี่ถ้าเอาไปถามในเว็บบอร์ดพันทิพนี้ รับรองได้เลยว่ามัน... เพราะห้องนู้นจะไม่สนคุณภาพอะไรทั้งสิ้น ขอเป็นเป็นสายไฟ สาย hdmi ทุกอย่างจะราคาเมตรละบาท ไปจนเมตรละแสน คุณภาพเท่ากันหมดครับ




มาถึงตอนนี้ผมต้องขออนุญาติตอบใหม่ว่า วัสดุอุปกรณ์ทุกอย่างที่ใส่หรือถอดออกจากระบบล้วนมีผลต่อเสียงทั้งสิ้น มีมากมีน้อยต่างกันออกไป  ลำโพงมีผลมากที่สุด เพราะเป็นอุปกรณ์หรือแหล่งกำเนิดเสียงโดยตรง ส่วนเส้นสายก็มีผลแต่งเติม และปรับปรุงให้เสียงดีขึ้นหรือแย่ลงในแนวทางของสายเส้นนั้นๆและเสียงในระบบเดิม   การจะบอกว่าเสียงเปลี่ยนไปมากแค่ไหน มีปัจจัยหลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นซิสเต็มเดิมที่ใช้อยู่  ถ้าซิสเติมใหญ่ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงง่ายและเยอะ  ถ้าซิสเต็มแบบมินิคอมโป หรือชุดเล็กๆ ลำโพงแซทแบบนี้ต้องบอกว่า เปลี่ยนน้อย  อย่าไปเปลืองเงินเล่นเลย  เก็บเงินอัพลำโพงอัพระบบคุ้มกว่า อันนี้พูดจริงๆจากใจ

ห้องก็มีผล การเซ็ทอัพยิ่งมีผลใหญ่  ถ้าห้องดีๆ อคูสติกเยี่ยมๆ เซ็ทอัพมาแบบถูกต้อง แบบนี้ละใส่เส้นสาย อุปกรณ์อะไรเข้าไปรับรองเลยว่าเสียงเปลี่ยนแน่นอน  
และอย่าว่าแต่อุปกรณ์เสริมพวกนี้เลย แค่เอาของ ตู้ พรม หรือเฟอร์นิเจอร์อะไรใส่หรือย้ายตำแหน่ง แค่นี้ก็เริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงได้นิดๆแล้ว

ทีนี้มาเข้าเรื่องกันครับ  วันนั้นผมกับลุกค้าท่านนี้ ถือโอกาศทดสอบสายทั้งสามเส้น เทียบกับสายเดิมที่เป็นสายแถม สลับไปมา ลองฟังกันสองคน จับสังเกตความเปลี่ยนแปลงกันอยู่ครึ่งวัน  โดยทั้งลำโพงและอุปกรณ์ทุกอย่าง ทั้งสาย แอมป์ ลำโพง พ้นเบิร์นหมดแล้ว
โชคดีที่ซิสเต็มผมนั้นถือได้ว่าฟังความเปลี่ยนแปลงออกค่อนข้างง่าย และชัดมากๆ

โดยการทดสอบ เพื่อป้องกันการสับสน แะให้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบชัดๆ เราจะใช้สายเสียบกับตัว AVR ที่ทำหน้าที่เป็น Pre เพียงตัวเดียว จะไม่ได้ใช้ สายทั้งสามเส้นเสียบอุปกรณ์ทั้งหมด โดยเริ่มจากฟังสายเดิมที่เป็นสายแถมก่อน และเปลี่ยนสลับเอาสายทั้งสามเส้นมาเสียบแทน และฟังเทียบกันที่หนังเรื่องเดิมและฉากเดิม เวลาเดิม

อุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ตามนี้ครับ
------------------------------------------
Power: Emotiva XPA3
Pre: Harmankardon 370
Front: Klipsch RP-280F
Center: Klipsch RC-64 II
Surround: Klipsch RP-250S
Subwoofer: Klipsch R115SW



สายไฟทั้งสามที่ลองประกอบด้วย
------------------------------------------
1. The Hulk  ราคาประมาณ 2,500 บาท
2. Audyn CopperTran (version แรก)  ราคาประมาณ 3,900 บาท
3. Audioquest NRG10 ราคาประมาณ 19,000-20,000 บาท





หนังที่ใช้ดูอ้างอิง (จริงๆใช้เพลงน่าจะฟังง่ายกว่านี้ แต่ซิสเต็มเราเน้นดูหนังเลยใช้หนังมาอ้างอิงครับ)
------------------------------------------
1. San Andres
2. Mad Max
3. Man of Steel

------------------------------------------

เริ่มแรกเราลองฟังสายเดิมสายแถมกันก่อนเพื่อซึมซับบรรยากาศและจดจำเสียงที่ได้จากหนังทั้งสามเรื่อง หลังจากนั้นก็ถอดใส่สายแต่ละอัน ผลที่ได้ก็ตามนี้ครับ


1. The Hulk:


นี่เป็นสายเส้นที่เสียงเปลี่ยนเยอะที่สุด สายมันทำมาจากตัวนำอะไรผมก็ไม่ทราบครับ เพราะตัวนี้ไม่ได้ขาย    เสียงเปลี่ยนเยอะไปในทางที่ดีขึ้นแบบที่ไม่ต้องจับสังเกตกันเลย  บรรยากาศในห้องตอนที่เปิด Mad Max ฉากช่วงท้ายนั้นเสียงดังอึกทึกครึกโครมมาก แต่ในห้องผมกับลูกค้านั่งดูกันเงียบกริ๊บ   คือเรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหน ไดนามิก เสียงเบสกระแทกกันโครมๆ  อิมแพคมหาศาล เบสกระชับขึ้นนิดนึง เสียงแหลมดีขึ้น สดขึ้น เสียงสูงยันต่ำ มันเป็นระบบระเบียบขึ้น การคอนโทรลเบส เก็บตัว ความมัน ความกระแทกดีขึ้น คุณภาพเสียงดีขึ้นแบบไปเรียกแม่บ้านมาฟังก็ฟังออกไม่ได้มโนแน่นอน
สรุปคือแนวเสียง สด จัด พละกำลัง เหมาะกับดูหนัง ซิสเต็มใครเปรี้ยๆ หรือนุ่มนิ่มๆ น่าหามาใช้ หรือใครเสียงจัดอยู่แล้วอยากให้มันมันยิ่งขึ้นก็เหมาะ ที่สำคัญมันถูกมากกกกก   แต่ไม่เหมาะกับฟังเพลงครับ เสียงมันจะแจ้ง ชัด จริงจัง เบสขึงตึง หนักไปสำหรับเพลงที่ต้องการความผ่อนคลาย แต่ถ้าใครชอบแนวร๊อค อิเลกโทรนิกนี่จัดไปได้เลย ที่สำคัญที่สุดคุ้มที่สุดครับเพราะราคามันถูก แถมเสียงเปลี่ยนเยอะ ให้พละกำลังเยอะแบบเห็นๆ ใครชอบแบบบ้าพลัง ตัวนี้คุ้มที่สุดแล้ว



เอาเสียบกับอะไรดี: ก็แนะนำเสียบกับ pre, avr, power จะดีครับ หรือจะเสียบกับ Subwoofer ก็น่าจะได้นะ แต่ตอนที่ลองไม่ได้ลองกับซับ





2. Audyn Coppertran:


สายไฟเส้นนี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อมุ่งเน้นคุณสมบัติการฟังเพลงในสาย audiophile เป็นหลัก ตัวนำทำมาจาก ทองแดง Multi stranding ความบริสุทธิ์สูง   แนวเสียงทางผู้ผลิตเคลมเอาไว้ว่าให้น้ำเสียงที่ราบเรียบ เป็นกลาง โทนัลบาลานซ์ดีเยี่ยม โดดเด่นด้วยความกระชับฉับไวของเบส สามารถแยกแยะน้ำหนักและจังหวะของเบสออกจากกันได้อย่างชัดเจน  
หรือพูดง่ายๆคือ มันเป็นสายที่ไม่ได้เน้นบ้าพลัง แต่ให้รายละเอียดสูง ให้เบสที่กระชับ เก็บตัวเร็ว หรือไม่ได้บ้าเบสนั่นเอง




หลังจากเทสตัวนี้ด้วยหนังเรื่องเดิมๆ ผมหันไปถามลูกค้าผมให้แน่ใจว่า "นี่เสียบสายตัวไหนอยู่"  ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไรเพราะลูกค้าแจ้งไว้ว่า สายเส้นนี้ลองมาหลายซิสเต็มแล้ว ผลที่ได้คือ เสียงแหลมดีขึ้นมาก รายละเอียดพรั่งพรูระยิบระยับมาเต็มไปหมด แต่เบสเก็บตัวเร็ว ถ้าใช้กับซิสเต็มเสียงบางๆแล้ว เสียงที่ได้จะจัดและแหลมไปนิด  แต่พอมาเสียบกับซิสเต็มผมที่เบสเยอะ เบสหนัก และตอนนี้มีปัญหาเรื่องเบสเก็บตัวช้าอยู่นิดหน่อยแล้ว  ผลที่ออกมามันเปอร์เฟ็คเลยครับ  คือเบสคุมได้ดีขึ้น เก็บตัวเร็วขึ้น ไอ้เสียงเบสที่ลากครางออกมาเก็บตัวเร็วขึ้น ดีขึ้นในระดับที่ไม่มากมายอะไร... แต่น่าพอใจ




และมันบาล้านเบสหนักๆและแหลมกุดๆของ Pre Harmankardon ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Harman ให้ออกมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจมากๆเลยครับ  คือเบสกำลังดี กระชับขึ้น ลดลงนิดหน่อย แต่ไม่ได้[^_^]หรือความกระแทก  พอเบสมันคุมตัวดีขึ้น และแหลมมันดีขึ้น คราวนี้รายละเอียดก็ตามมา
สายเส้นนี้ลอง Man of Steel ฉากที่สู้กันเบสเก็บตัวดีมาก ตุ้บๆ หยุด ตุ้บๆ หยุด ไม่มีครางมากวนให้รำคาญใจ
เส้นนี้ผมติดใจครับเลยลองเปลี่ยนสายเดิมมาลองเทียบทันที ผลที่ได้คือฉากเดิม เบสที่ได้จากสายแถมมันดูฟุ้งๆ และเบสมันจัดระยะช่องไฟ ความกระชับการเก็บตัวมันไม่ดีและไม่เร็วเท่า copperTran แบบฟังออกชัดเจน โดยเฉพาะฉากที่เบสกระแทกหนักๆ พอมันเก็บตัวช้าลงมันก็จะไปกวนฉากหรือเสียงถัดไป ทำให้การเว้นระยะ ช่องไฟมันดูไม่เรียบร้อย และดูเสียงกวนๆตีกัน
คือฟังสายแถมมาโดยตลอดจะไม่รู้สึกอะไร แต่พอเปลี่ยนมาเทียบฉากเดียวกัน ซิสเต็มเดียวกันแล้วจะเห็นครับ

สรุปสายเส้นนี้เหมาะกับคนที่ต้องการความกระชับ เก็บตัว ไม่บ้าเบสไม่บ้าพลัง เหมาะกับชุดที่เบสหนาๆ เบสช้าๆฟุ้งๆ ต้องการรายละเอียด หรือสำหรับใส่ชุดฟังเพลงครับ หรือซิสเต็มใครที่เบสเกิน เบสเยอะอยากลดความสด และต้องการรายละเอียด ตัวนี้ดีขึ้นแน่นอน  แต่ถ้ากลับกันถ้าซิสเต็มเสียงสด แหลม เบสบางอยู่แล้ว จะยิ่งเพิ่มรายละเอียดและความกระชับให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก ก็ต้องอยู่ที่คุณแล้วว่าชอบหรือไม่



เสียบกับอะไรดี: ก็แน่นอนถ้าให้มีผลกับเสียงมากๆก็คงไม่พ้น AVR, Pre, Power ตามลำดับครับ






3. Audioquest NRG10:


และแล้วก็มาถึงสายเส้นนี้ เส้นที่ผมเกรงใจที่สุด ไม่ใช่อะไร สายเส้นนี้มีตัวแทนที่คุณก็รู้ว่าใคร และราคาค่าตัวมันก็ใช่ย่อย
NRG 10 ใช้ตัวนำเป็น Solid Perfect-Surface Copper+ (PSC+)
PSC+ จะเป็นทองแดงที่ดีที่สุดในบรรดาตัวนำที่เป็นทองแดงของ Audioquest
เสียบเส้นนี้ไปดูหนังไปสามเรื่อง แล้วสลับสายอื่นไปอีกรอบ และก็กลับมาสายแถม และค่อยกลับมาฟัง NRG10
สิ่งเดียวที่ผมสรุปและพูดกับลูกค้าผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสายก็คือ  ถ้าให้เลือกฟรีหนึ่งเส้น ผมเอาเส้นนี้แหละ  
หรือถ้าราคาทั้งสามเส้นมันเท่ากัน ผมจะขอเลือกเส้นนี้
เหตุผลเพราะอะไร คือสายเส้นนี้มันมีความพิเศษอย่างนึงคือ ช่วงแรกที่ผมฟัง ผมแยกความแตกต่างไม่ออกในบุคลิกและแนวเสียงของเส้นนี้ คือผมไม่แน่ใจว่าบุคลิกเสียงมันออกมาทางสด ดุดัน หรือกระชับ หรือหวาน หรือรายละเอียดกันแน่   แต่ที่แน่ๆ เปิด San Andres ฉากเรือขนส่งคว่ำนั้นดูหนังแล้วมันสนุกกว่าเดิม  แต่ถ้าให้บอกว่ามันสนุกตรงไหน เบสดีเหรอ ก็ไม่ใช่ เก็บตัวดีขึ้นเหรอ ก็ไม่ใช่   ผมฟังอยู่นานสรุปว่าสายเส้นนี้มันให้ความน่าฟังที่ดีขึ้นโดยที่คุไม่รู้ว่ามันดีขึ้นยังไง คือกล่าวโดยสรุปคือคุณสมบัติของเส้นนี้เป็นสายไฟที่เน้นให้ยกระดับทุกย่านเสียงให้ดีขึ้นเท่าๆกัน และพอๆกันโดนไม่มีย่านใดย่านหนึ่งล้ำและนำหน้า เหมือนอย่าง The Hulk ที่เน้นพละกำลังและเบส  ส่วน CopperTran ที่เน้นความกระชับและรายละเอียด
แต่ NRG10 ให้ทุกๆย่านโดยบวกมันหมดทุกตัว

บุคลิกสายเส้นนี้จริงๆมันคือไม่มีบุคลิก เป็นกลางและนี่คือเหตุผลว่าทำไมมันจับสังเกตยาก  นั่นเป็นเพราะเสียงและบุคลิกโดยรวมมันก็ยังเป็นบุคลิกเสียงของเดิมในซิสเต็มที่คุณมีนั่นหละครับ เพียงแต่มันยกระดับให้ดีไปทุกๆย่าน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเสียงเปลี่ยน เพราะทุกย่านมันยังสมดุลในแนวเสียงเดิม เพียงแต่ดีขึ้น ดูหนังสนุกขึ้น ฟังเพลงเพราะขึ้น ช่องไฟดีขึ้น ความสงัดดีขึ้น โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะแนวเสียงมันไม่ได้เปลี่ยน พอแนวเสียงไม่เปลี่ยน เราฟังเพลงหรือดูหนังเราจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่าง แต่มันดูหนังสนุกขึ้น ฟังเพลงดีขึ้นแน่นอนครับ




ดังนั้นสายเส้นนี้จึงเหมาะกับคนที่ระบบโดยรวมดีอยู่แล้ว เสียงดีอยู่แล้ว หรือใช้ซิสเต็มๆใหญ่ๆ เสียงดีๆหน่อย มันจะช่วยยกระดับเสียงให้ดีขึ้นได้มากครับ
แต่กลับกันถ้าคุณมีปัญหาเบสบาง หรือเบสหนัก หรือขาดย่านใดย่านหนึ่ง สายเส้นนี้ไม่ใช่สายที่จะช่วยแมทชิ่งหรือแก้ปัญหาให้คุณได้ครับ เพราะแนวเสียงที่ออกมามันจะยังคงเป็นแนวเสียงเดิมตามที่ซิสเต็มคุณมี เพียงแต่ดีขึ้นเท่านั้นเอง   เช่นซิสเต็มผมที่มีปัญหาเรื่องเบสเก็บตัวช้านิดหน่อย แนวเสียงเดิมคือชัด สด เบสหนัก ใช้สายเส้นนี้ดู San Andres, Madmax ปัญหาเบสเก็บตัวช้า มันก็ยังคงอยู่ เพียงแต่ผมไม่ค่อยได้ไปโฟกัสที่ปัญหานั้นแล้วเพราะเสียงโดยรวมมันสด ชัด เบสหนักขึ้นกว่าเดิมทั้งระบบ ผลคือดูหนังมันขึ้น สนุกขึ้น เสียงจัด สด ชัดได้อารมณ์โรงหนังยิ่งขึ้นครับ

สายเส้นนี้ราคาสูง ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่ใช้ซิสเต็มที่ดีๆหน่อย และลงตัวแล้ว แนวเสียงของมันคือเป็นกลางและไม่มีแนวเสียง ขึ้นอยู่กับซิสเต็มคุณ ถ้าของเดิมซิสเต็มคุณหวาน เพิ่มสายเส้นนี้ไปก็จะยิ่งหวาน  ถ้าของเดิมสด เพิ่มสาย NRG10 เข้าไปก็จะยิ่งสด ชัดดูหนังสนุกขึ้นไปอีกครับ

และนี้คือคุณสมบัติของสายที่ดีอีกหนึ่งตัว คือเป็นกลางและรักษาบุคลิกแนวเสียงของซิสเต็มของเดิมคุณไว้ได้เป็นอย่างดี



เสียบกับอะไรดี: ก็แน่นอนถ้าให้มีผลกับเสียงมากๆก็คงไม่พ้น AVR, Pre, Power ตามลำดับครับ


สรุป  การจะเล่นสายไฟ สิ่งแรกที่ต้องดูคือซิสเต็มเดิมแนวเสียงเป็นยังไง และต้องการอะไรเพิ่ม  การแมทชิ่งสำคัญที่สุดครับ บางทีของเดิมเกินหรือขาด เราใช้สายมาแก้อาการนั้นอาจจะยิ่งผิดทางไปกันใหญ่  หนทางเดินที่ปลอดภัยและประหยัดที่สุดคือ ทำซิสเต็มหลักของคุณให้ดีเสียก่อน ทั้งลำโพง แอมป์ เซ็ทอัพ อคูสติกห้อง ถ้าของเดิมดีแล้ว ทีนี้จะใช้สายตัวไหนมาเพิ่มหรือลด หรือยกระดับเสียงทั้งระบบ ก็ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเอาสายมาแก้อาการทั้งซิสเต็มแน่นอนครับ  (เหมือนรถเครื่องไม่แรง เกียร์ไม่ดี แต่เอาเงินมาทำท่อเพื่อหวังผลให้รถมันแรงขึ้นก็เปลืองเงินไปเปล่าๆปรี้ๆ)






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 06, 2016, 10:04:43 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Mini Review สายไฟนำเข้า Zonotone 6NPS-3.5MEISTER เข้าหัว Hubble

 
วันนี้เรามีสายไฟยอดนิยมจากญี่ปุ่นตัวนึง นั่นคือ Zonotone 6NPS 3.5Meister ซึ่งจัดเป็นสายไฟยอดนิยมอีกตัวนึงของประเทศญี่ปุ่นในขณะนี้  ซึ่งสายไฟที่นิยมในบ้านเค้าก็จะมีพวก Acrolink, Zonotone อะไรพวกนี้




วันนี้เราได้สายรุ่นรองท๊อป 6NPS 3.5Meister พร้อมเข้าหัว Hubble พร้อมสรรพ เอามาเทสและทำรีวิวกันด้วยมาดูกันเลยครับบ

ตัวสาย Zonotone 6NPS 3.5Meister ดูดีมีราคามากตัวสายถูกซีลเป็นแบบผ้าถักดูสวยงาม และข้อดีก็คือสายมีความอ่อนนุ่ม โค้งงอได้ดี ทำให้ไม่ทำอันตรายกับระบบหรือซิสเต็มเท่าไร่  (สายเส้นใหญ่ๆบางเส้น บางทีใส่ยาก ใส่ๆถอดๆทำให้รูเสียบที่เครื่องหลวม บางทีดึงเข้าดึงออกก็ไป โดนสายเส้นอื่นหลุด ม้วนยากแข๊ง เสียบทีต้องใช้แรง)
ซึ่งรุ่นนี้ทำจากตัวนำบริสุทธิ์ระดับ 6N (99.9999% High Puruty) วัสดุใช้ OFC ทองแดงบริสุทธิ์ระดับ 99.9999% เคลือบเงิน Oxygen free
ถือว่าสูงมาก และจัดเป็นสายรุ่นสูงอีกตัวนึง ซึ่งรุ่นนี้แบบแพ๊กเกจเข้าหัวมาจากโรงงานราคาจะอยู่ที่ 9800 บาท
ส่วนแบบแบ่งตัดจะอยู่ที่ 3500 บาทต่อเมตร



-------------------------------------------------------------------------
แบบแพ๊กเกจ ความยาว 1.8 เมตร: http://www.whatthatsound.com/product/281/ac-zonotone-6nps-3-5meister-power-cable-1-8m-package

แบบแบ่งตัด เมตรละ: http://www.whatthatsound.com/product/282/ac-zonotone-6nps-3-5meister-power-cable-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94
-------------------------------------------------------------------------

ตัวนี้เราตัดมาเพื่อทำเทสและทดสอบรีวิวโดยเฉพาะ โดยตัดมาที่ 2 เมตร เป็นความยาวมาตรฐานทั่วๆไป เราเลือกใช้หัวท้าย Hubble หน้าตาก็ตามรูปนี้เลยครับ

 
อุปกรณ์ที่เราเอามาทดสอบก็เสียบใช้กับ AVR และอุปกรณ์อื่นๆตามรายละเอียดดังนี้
Power: Emotiva XPA3
Pre / AVR: HarmanKardon 370
Speaker: Klipsch RP-280F, RC-64 II, RP-250S, R-115SW

---------------------------------------------------------------------------



 
เราเบิร์นไว้สักพัก ลองเปิดหนังเปิดเพลง ก็แน่นอนครับใช้หนังเรื่องเดิมๆที่เราเคยใช้
เช่น Man of Steel, Mad Max, Transformer 4, San Andres

และคราวนี้พิเศษหน่อยเราเพิ่งได้เรื่อง 007 Spectre มาและเพิ่งดูจบไปกับสายเส้นเดิม (Audyn Copper Tran) เสียงในหนังมันยังติดตรึงและจำได้อย่างแม่นยำ โดยหนังเรื่องนี้ผมดูจบแล้วบอกเลยว่าเสียงค่อนข้างจัด บันทึกเสียงมาชัดมากทั้งเสียงพูด เสียงระเบิด ดีเทลทุกอย่างเยอะ

เราเริ่มถอดสายเก่าและใส่สายใหม่ Zonotone 6NPS 3.5Meister เข้าไปกับ AVR แล้วก็ดู 007 Spectre ใหม่อีกรอบ  สิ่งที่รู้สึกคือบรรยากาศของหนังมันผ่อนคลายขึ้น ไม่ได้ดูเครียดขึ้ง เสียงไม่จัดมาก ไม่ได้แผดเหมือนตอนที่ใช้สายเดิม  
ก็นั่งดูไปจนจบ และก็ต่อด้วยหนังอีกหลายเรื่องและนี่คือข้อสรุปของสายเส้นนี้ครับ



 
สายเส้นนี้บุคลิกเสียงค่อนไปทางซอฟท์ คือไม่ใช้แนวบ้าพลัง ไม่ได้บู๊ทเบส เสียงไม่จัด เบสไม่เยอะ แหลมไม่แผด แต่มันช่วยจัดช่องไฟ ช่วยให้เสียงในระบบให้เป็นไปอย่างสมดุล ไม่มีย่านไหนโผล่ล้ำหรือเกินหน้าออกมา น้ำหนักเสียงติดออกไปทางกระชับ นุ่มนวล มีมวล ปลายแหลมพอประมาณทอดยาวได้ดี และเบสก็กระชับเก็บตัวได้พอประมาณ

หากซิสเต็มที่คุณใช้อยู่เสียงจัด มันจะช่วยให้ซิสเต็มผ่อนคลายและเสียงมีความบาล้านดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่กลับกันหากซิสเต็มขึ้นเสียงซอฟท์ นุ่มหรือกลางๆ  มันกลับช่วยดึงให้เสียงมีความสมดุลขึ้น  ช่องไฟ น้ำหนักเสียงมีน้ำหนัก และมีมวลพอประมาณ

จุดเด่นของสายเส้นนี้สำหรับผมคิดว่ามันเหมาะกับคนที่เน้นไปทางการฟังเพลงมากกว่าดูหนัง  เพราะมวลเสียงกลางที่มีมวล ติดอุ่นนิดๆ เบสกระชับเก็บตัวดี แต่ไม่หนัก ไม่กระแทกจนเกินงาม และปลายแหลมก็ชัดทอดยาว
ด้วยบุคลิกแบบนี้ผมอยากให้ลองฟังเพลงแล้วเทียบกันดู สิ่งที่จะเห้นความแตกต่างก็คือน้ำหนักเสียงร้อง เสียงกลาง ที่มีมวล นุ่มละมุนขึ้น การเว้นวรรค ช่องไฟ เวทีเสียงชัดเจนและแยกแยะได้เด็ดขาด




จะว่าไปจุดเด่นแบบนี้ผมไม่แปลกใจที่จะหาได้ในสายที่นิยมกันในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะอุปกรณ์เครื่องเสียงหลายๆชิ้นที่ออกแบบ ผลิตและนิยมกันที่นู้น ส่วนใหญ่ก็จะมาในแนวนี้อยู่แล้ว เพราะด้วยสภาพภูมิประเทศ พื้นที่ ลำโพงที่ใช้ และรสนิยมการเล่นเครื่องเสียงของพวกเค้านั้นเดินมาในแนวทางนี้อย่างชัดเจน คือไม่ได้เน้นพละกำลัง  หรือโหดแบบอุปกรณ์ที่มาจากฝั่งอเมริกา
แต่กลับกันทางญี่ปุ่นจะชอลเน้นเวที อิมเมจ เสียงกลางที่นุ่มละมุน ฟังเบาๆแล้วเคลิ้มไปกับเสียงเพลงแบบนี้มากกว่า


 

สรุป
สาย Zonotone 6NPS 3.5Meister เป็นสายไฟอีกเส้นที่คุณภาพสูง เหมาะกับซิสเต็มที่ต้องการเสียงที่มีความบาล้าน ต้องการเสียงละมุนๆ นุ่มๆ ฟังเพลงเนียนๆหน่อย ใช้ฟังเพลงเป็นหลัก ดูหนังก็ได้ แต่จะเป็นแนวดูไปสบายๆ เน้นกลางๆสบายหู ทุกย่านฟังแล้วเนียนๆ ไม่ได้เน้นพละกำลัง

 
สายนี้เหมาะกับใคร
1. เหมาะกับซิสเต็มฟังเพลง ต้องการสายที่ไปเติมเต็มให้เสียงกลาง เสียงแหลมดีขึ้น อิมเมจ ซาวด์สเตจดี ฟังเพลงแนว audiophile เพลงร้อง จะเด่นมาก เพราะมวลเสียงกลาง เสียงแหลม และเบสจัดมาสมดุล สวยงาม

2. เหมาะกับซิสเต็มที่เสียงจัดอยู่แล้ว แหลมแผด เบสเยอะ  เส้นนี้ช่วยให้สมดุลเสียงดีขึ้นอย่างได้ผลครับ

3. เหมาะกับซิสเต็มที่เสียงบางๆ ด้วยบุคลิกของสายที่สมดุล จึงนอกจากจะช่วยลดเสียงจัดแล้ว ยังช่วยให้เสียงในซิสเต็มสมดุล มีมวลขึ้นด้วย



 
สายเส้นนี้ไม่เหมาะกับใคร
1. ไม่เหมาะกับคนที่เน้นดูหนัง action เน้นพละกำลัง เบสเยอะๆ อิมแพคมหาศาล แบบนี้ไม่ใช่แนวของสายเส้นนี้ครับ

2. ไม่เหมาะกับคนที่ชอบเสียงนุ่มๆ หวานๆแบบน้ำผึ้งเรียกพี่ เส้นนี้แนวเสียงอย่างที่บอก สมดุล กลางแหลมเบส ช่องไฟเนียน แต่น้ำเสียงแท้ๆก็ไม่ได้มีคัลเลอร์ที่ไปในทางหวาน และ laid back แบบฟังแล้วเบาะจมไปในพื้นห้องขนาดนั้น






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 17, 2016, 04:21:58 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
วันนี้เราได้ฤกษ์แกะกล่องเจ้า RP-280F น้องชายฝาแฝดของ RF-82 II แต่งานนี้น้องชายดูเหมือนจะมีอะไรที่แตกต่างจากพี่ชายอยู่บ้างพอสมควรครับ



เรามีบทความ First impression เล็กๆ ของ Klipsch RP-280F ลองฟังเทียบกับ Klipsch RF-82 มาฝากกันครับ
มาดูกันว่าในกล่อง RP-280F มีอะไรให้มาบ้างและความรู้สึกแรกที่เราเอา RF-82 ออก แล้วเอา RP-280F มาตั้งแทนนั้น เราได้อะไรมาเพิ่มและเสียอะไรไปบ้าง

หลังจากที่เราได้เจ้า Klipsch RP-280F มาตั้งที่ห้องเกือบร่วมๆเดือนแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีโอกาศได้แกะมาเทสซะทีครับ
ไม่ใช่อะไรครับ มีสองเหตผลหลักๆคือ เหนื่อยครับกล่องมันใหญ่มากน้ำหนักร่วม 30 โล (ต่อข้าง) กว่าจะแกะ กว่าจะลากเอาตัวเก่าออก เอาตัวใหม่ไปใส่แทน ทำคนเดียวนี่เหงื่อตกครับ
เหตผลข้อสองคือ พอสั่ง RP-280F มาสักแป๊ปก็จะมีลูกค้าสั่งไปใช้ก่อนทุกทีเป็นแบบนี้มา 2-3 รอบแล้ว รอบนี้เราสั่งมาและได้ฤกษ์ดี เนื่องจากมีลูกค้าที่สุราษมารับช่วงต่อ RF-82 ไปดูแลต่อครับ
เราเลยจัดส่ง RF-82 ไปสุราษและจำเป็นต้องแกะกล่องเจ้า RP-280F กันใช้แทน (ไม่งั้นก็ตั้งไว้แบบนี้ไม่ได้แกะกันซะที)



กล่องนั้นมีขนาดพอๆกับตัวเก่าครับ สเตปการแกะให้ง่ายๆนั้นก็
1. เปิดหัว
2. เทกล่องคว่ำลง
3. ดึงกล่องขึ้น (อันนี้บ้านใครหลังคาเตี้ยสัก 2.5 - 2.8 เมตรนี่บอกเลยครับว่าติดแน่นอน หุหุ)
4. ทีนี้จะได้ลำโพงเปลือยๆห่อหุ้มด้วยพลาสติกและโฟม เราก็จับมันคว่ำลงให้หัวมันหงายขึ้นอีกทีแล้วจัดการเอาโฟม 3 ชิ้นที่ทำหน้ากันรับแรงกระแทกออก
5. สุดท้ายก็เอาพลาสิกหุ้มออก แค่นี้ก็ได้ลำโพง RP-280F แบบเปลือย เนียนๆ มายืนโชว์หุ่นให้ดูตรงหน้าแล้วครับ แต่นเต้น สวยมั๊ยครับ











เอาละก่อนมาลากมันเข้าไปลองฟัง ผมขอรีวิวในแง่ของ Cosmetic งานประกอบ และความเรียบร้อยเมื่อเทียบกับตัวเก่า Rf-82 กันดูนะครับ

1. หน้าตามันนั้นแน่นอนครับ สวยขึ้น เนี๊ยบขึ้บ
RF-82 II นั้นมีหน้ากากพลาสติกสีดำมาปิดที่ด้านหน้าลำโพงทั้งแผง ทำให้ดูภาพลักษณ์อาจจะดู Look cheap ไปนิด แต่ RP-280F ไม่มีหน้ากากพลาสติกมาปิด ผิวหน้าจะโชว์ลายไม้และดอกลำโพงสีทอง รวมถึงมีโลโก้ Klipsch สีทองเด่นตะหง่านอยู่ที่ด้านหน้า อธิบายแบบนี้อาจจะไม่เข้าใจว่ามันดูดีขึ้นยังไง เราเลยอยากเปรียบให้เข้าใจง่ายๆ RF-82 II ก็เหมือนหนุ่มที่ยังติดภาพลักษณ์ดิบๆ ใส่ยีนส์ สวมเสื้อยืด ใส่แจ๊กเกตดำทับ ผมยาว ดูดิบๆ ร๊อค กระฉับกระเฉง ขี่บิ๊กไบค์ไปไหนไปกันลุยไปทุกที ไม่ต้องกลัวเจ็บกลัวเลอะ
ส่วน RP-280F นั้นมันเหมือนไอ้หนุ่มคนเดิมที่โตขึ้นผ่านชีวิตมาพอสมควรและมีการมีงาน มีอนาคตที่ดีเข้ามา เริ่มหันมาดูแลการแต่งตัวให้เน๊ยบขึ้น แต่ก็ไม่ได้เนี๊ยบขนาดใส่สูท แค่หันมาเริ่มใส่สแล๊ค ใส่เสื้อโปโลสีดำเนี๊ยบๆเท่ๆ แล้วมีสูทแบบลำลองวัยรุ่นสวมทับ ใส่รองเท้าหนัง ภาพลักษณ์อาจจะดูสำอางขึ้นนิดหน่อย เลิกขี่บิ๊กไบค์มาออก A180 มาใช้งาน ติดหรูขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังเป็นหนุ่มคนเดิมไม่ทิ้งจิตวิญญาณเดิมไปครับ



2. เนื่องจากด้านหน้ามันไม่มีหน้ากากพลาสติก ABS มาแปะแล้วเราเลยเห็นผิวไม้และเห็นวัสดุทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
จะเห็นว่าตรงดอกลำโพง ทั้งฮอร์น ทั้งดอกกลางแหลม เราพบว่าวัสดุที่ใช้ล้อมรอบนั้นเป็นยางทั้งหมดครับ ดูเผินๆจะนึกว่ามันเป็นพลาสติก แต่ถ้าเผลอเอาเล็บไปจิกหรือเอาอะไรคมๆไปกรีดนี่ บอกเลยครับว่าเป็นรอยครับ ตรงนี้เราก็กังวลไปก่อนนะครับว่าระยะยาวมันจะทนหรือเปล่าเพราะยางมันมีอายุการใช้งาน อาจจะลอกหรือเปื่อยได้ ไม่เหมือนกับพลาสติกที่จะคงทนกว่า แต่อันนี้ระยะยาวก็ต้องดูกันต่อไปครับ เพราะเกรดของยางและวัสดุที่ใช้ก็อาจจะเป็นเกรดที่ดีก็ได้



3. พื้นด้านล่างให้สไปรค์มาด้วย แต่ไม่ต้องใส่ก็ได้ครับเพราะคราวนี้พ่อหนุ่ม RP-280F นั้นใส่รองเท้าหนังมาแล้ว นั่นคือมีฐานมาให้กับตัวลำโพงเลย ไม่ต้องกลัวผิวไม้จะเยินเวลาขยับลำโพงอีกแล้ว แต่ถ้าใครอยากได้ความั่นคงก็ใส่สไปรค์ที่แถมมาเพิ่มได้





4. ในกล่องนั้นแถมยางแปะฐานลำโพงมาให้ด้วยซึ่งเราคาดว่าคงใช้แปะที่มุมลำโพงทั้งสี่สำหรับใครที่ต้องการฟิกตำแหน่งลำโพงไม่ให้ขยับและกันลำโพงเป็นรอยครับ แต่สำหรับเรานั้นไม่ได้ใช้ครับเพราะตอนนี้แค่วางตำแหน่งและรอเบิร์นกันไปสักพักก่อน



5. พอร์ทช่องลม ตรงรูด้านหลังนั้น ถ้าส่องเข้าไปเราว่างานมันแอบไม่เรียบร้อยครับ เห็นเส้นใยสังเคราะห์ที่ใส่เอาไว้เพื่อซับเสียงในตู้ลำโพงมันออกมาบังช่องลม เหมือนม้วนเก็บและติดกาวไม่เรียบร้อย สองข้างลำโพงไม่เหมือนกันครับ ข้างนึงเรียบร้อยกว่า อีกข้างโผล่มาบังช่องลม (เหมือนหนุ่มคนนี้แกใส่ใจเรื่องความยาว แอบไปศัลยกรรมมาแต่หมอเก็บงานไม่เรียบร้อย ฮาๆ) เท่าที่ลองฟังเหมือนเสียงข้างที่ไม่เรียบร้อยเสียงจะทึบกว่านิดๆ อาจจะเป็นอุปทานหรือเสียงยังไม่เข้าที่ เราจะมาดูกันอีกทีหลังจากพ้นเบิร์นครับ



6. หน้ากากลำโพงรุ่นใหม่นี่ใช้แบบแม่เหล็กเหมือนเดิม แต่วัสดุที่ใช้ทำมีความยืดหยุ่นและโค้งงอได้มากกว่าของรุ่นเก่าเยอะเลยครับ



7. ผิวลำโพงนั้นก็สวยงามครับ ดูแลใส่ใจผิวพรรณมาดี ใช้ลายไม้ Brush black Polymer ลายเหมือนซับวูฟเฟอร์รุ่นใหม่ของ Klipsch

8. ขนาดไซส์นั้น
พ่อหนุ่มคนนี้ไปเล่นกล้ามมาแล้ว ความสูงและกว้างพอๆกับกับรุ่นเก่า แต่ด้านลึกนี่ลึกกว่าพอสมควรครับใครมีพื้นที่หน่อยก็น่าใช้เพราะลำโพงมีความลึก พอวางโทอินแล้วดูสวยครับ






ดูเรื่องภาพลักษณ์มาแล้วทีนี่มาดูเรื่องเสียงกันต่อครับ
ต้องออกตัวไว้ก่อนเลยครับว่า ถึงแม้ว้่เราจะเป็นดีลเลอร์ก็จริง แต่การรีวิวเราขอยืนในจุดที่เป็นกลางนะครับ เราต้องขออภัยทางร้านค้า หรือผู้นำเข้าหากมีจุดใดที่เราติติงหรือพูดทำให้ภาพลักษณ์สินค้าท่านดูไปในทางลบ เพราะเราเน้นจุดยืนคือเราอยากให้ผู้บริโภคได้ข้อมูลตัดสินใจที่เป็นจริง และเป็นกลาง ไม่อยากให้เหมือนอ่านนิตยสารรีวิวที่เขียนในแง่มุมแต่ข้อดีแต่ไม่มีข้อเสียเลย

เอาละครับ ก่อนอื่นต้องบอกว่ารสนิยมของเรา หูของเราอาจไม่ใช่ข้อตัดสินที่สุดนะครับโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและวิเคราะห์ก่อนเชื่อ เหมือนอ่านวิจารณ์รถยนตร์ คนวิจารณ์บอกอืด แต่คนซื้อใช้บอกแรง นั่นเป็นเพราะประสบการณ์คนวิจารณ์เค้าอาจลองอะไรที่แรงกว่านี้มาแล้วก็ได้ครับ ดังนั้นบรรทัดฐานคนเราย่อมไม่เท่ากัน อยากให้ใช้ใจที่เป็นกลางตัดสิน

*** ลำโพงเพิ่งแกะกล่องแล้วพรีวิวเลย ยังไม่ได้เบิร์นใดๆทั้งสิ้น (งานร้อนมากๆ) เดี๊ยวหลังจากพรีวิวนี้ พอลำโพงพ้นเบิร์นเราจะมีรีวิวเต็มอีกอันนึงครับ อันนี้เป็นน้ำจิ้มไปก่อนละกันครับ



ความรู้สึกชั่วโมงแรกที่เรานั่งฟังก็คือ มันเหมือนเจอคนคุ้นเคยสักคนที่เราเคยเจอ หน้าตารูปร่าง สำเนียง รู้สึกว่าลำโพง RP-280F ตัวนี้คือทายาทที่มาสืบทอดตำแหน่งต่อจาก RF-82 นะ บางเพลงเราหลับตาฟังแล้วรู้สึกว่าฟังไม่ต่างจากรุ่นเก่าเลย แต่กับบางเพลงก็รู้สึกว่ามันเหมือนต่างจากเดิมไปพอสมควร   อธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือลำบากครับ ความรู้สึกบางอย่างเช่น โทนเสียง เสียงแหลม การเว้นช่องไฟ น้ำหนักเสียงเบส อิมแพคมันเปลี่ยนไปอย่างละนิดๆหน่อย คือคล้ายๆรุ่นเดิม แต่มันก็มีอะไรที่มันไม่เหมือนเดิม ฟังแล้วรู้ว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว
เหมือนเวลาเราไปเจอเพื่อนสักคน แล้วมันแอบไปศัลยกรรมมา แล้วเรารู้สึกว่าเค้าหน้าเปลี่ยนไป อาจจะดูดีขึ้น สวยขึ้น มองบางมุมดูดี แต่บางมุมก็เหมือนเดิม เพ่งดูพิจารณาแล้วก็นึกไม่ออกว่าเปลี่ยนไปที่ตรงไหน ฮาๆ
อย่างไรก็ตามเราลองให้เวลาเบิร์นอินลำโพงดูอีกสักพักครับ บางทีอะไรๆอาจจะชัดเจนขึ้น





RP-280F ให้ความรู้สึกเมื่อลองฟังครั้งแรกคล้าย RF-82 II ก็จริง แต่สิ่งที่เปลี่ยนและเราพอจับสังเกตได้ชัดเจนกว่าเพื่อนก็คือ
"เสียงแหลม"  แหลมที่ได้กลับไม่เหมือนตัวเก่า  แหลมตัวหม่นี้อาจจะได้อิทธิพลมาจากการปรับปรุงลำโพงฮอร์นแบบใหม่ และเปลี่ยนวัสดุจากพลาสติก ABS มาเป็นยาง เสียงแหลมที่ได้ดูเจ๊าะแจ๊ะ และมีเสียงเล็กน้อยๆที่มันแบบไม่ปรากฏออกมาใน RF82 II แต่มันมีมาให้ได้ยินใน RP-280F แบบเบาๆ  คือมันมีความฉอเลาะจีบปากจีบคอ และให้รายละเอียดเสียงแหลมเล็กๆน้อยๆออกมา จะวาเพราะก็ไม่เชิง จะว่ารำคาญก็ไม่ใช่ครับ อาจจะเป็นความที่เรายังไม่ชินกับแนวเสียงแบบใหม่ของ RP-280F ตัวนี้มากกว่า ยังไงถ้าเบิร์นไปได้ที่เสียงอาจจะค่อยๆปรับเข้าที่เข้าทางมากขึ้นก็ว่าได้

ถามว่าตัวนี้หลังแกะกล่อง เสียงแหลมยังพุ่งและจัด กัดหูเหมือนตัวเก่า RF-82 II มั๊ย ตอบตรงนี้เลยครับจากที่ลองเอง และลูกค้าอีกสามท่านใช้มา คอนเฟิร์มเป็นเสียงเดียวกันว่ายังจัด เจี๊ยวจ๊าวเหมือนเดิม  ดังนั้นใครที่กังวลว่าตัวใหม่นี้จะลดความจัด ความแรงของเสียงลง อาจจะดูหนังไม่สนุกเหมือนเก่า ก็ขอบอกเลยว่าไม่จริงครับ

ส่วนเสียงย่านกลางต่ำนั้นเราอยากบอกว่ามันเป็นอะไรที่เปลี่ยนไปจากเดิมบ้างครับ คือเล็กน้อย ความรู้สึกเราเหมือนกับว่าเบสมันติดลูกเกรงใจ มวลเบส น้ำหนักมันลดลงและติดสุภาพกว่าตัวเก่า RF-82 II นิดเดียว  
ประมาณว่าเบสในเพลงเดิมที่บรรเลงด้วย RF-82 II นักดนตรีเหมือนเมายาเหยียบกระเดื่องแบบเต็มๆ โครมๆ ทุ่มสุดตัวแบบไม่กลัวเหนื่อย  
แต่ตัว RP-280F เรารู้สึกว่านักดนตรีนั้นกลับถนอมแรงและยั้งเท้าอยู่เล็กน้อย ไม่ได้กระทืบกระเดื่องหนักเท่ากับตอนแรก  เหมือนแฝงความสุภาพขึ้นมานิดนึง เหมือนผู้ผลิตตั้งใจจะให้ลำโพงตัวนี้มันมีความเป็นดนตรีมากขึ้นกว่าเดิม มีความเป็นผู้ดี มีจังหวะ รู้จักออม รู้จักผ่อนไม่ได้โครมๆมาเหมือนตัวเก่าที่ฟังไปนานๆแล้วล้าหู
เผอิญว่าดนตรีที่เราใช้เทสนั้นเป็นเพลงแนวร๊อค และ Drum & Bass ดีกรีความสด ความรู้สึกเหมือนไปยืนอยู่หน้าเวทีคอนเสริต์ (live) มันก็เลยลดลงไปนิดนึง ความเห็นส่วนตัวในฐานะที่เราฟังแต่เพลงร๊อคหนักๆ พอมาฟังเบสที่ได้นั้นเราว่าเบสมันดูสุภาพขึ้น บางครั้งก็ฟังแล้วดูน่าเบื่อสำหรับเพลงแนวนี้ (อย่าขอให้เราเอาเพลงจีนหรือเอาออดิโอไฟล์มาเปิดนะครับ เราไม่มีเพลงแนวนี้ ฮาๆ)  
แต่สำหรับเพลงแนวทั่วๆไปที่คนเค้านิยมฟังกันเช่นป๊อป เพลงร้อง พวกนี้ เราบอกเลยครับว่ามันฟังดีขึ้น เนียนขึ้น มีความเป็นดนตรีมากขึ้นพอสมควร  

แต่ในความต่างนั้นไม่มากพอที่เราจะบอกว่า RP-280F นั้นเป็นลำโพงเสียงไม่จัดแต่อย่างใดนะครับ  RP-280F นั้นยังเป็นลำโพงเสียงจัดมาก rock หนัก และดูหนังดีเยี่ยม แต่ก็ยังผ่อนปรนให้ลดความสดของเบสลงให้มีความกลมกล่อมและฟังเพลงธรรมดาได้เพราะมากขึ้น



สิ่งที่คุณจะได้มาเพิ่มขึ้นจากตัว Reference II
1. ความเป็นดนตรีสูงขึ้น  การเว้นช่องไฟ ความเนียน การถ่ายทอดเสียงดนตรีมีความกลมกล่อมดีขึ้นกว่าเดิมมาก

2. รายละเอียดเสียงแหลมดีขึ้นนิดหน่อย ได้ยินอะไรกรุ่งกริ๊งๆมากขึ้น (เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ)

3. ได้เสียงเบสที่ได้ความเป็นดนตรีสูงขึ้น คอ 2 channels หรือคนฟังเพลงทั่วๆไป ฟังได้ดีขึ้น คือไม่ก้าวร้าวจนเกินไป

3.ได้ลำโพงที่หน้าตาดี สามารถยกลงมาตั้งโชว์ในห้องรับแขกได้แบบพอไม่อายใคร ไม่จำเป็นต้องเอาไปไว้ร๊อคคนเดียวในห้องอีกแล้วครับ





สิ่งที่คุณจะเสียไปจากตัว Reference II

1. ความแรง ความพุ่ง ความสดของเบสหนักๆ แบบตัวเก่าลดลงนิดหน่อย (เรารู้สึกแบบนั้น) ไม่เยอะมาก ลดแค่ให้พอดีๆสมดุลระหว่างการฟังเพลงและยังดูหนังได้ดี แต่ถ้าถามว่าถ้าผมเป็นคนชอบดูหนัง action และฟังแต่เพลง metal, เพลงร๊อค, Trance, Drum & Bass ตัวเก่าจะมีภาษีดีกว่าครับ (นิดเดียว) แต่ถ้าคนทั่วๆไป ฟังเพลง ใช้ชีวิตดูหนังฟังเพลงกับครอบครัว ผมว่าเบสตัวใหม่นี้กำลังดีแล้วกับสื่อเพลงและหนังที่เอามาเล่น อาจไม่ถูกใจขา hardcore แต่เราว่ามันก็ฟังสบายขึ้น

2.พื้นที่ในการจัดวางในแนวลึก เพราะลำโพง RP-280F ตัวใหม่นี้ตัวตู้ลึกขึ้นกว่าเดิมพอสมควร ถ้าใครห้องหับเล็กๆ ก็ต้องหาที่จัดวางกันหน่อย แต่ถ้าใครห้องพอมีที่เราว่าจัดวางแล้วสวยขึ้นครับ

3. คุณจะเสียลำโพงภาพลักษณ์ร๊อคแอนด์โรล การตัดหน้ากากพลาสติกที่คลุมด้านหน้าลำโพงออกไปนั้น ทำให้ภาพลักษณ์ที่ดูราวกับหลุดออกมาจากหนัง Mad max นั้นหายไปด้วย แต่กลับได้ลำโพงบุคลิกเนี๊ยบหน่อยๆ ดูลุค Casual นิดๆแบบแต่งตัวเตรียมออกงานมาแทน  

หมดแล้วครับ กับการแกะกล่องลองฟังใน สองชั่วโมงแรก  บอกก่อนว่าหลังจากนี้เบิร์นไปแล้วครบ 80-100 ชม สิ่งที่เราพูดไปข้างต้นนั้นอาจจะไม่ใช่เลยก็ได้ บุคลิกอาจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ร๊อคกว่าตัวเก่า หรือบุคลิกอาจจะกลายเป็นลำโพงเรียบร้อยฟังเพลงได้เพราะพริ้งราวกับลำโพงวางหิ้งชั้นดี  ก็ต้องรอชมกันต่อไปครับในตอนหน้ากับรีวิวฉบับเต็มของ RP-280F



 ============================================
Line ID: keamgladnan

Tel No: 089-9695946

Web site: http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.0
============================================
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 06, 2015, 06:00:46 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Audyn QBass  คุ้มค่ามั๊ยกับการยกระดับเสียงเบสด้วยเงิน 8,700 บาท



 
เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมเพิ่งได้รับพัสดุกล่องนี้มาครับ  ถ้าให้บอกตรงๆก็คือมันเป็นโปรดักส์ที่ชื่อว่า QBass ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของบริษัท Adamas Handcraft หรือบริษัทเดียวกับที่ทำ PowerAmp Audyn นั่นแหละ



หรือจะยอมรับกันตรงๆอีกนัยหนึ่งก็คือ  ตัวนี้ผมได้รับความอนุเคราะห์จากทาง Adamas ให้ยืม Qbass มาลองเล่นและรีวิวนั่นเอง   ดังนั้นหลายคนคงคิดว่ารีวิวตัวนี้ต้องมีไบแอสแน่ๆ  เพราะได้ของมาฟรีจะไปรีวิวตรงๆ ถล่มสินค้าเค้าก็คงไม่งามเท่าไร่นัก   เลยต้องบอกตรงนี้เลยว่า จุดยืนของเราคือรีวิวตรงๆ อะไรดีก็ว่าดี อะไรไม่ดีก็ต้องแนะนำกันเพื่อปรับปรุงต่อไปได้
ซึ่งตอนที่ได้ QBass มานั้น ผมไม่ค่อยกระตือรือร้นที่อยากจะแกะมันออกมาเล่นเท่าไร่ เพราะ ผมไม่คาดหวังว่าลำพังเจ้า QBass ราคา 8,700 บาทต่อตัวเครื่องนี้ มันจะช่วยอะไรในห้องผมได้สักเท่าไร่  ราคาหลักพันเอง  แถมห้องผมนี่ขึ้นชื่อว่าเบสหนักอยู่แล้ว




สุดท้ายก็แกะออกมาลองต่อ อ่านคู่มือดูว่ามันใช้งานยังไง และเล่นดู  ต้องบอกว่าความรู้สึกแรกหลังจากหมุนปรับแบบหยาบๆ คือ  แม่เจ้าโว้ยเบสทำไมมันแน่น มันสะใจ    เยอะมากมายก่ายกองขึ้นมาชนิดที่เบสมาที หน้าอกสั่น จุก ผมบนหัวปลิว โซฟาสั่นพับๆๆขนาดนี้  
ความเปลี่ยนแปลงมันมากมายจนน่าทึ่งและตกใจจริงๆ  ฟังครั้งแรกก็ชอบเลย และในใจคิดว่าจะหาทางยึด Qbass ตัวนี้  เอ้ย ไม่ใช่ในใจคิดว่าซับวูฟเฟอร์เดิมๆมันดีขึ้นได้ขนาดนี้เชียว

อันนี้คือความรู้สึกแรกนะครับ   ก่อนอื่นที่จะหาว่าขี้โม้และขายของไปมากกว่านี้ ก็ต้องมาเล่าให้ฟังกันก่อนว่าหลักการทำงานของ QBass มันทำยังไง และมีข้อดีข้อเสีย และเหมาะกับใครบ้าง




เชื่อหรือเปล่าครับว่าเบสและซับวูฟเฟอร์คืออะไรที่น่าพิศวงที่สุดในระบบเสียง  เบสดีๆสักตัวไปวางในตำแหน่งที่ผิดในห้องเสียงมันแย่ได้จนคุณจะนึกไม่ถึงเลยว่าราคาค่าตัวมันอาจจะหลายหมื่นหรือหลักแสน  แต่กลับกันถ้าเราจัดการตำแหน่งและเซ็ทอีกมันใหม่ ย้ายมันไปอยู่ในที่ที่ถูกต้อง  ซับตัวเดียวกันกับตัวเมื่อกี้ที่เสียงป้อแป้ๆ มันสามารถสำแดงเดชให้กลายเป็นซับเทพ เสียงแน่น จุกอกได้ชนิดที่คุณจะคิดไม่ถึงเลย




คำตอบและความลับของมันก็คือ การตอบสนองความถี่ต่ำในย่านต่างๆ ตั้งแต่ 20 Hz ไปจน 150 Hz ของซับวูฟเฟอร์ตัวนั้นเมื่อตั้งลงในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในห้อง นั้นมันตอบสนองได้ราบเรียบหรือไม่  
ราบเรียบแปลว่า  ทุกย่านความถี่ 20 – 150Hz มันทำงานได้ในระดับพอๆกันทุกย่าน ไม่มีย่านใดโด่ง หรือย่านใดหุบลงไป


เช่น ถ้าย่าน 50-80 Hz หุบนี้ คุณจะไม่รู้สึกว่าซับตัวนี้มันเสียงหนักเลยครับ เพราะย่านนี้คือเบสต้น ที่เป็นหัวใจที่ทำให้หนังมันสนุกและรู้สึกว่า เบสหนัก  หรือถ้าหากช่วงเบสลึกๆหาย เราก็จะไม่ได้อรรถรสและความรู้สึกเวลาเบสลงต่ำๆครับ
แล้วถามว่าจะรู้ได้ไงว่าย่านไหนมันหุบ ย่านไหนมันโด่ง   คำตอบคร่าวๆคือ ที่นิยมทำกันแบบมืออาชีพคือ ดูกราฟครับ  เอาไมค์คุณภาพดีๆมาตั้งตรงจุดที่เรานั่งฟัง และวางซับ เปิดและใช้โปรแกรมให้มันอ่านและประมวลค่าออกมาเป็นกราฟ
เราจะเห็นเลยว่าย่านไหนที่หายไปหากเราวางซับวูฟเฟอร์ตัวเก่งของเราไว้ที่ตำแหน่งนั้น ความแม่นยำก็ได้ในระดับที่ดี เพราะเราแปลงเสียงออกมาเป็นภาพ มีหลักการ มีมาตรวัดได้อย่างเป็นโลจิก  แต่จะแม่นยำแค่ไหนนั้นต้องอยู่ที่อุปกรณ์ ไมค์ ซอฟท์แวร์ที่ใช้  ซึ่งต้องบอกว่าจ้างคนเซ็ท หรือมืออาชีพมาทำได้ครับ
หรือจะซื้ออุปกรณ์มาทำเองนั้นก็ต้องบอกว่าขี้ช้างจับตั๊กแตน หรือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมาก  เพราะไมค์และอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานนั้น ราคาเรียกว่าซื้อซับแพงๆรุ่นสูงๆได้เลยทีเดียว
แต่หนทางไปสู่จุดหมายปลายทางมีหลายหนทางฉันใด   หนทางไปสู่การเซ็ทอัพซับวูฟเฟอร์ให้เสียงดีก็ย่อมทำได้หลายวิธีฉันนั้น




การดูกราฟและย้ายตำแหน่งซับไปตำแหน่งที่ถูกต้องและเสียงดีนั่นก็เป็นวิธีที่ถูกและดี  แต่บางคนอาจไม่สะดวกจะลากซับย้ายตำแหน่งในห้อง  ไม่มีเครื่องมือ หรือไม่ได้จ้างใคร หรืออยากทำเอง   เจ้าตัว QBass นี่ก็เป็นอีกทางเลือก (Option ย้ำว่าเป็นทางเลือก) อีกทางที่ดีและได้ผลน่าพอใจเมื่อเทียบกับเงินที่จ่ายไปแค่ 8 พันกว่าบาท โดยไม่ต้องย้ายซับ  ไม่ต้องซื้อสายซับวูฟเฟอร์ยาวๆ

ด้วยหลักการของ QBass คือ ปกติซับวูฟเฟอร์ที่ตั้งในห้องทั่วๆไป โอกาศที่กราฟจะราบเรียบในทุกย่านความถี่นั้นค่อนข้างน้อยมาก    กล่าวคือมันต้องมีย่านใดย่านหนึ่งหรือหลายย่านที่ดรอป หรือโด่งไป  
เจ้าตัว QBass จะทำหน้าที่ไปเพิ่มหรือลดในย่านนั้นให้เพิ่มหรือลดขึ้นมาทัดเทียมกับย่านอื่นๆ  หรือบางคนอาจหัวใสชอบย่านใดย่านหนึ่งให้มันโด่ง กระแทกขึ้นมาเป็นพิเศษก็ใช้เครื่องมือนี้ช่วยได้

 
 1. หลักการมันคือเอาเจ้า QBass ต่อสาย RCA / Balance เชื่อมต่อจากช่อง Subwoofer ของ AVR หรือ Pre (ใช้สาย RCA 1:1 ปกติ หรือจะใช้สาย Balance ก็ได้) ต่อเข้าช่อง In ของ QBass


 
2. เอาสายซับต่อจาก QBass ช่อง Out ไปเข้า Subwoofer เรา


 
3. เอาแผ่นซีดีที่แถมมาใส่และฟังเสียงในแต่ละย่าน  โดนหลักการคือแผ่นจะเล่นความถี่ต่ำไล่ไปแต่ละย่าน หน้าที่เราแค่ดูว่ามีย่านไหนที่มันดรอป เสียงค่อย ไม่ดัง หรือโด่งคือดังมากกว่าย่านอื่น  เราก็จัดการไปลดหรือเพิ่มที่ตัว QBass ให้ย่านที่เราฟังนั้นมันอยู่ในระดับเดียวกับย่านอื่น

โดย QBass จะมีย่านให้ปรับได้ 8 ย่านคลอบคลุมความถี่ต่ำทั้งหมดโดยแบ่งความห่างของแต่ละย่าน 1/3 Octave  25, 32, 40, 50, 63, 80, 100, 125
 ในแต่ละย่านจะสามารถปรับได้ 41 ระดับ ลดและเพิ่มระดับความดังได้ 14 dB





ซึ่งหลักการข้างบนนั้นก็เหมือนเราเอา QBass มาต่อคั่นตรงกลางระหว่าง AVR/Pre และซับวูฟเฟอร์นั่นเอง   จากเดิมที่เราต่อซับโดยตรงกับ AVR/Pre ตอนนี้เราจะมี QBass มาคั่นกลางโดยการทำงาน QBass จะทำงานเหมือนกับ Parametric EQ และปรับความถี่ในแต่ละย่านให้มันเพิ่มหรือลดได้อย่างใจต้องการ
ซึ่งหลักการแบบนี้จะไม่ต้องใช้ไมค์ในการวัดเสียง  พอไม่มีไมค์ข้อดีคือความแม่นยำ เพราะ QBass จะรับสัญญาณความถี่ต่ำโดยตรงมาจาก AVR/Pre เลย   ซึ่งตัวที่เราได้มาเทสนั้นสามารถต่อซับได้ทั้งหมดสองตัว หรือเรียกว่าซื้อ QBass หนึ่งชุด คุณจะใช้งานกับซับของคุณได้สองตัวพร้อมกัน (Dual Subwoofer)




ในการเทสนั้นผมได้ทดลองโดยใช้กับซับวูฟเฟอร์ Klipsch R115SW เพียงตัวเดียว  โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้นในห้องผมจะใช้ Dual Subwoofer สองตัวนั้นคือ Klipsch R115SW และ Cerwinvega P1800SX

เพื่อความแม่นยำเราจะปลดซับออกไปตัวนึง เพราะค่าที่เซ็ทใน QBass ถึงจะใช้ได้สองตัวก็ตาม แต่ค่า EQ ที่เซ็ทของทั้งซับสองตัวนั้นจะเหมือนกันทั้งหมด ซึ่งในความเป็นจริงซับสองตัวต่างยี่ห้อกัน ขนาดดอกต่างกัน และตั้งคนละตำแหน่งกัน  ค่า EQ ที่เหมาะสมอาจจะต่างกันก็ได้ครับ ดังนั้นเราจึงใช้เจ้า Klipsch R115SW มาต่อและลองเล่นดู

ก่อนจะเล่นต้องบอกว่าผมจำน้ำหนัก และรายละเอียดเบสที่ได้จากซิสเต็มเดิมๆของผมได้ดี  โดยหนังที่ใช้เทสก็มี ดังนี้
  - Madmax
   - Edge of Tomorrow
   - Man of Steel
   - Planet of The Ape
   - SanAndres
   - Inception


ซิสเต็มมีดังนี้
- Klipsch RP280F
 - Klipsch RC-62 II
 - Klipsch RP250S
 - Klipsch R115SW
 - Power Emotiva XPA3
 - AVR HarmanKardon 370
 - Subwoofer Cable Inakoustic
 - Speaker cable Canare 4s11



หลังจากต่อ เซ็ท และเปิดหนังดูไปหลายเรื่อง ผมยอมรับว่า คุณภาพเบสที่ได้จากหนังแต่ละเรื่องมันทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินและมีความสุขในการดูหนังขึ้นอีกเยอะมาก  พูดง่ายๆคือตอนนั่งเขียนบทความนี้อยู่ ก็นั่งเปิดหนังฟังแต่เสียงไปด้วยยังรู้สึกมีความสุขเลยครับ  คำกล่าวที่ว่าความถี่ต่ำหรือเบสเป็นฐานเสียงที่เสริมให้ระบบของเราดูหนังได้ดีขึ้นและสนุกนั้นออกจะไม่เกินเลยแต่อย่างใด  กลับกันผมสนับสนุนด้วยซ้ำว่า หากใครมีชุดหรือบัดเจ็ทจำกัด การทุ่มเล่นซับวูฟเฟอร์ดีๆ เซ็ทอัพดีๆ  เสียงมันช่วยยกระดับชุดทั้งชุดให้ดีขึ้นได้มากจริงๆกว่าไปทุ่มกับลำโพงในแชนแนลอื่นครับ (ลำโพงหลักๆที่ผมให้ความสำคัญก็จะเป็น ซับวูฟเฟอร์, Center และคู่หน้า)

ตอนหลังปรับแล้ว ก็ต้องยอมรับตรงๆว่าห้องผมกับตำแหน่งซับเดิมนั้นมันมีปัญหาย่านความต่ำช่วงที่เป็น mid-bass และเบสต้น   คือเบสช่วงนี้ไม่ค่อยกระแทกมาก ซึ่งแตก่อนซับวูฟเฟอร์ของผมมันไม่เคยถูกเซ็ทหรือย้ายตำแหน่งมาก่อนเลยด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ในห้อง และขนาดและน้ำหนักตัวของมันที่ออกจะใหญ่โตเทอะทะอยู่พอสมควร




ซึ่งหลังจากปรับ QBass แล้ว ย่านส่วนใหญ่ที่ถูกปรับขึ้นจะเป็นย่านช่วงมิดเบสซะเป็นส่วนใหญ่ คือตั้งแต่ 60 Hz ขึ้นไป  
โดยผมจะพยายามไม่บู๊ทย่านความถี่ต่ำมากๆช่วง 20-30 Hz มากเพราะหากซับของคุณคุณภาพไม่ดี ตัวเล็ก และขืนไปบู๊ทย่านความถี่ลึกๆ หรือ Deep Bass มากๆ อาจทำให้ซับเสียหายได้ครับ  ดังนั้นผมจะใช้ความดังและย่านความถี่ในช่วง Deep bass เป็นเกรฑ์ในการปรับ และเพิ่มลดย่านอื่นเพื่อให้มาสมดุลกับย่าน Deep bass นี่แทนจะปลอดภัยกว่า  แต่จริงๆซับ R115SW ดอกขนาด 15 นิ้วนี่ไม่มีปัญหากับการดึงเพิ่มย่านนี้แต่อย่างใด




และหลังๆของการเล่นของผมนั้น ผมก็คันไม้คันมือ ลองบู๊ทเพิ่มย่านความถี่ Mid bass อย่างช่วง 60-100 ให้โด่งมากขึ้น ซึ่งต้องบอกว่าเป็นชอบส่วนตัวเป็นพิเศษ  ผลก็คือผมสะใจมากครับกับเสียงที่ได้ เบสต้นมาแบบกระแทกกระทั้น โครมๆ (ไม่แนะนำให้ทำ) ผมลองได้ซักพักก็ปรับกลับเป็นย่านปกติให้มันสมดุลในทุกๆย่าน
ผลสรุปก็คือเบสมาแบบครบๆในทุกๆย่าน จากแต่เดิมที่ย่านตรงกลางเหมือนจะน้อยไปหน่อย แต่ตอนนี้เบสหนักกระแทกจุกอกดี โซฟาสั่นเพิ่มขึ้นเยอะ  และย่านความถี่ลึกก็ชัดเจนและมีคลื่นความถี่ต่ำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนกระแทกมาที่หน้าแข้งและขนบนร่างกายทั้งหลายก็ปลิวไสวชนิดสะใจสุดๆครับ
ซึ่งจะว่าไปผมก็ค่อนข้างทึ่งเหมือนกันที่ซับตัวเดิม Klipsch R115SW เพียงตัวเดียวจะแสดงศักยภาพของมันออกมาได้ดีและหนักหน่วงกว่าของเดิมที่ผมใช้ซับคู่ชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลย   พูดง่ายๆคือตอนนี้ผมน่าจะดึงศักยภาพของซับวูฟเฟอร์ Klipsch R115SW ออกมาได้มากกว่าเดิมมากมายนัก  ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันถึง 100% หรือยัง แต่ที่แน่ๆตอนนี้ผลการใช้ซับวูฟเฟอร์เพียงตัวเดียวของผมนั้น  ค่อนข้างพอใจและมีความสุขกับการดูหนังมากๆครับ




มีข้อดีก็มีข้อเสียนะครับ จะไม่กล่าวข้อเสียเลยก็ดูจะไม่ดีและไม่แฟร์กับคนที่ตัดสินใจจะซื้อหาไว้ใช้งาน  ตัวนี้ผผมไล่ข้อดีข้อเสียแต่ละข้อให้ตามนี้  ส่วนจะเหมาะหรือไม่เหมาะกับใครก็ไปใช้วิจารณญาณและตัดสินใจกันเอาเองครับ

QBass ข้อดี

   1. ไม่แพง และง่าย ไม่ต้องใช้ไมค์ คือไม่ต้องเป็นมืออาชีพก็หาซื้อมาเล่นได้  ย่านไหนอยากบู๊ท อยากเพิ่มลดก็หมุนเอา  จะเอาให้เสียงมันราบเรียบทุกย่าน หรือจะเอาถูกใจให้บางช่วงโด่งก็ตามใจชอบ เหมือนเราจ่ายเงิน 8700 และสามารถปรับและดึง EQ ของซับคล้ายๆมี DSP ได้เลย

   2. ความคุ้มค่า ใครจะคิดว่า จ่ายเงินหลักพันแต่ได้ความเปลี่ยนแปลงในระบบมากขนาดนี้ ต้องบอกว่าผมไม่คิดว่าเบสสมดุลในทุกๆย่านแล้วมันจะทำให้ดูหนังสนุกและเสียงในย่านอื่นๆฟังดูดีขึ้นมาได้ขนาดนี้ครับ
    หากใครคิดจะอัพระบบและเล็งๆงบไว้หลายหมื่น แต่คิดไม่ออกว่จะทำอะไรดี ทั้งอัพสายลำโพง สายสัญญาณ ซื้อซับ ซื้อของมาเพิ่มในระบบ เราอยากให้ลองมาดูเรื่องการเซ็ทอัพความถี่ต่ำดูก่อนครับ  ถ้าคุณมีความรู้มากพอ มีเครื่องมือจะทำเอง จะย้ายตำแหน่ง ดูกราฟเอาก็เป็นวิธีที่ดีและถูกต้องที่สุด หรือใครอยากจะจ้างมืออาชีพมาช่วยดูให้ก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน หรือหากใครจะมองทางเลือกโดยปรับเสียงความถี่ต่ำให้มันเรียบง่ายๆโดยไม่ต้องจ้างหรือใช้ไมค์ไม่ต้องดูกราฟ ตัว QBass ก็เป็นอะไรที่จ่ายออกไปน้อยและได้กลับมามากกว่าราคาค่าตัวของมันจริงๆครับ
    แต่ทั้งนี้ต้องดูก่อนว่าของเดิมความถี่ต่ำคุณเป็นยังไง หากเดิมๆความถี่ต่ำคุณดี ราบเรียบ เป๋ะอยู่แล้ว แบบนี้ 8,700 ที่จ่าไปอาจจะมองว่าไม่คุ้มก็ได้ แต่หากคุณมองว่าเดิมๆความถี่ต่ำคุณมันมีปัญหา ซับก็ดี ราคาตั้งแพง ไปลองที่ร้านหรือบ้านเพื่อนเสียงมันยังกะราชสีห์แต่พอมาอยู่บ้านเราเสียงยังกะแมวเมี๊ยว แบบนี้คุ้มที่จะจ่ายและรับรองว่าคุรจะยิ่มกับสิ่งที่ได้มา คุ้มค่าแน่นอน


 

QBass ข้อเสีย

   1. QBass ยังขาดความแม่นยำ เนื่องจากใช้หูในการฟัง  ก็ต้องยอมรับจุดหนึ่งครับ ข้อดีของ QBass คือมันไม่ต้องใช้ไมค์ จึงไม่มีปัจจัยความเพี้ยนของไมค์ ราคาและคุณภาพไมค์ เสียงรบกวน  แต่มันก็มีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นมาแทน นั่นคือสัญญาณที่เข้าไปในตัว QBass นั้นจะไม่มีกราฟให้ดู คุณจะต้องลองฟังด้วยหูของคุณเองว่าย่านความถี่ไหนที่ขาด หรือโด่ง  ซึ่งต้องยอมรับว่าคนเรานั้นมีประสาทสัมผัส หรือมาตรฐานในการฟังไม่เท่ากัน อย่าว่าแต่คนละคนเลยครับ คนเดียวกันบางทีอารมณ์ต่างกัน มาฟังยังไม่มาตรฐานเลย  ดังนั้นตรงนี้ต้องยอมรับจุดด้อยของอุปกรณ์ QBass ว่ามันไม่มีกราฟให้ดูนะ คุณต้องฟังเอาเองจากแผ่นและดูว่าย่านไหนขาด  ความแม่นยำมันก็อาจจะไม่เป๋ะมากเหมือนใช้ไมค์ใช้กราฟ   ซึ่งบางคนอาจใช้ไมค์ราคาปานกลางๆวัดดู หรือใช้ app ในโทรศัพท์วัดความดังก็พอช่วยได้กล้อมแกล้มไปครับ

   2. มีความเสี่ยงสำหรับซับวูฟเฟอร์ราคาไม่แพง ตัวเล็กๆเช่น ซับ 8 นิ้วหรือ 10 นิ้วราคาไม่แพงมาก สเปกเคลมไว้ลงลึกได้ไม่มาก อาจจะ 32-150 Hz แล้วเราไปเล่นไปเค้นความถี่ช่วง Deep bass มันมากเช่นไปบวกย่าน 25 Hz ไว้จนสุด แล้วปรับย่านอื่นเข้าหาตามย่าน 25 Hz แบบนี้โอกาศที่ซับจะทำงานหนักเกินกำลัง และอายุการใช้งานไม่ยืนยาวได้ครับ   ดังนั้นเราแนะนำว่าหากซับใครตัวเล็กๆ พยายามใช้ระดับความดังของย่าน 25 Hz เป็นตัวอ้างอิง แล้วปรับย่านอื่นให้เท่าๆกับย่านนี้เอาจะปลอดภัยกว่าไปยกเร่งมันทุกย่าน

แต่หากซับคุณตัวใหญ่แบบผม ลงลึกได้มากระดับ 18 Hz แบบนี้ก็เล่นได้ตามชอบใจครับ แต่ก็ยั้งๆมือไว้หน่อยก็ดี อย่าเอาสะใจมากเกินไป  จะเล่นก็เล่นช่วง mid-bass หรือ upper-bass จะมีผลต่อความรู้สึกและสะใจกว่าครับ เชื่อผม

   3. คุณภาพและเสียงที่ได้ขึ้นอยู่กับการเซ็ท และกราฟความถี่ต่ำของเดิมของคุณ  ต้องอย่าลืมว่าอุปกรณ์นี้มันจะมีประโยชน์และช่วยเพื่มลดเสียงเบสในย่านต่างๆได้เป็นอย่างดี และเห็นผลชัดเจนและน่าพอใจ หากตำแหน่งซับวูฟเฟอร์หรือความถี่ต่ำในห้องคุณมันมีปัญหาอยู่ อาจจะหุบหรือโด่งไป  แบบนี้หลังปรับจะได้ผลลัพธ์ที่ดีคุ้มราคามาก
    แต่หากคุณเคยเรียกคนมาปรับมาเซ็ทแล้ว ตำแหน่งซับมันดีอยู่แล้ว กราฟจับออกมาโดยใช้ไมค์แล้วมันเรียบดีในทุกๆย่านอยู่แล้ว  แบบนี้ก็ป่วยการที่จะซื้อ QBass ไปใช้ครับ เหมือนซื้อยาไปฝากคนปกติ มันก็ไม่ได้ใช้ ไม่มีประโยชน์   แต่จริงๆส่วนใหญ่ห้องฟังส่วนมากมีปัญหาเบสไม่ราบเรียบเกือบจะ 80-90% ไม่ค่อยมีห้องไหนหรอกครับที่ไม่มีปัญหา หรือเอาซับไปต่อแล้วกราฟเรียบเป๋ะ เบสทุกย่านออกครบ (ถึงมีก็น้อยมากๆๆ)
    ยกเว้นว่าคุณอยากจะเอา QBass มาเล่นหรือปรับย่านบางย่านเล่นเอาสะใจชั่วครั้งชั่วคราวแบบนี้ก็ได้เช่นกัน


 

สรุป


ผมพอใจนะครับกับเจ้าตัว QBass ตัวนี้  โดยรวมผมเห็นความแตกต่างค่อนข้างมากทีเดียวกับเสียงที่ได้ ยกระดับเสียงเบส ความหนัก กระชับ และคุณภาพให้ดีขึ้น ไม่แค่ความถี่ต่ำ แต่มันยังบาล้านเสียงย่านอื่นๆให้น่าฟังตามไปด้วย ซึ่งต้องบอกว่าตัวนี้ผมเสียบไปแล้วถอดไม่ลง   หรือพูดง่ายๆก็คือ ไม่อยากคืนนั่นเอง ฮาๆๆ

ส่วนผู้อ่านเองจะมองว่าคุ้มหรือไม่คุ้มนั้นก็มีปัจจัยต่างๆกันออกไป ผมคงตอบไม่ได้ว่า QBass มันจะให้ผลลัพธ์คุ้มค่าพอใจกับสิ่งที่คุณต้องการหรือเปล่า เพราะคนเรามีตัวแปรไม่เหมือนกัน ทั้งห้องฟัง ทั้งปัญหาที่ไม่เหมือนกัน ทั้งรสนิยมในการฟัง
เอาเป็นว่าถ้าคุณคิดว่าเบสห้องคุณที่ได้จากซับวูฟเฟอร์มันพอใจแล้วก็จบครับไม่ต้องไปทำอะไรมันเพิ่ม  แต่ถ้ายังคิดว่าซับวูฟเฟอร์คุณมันยังได้ไม่เต็มที่ มันเหมือนมีอะไรตุ่ยๆ น่าจะได้ดีกว่านี้ เสียงไม่เหมือนโรงหนัง หรือห้องเพื่อน หรือมีปัญหาเบสบางไป มากไป  แบบนี้ก็ลองชั่งใจดูครับจ่ายเงินหรือลงทุนไปกับ การเซ็ทอัพ เพื่อเพิ่มคุณภาพเสียงแทนที่การเปลี่ยนซับใหม่ เปลี่ยนสาย เปลี่ยนอุปกรณ์ มันจะคุ้มค่ากับสิ่งที่คุณต้องการหรือเปล่า  ?

ตรงนี้ผมคงตอบแทนคุณไม่ได้ คุณต้องตัดสินใจเอาเองครับว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม แต่ที่แน่ๆผมลองให้แล้ว  และยืนยันว่าส่วนตัวผม พอใจมาก ชอบมาก และไม่อยากถอดคืน ^_^




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 17, 2016, 11:55:36 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์

How to Break-in a Speaker





รู้รึเปล่าครับว่าทำไมลำโพงถึงต้องการเวลาเบิร์นอิน (Break in) แล้ววัสดุอุปกรณ์ตัวไหนของลำโพงที่มันส่งผลให้เสียงเปลี่ยนไปหลังเบิร์นอินแล้ว  วันนี้เราเอาบทความของ Klipsch.com มาให้อ่านกันเล่นๆครับว่า break in หรือเบิร์นอินนั้นสำคัญหรือเปล่า


กูรูเรื่องเครื่องเสียงจากหลายสำนักรวมไปถึงบริษัทเครื่องเสียงหลายๆแห่ง ยืนยันนะครับว่าลำโพงจะมีระยะ Break-in อยู่ช่วงนึงที่เมื่อมันผ่านช่วงระยะเวลานี้ไปแล้วเสียงจะเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับว่าเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงอะไร
ซึ่งก็คล้ายๆกับอุปกรณ์อื่นๆที่ถ้าสิ่งของนั้นๆ มีการเคลื่อนไหว สิ่งของนั้นย่อมต้องการระยะเวลาเพื่อให้มันทำงานได้ตามสเปกและเต็มประสิทธิภาพของมัน  ก็คล้ายกับอุปกรณ์ใหม่ๆที่ไม่เคยใช้งานเลย หรืออุปกรณ์เก่าๆที่ทิ้งไว้ไม่ใช้งานมานาน พอมาเปิดใช้งานก็ต้องมีการฝืด และทำงานได้ไม่เต็มที่เหมือนอุปกรณ์ที่เปิดใช้งานทุกวันนั่นเอง

โดยวันนี้เราจะพูดถึงเฉพาะส่วนของลำโพงเพียงอย่างเดียวครับ จะไม่พูดเรื่องของเครื่องเสียงอื่นๆหรืออุปกรณ์อื่นๆที่หาข้อยุติได้ยากว่า Break-in มีผลจริงหรือไม่ เช่น amp สายลำโพง สายไฟ สายสัญญาณ ไปจนกระทั่งโต๊ะวางเครื่องเสียง

โดยอุปกรณ์หลักๆสองอย่างในลำโพงที่ทำให้การ Break-in นั้นทำให้เสียงเปลี่ยนไปจากเดิมนั่นก็คือขอบดอกลำโพง (Surround) และ Spider

1. ขอบดอกลำโพง (Surround):
ขอบดอกลำโพงนั้นทำมาจากวัสดุหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลำโพงนั้นๆเอง เช่นบางตัวอาจทำมาจากโฟม บางตัวทำมาจากยาง
โดยขอบลำโพงตัวนี้จะทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างดอกลำโพงที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ให้เชื่อมกับโครงของตัวดอกลำโพงและตัวตู้ลำโพง โดยคุณสมบัติของขอบลำโพงนั้นจะต้องทำมาจากวัสดุที่มีการยืดหยุ่นได้ดีเพราะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
โดยสามารถเห็นขอบลำโพงได้ง่ายๆแค่ถอดหน้ากากลำโพงออกและดูที่ขอบของดอกลำโพงแค่นั้นเอง



2. Spider
มีลักษณะเป็นแผ่นวงกลมเหมือนวงแหวนไยแมงมุม   โดยสไปเดอร์จะอยู่ด้านหลังดอกลำโพง ทำหน้าที่ยึด Voice coil ของดอกลำโพงให้อยู่ในตำแหน่งเดิมและอยู่จุดศูนย์กลางอยู่เสมอ  และทำหน้าที่เหมือนกับสปริง  โดยจะสั่นสะเทือนและยืดหยุ่นตามดอกลำโพงที่ขยับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาครับ




โดยชิ้นส่วนทั้งสองนี้เป็นส่วนที่มีการเคลื่อนไหว ดังนั้นหากชิ้นส่วนทั้งสองมีการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ ทำงานได้อย่างเต็มที่ ก็ย่อมหมายว่าเสียงที่ได้จะยิ่งสามารถตอบสนองได้ถูกต้องและเที่ยงตรงตามสเปกของลำโพงตัวนั้นๆมากขึ้นครับ  โดยการทำงานของชิ้ยส่วนพวกนี้ถ้าไม่ได้ใช้งานนานๆ ขอบยาง สไปเดอร์ก็มีอาการฝืดและสูญเสียความคล่องตัว ความยืดหยุ่นไปได้เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นควรให้เวลาอุปกรณ์เหล่านี้ได้ทำงานไปสักพักนึงก่อนครับเพื่อให้ลำโพงของเราแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่นั่นเอง

โดยทั่วๆไปแล้วระยะเวลา break-in จะอยู่ที่ราวๆ 100 ชั่วโมง ยิ่งดอกลำโพงใหญ่ความเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งเห็นผลมากกว่าดอกลำโพงเล็กๆ
แต่อย่างไรก็ดีลำโพงบางตัวก่อนและหลัง break-in ก็ให้เสียงไม่ต่างกันก็มีนะครับ  แต่กับลำโพงบางตัวก่อนกับหลัง break-in กลับให้เสียงต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือ  และลำโพงบางตัวก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย 10 - 20% เท่านั้นก็มีเช่นกันครับ



ดังนั้น  Break-in จึงมีผลกับเสียงของลำโพงคู่ใหม่ของคุณแน่นอน
แต่จะมากหรือน้อยนั้น เป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบด้วยตัวเองครับ
โดยวิธีง่ายๆในการ break-in ลำโพงนั้นสามารถใช้แผ่นเบิร์นช่วยให้ไวขึ้นได้ แต่เราแนะนำว่าวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ เปิดดูหนังฟังเพลงไปตามปกตินี่แหละครับ โดยหาเพลงที่มีช่วงเสียงที่แตกต่างกันมากๆหน่อยจะยิ่งดี เช่นเพลงที่มีช่วงเงียบ มีช่วงโหม มีเบสเยอะ มีเบสน้อย มีเสียงดีเทลเล็กๆน้อยๆ เพลงพวกนี้จะช่วยให้พ้นเบิร์นเร็วขึ้นครับ
และระดับความดังที่ควรใช้ในการ Break-in นั้นก็ควรให้อยู่ในระดับที่ฟังปกติ หรือดังกว่านั้นนิดหน่อย ไม่ควรเปิดค่อยเกินไปหรือดังเกินไปครับ

หมดแล้วครับ แล้วคุณละครับเคยมีประสบการณ์ซื้อลำโพงคู่ใหม่ แล้วลองตั้งใจฟังมันตั้งแต่แกะกล่อง ชั่วโมงแรก เฝ้าสังเกตเห็นความแตกต่างของมันไปจนพ้น Break-in กันมั่งหรือเปล่าครับ ว่าเสียงของมันเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน?

. ============================================
Inbox: https://www.facebook.com/messages/whatthatsoundstore

Line ID: keamgladnan

Tel No: 089-9695946

Web site: http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.0
============================================

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 08, 2015, 10:28:35 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
วันนี้เราเก็บภาพบรรยากาศการติดตั้งชุด Klipsch Reference Premier 7.2 channels ที่บ้านคุณช้าง ที่สมุทรปราการมาให้ดูกันครับ
ว่าห้องใหญ่ๆระดับ 60-70 ตรม เป็นพื้นที่ส่วนกลางเป็นห้องนั่งเล่น เป็นศูนย์รวมกิจกรรมของบ้าน เป็นจุดที่ใช้ในการพักผ่อนของครอบครัว มีเพดานสูงเป็นหลุมลึก และมีกระจกค่อนข้างเยอะ ด้วยข้อจำกัดแบบนี้เราจะติดตั้งอย่างไรเพื่อให้เสียงที่ได้ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดของห้อง โดยไม่ไปลดทอนการใช้ชีวิตประจำวัน ความสุขของครอบครัว และต้องไม่เซ็ทอัพให้ห้องกลายสภาพเป็นห้องดูหนังที่ซีเรียสเรื่องเสียงจนเกินไปจนเด็กหรือคนอื่นรู้สึกอึดอัด เวลามานั่งเล่นหรือทำกิจกรรมในจุดนี้ครับ



โดยปัญหาเดิมก็คือห้องใหญ่ เบสหาย ต้องเร่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเสียงแหลมจัดเกินไป ซับวูฟเฟอร์ทำงานจนกระพือ แต่จุดที่นั่งฟังไม่ได้รับอิมแพคและความรู้สึกกระแทกของเสียงเบส

โดยทีมงานได้ช่วยกันเข้ามาจัดการย้ายชุดเก่าออก และค่อยๆเอาชุดใหม่มาติดตั้ง โดยชุดใหม่นั่นเราเลือกตัวที่ดีที่สุดในซีรี่ย์ Reference Premier เพื่อให้เสียงออกมาดีที่สุดอย่างที่ลูกค้าต้องการ





Klipsch RP-280F คู่หน้าตั้งพื้นดอก 8 นิ้ว
Klipsch RP-450C เซ็นเตอร์ดอก 5.25 นิ้วสี่ดอก
Klipsch RP-250S เซอราวด์ไบโพลข้างดอก 5.25 นิ้ว
Klipsch RP-160M เซอราวด์บุ๊กเชลฟ์หลังดอก 6.58 นิ้ว
Dual Klipsch R115SW ซับวูฟเฟอร์ขนาด 15 นิ้วสองตัว
AVR: Denon X5200







ข้อจำกัดอีกอย่างของห้องก็คือไม่สามารถแขวนลำโพงเซอราวด์ได้เพราะด้านหลังเป็นกระจก และม่าน ทำให้ต้องใช้ขาตั้งมาช่วย

ซึ่งหลังจากติดตั้งและเซ็ทอัพแล้วเสียงที่ได้ตรงจุดนั่งฟังมีรายละเอียดมาครบไม่ว่าจะย่าน สูง กลาง ต่ำ โดยเฉพาะเบสที่มีอิมแพค หนักแน่น มีรายละเอียดมากๆ เหมือนนั่งอยู่ปิดที่ไม่ใช่ห้องนั่งเล่นใหญ่ๆแบบนี้เลยครับ แถมพอติดตั้งเป็น 7.2 แล้วก็ทำให้ห้องดูเรียบร้อยและดูสะอาดเนื่องจากได้ซ่อนซับวูฟเฟอร์ตัวนึงไว้มุมห้องด้านนึง และแผงหน้าก็ได้เซอราว RP-450C ที่ออกแบบมาเป็นแบบแนวนอนยาวและใช้ดอกเล็ก 5.25 นิ้ว ทำให้ดูสมมาตรยาวรับไปกับทีวี และชั้นวางดูมีสเปซ และกว้างขึ้นรับกับการตกแต่งอีกด้วยครับ





แน่นอนครับระบบเสียง Home Theater ที่ดีที่สุดนั้นควรจะอยู่ในห้องปิด คุมแสงและห้องที่มีขนาดที่เหมาะสม และมีการจัดอคูสติกที่ดี
แต่สำหรับบางครอบครัวนะครับ การที่มีระบบเสียงที่ดีที่สุดแต่ต้องแลกกับเวลาของครอบครัว การต้องไปนั่งอยู่ในห้องพื้นที่จำกัด นั่งดูคนเดียวมืดๆ ภรรยาและลูกไม่กล้าเข้ามาใช้งานเพราะห้องทั้งมืด ทั้งมีสายระโยงระยาง แถมทั้งห้องยังเต็มไปด้วยแผ่นอคูสติก และดิฟฟิวเซอร์ บางทีก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีในในยุคสมัยนี้ ที่ต้องแข่งขันและแก่งแย่งกัน เวลาจะเจอหน้ากันก็ดึกๆ หรือวันหยุด
การที่มีเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับครอบครัวร่วมกันจึงอาจเป็นทางออกที่ดีกว่า โดยเราสามารถ compromise กันได้ระหว่างเสียงดีดูหนังสนุก และยังไม่เสียพื้นที่ใช้งานร่วมกัน ไม่เสียความเป็นบ้าน ความเป็นครอบครัว ความเป็นห้องนั่งเล่น และศูนย์รวมกิจกรรมของครอบครัวไป

เพราะบรรยากาศของภาพที่คุณพ่อนั่งดูหนัง คุณลูกเล่นเกม คุณแม่ดูละคร หรือนั่งเล่นนั่งคุยกันไป เอาการบ้าน เอางานมาทำ ฟังเพลงคลอไปด้วย กินขนมดูหนังไปด้วย บางทีก็เป็นทางออกที่ดีกว่าสำหรับคนมีครอบครัว.






















































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2015, 02:38:17 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
วันนี้เราเอารีวิวสั้นๆของลำโพงรุ่นใหญ่สุดในซีรี่ย์ Imagine ของ PSB Imagine T3 มาฝากกันจากต่างประเทศครับ  

เหมือนเคยเราแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยกันแล้ว ไปอ่านกันเลย เผื่อใครสนใจลำโพงฟังเพลงยี่ห้อนี้อยู่



===========================================
รีวิวต้นฉบับจากต่างประเทศ: http://thathifiguy.blogspot.com.au/2015/06...imagine-t3.html
===========================================

ในช่วงบ่ายที่น่าเบื่อวันนึง กระชากเราให้รู้สึกทึ่งไปกับลำโพง PSB Imagine T3

ในช่วงอาทิตย์ที่เราติดแหงดอยู่แต่ในบ้าน จู่ๆก็ได้รับการติดต่อจาก Dan Grozdan ที่เป็น Product Manager ของตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ PSB, NAD ซึ่งเราเคยเกริ่นๆให้ Dan ฟังว่าเคยฟัง PSB Imagine Mini หรือ PSB Alpha B1 ไปแล้วและติดใจ อยากจะลองฟังลำโพงรุ่นเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดในซีรี่ย์ Imagine นั่นคือ PSB Imagine T3

วันนี้ Dan บอกเราว่าเค้ามีลำโพง PSB Imagine T3 ให้เรามาดูตัวจริงและลองฟังได้แล้ว
ซึ่ง PSB Imagine T3 เป็นลำโพงรุ่นใหม่ที่ถูกสร้างมาแทนที่ลำโพงไฮเอนด์รุ่นใหญ่อย่าง PSB Synchrony One ในอดีตที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของการฟังเพลง (ปัจจุบันยกเลิกการผลิตไปแล้ว)
พอเราได้ยินดังนั้นก็หูผึ่ง และบึ่งไปที่ร้านเพื่อยลโฉมเจ้าลำโพง PSB Imagine T3 ทันที



สำหรับคนที่เพิ่งรู้จักลำโพง PSB เป็นครั้งแรก เราอยากจะท้าวความว่า PSB เป็นบริษ้ทผู้ผลิตลำโพงสัญชาติแคนาดา โดยหัวหอกของบริษัทคือ Paul Barton ผู้ซึ่งเป็นผู้บุกเบิก ผู้ออกแบบ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมา
(PSB และ NAD เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน)



เมื่อไปถึงร้าน Dan ไม่รอช้ารีบตรงดิ่งพาเราเข้าไปยลโฉมเจ้า PSB Imagine T3 ในห้องลองทันที  วินาทีแรกที่เห็นบอกเลยว่าตะลึง สวยแบบที่ดูในรูปไม่สวยเท่าตัวจริงครับ
ในห้องฟังที่เราเข้าไปลองนั้นเป็นห้องธรรมดาทั่วๆไปไม่มีอุปกรณ์อคูสติกใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นพรมที่พื้นอย่างเดียวเท่านั้น

เครื่องเล่นที่ใช้ ก็แน่นอนว่าต้องใช้ NAD M50 Digital Music Player และ C390DD Direct Digital Amplifier
Dan ยืนอธิบายให้เราฟังว่า Imagine T3 นี้จริงๆใช้แอมป์ NAD Masters Series M12 Digital Preamp/ DAC และ M22 Stereo Power Amp combo แต่ชุด Amp นี้ปัจจุบันถูกยืมไปทำรีวิวอยู่ เลยต้องใช้แอมป์ C390DD Direct Digital Amplifier มาขับแทน

Dan ไม่ได้เร่งให้รีบตัดสินใจ แต่บอกเราว่าให้ลองฟังและเก็บไปคิดดูก่อน กลับมาอีกทีจะให้ลอง Imagine T3 จับกับแอมป์ M22 Stereo Power Amp combo ซึ่งเสียงน่าจะดีและเต็มกว่านี้แน่ๆ



วันนี้เราเลยทดลองฟังกันแบบง่ายๆก่อน โดยเราเปิดเพลง Pink Floyd - Dark Side of the Moon และเริ่มฟังกันเลย

20 นาทีแรกตอนที่เราเริ่มฟังเพลงจาก PSB Imagine T3 นี้อยู่ เรารู้สึกตัวเองว่าอยู่ๆก็ยิ้มออกมาเอง โดยควบคุมไม่ได้  รู้สึกเหมือน Image ของเพลงนั้นชัดเจนสุดๆ เบสไลน์เหมือนมีคนมาเล่นให้ฟังอยู่ตรงหน้าเราจริงๆ เสียงดนตรีเหมือนพร่างพรมมาถึงตัวแบบถึงเนื้อถึงตัวจริงๆ

หลังจากเพลงนี้เราก็มาลองกันต่อด้วยอัลบั้ม 'Goodbye Yellow Brick Road' ของ Elton John's  เพลงแรกที่เราฟังคือ 'Funeral for a Friend' อีกแล้วครับ เหมือนเดิม เราถูกร่ายมนต์สะกดด้วย Dynamic ของเบสที่ให้ความเป็นดนตรีสูงมากๆ และเบสที่ได้นั้นมีคุณภาพและสามารถลงได้ลึกมากๆๆ
จนเราแปลกใจว่ามีคนแอบเอาซับวูฟเฟอร์มาตั้งในห้องแอบเปิดคู่กับลำโพงไปด้วยหรือเปล่า

หลังจากลองฟัง Elton John จบไปสองเพลง เราก็ไปกันต่อกับเพลงของ Peter Gabriel's  อัลบั้ม 'Up' เพลง 'I Grieve'
เราได้ยินรายละเอียดเล็กๆน้อยๆพรั่งพรูออกมา ยิบย่อยละเอียดสุดๆ และได้ยินเบสที่มีไดนามิคแบบที่ไม่เคยฟังจากลำโพงคู่อื่นมาก่อน



สุดท้ายเราเปิดเพลงของ the Coup de Gr?ce เพลง 'Brothers in Arms' ซึ่งบอกก่อนว่าเราเติบโตมากับอัลบั้มชุดนี้ ฟังบ่อยชนิดทะลุปรุโปร่ง รู้ทุกท่อน ทุกคำ เสียงช่วงไหนเป็นยังไงนั้นจำได้หมดครับ
เพลงแรก 'So Far Away' รู้สึกว่ามีชีวิตชีวาและคึกคักขึ้นกว่าที่เราเคยฟังมาในอดีตกับลำโพงคู่อื่น
และเพลง 'Money for Nothing' ที่ตอกย้ำให้เรารู้สึกว่าลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดเสียงออกมาได้พิเศษแบบที่เราไม่เคยฟังมาจากลำโพงคู่อื่นๆ โดยเฉพาะท่อน intro ที่เป็นเอกลักษณ์ วันนี้ท่อนนี้มี impact มีพลัง คึกคักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเป็นไหนๆ
เราคิดในใจว่า ลำโพงฟังเพลงที่ดีควรจะเป็นแบบนี้แหละ



สรุป เราอยากย้ำชัดๆว่า ลำโพงรุ่นเรือธงของ PSB Imagine  ตัวนี้เสียงดีและเหมาะกับการฟังเพลงอย่างที่สุด
และไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความครับว่า เราไม่จำเป็นต้องกลับมาลองฟังกันอีกแล้วกับลำโพง Imagine T3 ตัวนี้  เพราะถ้าจับกับแอมป์ที่กำลังขับสูงและคุณภาพดีกว่านี้ เสียงก็คงจะยิ่งไปได้ไกลกว่านี้แน่ๆครับ

โดยลำโพง Imagine T3 คู่นี้สนนราคาตั้งอยู่ที่ 8999 เหรียญ  ในบ้านเรานำเข้าและจัดจำหน่ายโดย conice ครับ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 10, 2015, 10:31:26 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


มินิรีวิวชุดดูหนังฟังเพลง Klispch RP-280F และ Emotiva XPA3

เมื่ออาทิตย์ก่อนผมได้รับความอนุเคราะห์จากลูกค้าที่เชียงราย จัดส่ง Poweramp Emotiva XPA3 มาให้ถึงที่
หลังจากต่อและลองฟังลองวิเคราะห์อะไรๆไปสักพักแล้ว ผมรู้สึกว่าเสียงของซิสเต็มผมมันเปลี่ยนไปแบบเยอะมากๆ (หน้ามือเป็นหลัง...)  ใครที่คิดว่ากะแค่เปลี่ยน AVR ไปเป็น Power เนี่ยมันจะซักแค่ไหนกันเชียวเนี่ยลองอ่านรีวิวนี้ดูครับ 
วันนี้ผมทำมินิรีวิวแบบสนุกๆกับซิสเต็มนี้มาให้อ่านกันครับ

  - Emotiva XPA3 (Power 200 watt x 3 channel)
  - HarmanKardon 370 (Pre)
 -  Klipsch RP-280F
  - Klipsch RC62 II
  - Klipsch RP250S
  - Klipsch R115SW
  - Source: Notebook












**** คำเตือน มินิรีวิวนี้ทำเอาสนุก บอกเล่าให้ฟัง ไม่เน้นขายของ ขอความกรุณาอย่าถามว่าทั้งชุดราคาเท่าไร่ เพราะซิสเต็มมันผสมกันมั่วทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ บางตัวก็ไม่มีขาย ตกรุ่นแล้ว (RC-62II, Harman 370) บางตัวก็ไม่มีตัวแทนในไทย  หาซื้อไม่ได้ (Emotiva XPA3)  อย่าถามเลยน้าว่าใช้สายอะไร accessories อะไรเพราะเป็นคนไม่ค่อยเล่นพวกนี้  วัตถุประสงค์วันนี้ไม่ได้มาขายของ หรือมาเชียของ  แต่มาบอกเล่าความประทับใจ ความรู้สึกตรงๆ ลองฟังแล้วคิดอะไรขึ้นได้ก็เขียนออกมาตรงๆตามที่รู้สึก เนื้อหาจะมีคำหยาบเยอะ อ่านเอาสนุกนะครับ อย่าเคร่งอย่าซีเรียส คิดว่านั่งดูรูป นั่งอ่านอะไรบันเทิงๆไป ขอใช้ภาษาวันรุ่นบ้างอะไรบ้าง   

พร้อมยัง 1 2 3 เริ่ม....


---------------------------------------------------------------------------







ตัวนี้ก่อนที่ลูกค้าผมจะจัดส่งลงมาให้ผมจากเชียงราย
ผมก็ถามพี่บาสว่า (ลูกค้าชื่อพี่บาส) และกำชับอย่างหนักว่า ปลอดภัยนะพี่ เพราะตัวแอมป์หนักมากร่วม 40-50 กิโล   ลูกค้าก็รับปากว่า "ชัวร์ครับน้อง". อ่าาาา รับปากมั่นเหมาะแบบนี้ก็จัดไปอย่ารอช้า
แกก็จัดส่งมาให้ผมแบบแพ๊กมาอย่างดี งดงาม กล่องสภาพสมบูรณ์แน่นหนามากๆ (กล่อง Emo นี่สองชั้นนะครับ ชั้นนอกกล่องลังดูราคาถูก กล่องชั้นในกล่องสีขาวอย่างดีแน่นหนามากๆ)  และมีโฟมปิดบนล่างแบบเต็มตัวอีก คือถ้าขนส่งไม่เชี่ยจริงๆนี่คงไม่พังแน่นอน


ผลก็คือของส่งมาถึงกรุงเทพที่สถานีดอนเมืองแบบเรียบร้อยปลอดภัย  งานนี้ขออนุญาติชมหน่อยนะครับกับขนส่ง NTC สำหรับผมคนทำอาชีพที่ต้องจัดส่งสินค้าใหญ่ๆเปราะบางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ  NTC เนี่ยดีที่สุดแล้ว (รองลงมาก็ SDS) ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ ผมไปรับเองที่สนญ ดอนเมือง
พนักงานดีใจหาย แกเดินมาอย่างกระตืนรือร้นและช่วยผมยกของไปส่งที่รถด้วย โอ้ว  ประเสริฐแท้  ก่อนจะยกแกก็ช่างสังเกตเห็นว่าเทปใสที่ปิดตูดกล่องมันขาดอยู่ด้านนึง แกก็กำชับผมว่าตอนยกระวังของมันจะทะลุหลุดออกมาทางตูด แกก็บอกให้เอามือรองตูดเอาไว้ด้วย (ตาดีจริงๆพ่อหนุ่ม) และช่วยยกขึ้นรถอย่างดีเลย (กราบงามๆ ใครจะส่งของใช้ NTC เถอะครับพลีส ของเค้าดีจริงๆ)

ณ จุดนี้ขอระบายว่าอย่าได้เอาไปเปรียบกับปณ ไทย หรือขนส่งเจ้าอื่นอย่าง K.... Express รายแรกนี่ลูกค้าผมส่งของกับปณ ไทย ลำโพงเซ็นเตอร์ RC-62 II ดอกหลุดออกมานอกตู้   มันคงโยนลงจากรถตู้แล้วเอาเท้าเตะ
ส่วน K.... ผมไปส่ง (RS-62 II) เองกับมือ ของไม่เป็นไรส่งถึงมือลูกค้าก็จริง  แต่ผมยืนดูพนักงานนี่กระแทกทุกกล่อง วางกล่องเบาๆไม่ได้ครับ ไม่รู้เป็นยักษ์เป็นมารมาจากไหน วางกันโครมๆ ขนาดตรูยืนอยู่ยังกล้าทำขนาดนั้น แล้วตอนลูกค้าไม่อยู่ไม่เขวี้ยงขึ้นรถเลยเหรอ  บอกตรงๆว่าไม่ประทับใจจอร์จฮะ ใครอยากจะลองก็สั่งของเรามาได้นะเดี๋ยวส่งผ่านคะหรี่ เอ่ย K....ให้




อะ พอกลับมาถึงบ้าน ผมก็หอบสังขารยกเจ้า Emotiva เข้าห้องกันเลย ตัวนี้ต้องเรียกคนมาช่วยยกนะครับ ยกคนเดียวเข้าบ้าน เดินเข้าประตูไกลๆได้นี่คุณแม่มต้องเป็น The Hulk หรือ Iron man วันรุ่งขึ้นต้องปวดหลังแน่นอน

พอยกมาหน้าห้องเสร็จผมก็ไล่คนช่วยยกกลับไปและค่อยๆยิ้มที่มุมปาก ว่าแล้วก็บรรจงเสพความสุขในการแกะกล่องคนเดียว อิอิ  ค่อยๆบรรจงเปิด รูดซิบ ปลดตะขอ อ่า ไม่ใช่ละ ค่อยๆเอาคัทเตอร์กรีดเทปใส เปิดกล่อง
โอ้ แม่มกล่องสองชั้นอย่างปึ๊ก หนามว๊ากกก และโคดหนัก

พอเทออกมาจากกล่องผมก็จัดการก้มลงยกจะเอาเข้าห้อง ยกขึ้นมานิดนึงก็เซ ต้องรีบวาง ตั้งสติกันใหม่
อะไรว่ะ ตอนอยู่ในกล่องมันไม่หนักขนาดนี้นี่หว่า
มานั่งส่องๆก็พบว่า เป็นเพราะผมยกเยื้องไปทางท้ายเครื่อง แต่ตัว Emo นี่เค้าวางหม้อแปลงและอุกปรณ์หนักๆไว้ทางหน้าเครื่องเกือบหมด พอยกท้ายหน้ามันก็จะทิ่ม ก็เลยเอาใหม่ยกกลางๆจับหัวจับท้าย จัดกด อุ๊ยไม่ใช่ จับยกเข้าห้องเลย






มาเข้าห้องก็หาที่วางเลย โคดหนักนะครับ  อารมณ์นั้นมาถึงเห็นตรงไหนว่างตรูก็จะวางแล้วละ  วางแม่มบนเซ็นเตอร์ซะเลย  วางแล้วมาคิดๆอีกทีไม่ได้เดี๋ยวเป็นรอยขายต่อไม่ได้ราคา ช่วงนี้คนหา RC-62 เยอะด้วย ก็จัดแจงหาที่วางใหม่ดีๆ แล้วก็ลองเสียบสายสัญญาณ สายลำโพงกันเลย ลุย




ตัวนี้ XPA3 มีช่องต่อให้ 3 แชนแนล แชนแนลละ 200 วัตต์ที่ 8 โอห์ม มีขั้วต่อให้สองแบบนั่นคือแบบ Balance และ Un-Balance (RCA) ผมเลือกต่อแบบบาล้านละกัน (เดี๊ยวจะนึกว่าไฮโซใช้บาล้าน แต่จริงๆแล้วป่าว ผมเตรียมสายบาล้านเอาไว้ต่อกับแอมป์ PA ตะหาก จนพอมะต้องเอาแอมป์ PA มาขับลำโพงบ้าน อนาถาแท้)  แล้วก็ตัวนี้มันจะมีสวิทซ์เอาไว้ให้เลื่อนซ้ายขวาว่าจะใช้ช่อง RCA หรือ Balance มันไม่ออโต้นะครับ ไม่ฉลาดขนาดนั้นเพราะเดี้ยวมีพวกหัวใสต่อแม่มทั้งสองช่องกลายเป็น 6 แชนแนลไปเลย สุดยอดจริง




 

ต่อเสร็จเปิดอุกปรณ์ ป้าป กดปุ่ม power ปุ๊ปไฟไม่ติดฮะ งี๊ดแล้วสิครับ ซวยแล้วสิกรู (คิดในใจ) แต่ยังใจเย็นตั้งสติก่อนแล้วนึกขึ้นได้ว่า ข้างหลังมันต้องมี เมนสวิทซ์อีกอันแน่ๆ ก็ค่อยๆเดินผิวปากไปดูแบบใจเย็น แล้วก็เจอจริงๆ มันมีเมนสวิทซ์ ก็เปิดซะ เค้ามาแล้วครับท่านผู้ชม ไฟสีส้มแสดงสถานะ Standby พร้อมใช้งานโชว์มาสวยงามน่าชื่นใจที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากอเมริกา อิอิ






ว่าแล้วก็ลองเปิดกันเลย พอเปิดไฟโลโก้มันจะเปลี่ยนสีจากส้มเป็นสีน้ำเงิน ดูเก๋ไก๋ไฮโซมีราคามากๆเลย ชอบๆๆๆ เริ่มที่เพลงก่อนเพราะมันสองแชนแนลนี่ จะได้เห็นกันชัดๆไปเลย เปิดมาเสียงความถี่ต่ำนำมาเลยครับ อืด อื้ด ตือ ตื่อ ตื้อๆๆๆๆ  แน่นอน มันคือเสียงซับวูฟเฟอร์ คือเสียงลำโพงหลักมันไม่ออกเลยคร้าบบบพ่อเจ้าประคุณรุนช่อง ดังแต่ซับ  เวรกรรม  เวรละกรู
นาทีนี้รู้สึกว่าเหงื่อเริ่มออกแล้ว รู้สึกเหมือนแข่งวิงมาราธอนมาเกือบจะถึงเส้นชัยแล้วแต่เสือกล้ม
เฮ้ยมันต้องไม่เป็นงั้นสิว่ะ ผมลุกขึ้น บรรจงเปิดไฟในห้องอย่างแผ่วเบา  แล้วเดินไปดูด้านหลัง emotiva ก็ถึงบางอ้อว่า จริงๆแล้วผมลืมสลับสวิทซ์ไปใช้ช่อง balance ครับ เจ้าของเก่าเค้าใช้ช่อง RCA ไว้แค่นั้นแหละ พอสวิทซ์กลับมา ก็มาลองกันใหม่




ลองเปิดเพลง ตอนนี้นะครับนาทีแรกเลยที่เปิดเพลงแล้วเสียงตัวโน๊ตจากอากาศเดินทางมายังห้องหูชั้นใน (labyrinth) ที่บรรจุไปด้วยของเหลว (อวัยวะรูปหอยโข่ง (cochlea) กระดูกฆ้อนของผมเริ่มสัมผัสรับฟังเสียง ผมก็อุทานขึ้นมา "เชี่ย แม่งแน่น" แน่นเปรี๊ย อิมแพคมาเต็มๆ แบบนี่ถ้าจับเอาผ้าผูกตา จะไม่คิดว่าลำโพงตัวเก่าเลยจริงๆ คือเสียงเบสไลน์จากกีตาร์เบสจากเดิมที่มันดีดเบาๆ ตอนนี้มันเหมือนมีคนมาเร่งแอมป์แล้วใส่เอฟเฟค คือมันดีดแบบมีจังหวะจะโคน รู้สึกถึงอารมณ์คนดีดว่ามันต้องโยกไปด้วยดีดไปด้วย  ส่วนกลองนี่เหมือนมือกลองมันหวดแบบไม่ยั้งมือ ป๊าปๆๆ   ประหนึ่งโกรธแค้นใครมา  แรงแบบกลัวดอกลำโพงหลุดจนต้องลด volume ลงมาหน่อย   



และอย่านึกว่ามันจะดีเฉพาะเบสนะครับ รายละเอียดย่านอื่นๆมันมาหมด ทั้งกลาง แหลม คือบู๊ทมาหมดทุกย่าน แหลมนี่รายละเอียดเพิ่มมาแบบจากเดิมนักร้องมันก็ร้องแหกปากมันตามปกติ แต่นี่มันจะได้ยินเสียงแจ๊ดๆ เสียงแม้มปาก เสียงรอดไรฟันแบบที่พวกออดิโอไฟล์เค้าชอบฟังกันนั่นละ  เสียงเว้นช่วงแล้วนักร้องมันกลืนน้ำลาย เสียงหายใจแรงๆบางช่วง เสียงตอดเล็กตอดน้อยของเสียงเครื่องดนตรีมันมาหมด ขนาดนั้นเลย  โอ้โหเว้ย เจ๋งอ่ะ  กลางก็ชัดขึ้นหนาขึ้นด้วย มีมวลเหมือนฟังเสียงชัดถ้อยชัดคำ เสียงหนาขึ้น มีสเกลขึ้นเหมือนฟังจากเวทีใหญ่ๆ หรือไลฟ์มากกว่าไปฟังจากมินิคอมโปหรือฟังหน้าลำโพงแคบๆ อันนี้คือข้อดี
ส่วนข้อเสียแน่นอนว่ามีแน่นอนคือฟังไป 5 นาทีผมรู้สึกว่าแม่มแข๊งโป๊กเลยอะ แน่น หนา แต่แข๊ง เบสเอย กีตาร์เอยเล่นกันร๊อคจัง ชัดเป๋ะ ใส่กันรัวๆ ไม่มีคำว่านุ่มนวลในสารบบของแอมป์ตัวนี้เลย ฟังแรกๆเหมือนมีคนเอาสายไฟ AC เส้นใหญ่ๆแข๊งๆจับมาฟาดหัวผมรัวๆ  ก็มานั่งคิด เออฟังเพลงแรงๆเร็วๆสนุกดีนะครับ ดูหนังน่าจะมันด้วยเพราะเสียงแนวนี้มันเสียงแนวโรงหนังเลย ชัดเป๋ะ กระชับ อิมแพคแรง แน่น แต่ฟังเพลงช้าๆ หวานๆนี่บอกตรงว่าหมาไม่แดกเลยครับ เพราะความที่มันชัด เป๋ะ หนัก มันเลยขาดความออดอ้อน ออเซาะ ไม่มีความ laidback ไม่มีความหวานแบบแอมป์ฟังเพลงแพงๆที่เค้าให้กัน
มันคงทำได้ดีกับเพลงมันๆ กับดูหนังละนะครับ ผมคิดในใจพร้อมลุกไปพักหู และกินน้ำแป๊ป



จังหวะนี้ผมปิดเพลงแป๊ปนึง เอามือทาบอกแล้วอุทานเบาๅ "คุณพระ" นี่ที่ผ่านมาเราทนนั่งฟังซิสเต็มที่แอมป์มันขับลำโพงได้ไม่ถึง 50 % แบบนี้มาได้ไง  ลำโพงดีๆมันยังไปได้อีกไกลลิบ แต่เราดันใช้แอมป์แค่นี้ (125 วัตต์) เพราคิดไปเองว่า พอแล้ว ห้องเล็กจะอะไรกันนักหนา แค่นี้ก็พอ
พอได้แอมป์ที่กำลังมันถึงๆมาถีบลำโพงนี่เหมือนเอาปลานีโมโยนลงไปในบ่อฉลาม จากเดิมที่ว่ายสวยๆเนือยๆไปวันๆ วันนี้มันว่ายปรู๊ดปร๊าด กระชับกระเฉง  เหมือนมีคนมาเร่ง volume มาเติมรายละเอียดในทุกย่านไม่ว่าจะ เบส กลาง แหลม เค้นให้มันชัดขึ้นมาอีกหลายระดับ
และที่สำคัญนะครับคือเบสของเดิมเวลาฟังเพลงมันจะติดนุ่มย้วยนิดๆ ไม่ค่อยกระชับมาก เหมือนหนังกลองมันขึงไม่ตึงอะ แต่มาตัวนี้เหมือนเบสมันแน่นกระชับ ตึงเปรี๊ย ไม่มีก้องไม่มีบวมเบลอ ทุกช๊อตทุกเม็ดชัดแบบมีแรงเท่าไร่ตรูหวดเต็มที่ จ้าง 500 เล่น 5000 ไรงี้

 



ทีนี้พักกินน้ำหายใจหายคอมาก็เลยมาลองเปิดหนังดูต่อ ลองเรื่อง Edge of Tomorrow ครับ ผมชอบเรื่องนี้นะ ใครจะเปิดเรื่องอื่นก็ช่างเค้าแต่ผมชอบเรื่องนี้ อิอิ เปิดไปก็เลื่อนไปฉากต้นเรื่องที่พระเอกถูกส่งไปรบ 
ตอนนี้ต้องอธิบายก่อนว่า ผมต่อ emotiva กับคู่หน้าเท่านั้น ส่วนเซ็นเตอร์ กับเซอราวด์ยังใช้ AVR ขับอยู่เหมือนเดิม สาเหตคือสาย balance หมดเลยลองต่อแค่นี้ก่อน
ตอนนี้บรรยากาศดูหนังมันกลายเป็นว่าเสียงเอฟเฟคด้านข้าง เสียงระเบิด เสียงบรรยากาศพวกเสียงรอบๆ และเสียงเพลงในหนังมันดันดังและชัดข่มเสียงเอฟเฟคตรงกลางและเสียงพูดแบบเกินหน้ามากๆเลย ประสิทธิภาพของลำโพงคู่หน้ามันถูกขุดขึ้นมา เสียงช่วงจังหวะไหนที่มันแรงเสียงเอฟเฟคโหมเนี่ย สเกลเสียงของคู่หน้ามันจะพุุ่งดังชัดกว่าเดิม กระชับกว่าเดิม เสียงก้าวร้าวขึ้น หนักขึ้น พุ่งขึ้น ให้บุคลิกของลำโพงที่เข้าไปคล้ายพวกลำโพงพวก Home Cinema ที่เสียงสดๆชัดๆที่ผมเคยไปฟังตามบ้านลูกค้าในระดับนึงด้วย



ทีนี้ไม่หนำใจ ก็มาลองเปิดหนังหลายๆเรื่องลองดู เน้นเรื่องที่ดูบ่อย จำเสียงได้ พวกเอฟเฟคเสียงข้างๆ ระเบิด เสียงรถเสียงอะไรมันชัดเจน กระชับ หนักขึ้น ดังขึ้น เร้าใจมาก
ตอนนี้เอามือกุมหน้าอก ใจสั่นตุ๊บๆ นี่ต่อแค่สองแชนแนลยังมัน สด ชัดหนัก รายละเอียดดีขึ้นแบบนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปหาสายมาต่อ Center เพิ่มแล้วจะดูว่าเสียงจะดีขึ้นแค่ไหน









สุดท้ายก็สรุปเลย สั้นๆง่ายๆ เขียนมายาวแล้ว ขอสั้นๆมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย


ข้อดี
1. เป็นแอมป์ที่ดีและคุ้มตังมาก เพราะราคามันถูกจนน่าตกใจเมื่อเทียบกับวัตต์และคุณภาพ (เมืองนอกราครไม่แพงเลย) ถ้าคุณเอาเข้ามาได้แบบเสียค่าส่งและภาษีแบบถูกต้องอาจจะต้องบวกไปอีก 50% ของราคาแอมป์

2. เสียงดี เสียงดีในทีนี่คือมันเหมาะกับพวกชอบดูหนังอย่างเดียว คือหนักๆ เบสสดๆ แรงๆ (ตัวนี้ damping factor เยอะตั้ง 500-600 แนะ) จะเหมาะมาก เพราะมันดูหนังมันจริง สะใจจอร์จมาก ถ้าฟังเพลงช้าๆ หวานๆ อย่าคาดหวังครับ

3. สวยดีครับ หน้าตาดุดัน ไฟสีฟ้าตอนทำงานสวยสด ดูราคาแพงมาก

4.ไม่มีฮัม ไม่มีเสียงรบกวนออกลำโพง แถมใช้นานๆ เอามือไปจับก็ไม่ค่อยร้อนด้วยนะ เฮ้ย แม่มเทพจริงๆ

5. Klipsch ทั้งซิสเต็มเข้ากันได้ดีมากๆกับ Emotiva มิน่าทำไมฝรั่งที่ใช้ klipsch เค้าถึงชอบใช้ emotiva กัน มันเข้ากันได้ดีแบบนี้นี่เอง

6. เสียงรวมๆทั้งระบบทั้งลำโพง แอมป์ ซับ เสียงกระเดียดไปทางลำโพงโรงหนัง คือชัดมาก สดมาก หนักมาก สเกลเสียงใหญ่โต พุ่งทะลุทะลวง คือถ้าหน้าตาลำโพงเป็นตัวเล็กๆแบบพวกลำโพง THX นี่จะไม่สงสัยเลย




ข้อเสีย
1. Emo งานประกอบไม่ค่อยเรียบร้อย ผมเจอขั้วต่อ rca มันไม่ค่อยเรียบร้อยคือไม่ตรงขนานกับพื้นหนึ่งแชนแนล ลองต่อดูก็ไม่มีปัญหาอะไรเสียงปกติดี แต่แค่รู้สึกว่ามันไม่เรียบร้อยอะ

2. หนัก อย่ายกคนเดียวเสี่ยงต่ออุบัติเหตและสุขภาพหลัง

3.ทั้งซิสเต็มรวมเข้าแก๊งกันแล้ว เสียงไม่หวาน ไม่นุ่มนวลเลย กลายเป็นบุคลิกแบบแก๊งโหด หนัก ใครชอบแอมป์เบสหนัก รายละเอียดดี ชัด สด แนวดูหนัง ตัวนี้เลยไม่มีตัวไหนคุ้มไปกว่านี้อีก แต่ถ้าจะเอาอ่อนช้อย หวาน ใบไม้ปลิวไหวนี่เขวี้ยงทิ้งไปเลย คนละแนว เสียงแข๊งโป๊ก แน่นปั๊ก

4. ไม่มีตัวแทนในไทย หาซื้อไม่ได้ ต้องชิปมาเองส่งเครื่องบินก็โหดร้ายน้ำหนักกิโลละประมาณ 750 (ใครขนมาได้ถูกๆแจ้งผมด้วยจะฝาก) หรือถ้าชิปเรือก็ต้องยอมรับความเสี่ยงกับภาษีและความนาน เผลอๆโดนกักของนานหลายเดือน ทำใจได้หรือเปล่า ยิ่งโดยเฉพาะสมัยนี้เข้มงวดมากด้วยนะ จะหาว่าไม่เตือน หรือไม่งั้นก็ต้องหามือสองเอา ซึ่งหายากกก
ก่อนนั้นบ้านเรานี่มีนะกึ่งๆตัวแทนกึ่งๆนำเข้ามาขายเอง เขาเอาเข้ามาขายราคาก็ดีใช้ได้ แต่เลิกขายไปแล้ว

5. ไม่รู้ว่าเอา Emo ไปจับกับลำโพงเสียงหวานๆหรือยี่ห้ออื่นแล้วจะเป็นยังไง อันนี้ต้องลองเอาเอง เสี่ยงกันดูเพราะยี่ห้อนี่บ้านเราคนใช้น้อย

 



จบแล้วจ้า ประทับใจนะครับกับซิสเต็มนี้ ทั้งลำโพง Klipsch RP-280F และ ซับวูฟเฟอร์ R115SW ที่หนักและกระชับ
ยิ่งได้แอมป์ Emotiva XPA3 มาขับ RP-280F นี่ไปได้ไกลและเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย  ส่วนตัวคิดว่าถ้าเปลี่ยนปรีดีๆ หาสายสัญญาณดีๆ สายลำโพงดีๆ ปรับอคูสติกห้อง เซ็ทอัพใหม่ มันน่าจะไปได้อีกไกลโข  แต่ผมขอหยุดไว้แค่นี้ก่อน  พอก่อนค่อยๆเล่นๆ ค่อยๆลอง ค่อยๆเทสไป เพราะผมไม่ใช่นักเซ็ทอัพหรือคนขายที่ต้องใช้ของดีที่สุดไฮเอ็นท์ที่สุด เปอร์เฟคที่สุด
แต่ผมเป็นคนเล่น คนขายธรรมดาที่หาข้อมูลเอง เล่นเอง เจ็บเอง จ่ายเอง ไม่มีใครออกทุนให้รีวิว หรือให้ยืมของมาแล้วให้เป็นหน้าม้า ตัวไหนเล่นแล้วชอบก็เชีย ตัวไหนเล่นแล้วไม่ชอบใจก็ไม่เชีย ไม่ขายบอกกันตรงๆแบบนี้ละ
ผมให้คำแนะนำกับลูกค้าได้ในระดับนึงว่าตัวไหนดีตัวไหนเหมาะ ในแนวทางของผม ความชอบของผม  ส่วนคนที่จะตัดสินใจว่าเสียงแบบไหนดีที่สุด ใช่ที่สุดเหมาะที่สุดกับตัวคุณ ก็คือ "คุณเอง" ครับ อย่าลืมว่ารสนิยมและความชอบคนเรามันเป็นเรื่องปัจเจก บางทีผมว่าดี แต่คุณไม่ชอบ  หรือคุณชอบแต่ผมไม่ชอบก็ได้นะครับ

ขอให้มีความสุขในการดูหนังฟังเพลงครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบและติดตามกัน











 

Spec Emotiva XPA3(Version ใหม่) ราคา 800 เหรียญ(ถ้าคุณอยู่อเมริกา) :


    Number of channels: 3
    Power output (all channels driven):
    330 watts RMS @ 4 ohm (<0.1% THD)
    200 watts RMS @ 8 ohm (<0.1% THD)
    Rated power bandwidth: 20 Hz to 20 kHz +/- .075 dB
    Minimum Recommended Load: 4 Ohms
    Broadband Frequency response: 10 Hz to 80 kHz, +0 -1dB
    Amplifier gain: 29 dB
    THD + noise: <0.05%
    Signal to Noise Ratio, A-weighted:
    1 watt: > 96 dB
    Full power: > 118 dB
    Damping Factor: > 500 into 8-ohm load
    Input impedance:
    unbalanced: 23.5 kohms
    balanced: 33 kohms
    Power supply: 850 VA toroidal transformer with 60,000uF storage
    Input Sensitivity (for rated power; 8-ohm load): 1.1 V load
    Trigger Input: 5 - 20 V (AC or DC);
    Trigger Output: 12 VDC; can drive any load up to 100 mA
    Power Requirements: 115 VAC or 230 VAC +/- 10% @ 50 / 60 Hz
    Size:
    unboxed: 17” wide x 7 3/4” high x 19” deep
    boxed: 23 1/2" wide x 12" high x 24 3/4" deep
    Weight: 57.5 lbs (68.5 lbs boxed)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 15, 2015, 04:56:24 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


Soundbar vs Surround Sound

หลายท่านคงเคยมีคำถามในใจกันมาบ้างนะครับว่าจะเลือก Sound Bar หรือจะเลือก Home Theater แยกชิ้นที่ระบบเสียงเป็น Surround Sound ดีกว่ากัน แบบไหนมีข้อดีข้อด้อยยังไง
วันนี้เราแปลบทความจาก Klipsch ที่พูดถึงการตัดสินใจเลือกระบบเสียงแบบ SoundBar และ Surround Sound มาเป็นภาษาไทยมาให้อ่านกันดูเล่นๆครับ เผื่อจะจุดประกายไอเดีย และช่วยตัดสินใจในการเลือกลำโพงประจำบ้านของเพื่อนๆกันได้ไม่มากก็น้อยครับ

บทความต้นฉบับคลิ๊กที่นี่เลย: http://www.klipsch.com/blog/soundbar-vs-surround-sound/





---------------------------------------------------------------------------------


Soundbar vs Surround Sound

ความแตกต่างของ Sound Bar และ Home Theater System นั้นมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันหลายด้านทั้งเรื่องการเซ็ทอัพ คุณภาพเสียงและความง่าย ความสวยงามของห้อง เรามาดูกันครับว่าแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียอย่างไร





SoundBars

มีจุดเด่นคือดีไซน์ที่สวยงาม เพรียวบาง ติดตั้งง่ายใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที เสียบปลั๊ก เสียบสาย และยังสามารถจำลอง (simulate) เสียงแบบ Surround sound ได้ประหนึ่งชุดโฮมเธียร์เตอร์แบบแยกชิ้นได้อีกด้วย
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเสียง Surround ที่จำลองมาจาก SoundBars นั้นจะสามารถมาแทนที่เสียงจากชุดแยกชิ้นที่มีทั้งลำโพงคู่หน้า เซ็นเตอร์ เซอราวด์ได้ เพราะด้วยคุณภาพเสียง และบรรยากาศนั้นยังไงชุดแยกชิ้นก็ให้น้ำหนัก และบรรยากาศเสียงที่ดีกว่า
ลำพังเสียง Surround ที่จำลองมาจาก SoundBars นั้นจึงเป็นแค่การจำลองและสร้างบรรยากาศที่ให้ดูเสมือนว่ารอบทิศทาง (Surround) ที่ดีกว่าระบบเสียงจากลำโพงทีวีที่ทั้งแฟลทและไร้น้ำหนักนั่นเองครับ




ทีนี้เรามาดูข้อดีข้อเสียทีละข้อของ Soundbar กันครับ

ข้อดี:
- ติดตั้งง่าย มีช่องต่อน้อยชิ้นสามารถเสียบและใช้งานได้ง่ายๆไม่ยุ่งยาก
- ไม่ต้องใช้สายเยอะ soundbar บางชิ้นอาจใช้สายแค่เส้นเดียว หรือไม่ต้องใช้สายเลย (Wireless) ต่างจากชุดแยกชิ้นที่ต้องมีสายระโยงระยางทั่วทั้งห้อง
- รูปลักษณ์สวยงาม ดูทันสมัย เอาใจแม่บ้านไม่เกะกะ ทำความสะอาดง่าย
- ให้เสียงที่ดี สวยงาม และไม่เปลืองพื้นที่ในห้องขนาดไม่ใหญ่จนถึงปานกลาง เช่นคอนโด ห้องนอน ทาวเฮ้าท์
- ให้เสียงที่สมจริง เป็นธรรมชาติ และสามารถจำลองเสียงรอบทิศทางได้ด้วย


ข้อเสีย:
- ลำพังตัว Soundbar เสียงจะไม่หนักแน่นมากเพราะขนาดที่เล็ก จึงอาจต้องการ ซับวูฟเฟอร์แยก เช่น R10B, R20B เพื่อเสริมเสียงเบสให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
- ตำแหน่งที่วางของ Soundbar อาจไม่คลอบคลุมทั้งห้อง และอาจเกิดปัญหาเสียงที่แตกต่างกันในแต่ละจุดที่นั่งฟังได้ (Sweet spots)
- การจำลองเสียงรอบทิศทาง (Surround) จะสู้ชุดแยกชิ้นไม่ได้ ทั้งความสมจริง การแพนเสียงรอบทิศทางในแต่ละแชนแนล และน้ำหนักเสียงจะด้อยกว่าชุดแยกชิ้น ยิ่งโดยเฉพาะถ้าพื้นที่ห้องมีขนาดใหญ่ คุณภาพจะยิ่งแย่ลง





Surround Sound System

ข้อดี:
- ให้เสียงรอบทิศทาง (surround) ได้สมจริง ตามจำนวนลำโพงที่เลือกใช้ ยิ่งมากชิ้น ความสมจริงก็ยิ่งมากขึ้น เช่น 5.1, 7.2, 9.2
- สามารถเซ็ทอัพลำโพงแต่ละแชนแนล ทั้งตำแหน่งการวาง องศา การโทอิน เพื่อช่วยให้คุณภาพเสียงดีและลดจุดด้อยของห้องแต่ละห้องได้อิสระ
- ให้เสียงที่หนักแน่น และสมจริง หนักหน่วงกว่า Soundbar มาก
- ชุดแยกชิ้น ให้ภาพลักษณ์ และความรู้สึกที่ดูเป็นมือโปร ดูหรูหรา เอาจริงเอาจังกว่า แขกไปใครมาสามารถโชว์ชุดโฮมของเราได้อย่างน่าภาคภูมิ อีโมติคอน kiki


ข้อเสีย:
คุณภาพของชุดแยกชิ้นที่จะให้เสียงดีหรือแย่มีเงื่อนไขค่อนข้างมาก ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ เช่นลำโพง สายลำโพง สายสัญญาณ เครื่องเล่น แอมป์ ระบบไฟ การขาดหรืออุปกรณ์ชิ้นใดคุณภาพไม่ดี ก็อาจทำให้ระบบเสียงทั้งระบบแย่ลงได้
ใช้พื้นที่จัดวางมาก ชุดรอบทิศทางอาจต้องการพื้นที่จัดวางมากหน่อย สมมติอย่างต่ำ 10 ตรม ขึ้นไป แต่ถึงมีพื้นที่ก็จะต้องแลกกับทัศนียภาพของห้อง และพื้นที่ในห้องต้องลดลง ซึ่งปัญหานี้อาจกระทบความสัมพันธ์กับผู้ร่วมอาศัยในบ้านหรือห้องนั้นได้ เช่น ผบทบ อีโมติคอน kiki
ใช้เวลาเซ็ทอัพ ปรับแต่งเสียงมาก ยุ่งยากในการปรับเปลี่ยนหรือโยกย้ายแต่ละที อาจทำให้เหงื่อตก และใช้เวลาพอสมควร เช่น สายสัญญาณ สายลำโพง การปรับแต่งเสียงใน avr, pre/pro
ชุดแยกชิ้นที่มีคุณภาพเสียงที่ดีก็ยิ่งราคาแพง ยิ่งคาดหวังเสียงที่ดีมากเท่าไร่ ก็เท่ากับเงินในกระเป๋าต้องจากเราไปเยอะเท่านั้นครับ ชุดแยกชิ้นมีตั้งแต่ระดับสองหมื่นบาท ไปจนถึงหลักล้านบาท T_T

ท้ายที่สุดแล้วความพอใจของผู้ใช้งาน สภาพห้อง คอนดิชั่น และความจำเป็น รวมไปถึงกำลังทรัพย์ของแต่ละคนจะเป็นตัวตัดสินใจว่าชุดแบบไหนที่เหมาะกับตัวเรา บางทีคุณภาพเสียงก็อาจไม่ใช่ปัจจัยสุดท้ายที่ใช้ตัดสินใจ แต่บางคนอาจมองความสะดวกสบาย คนรอบข้าง และอุปกรณ์ที่มีอยู่ก็เป็นปัจจัยหลักที่ควรคำนึงถึงครับ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 31, 2016, 08:22:01 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
วันนี้เรามี review สินค้าใหม่ล่าสุดของ Harmankardon มาฝากกันครับ นั่นคือ AVR receiver amp รุ่น AVR171



เป็นที่รู้กันนะครับว่าไลน์สินค้าตัวเก่าอย่าง AVR370, AVR270, AVR 170 นั้นได้เลิกการผลิต (discontinued) ไปเป็นที่เรียบร้อย
และได้มีสินค้าตัวใหม่อย่าง AVR171, AVR161, AVR151 มาแทนที่

ผมเป็นสาวกตัวยงของแบรน Harman ชื่นชอบน้ำเสียงและความหนักแน่นและใช้สินค้ามาหลายต่อหลายรุ่นจึงจะมารีวิวสั้นๆให้พอได้ไอเดียว่า avr ตัวนี้มีบุคลิกเป็นอย่างไรและเหมาะกับการใช้งานของท่านหรือไม่นะครับ





Specification
•Stereo power: 100 watts per channel, two channels driven @6/8 ohms, 20Hz – 20kHz, <0.07% THD
• Multichannel power: 100 watts per channel, two channels
driven @ 6/8 ohms, 20Hz – 20kHz, <0.07% THD
• Input sensitivity/impedance: 250mV/27k ohms
• Frequency response (@ 1W): 10Hz – 130kHz (+0dB/–3dB)
• Power consumption: <0.5W (standby); 510W maximum
• Dimensions (H x W x D): 121mm x 440mm x 300mm
(4-3/4" x 17-5/16" x 11-13/16")
• Weight: 5.1kg (11 lb)



สิ่งแรกที่พัฒนาให้ดีขึ้นของแอมป์ตัวนี้นะครับ
1. ดีไซน์ รูปร่างหน้าตานั้นดูโฉบเฉี่ยว สวยงาม เพรียวบางขึ้นเล็กน้อย แถมปุ่มปรับเพิ่ม volume แบบเรืองแสงนั้นนั้นดีไซน์มาแบบใหม่คือฝังลงไปกับตัวเครื่องเลย แทนที่จะลอยนูนขึ้นมาเหมือนฝาพลาสติกแบบรุ่นก่อน คราวนี้ใช้แค่นิ้วชี้คลึงๆหมุนๆก็ได้แล้ว

2. Tonal balance ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างคือน้ำเสียง คราวนี้เสียงไม่ได้เน้นโทนเสียงต่ำหรือเสียงเบสหนักๆแบบรุ่นก่อนแล้ว คราวนี้เสียงเบสเหมือนถูกจูนให้พอดีๆ และเหมาะกับเสียงกลางและเสียงแหลม ถ้านำไปดูหนังเสียงต่ำก็ยังหนักแน่น กระแทกๆสไตล์ Haman นั่นแหละครับ แต่ลดความหนาลงนิดหน่อย จะไม่ได้บ้าเบสชนิดได้ยินแต่เสียงต่้ำนำแบบรุ่นก่อนๆเท่าไร่นะ แต่ถ้าเอาไปฟังเพลงนั้นต้องบอกเลยว่า กำลังพอดีครับ พอเหมาะกับแนวเพลงสนุกๆ ป๊อปร๊อคหรือดนตรีอิเล็กทรอนิกกำลังดีเลยครับ

3. น้ำหนักตัวเครื่อง เป็นที่รุ้กันว่า AVR รุ่นใหม่เปลี่ยนมาใช้ digital switching แทนหม้อแปลงแบบเก่าตั้งแต่รุ่นก่อนคือ AVR 370 รุ่นใหม่ก็ยังใช้ digital อยู่ แถมน้ำหนักก็เบาลงกว่า 370 อีก นั่นคือหนักแค่ 5.1 kg เท่านั้นครับ ถือมือเดียวบนฝ่ามือยังได้เลย





มาดูข้อเสียกันบ้างนะครับ
1. ตัดช่อง pre-out ออก ใครคิดจะซื้อมาต่อบายพาสกับ Int amp ขับแค่คู่หน้า ตัดตัวนี้ทิ้งได้เลยครับ เพราะต่อ bypass ไม่ได้แล้ว แต่ข้อดีคือการตัดฟังก์ชั่นต่างๆที่ไม่จำเป็นออกไป ให้เหลือแต่ฟังก์ชั่นที่ใช้งานจริงๆนั้น ทำให้การทำงานต่างๆนั้นสมูทและลดปัญหาดีเฟคของลูกเล่นอื่นๆลงไปได้ครับ

2. เมื่อมีข้อดีเรื่อง tonal balance ก็ต้องมีข้อเสียครับ นั่นคือเบสลดความหนาลงนิดหน่อย สำหรับคนชอบเสียงเบสหนาๆ ตัวนี้ลดลงกว่าตัวก่อนนิดนึง แต่ได้ความสมดุลมาแทน ส่วนความกระแทกกระทั้นนั้นยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงครับ เสียงกลางก็ดีขึ้นด้วยเพราะได้ยินชัดเจนขึ้น

3. กำลังขับลดลง 25 watt ตัวเก่านั้นกำลังขับ 125 watt/channel
ส่วนตัวใหม่เหลือ 100 watt/channel ถามว่าเพียงพอมั๊ยกับลำโพงทั่วๆไป ก็ต้องตอบว่าเหลือเฟือครับ ก็จะมีแค่ลำโพงตั้งพื้นบางตัวที่บริโภควัตต์เยอะๆ ที่ต้องพิจารณาดูให้ดีว่าจะขับไหวมั๊ย แต่อย่าลืมว่าวัตต์ของ AVR Harman นั้นมาเต็ม และไม่มีแป๊ก เผลอๆวัดด้วยเครื่องวัดยังได้เกินสเปกที่ระบุไว้ด้วยซ้ำครับ

4. เสียงแหลม ข้อนี้ยังคงเป็นข้อเสียสำหรับสาวก AVR Harman มาทุกรุ่นครับนั่นคือแหลมไม่ทอดยาวเหมือนยามาฮ่า เสียงกลางไม่หวานเหมือนมาร้านซ์ แต่ใครที่ไม่ชอบเสียงแหลมแบบแสบแก้วหู และชอบเสียงหนักๆกระแทกๆ ตัวนี้ตอบโจทย์คุณได้แน่นอนครับ

5. Remote control รุ่นใหม่นี้รีโมทใช้ยากและแอบโบราณเล็กน้อย ต้องคุ้นเคยกับมันสักนิดครับ แต่ถ้าใช้จนชินแล้วก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด ลูกเล่นการปรับเสียงต่างๆนั้นก็ยังให้มาครบครันเช่นเดิม

สรุปสุดท้ายคือ AVR 171 ตัวนี้ไม่ใช่แอมป์ที่เสียงดีที่สุดครับ แต่ถ้าชอบสไตล์เสียงหนักแน่น กระแทกกระทั้น ดูหนังสนุก ฟังเพลงรุ่นใหม่ก็เนียนเพราะขึ้นเยอะ ยี่ห้อนี้ ตัวนี้เทียบราคากำลังวัตต์ต่อบาทแล้ว คุ้มและถูกที่สุดในท้องตลาดแล้วครับ กับราคา 100 วัตต์แค่ 2x,xxx บาท ไม่มียี่ห้อไหนที่ให้เสียงเบส เสียงต่ำ และดูหนังสนุกได้ในราคาแค่นี้อีกแล้วครับ ถ้าจะมีก็คงเป็น Pioneer, Anthem ที่คุณต้องจ่ายขั้นต่ำ 4-5 หมื่นขึ้นไป นับว่าเป็นแอมป์ AVR ราคาประหยัดที่ให้เสียงดีเหมาะกับการดูหนังที่สุดยี่ห้อหนึ่ง นอกจากนี้ยังไม่มียี่ห้อไหนทำเสียงได้คล้ายแบบนี้ ในราคาแบบนี้อีกแล้วครับ

ส่วนใครที่กลัวปัญาจุกจิกของยี่ห้อนี้ที่เคยมีมาในรุ่นก่อนๆ ต้องบอกว่านับตั้งแต่ใช้มาหบายเครื่องก็ไม่เจอปัญหาอะไรให้หนักใจเลยแม้แต่ตัวเดียวครับ


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Review Harman AVR171 จากต่างประเทศ:
http://www.whathifi.com/harman-kardon/avr-171/review
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 16, 2015, 07:54:01 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Sherwood Newcastle R-977




วันนี้เรานำรีวิว AV Receiver ตัวท๊อปจากบริษัทผู้ผลิต AV receiver ชั้นนำสัญชาติอเมริกันมาฝากกันครับ
ต้องยอมรับอย่างนึงว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นชื่อเสียงของ AVR ในนาม Sherwood จะอยู่ในวงจำกัดและไม่ high-end เท่าไร่ แต่กลับกันถ้าลงมาดูที่คุณสมบัติและคุณภาพของ AVR ในแบรนด์นี้ พบว่าเมื่อเทียบราคาต่อวัตต์และฟังก์ชั่นแล้วกลับมีราคาที่ถูกและคุณภาพไม่แพ้ใครเลยทีเดียว






มาดูฟังก์ชั่นพื้นฐานของ R-977 กันว่าทำอะไรได้บ้าง ตัวนี้มีกำลังขับ 145 watt ที่ 6 ohms หรือ 125 watt ที่ 8 ohms
พละกำลังถือว่าขับลำโพงตั้งพื้นทั่วไปในท้องตลาดได้เกือบทุกตัว ยกเว้นว่าจะนำไปขับลำโพงตัวใหญ่หรือขับยากจริงๆ

ตัวนี้สามารถเชื่อมต่อ wireless และเชื่อมต่อ Bluetooth เชื่อมต่อ iPod/iPhone/iPad และสามารถรับฟัง Internet radio/Media server ได้ด้วย และมีฟังก์ชั่น DAC รองรับการถอดรหัสสัญญาณ digital เป็น analog แบบ 192kHz/24bit และสามารถ ทำ Video Up-Scaling เป็น 1080p Full HD ได้ และรองรับการถอดรหัส Dolby True HD และ DTS HD ในส่วนของช่องการเชื่อมต่อจะมี HDMI in 6 ช่อง และ HDMI out 2 ช่อง ก็ถือว่าพอเพียงต่อการใช้งานครับเมื่อเทียบกับ AVR ทั่วๆไปในท้องตลาด

ตัวนี้ยังสามารถรองรับการแบ่ง zone ห้องฟังได้ถึง 3 zones ด้วยกัน แถมด้วยรีโมทแยกอิสระมาให้ใช้งาน พร้อมกับไมค์สำหรับเซ็ทอัพปรับแต่งเสียงแบบอัตโนมัติ
และที่จะขาดไปไม่ได้เลยคือมีฟังก์ชั่นสามารถต่อ preout เพื่อเอา Power amp หรือ int amp ขับลำโพงแต่ละแชนเนลแยกได้ ซึ่งฟังก์ชั่นนี้ผมว่าเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นพื้นฐานที่ AVR คุณภาพดีๆสักตัวหนึ่งควรจะมีครับ
ก็นับว่าครบถ้วนครับสำหรับ แอมป์รุ่นเรือธงที่ให้ฟังก์ชั่นและสเปกมาครบๆแบบนี้


ทีนี้มาดูเรื่องเสียงกันบ้าง R-977 ตัวนี้แนวเสียงจะมีความสมดุลสูงมาก มี tonal balance ที่ดีจนน่าตกใจ เพราะปกติเวลาเราเลือก avr ในงบ 2-3 หมื่นบาทนั้นเราจะพบว่าเสียงที่ได้ในแต่ละยี่ห้อจะเด่นและด้อยในแง่ต่างๆกันไป ไม่มียี่ห้อไหนที่ให้เสียงเด่นในทุกๆด้าน เช่น ถ้าคุณเลือก Harman kardon ในงบเท่านี้คุณจะได้เบสหนักๆกระชับๆ แต่ขาดกลางและแหลมที่ดี
แต่กลับกันคุณเลือก Yamaha คุณจะได้แหลมที่ดี เป็นประกายทอดยาว บรรยากาศโอบล้อมดีเยี่ยมแต่เบสจะค่อยข้างบาง
และถ้าคุณเลือก onkyo คุณจะได้เสียงกลางและแหลมที่หวานและทอดยาว มีน้ำหนัก เบสที่ดีกว่า Yamaha นิดหน่อย แต่บรรยากาศโอบล้อมก็สู้กับ Yamaha ไม่ได้

แต่สำหรับ R-977 มันเหมือนกับหยิบ Yamaha, Onkyo, Harman kardon, Marantz มาผสมใส่เครื่องปั่นแถมหยอด Int amp เข้าไปปรุงแต่งรสพอให้มีรสชาติอีกนิดหน่อย ออกมาก็กลายเป็น Sherwood Newcastle R-977 ตัวนี้เลยก็ว่าได้

เสียงที่ได้ในการดูหนังถ้าลงมือเซ็ทอัพให้ดีแล้ว บรรยากาศโอบล้อมดีเยี่ยม มีเสียงเฟี้ยวฟ้าว การแพนเสียง การแยกแยะดีมาก ถ้าถามว่าดีเท่า Yamaha รุ่นสูงๆมั๊ยต้องตอบว่าไม่ถึงขนาดนั้น แต่ได้ในระดับนึงที่น่าพึงพอใจครับในงบ 3-4 หมื่นบาทเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นครับ
และน้ำหนักเสียง แรงกระแทกถือว่าให้มาพอเหมาะสำหรับดูหนัง คือไม่ได้หนักเท่า Harman kardon ที่ตูมๆกันทั้งเรื่อง แต่ก็ให้รายละเอียดเสียงที่ดีมาแทนครับ ช่วง soundtrack ของหนัง เสียงพูด เสียงบรรยากาศต้องบอกว่าดีและสมดุลมากๆ ไม่น้อยไปไม่มากไป


ส่วน highlight เลยคือการฟังเพลงครับ ปกติห้องฟังของเราจะมี int amp อยู่ด้วย สิ่งที่น่าตกใจคือ R-977 ให้เสียงในการฟังเพลงที่ดีมาก ต่างจาก avr ทั่วๆไปที่เมื่อนำมาฟังเพลงแล้วจะมีปัญหาเสียงไม่ค่อยดีเท่าที่ควร การเว้นช่องไฟ น้ำหนักเสียงบางไปบ้าง กัดหูบ้าง หนักไปเบสกลบเสียงกลางแหลมบ้าง การเว้นช่องไฟไม่ค่อยเหมาะกับเพลงบ้าง
แต่ตัวนี้เสียงที่ได้ถือว่าเนียนมากครับ ที่เด่นที่สุดคือเสียงกลางครับ เสียงกลางมีน้ำเสียงที่ชัด ใส และมีรายละเอียดสูงกว่า Int amp บางตัวในงบไม่เกิน 30,000 บาทเสียอีก เมื่อนำเพลงไทยทั่วๆไปมาฟังสิ่งที่จับสาระได้ชัดเจนคือเสียงร้องมันหวาน มีรายละเอียดดีเข้าถึงอารมณ์ของดนตรีได้ดีมากๆ เสียงแหลมทอดไกลพอประมาณ ไม่กัดหู สิ่งที่ติมีนิดเดียวนั่นคือเบสไม่ได้ให้มาเยอะมากนักถ้าเทียบกับ Harman kardon แต่ถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นๆหรือนักฟังเพลงแนวทั่วๆไปที่ไม่ได้ฟังเพลงที่เน้นเบสเยอะๆอย่างพวก Drun & Bass, Trance หรือ Metal ก็นับว่าเพียงพอและฟังได้ดีเยี่ยม

เมื่อเทียบราคาค่าตัว 3x,xxx บาทกับสิ่งที่ได้มานั้น ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชั่นที่สามารถต่อ preout ในอนาคตเพื่อขับลำโพงที่ขับยากๆ และฟังก์ชั่นในการดูหนังที่ให้เสียงที่สมดุลทุกย่านเสียง และสุดท้ายที่เหมือนเป็นของแถมสำหรับ AVR ยี่ห้ออื่นๆ แต่กลับเป็นจุดเด่นสำหรับ R-977 นั่นคือการฟังเพลงที่ให้เสียงกลางที่ดีมากๆ เหมาะกับการฟังร้องได้ดีทีเดียว


สรุปข้อดีข้อเสียของ R-977

ข้อดี
1. ฟังเพลงได้ดีมาก ให้ความลื่นไหล และความเป็นดนตรีสูง เสียงกลางดีมาก

2. ดูหนังให้ความสมดุลทุกย่านเสียง ไม่หนักไปทางใดทางหนึ่ง

3. มีฟังก์ชั่น preout ให้ครบทุกแชนแนล

4. สำหรับใครที่ชอบเชื่อมต่อฟังเพลงจาก usb หรือต่อ Iphone, ipod ก็สามารถฟังเพลงได้โดยตรง

5. หน้าจอ ปุ่มการใช้งานที่ตัวเครื่อง และรีโมท ดีไซน์มาใช้งานง่าย สะดวกและดูหรูหรามีราคา ถ้ารีโมทหายก็สามารถใช้งานที่ปุ่มหน้าเครื่องได้แบบไม่ลำบายากเย็นนัก

ข้อเสีย
1. ในการใช้งานจริงเวลากดเปลี่ยนแชนแนล ตัวเครื่องมีการตอบสนองค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น เช่นเราเปิดแชนแนล HDMI1 อยู่ แต่อยากจะสวิทซ์ไป HDMI2 เวลากด remote อาจจะรอนิดนึง (3-4 วินาที)

2. เสียงต่ำ หรือเสียงเบสเวลาฟังเพลงหรือดูภาพยนตร์อาจมีปริมาณน้อยไปนิดนึงถ้าเทียบกับ Harman kardon, Anthem แต่เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆก็ถือว่าพอเพียงถ้าคุณไม่ได้เน้นตูมตามมากนัก แต่ก็ได้เสียงกลางและแหลมที่ดีมีรายละเอียดมาแทน

3. ยังไม่รองรับระบบเสียงแบบใหม่ Dolby Atmos (ก็แหงนะครับ เพราะ R-977 มันออกมาก่อน Dolby Atmos ซะอีก)

4. ราคาที่เพิ่งปรับขึ้นมาใหม่เมื่อเทียบวัตต์ต่อวัตต์แล้วถือว่าเสียแชมป์ความคุ้มค่าเรื่องราคาให้กับ Harman kardon ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเมื่อเทียบ
125 watt ที่ 8 ohms เท่ากัน ราคาใหม่ของ R970 นั้นจะสูงกว่าของทางค่าย Harman 370 ตัวเก่าไปเรียบร้อยแล้ว

ท้ายสุด AVR Sherwood R-977 ตัวนี้ที่เมืองนอกขึ้น discontinued (หยุดสายการผลิต) ไปเรียบร้อยหลายเดือนแล้ว ถ้าใครที่คิดว่าจะหาแอมป์ที่ให้เสียงไม่หนักไปทางใดทางหนึ่ง ให้เสียงที่สมดุล ให้บรรยากาศการในการแยกแยะเสียงในแต่ละแชนแนลที่ดี มาใช้ดูหนังฟังเพลง หรือจะเอาไว้ต่อ preout กับ power amp หรือ int amp ในอนาคตก็ถือเป็นโอกาสทองที่จะได้คว้า avr R-977 ในราคาที่ถือว่าคุ้มค่าที่สุดตัวหนึ่งในท้องตลาดตอนนี้มาไว้ในครอบครอง ก่อนที่จะพลาดโอกาสและอดเป็นเจ้าของ avr ตัวนี้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 16, 2015, 07:56:03 am โดย keamglad »