ผู้เขียน หัวข้อ: What's That Sound ขาย Klipsch, KEF, Procella , SVS, Anthem, Parasound,Audyn  (อ่าน 329688 ครั้ง)

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์

Sensitivity

เคยสงสัยมั๊ยครับว่า ค่า Sensitivity ที่เขียนอยู่ข้างๆกล่องลำโพงทุกคู่ที่เราซื้อมานั้นมันมีความหมายและสำคัญอย่างไร ?
Sensitivity คือค่าที่บอกว่าลำโพงตัวนั้นให้ความดังได้กี่เดซิเบลถ้าเราใช้แอม 1 วัตต์ (นั่งห่างจากลำโพงประมาณ 1 เมตร)




เช่นลำโพงทั่วๆไปที่ค่า sensitivity = 87

ถ้าเราใช้แอมป์ 1 วัตต์ นั่งฟังห่างหนึ่งเมตร ลำโพงจะเปร่งเสียงได้ 87 เดซิเบล

ถ้าเราเพิ่มกำลังแอมป์เข้าไปที่ 2 วัตต์ จะได้พลังเสียงเพิ่มขึ้นเป็น 90 เดซิเบล

ถ้าเราเพิ่มกำลังแอมป์เข้าไปที่ 4 วัตต์ จะได้พลังเสียงเพิ่มขึ้นเป็น 93 เดซิเบล

ถ้าเราเพิ่มกำลังแอมป์เข้าไปที่ 8
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 07, 2015, 01:15:10 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


พรีวิว PSB Imagine X2T กรุ่นกลิ่นไอใบเมเปิล และดินแดนที่กว้างใหญ่จากจากแคนาดา

ผมเป็นคนชอบแผ่นเสียงมากครับ เมื่อไร่ที่ได้ไปบ้านลูกค้าที่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียง ผมมักจะมีโอกาสได้ฟังซิสเต็มลูกค้าเสมอๆ และเมื่อวันก่อนผมก็ได้มีโอกาศเติมเต็มประสบการณ์ในการฟังเพลงกับการไปจัดส่งลำโพงตั้งพื้นสัญชาติแคนาดา PSB Imagine X2T ให้ลูกค้าที่หมู่บ้านกฤษดานคร ซิตี้ กอลฟ์ฮิลล์

เรื่องเริ่มจากลูกค้าอยากได้ลำโพงฟังเพลง และเป็นแฟนประจำสินค้าแบรนด์ PSB และอยากได้ลำโพงมาฟังเพลงกับซิสเต็ม 2 channel (Int amp Roksan) แต่ลูกค้าไม่อยากได้ลำโพงที่เสียงนุ่มและฟังสบายเกินไป อยากได้ลำโพงที่เสียงสดสักนิด แต่ก็ไม่อยากได้สดเกินไปแบบลำโพงดูหนัง
หวยเลยออกมาที่ลำโพงซีรี่ย์ใหม่ของ PSB นั่นคือ Imagine X2t ลำโพงตั้งพื้น 3 ทางรุ่นใหญ่สุดในซีรี่ย์



---------------------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้ในรูปแบบเว็บไซต์ได้ที่นี่: http://goo.gl/NIiVaY
---------------------------------------------------------------------------

ตัวนี้มีสองสีให้เลือกคือ Cherry, Black ลูกค้าเลือกตัวนี้ซึ่งเป็นสีเชอรี่ครับ ไปส่งเห็นซิสเต็มลูกค้าแยกชุดฟังเพลงกับดูหนังไว้ ก็จัดการแกะกล่องเอาออกมาต่อลองกับชุดฟังเพลงให้ลูกค้าเลย

พอกรีดเทปใส แกะกล่องเท่านั้นแหละ โห เค้าแพ็กมาดีมว้ากกกก แน่น ตัวลำโพงแทบจะลอยจากกล่องและมีกล่องโฟมหุ้มรอบด้าน แน่นหนาสุดๆ เท่าที่เคยเห็นเลยครับ แกะออกมาก็เห็นไดรเวอร์ขนาด 6.5 นิ้วสี้หลืองเด่นเป็นสง่า สวยงาม เห็นดอกสีเหลืองแล้วผมพาลนึกไปถึงลำโพง B&W นิดๆ



หลังจากต่อสายลำโพงแล้ว ลูกค้าก็บรรจงเอาเพลงประจำที่ฟังบ่อยๆมาเปิดให้ผมฟัง จริงๆผมต้องสารภาพว่าผมอาจไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญมากเรื่องสายการฟังเพลง 2 แชนแนล ในชีวิตผมวนเวียนกับอะไรหนักๆมาตลอดชีวิต (ไม่ได้แบกข้าวสารนะ)
แต่ผมมักจะฟังอะไรหนักๆพวกลำโพงดูหนังเสียงสดๆ พุ่งๆ เบสหนักๆดอก 15 บ้าง 18 นิ้วบ้าง



ต้องบอกว่าวันนั้นผมได้มีโอกาสเปิดโลก และเพิ่มประสบการณ์ในการฟังผมออกไปอีก กับการฟังระบบ 2 แชนแนลที่มีความพิถีพิถัน ได้สังเกตความละเอียดของเสียงเล็กๆน้อยๆ ทั้งเสียง ซ.โซ่ ในการออกเสียงของนักร้อง เสียงเบสในแตีละจังหวะกลองที่ตีลงไปแต่ละจังหวะ ได้เห็นความสำคัญและเห็นภาพว่า Image, sound stage ชัดๆว่า นักร้องเล่นอยู่ตรงหน้าเรา ส่วนเครื่องดนตรีชิ้นอื่นเล่นอยู่ด้านอื่นของเวที มีรูปวงทั้งด้านกว้างและลึกเข้าไป

เป็นประสบการณ์ที่ดีและขอขอบพระคุณคุณชัยรัตน์มากๆครับที่ให้ผมมีโอกาศฟังอะไรแบบนี้ ส่วนเสียงของลำโพง PSB Imagine X2T นี้ผมอยากจะขอพรีวิวสั้นๆพอเป็นแนวทางไว้นะครับ เพราะลำโพงใหม่มาก แกะกล่องออกมาก็ลองฟังกันเลย



แนวเสียงตัวนี้สืบทอดความเป็นดนตรีตามสไตล์ลำโพงจากแคนาดา และถ่ายทอดทุกอย่างที่เป็น PSB มาหมด โดยเฉพาะเสียงเบสที่มีความประนีประนอม ไม่ใช่เบสแบบบ้าพลัง แต่เป็นเบสลูกเล็กๆ ที่ลึก ฟังสบาย ทุ้มพอตัวไม่ใช่เบสแบบหุ่นเหล็กบ้าพลัง แต่มันคือเบสนุ่มๆที่ฟังแล้วสบายหู
ส่วนกลางแหลม ตัวนี้มีความสดและพุ่งมากกว่าความเป็น PSB ที่เคยได้ยินมาในรุ่นก่อนๆ เหตุผลอาจเป็นเพราะซีรี่ย์นี้ถูกออกแบบมาให้ดูหนังด้วย เลยถูกจูนให้กลางแหลมมีความสดและพุ่งมากกว่าปกติเล็กน้อย
ถ้าถามความเห็นผมว่า พุ่งมากมั๊ย สดมากรึปล่าว สดเท่า Klipsch พุ่งเท่า jbl เฟี้ยวฟ้าวแบบลำโพง THX มั๊ย ตอบเลยว่าไม่ถึงแบบนั้นละครับ แค่พุ่งกว่าเดิมนิดนึง ใครฟังลำโพงดูหนังเสียงจัดๆมา แล้วมาฟังตัวนี้ยังรู้สึกฟังได้แบบสบายหูอยู่ไม่รู้สึกว่าเสียงสดหรือจัดจ้านอะไร





ส่วนบุคลิกเสียงของลำโพงคือ มีความเป็นดนตรี มีความกรุ้งกริ้งๆ และมีความเป็นกลาง คือเบสกำลังเหมาะ กลางแหลมดี แต่ไม่ได้ใส และไม่ได้หนาจนเกินไป มีความเป็นธรรมชาติสูงในการดูหนังฟังเพลง แต่การฟังเพลงอาจจะหนาไปนิดนึงสำหรับแนวเพลงบางประเภทที่ต้องการความหวาน

เบสเป็นอะไรที่ถ้าเอาผ้ามาปิดตาผมแล้วเปิดลำโพงตัวนี้ให้ฟัง ผมกล้าบอกเลยว่าผมทายถูกว่ามันคือ PSB เพราะเสียงเบส เสียงกลอง เสียงกีตาร์เบสมันมีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์ตามแบบของลำโพง PSB ที่ไม่เหมือนยี่ห้ออื่นที่ผมเคยฟังมาจริงๆ

ใครที่ชอบการฟังเพลง ดูหนัง เสียงเป็นธรรมชาติ มีความเป็นดนตรีสูง ไม่ต้องการอะไรที่หนักจนเกินไป ผมอยากแนะนำลำโพง PSB ทั้งซีรี่ย์ Image, Imagine X, Imagine ครับ



ส่วนงานประกอบผมอยากจะบอกนิดนึงว่า หายห่วงครับ แม้จะ Made in China แต่งานแกะกล่องมาแล้วก็โอเค เนี๊ยบ ไม่มีอะไรให้ผมต้องลุ้นว่าจะมีบุบ ผิวลำโพงลอกมั๊ย งานออกแบบลำโพงตัวนี้เดินทางมาผสมกันระหว่างลำโพงในซีรี่ย์ Imagine และ Synchrony คือแผงหน้าดูเผินๆคล้ายลำโพง PSB imagine+Synchrony แต่ตัวตู้ยกมาจากซีรี่ย์ Image

ก็หมดแล้วครับ ก่อนออกจากบ้านลุกค้า แกก็เปิดแผ่นเสียงให้ผมฟังตั้งหลายแผ่นหลายเพลง บอกตรงๆนะครับ ผมแม้จะไม่มีประสบการณ์ฟังเพลงหวานๆ และเพลง 2 แชนแนลมากนัก แต่นั่งฟังอยู่เกือบชั่วโมง เสียงที่ได้จากแผ่นเสียงเนี่ยมันมีเสน่ห์จริงๆ มันอุ่น เสียงมีความวอร์ม มีความนุ่ม มีเสียงเม็ดข้าวโพด เป๊ะๆ เป็นพักๆ มีกลุ่นกลิ่นไอเก่าๆระเหยออกมาจากลำโพง ออกมาจากแผ่นเสียง ฟังแล้วเคลิ้ม มีความสุขไปกับบทเพลงจนไม่อยากจะลุกออกจากเก้าอี้นะครับ



แต่งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกลา ผมขออนุญาติลาลูกค้ากลับออกมพร้อมทิ้งรอยยิ้มเล็กๆไว้บนใบหน้า และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆในการฟังเพลงในแบบที่ผมไม่ค่อยได้ฟังออกมาจนล้นปรี่

จนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ เสียงเพลงหวานๆเพราะๆผ่อนคลายจากชุดของลูกค้า เสียงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงชุดนั้น เสียงจากลำโพงคู่นั้นยังแว่วมาเบาๆให้ผมรำลึกได้ไม่ลืมเลือนครับ



--------------------------------------------------------------------------------------
ดูรายละเอียดลำโพง PSB Imagine X2T หรือสั่งซื้อได้ที่นี่: http://www.whatthatsound.com/product/115/psb-imagine-x2t
--------------------------------------------------------------------------------------
** ลำโพงรับประกัน 5 ปีจากผู้นำเข้า (Conice)

สุดท้ายนี้ขอบคุณลูกค้าท่านนี้ ที่บอกกับผมว่า ตัดสินใจอยุู่นานกับการตัดสินใจซื้อของผ่านเพจเล็กๆเพจนี้ เพราะลูกค้าไม่เคยซื้อของผ่านเน็ทมาก่อน ปกติจะขับรถไปหน้าร้านแล้วหิ้วกลับมา ตอนแรกไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายลูกค้ายกหูมาคุยกับผม ได้มีโอกาศพูดคุย ทำความรู้จัก อธิบายกันจนมั่นใจ ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะให้เมสเสนเจอร์ไปส่งให้ แต่สุดท้ายผมตัดสินใจเดินทางไปด้วยตนเองดีกว่า จะได้ไปคุยไปพบลูกค้าเอง ก็ต้องขอขอบคุณลูกค้ามากครับที่ให้โอกาสผม

และผมอยากจะบอกว่าโลกใบนี้มีทั้งคนดีและไม่ดี เพจขายของที่นิสัยแย่ๆก็มีมาก ที่ดีๆก็มีเยอะ ร้านขายของที่ดังๆมีหน้าร้าน ซื้อแล้วเสียทอดทิ้งลูกค้า โทรไปแล้วบอกปัด บอกจะโทรกลับแล้วหายไปก็มี เอาของย้อมแมวมาขายก็มีมาก ซึ่งอันนั้นเป็นเรื่องของเค้า
แต่สิ่งเดียวที่อยากจะบอกก็คือ เราไม่ลืมว่าเรามาจากจุดไหน เรามาจากจุดเล็กๆที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีคนไว้ใจเลย แต่เราทำเพราะใจรัก ทุกคอนเทนต์ ทุกบทความ ทุกรูปภาพที่ถ่าย เราตั้งใจทำมันให้ดี ผ่านการทำงาน ผ่านการคิด ผ่านการกรั่นกรองออกมา ทุกภาษาที่เราใช้ เรานั่งคิด นั่งหาวิธีสื่อสารกับลูกค้าให้มันดีที่สุด

เราขายเครื่องเสียง แต่วิธีการทำงานของเราไม่ได้ทำงานแบบพ่อค้าอย่างเดียว เราทำงานแบบคนทำคอนเทนต์ ทำงานแบบคนทำงานบริการ ทำงานแบบคนที่เป็นที่ปรึกษา ทำงานแบบคนทำหนังสือ ทำสื่อ เป็นที่ปรึกษา เป็นเพื่อน เป็นคนธรรมดาคนนึงที่รักในการดูหนังฟังเพลงเหมือนทุกๆคน ทุกรูปภาพ ทุกบทความเราตั้งใจก่อนออกมาสู่สายตาคนอื่น

ดังนั้นสิ่งเดียวที่เราจะไม่มีวันทำคือการทำร้ายตัวเองด้วยการทรยศลูกค้า การหลอกลวง การทอดทิ้งลูกค้า การไม่ซื่อตรง เหล่านี้คือสิ่งที่เราจะไม่ให้เกิดขึ้นเด็ดขาด

เราคงทำให้ทุกคนไว้ใจเรา เชื่อใจเราทั้งหมดไม่ได้ วันนี้มีคนที่คิดว่าร้านในเน็ท ไม่มีอะไรหรอก ไม่น่าเชื่อถือ เอาไว้เช็คราคา แล้วเอาราคาเราไปเทียบกับร้านใหญ่ เอาราคาเราไปบลัฟร้านใหญ่ๆ หรือเอาไว้โทรถามเวลาของมีปัญหา (ของซื้อจากที่อื่น) ผมยินดีตอบนะครับ ไม่ว่าอะไร และก็อาจจะจริงครับ วันนี้ผมยังไม่มีหน้าร้านให้มาลอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดอยู่แค่นี้ อนาคตผมให้คำมั่นสัญญาว่าเราจะมีทุกอย่างเหมือนที่ร้านอื่นๆเค้ามีแน่นอน ทั้งหน้าร้าน ทั้งสินค้าหลายๆอย่างเหมือนที่ร้านใหญ่ๆมี เพียงแต่เราอาจจะเดินช้าไปบ้าง เดินเซไปบ้าง (อาจะมีโดนตัดขาบ้าง T_T) แต่เราจะเดินต่อและจะไม่ทำให้ลูกค้าผิดหวังแน่นอนครับ

ขอบคุณครับ






















































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2015, 03:11:21 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


เมื่อวานเราพูดเรื่องการดูแลรักษาลำโพงสักคู่ให้อยู่กับเราไปนานๆไปแล้วนะครับ วันนี้เรายังอยากจะพูดต่ออีกสักนิดถึงเรื่องลำโพงกับคุณค่าของตัวมันเอง





เพราะการจะควักกระเป๋าจ่ายเพื่อลำโพงดีๆสักคู่นึงนั้น เราก็ต้องหลงเสน่ห์ในเสียงหรือรูปลักษณ์ของมันใช่หรือเปล่าครับ ดังนั้นมุมมองเรื่องการลงทุนซื้อลำโพงของเราจึงมองแบบนี้ครับ

ในนิยามของเราการลงทุนก็คือ ซื้ออะไรก็แล้วแต่เพื่อหวังผลตอบแทนที่มากขึ้น หรือหวังผลกำไรหรือสิ่งตอบแทนจากมัน
แต่ลำโพงนอกจากราคาจะลดแล้ว ลำโพงบางตัวยังขายต่อยาก แต่เชื่อมั๊ยว่า บางคนมองว่าการเก็บลำโพงดีๆสักคู่ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า การลงทุนที่ว่าคือ การลงทุนทางด้านจิตใจครับ ไม่ใช่การลงทุนในแง่ financial

ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับเราได้ของที่จะมาคอยเยียวยา ขับกล่อมจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเหนื่อยล้าจากงาน ความเครียดต่างๆ มันทำงานดูแลจิตใจและความรู้สึกให้เราตลอดอายุการใช้งานของมันนับสิบๆปี บางคนที่ได้รับมรดกลำโพงวินเทจหรือของเก่ามาจากคุณพ่อจะเข้าใจครับว่าลำโพงนั้นทนทานแค่ไหน

และสุดท้ายที่เรามองว่าลำโพงเป็นการลงทุนเล็กๆอย่างนึงคือเมื่อลำโพงคู่นั้น รุ่นนั้น discontinued ไปแล้ว แม้มีเงินก็หามาเก็บหรือซื้อมาฟังไม่ได้นะครับ เสียงของลำโพงบางคู่ บรรยากาศเก่าๆ ชวงเวลาที่เราฟังมาในอดีตนั้นมันลอยมาพร้อมกับอายุของลำโพง อายุของบทเพลง และประสบการณ์ในตัวของเราเองด้วยครับ

บทเพลงก็คล้ายฟองน้ำที่ซึมซับวันคืน ความทรงจำดีๆเศร้าๆ ในช่วงที่เราฟังบทเพลงนั้นๆ เอากลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกทีไ่ด้ก็เหมือนบิดฟองน้ำ ความทรงจำจางๆตอนที่เราฟังเพลงนั้น เคยจีบใคร มีความสุข สอบติด ได้งานทำ โดนทิ้ง สูญเสียใครสักคนไปมันก็ลอยมากับตัวโน๊ตนะครับ

ขอให้มีความสุขกับเสียงดนตรี และภาพยนตร์จากลำโพงคู่โปรดของคุณครับ

แล้วคุณละครับมีลำโพงคู่ไหนที่รักและตั้งใจจะใช้ไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างนึงบ้าง?










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 19, 2015, 05:13:31 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
ลำโพง Klipsch จับคู่กับ AVR อะไรดี?


 

หนึ่งในคำถามที่ผมถูกถามมากที่สุดตั้งกะเปิดเพจมานี่ ถ้าไม่นับ "ร้านอยู่ไหน"  ก็คือ
ลำโพง Klipsch จับกับแอมป์ หรือ AVR ยี่ห้อไหนเข้ากัน

คำตอบที่ผมตอบลูกค้าไปแต่ละคนก็อยู่ที่อารมณ์ผมละครับ  บางคนผมก็บอกยี่ห้อนึง  บางคนผมก็บอกอีกยี่ห้อนึง  บางคนผมก็บอกยี่ห้อที่ผมชอบ  บางคนคุยแล้วดูแนวว่าเค้าชอบยี่ห้ออะไร ผมก็ตอบยี่ห้อที่ลูกค้าชอบนั่นแหละ

เอ้า ตอบแบบนี้มันมั่วนี่หว่า....   อย่าเพิ่งเข้าใจผิดครับ ผมไม่ได้ตอบมั่ว แต่คำถามแบบนี้มันตอบไม่ได้จริงๆ  เหมือนผมถามคุณว่า รถยี่ห้ออะไรดีที่สุด หรือสีอะไรสวยที่สุด 
เครื่องเสียงก็คล้ายๆกัน ไอ้เจ้าลำโพง Klipsch เนี่ยเค้าออกแบบและผลิตออกมาก็ไม่ได้มีกฏข้อห้ามว่ามันต้องไปใช้กับยี่ห้อ นู้น ยี่ห้อนี้แล้วเสียงมันถึงจะดี ถ้าใช้กับยี่ห้อที่ไม่แนะนำแล้วมันจะพังหรือเสียงห่วยซะหน่อย

คำตอบจริงๆที่ผมอยากจะบอกก็คือ  ลำโพง Klipsch ใช้กับ AVR อะไรก็ได้  ดีหมด ขึ้นอยู่กับคุณชอบแบรนด์ไหน เสียงแนวไหนแค่นั้นเอง   ขออย่างเดียวเลือกแอมป์ให้มันขับลำโพงได้ไหวก็พอ
ที นี้งานมันก็ไปตกที่ลูกค้าแล้วครับว่าต้องค้นหาตัวเองให้ได้ก่อนว่าคุณนะชอบ แบบไหน ดูหนัง ชอบแนวไหน หนักตูมๆ เบสจัดหนักๆ ชอบเสียงแหลมจัดๆ เฟี้ยวฟ้าว หรือชอบเบสน้อยๆ เบสบางๆ เอฟเฟคดีๆ หรือชอบกลางๆไม่ชอบหนักมาก กลัวลูกตื่น กลัวเมียด่า ชอบนุ่มๆ บลาๆๆๆ คนเรารสนิยมร้อยแปดครับ


 

ทีนี้ถ้าเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า แล้วผมชอบ AVR ยี่ห้อไหนเอามาจับกับลำโพง Klipsch ที่สุด   เออ...อันนี้ผมพอจะตอบได้ครับ
ก่อนจะตอบขอกำหนดก่อนว่าถ้าไม่นับสเปกขั้นต่ำหรือระบบเสียงอะไรเลยผมจะชอบยี่ห้อหนึ่งมากที่สุด
แต่ถ้าโจทย์กำหนดว่า AVR ตัวนั้นควรรองรับระบบเสียงที่จำเป็น และให้ฟังก์ชั่นที่ครบถ้วนแบบที่ชาวโลกเค้ามีแล้ว  ผมก็จะตอบอีกยี่ห้อนึง ซึ่งเสียงอาจจะไม่ได้ดีที่สุด เอาง่ายๆผมจะไม่ตอบว่าผมไม่ชอบเสียงแบบไหนและยี่ห้อไหน เพราะเดี้ยวจะดราม่ากันซะเปล่าๆ   แต่จะตอบว่าถ้า AVR ที่รองรับเสียงทุกระบบที่จำเป็น  Marantz คือยี่ห้อที่ผมชอบ   เหมาะกับผมและมือใหม่ที่สุดครับ  ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ที่ผลิตทั้ง AVR และ Pre-Processor ที่ให้เสียง Play safe ที่สุด คือเสียงเหมาะกับเกือบทุกคน มันให้เสียงดี และสมดุลในเกือบทุกๆย่าน ไม่ขับและผลักดันลำโพงให้เอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป  ไม่ bright มากเกินไป และกลับกันก็ไม่ดาร์กจนรายละเอียดหาย


 

ในบรรดา AVR ตัวท้อปของหลายๆค่าย ถ้าให้ผมควักกระเป๋าตัง (ซื้อเอง) เอาไปใช้ที่บ้าน รองรับเสียงใหม่ๆ ใช้ไปนานๆแบบไม่เปลี่ยนบ่อย ผมก็คงจะเลือก Marantz เป็นตัวเลือกแรกๆ  ยกเว้นว่ามีคนออกตังให้ผมเลือกฟรีตัวใดตัวหนึ่ง อันนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ครับ 555

 

ระบบที่ผมใช้ในห้องนั้นก็จะมี
- Klipsch RP-280F
 - Klipsch RC-62 II
 - Klipsch RP-250S
 - Klipsch R-115SW





1. ถ้างบจำกัดก็ขับด้วย AVR Marantz  ทั้งหมดมันก็ยังไปวัดไปวาได้ดีในระดับน่าชื่นใจ

2. แต่ถ้างบกลางๆแบบมีฐานะขึ้นมาหน่อย เหลือกินเหลือใช้พอเจียดเงินเพิ่มได้ก็เติม Power ไปขับสามแชนแนลหน้าด้วยโดยให้ AVR เป็นปรี อันนี้จะดีกว่าเดิมอีกหลายขุม อัพเกรดชนิดก้าวข้ามขีดจำกัดของ AVR ไปเลย

3. แต่ถ้าฐานะการเงินไม่ใช่ปัญหา โจแล้วมีงาน มีเงินเดือนจะผูกปิ่นโตใครก็ได้ เอ้ยไม่ใช่ มีเงินเล่นเครื่องเสียงได้แบบเต็มที่ ก็ซัด Pre-Pro และ Power ให้มันสุดทางไปเลยแบบนี้ผลลัพธ์ย่อมดีที่สุด (ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา)




แต่ส่วนตัวหนทางที่จ่ายน้อย และได้มาก แบบที่คุ้มค่ามากที่สุดสำหรับผมนั้นยังมองว่าข้อ 2. เลือก AVR ตัวท๊อปๆดีๆสักตัว แล้วใช้ Power 2-3 แชนแนลเอามาขับนั้นประหยัดเงินและให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจในแบบที่ไม่ต้องไป จ่ายมากเกินไป

ส่วนตัวผมคิดว่าเสียงที่ได้จาก AVR Marantz มันมีเอกลักษณ์ที่ผมชอบนั่นคือ

- เสียงสมดุลดีในทุกๆย่าน เบส กลาง แหลม ไม่โด่งย่านใดย่านหนึ่งเหมือนบางยี่ห้อ และเสียงก็ไม่จัดไป และไม่นุ่มไป คือมันเหมาะกับลำโพงหลายๆยี่ห้อได้ดี คือมันอาจจะไม่สุดสักทาง แต่มันฟังแล้วสบายใจได้ว่า "ไม่เฟลแน่นอน" แต่ถ้าใครรู้แนวทางตัวเองแน่ชัดว่าต้องการอะไรเช่นชอบเสียงแหลมจัดๆไปเลย หรือชอบเบสหนักๆไปเลย แบบนี้ก็มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าก็เป็นได้

- ราคาตัวท๊อปก็ไม่แพงมาก  อยู่ในระดับเอื้อมถึง แถมเทคโนโลยี รองรับระบบเสียงมันก็ทัดเทียมกับตัวอื่นในระดับเดียวกัน จะเป็นรองก็แค่กำลังขับนิดหน่อย  แต่ก็มีช่องปรีเอ้ามาให้ อย่าได้แคร์ ถ้าลำโพงมันขับยากจริงก็เจอ power ซะหน่อย รับรองจบ

- ความน่าเชื่อถือที่ไม่ต้องมาเป็นห่วงมากนักว่าวันดีคืนดีบอร์ดหรือ hdmi มันจะเจ๊ง ส่งเข้าศูนย์แล้วค่าซ่อมเป็นหมื่นอะไรงี้  อย่างน้อยผมก็ไม่ค่อยเห็นมันจะเสียเท่าไร่ แต่เอาจริงๆยี่ห้ออื่นก็ไม่ค่อยเสียกันหรอก มันมียี่ห้อเดียวนี่แหละที่เสียเอาเสียเอา อุ๊ย...

- ข้อสุดท้ายไม่เกี่ยวกับคุณภาพเท่าไร่ แต่มันสวย จบน่ะ  คือหน้าตาออกแบบสวยเชียว หน้าปัดกลมๆนั่นก็เลิศ ดูร่วมสมัย มองกลางคืนมันเหมือนจมลงไปเป็น 3D คล้ายๆหน้าปัดของ Honda HRV


 

สุด ท้าย  AVR ที่ดี และเหมาะกับลำโพง Klispch หรือลำโพงอื่นๆที่คุณมีมันอาจจะต่างกันออกไป  เพราะแต่ละคนชอบไม่เหมือนกันครับ จะเลือกแอมป์ เลือกลำโพง หรือสินค้าอะไร ถามตัวเองสองอย่างก่อน

1. งบเท่าไร่ งบที่เต็มใจจะจ่ายโดยไม่ต้องคิดมาก บ่นอิดออดหรือเสียดาย

2. คุณชอบแบบไหน  แต่ละยี่ห้อมันดีหมด เพียงแต่การใช้งาน ความชอบ มันตรงกับที่คุณต้องการหรือเปล่า  บางคนอาจจะมือใหม่ยังตอบตัวเองไมไ่ด้ว่า แล้วตรูชอบแบบไหนละ   ก็ง่ายๆเข้าโรงไปดูหนังก็สังเกตว่าชอบแบบไหน ดูหนังชุดเดิมที่บ้านเวลาฉากระเบิด ฉากหนักๆแล้วชอบหรือเปล่า หรือหนวกหูแสบหู  หรือไปบ้านเพื่อนไปลองฟังบ้านเพื่อน หรือจะไปโชวรูมลองฟังก็ไม่กติกา

สุดท้าย AVR แต่ละตัวมันก็ปรับแต่งเสียง เซ็ทอัพเสียงให้มันดีได้เหมือนๆกัน เพียงแต่เนื้อแท้และแนวเสียงแต่ละตัวมันอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง  ก็เลือกให้ตรงกับแนวและความชอบของเราไว้ก่อน พอจะเซ็ทอัพหรือปรับแต่งอะไรมันก็ง่ายเพราะเราชอบแนวเสียงของมันเป็นทุนเดิม อยู่แล้วครับ










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 04, 2016, 10:31:59 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


ยักษ์ใหญ่ก็ต้องคู่กับอะไรใหญ่ๆ บรรยากาศจัดส่ง Klipsch R-115SW ที่วิภาวดีรังสิต

วันนี้เราเก็บเอารูปสวยๆ บรรยากาศจากห้องฟังของลูกค้าเก่าเราท่านนึงที่สั่งซับวูฟเฟอร์ Klipsch R-115SW ไปใช้ที่วิภาวดีรังสิต (ก่อนหน้านั้นเราเคยรีวิวชุดของลูกค้าท่านนี้กันมาแล้วถ้ายังจำได้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีซับวูฟเฟอร์: http://goo.gl/NNYwOM)
---------------------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้ในรูปแบบเว็บไซต์ได้ที่นี่: http://goo.gl/H7Hsq0
---------------------------------------------------------------------------
ซึ่งต้องท้าวความว่าเดิมทีลูกค้าเจ้านี้สั่งลำโพงไปเล่นทีละชิ้นจนเกือบครบทุกแชนแนลแล้ว ขาดแค่ซับอย่างเดียว
โดยซิสเต็มของลูกค้าเจ้านี้มีดังนี้

--------------------------------------------------------------------
  - Yamaha 3050
  - Klipsch RF-7 II (สีดำ)
  - Klipsch RC-64 II (สีดำ)
  - Klipsch RS-62 II

--------------------------------------------------------------------



ก่อนหน้านั้นเรารีวิวไปแล้วว่าซิสเต็มนี้ติดอยู่นิดนึงตรงที่เวลาดูหนัง ความถี่ต่ำมันยังขาดแรงกระแทก และขาดเบสหนักๆอยู่ ลูกค้าทยอยเก็บของมาจนเกือบจะครบแล้ว สุดท้ายเลยตัดสินใจสั่ง R-115SW ไปเติมเต็มซิสเต็มให้ครบชุดสมบูรณ์เป็นการปิดท้าย โดยเริ่มจากซับหนึ่งตัวก่อน ไว้มีที่ทางและมีโอกาศอำนวยค่อยคิดขยับขยายเล่นกันต่อไป

ซึ่งหลังจากเอาของมาส่ง  ก็จัดแจงแกะกล่อง R-115SW จัดที่วางกันแบบพอคร่าวๆก่อนโดยยังไม่ได้ทำการเซ็ทหรือหาตำแหน่งที่วางอะไรทั้งสิ้น ซึ่งหลังจากต่อฟังดูก็มีการย้ายจุดที่วางไปสองครั้ง ครั้งแรกวางที่มุมซ้าย แล้วย้ายมาตรงกลาง  ความรู้สึกรับรู้ถึงเสียงเบสนั้นค่อนข้างต่างกันพอสมควร

ก่อนที่จะข้ามไปถึงเรื่องเซ็ทอัพ เราเลยแนะนำให้ลูกค้าเปิดเบิร์นไปก่อน เนื่องจากดอกลำโพงค่อนข้างใหญ่มาก เพิ่งแกะกล่อง เสียงยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไร่
ก็เปิดดูหนังฟังเพลงกับลูกค้าไปเรื่อยเปื่อย ตอนนี้ต้องบอกว่าเราได้ความรู้สึกในการดูหนังที่สมบูรณ์แบบเข้ามาในชุดทันที ตัวนี้ลูกค้ารีวิวว่าความรู้สึกที่ได้หลังเติมซับเข้าไปเหมือนอยู่ในโรงหนัง ทั้งบรรยากาศจากเจ้า Yamaha Aventage 3050 และลำโพงดูหนังอย่าง RF-7II และ RC-64 II
พ่วงด้วยเซอราวด์ไบโพลอย่าง RS-62 II  คือนอกจากจะได้เสียงเบส เสียงความถี่ต่ำเพิ่มแล้ว มันเหมือนไปเพิ่มความชัดเจนให้ลำโพงในแชนแนลอื่นๆให้มีสีสันและฟังดูมีมิติ มีรายละเอียดขึ้นด้วย



ซึ่งเราอยากจะบอกว่าในระบบ Home Theater นั้นซิสเต็มจะใหญ่ ลำโพงหน้าจะดอกโตแค่ไหน ให้เบสได้ลงลึกตามสเปกเพียงใด เบสจะหนาเยอะแค่ไหนก็ตาม ซับก็ยังทำหน้าที่สำคัญและเป็นพระรองที่คอยสนับสนุนพระเอกและซัพพอร์ทลำโพงในทุกๆแชนแนลให้น่าฟัง ได้อรรถรส และคอยเติมเสียงย่านต่ำ เป็นฐานเสียงให้ทุกๆย่านๆ ทุกๆความถีอยู่ดี ดังนั้นการดูหนัง ทำระบบ home Theater แล้วขาดซับ ก็เหมือนกินแกงส้ม กินต้มยำแล้วไม่มีข้าวสวยร้อนๆ นั่นแล

สุดท้ายยิ่งถ้าได้รับการเซ็ทอัพ จัดวางตำแหน่งดีๆ อคูสติกห้องเยี่ยมๆด้วยแล้ว จะบอกเลยว่าสวรรค์ในการดูหนังน้อยๆรออยู่ในห้องครับ

---------------------------------------------------------------------------

ดูสเปกและสั่งซื้อ R-115SW ได้ที่นี่: http://www.whatthatsound.com/product/3/klipsch-r-115sw













« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 29, 2015, 09:59:46 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Review ชุดลำโพง Home Theater แบบครบเซ็ทของ Klipsch Reference II 


โดยในชุดนี้เราได้จัดชุดให้เหมาะกับห้องฟังขนาด 15-30 ตรม หรือมากกว่านั้น
โดยในชุดจะประกอบไปด้วย

Front:  Klipsch Reference Rf82 II 



Center: Klipsch Reference Rc62 II


Surround: Klipsch Refeence RB51 II



Subwoofer1: Cerwin vega P1800sx 1 ตัว
Subwoofer2: Cerwin vega XLS12s 1 ตัว

AV Receiver: Harman kardon 370 (125 watts, 7.2 channels)


Integrated  amp: Harman kardon HK3470 (กำลังขับ 125 watts, 2 channels นำมาต่อ pre-out เพื่อขับลำโพงคู่หน้า Klipsch Rf82)


ห้องฟัง: ห้องฟังจะมีการติดม่าน หนาและมีปูพรมบริเวณพื้นที่หน้าลำโพงคู่หน้า เพื่อช่วยซับเสียงเล็กน้อย มีโซฟาหนึ่งตัวสำหรับนั่งฟัง และจะไม่มีการติดแผ่นอคูสติก, Bass trap, Diffuser หรือแผ่นโฟมซับเสียงหรือฟองน้ำ และไม่มีการใช้เครื่องกรองไฟ เปลี่ยนสายไฟ หรือ modify อุปกรณ์ใดๆเพิ่มเติมแต่อย่างใดนะครับเพื่อให้เสียงที่ได้สามารถถ่ายทอดออกมาใกล้เคียงกับห้องฟังของคนปกติทั่วไปมากที่สุด






สายสัญญาณ สายลำโพงและสาย hdmi: เราจะใช้ของเกรดทั่วๆไปที่หาได้และราคาไม่แพง  เพื่อให้ราคาอุปกรณ์ นั้นเหมาะสมกับคนทั่วไป เข้าถึงได้ง่าย และราคาเหมาะสมกับชุด system ที่เราใช้  และไม่ให้ราคาเส้นสายนำโด่งราคา system  จนเกินไป หรืออีกนัยนึงนั่นคือ เราไม่มีสปอนเซอร์ให้สายหรืออุปกรณ์ดีๆมายืมทดลองใช้ฟรีๆนั่นเองครับ ฮาๆ




ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนสำคัญและเหนื่อยที่สุดครับ นั่นคือเชื่อมต่อระบบทั้งหมดเข้าด้วยกัน และเซ็ทอัพ 
ในตอนนี้เราเลือกที่จะนำ integrated amp HK 3470 มาต่อ pre-out เพื่อขับลำโพงตัวใหญ่ดอก 8 นิ้วคู่อย่าง Klipsch RF82
ให้ได้ออกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย และลดภาระของ AVR Harman Kardon 370 ให้ทำหน้าที่ขับแค่ center Klipsch RC62 และ surrounds RB51 ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นเอง

และเราเลือกจะต่อ subwoofer แบบ 2 ตัวคู่กันเพื่อให้ย่านเสียงต่ำนั่นกระแทกกระทั้นและเขย่าห้องได้เต็มที่ รวมถึงยังสามารถเซ็ทอัพได้ง่ายอีกด้วย  โดย cross over ความถี่ต่ำนั้นเราเซ็ทไว้ที่ 80 Hz นั่นก็คือความถี่ต่ำตั้งแต่ 80 Hz ลงมาจะเป็นหน้าที่ของ subwoofers ทั้งสองตัว
ส่วนลำโพง center นั้นเราตั้งจุดตัดเอาไว้ที่ 80 Hz ให้สูงกว่าความถี่ต่ำที่ลำโพง Klipsch RC62 จะตอบสนองได้ขึ้นมาหน่อย (57 Hz)
ส่วนลำโพง surround เราตั้งจุดตัดความถี่ไว้ที่ 80 Hz เท่ากับลำโพงเซ็นเตอร์
และสุดท้ายลำโพงคู่หน้าเราต่อสายลำโพงแบบ single wire และเซ็ทเป็น large ไว้ครับ



เมื่อเซ็ทอัพกันเสร็จด้วยความเหนื่อยยากแล้ว เราก็ลองมานั่งพัก ปิดไฟ เปิดแอร์เย็นๆ หาเครื่องดื่มเย็นๆและหาหนังมาเทสกันเลยดีกว่าครับ เริ่มกันด้วยหนังที่ถือว่าเบสดีมากๆ เรื่องนึง นั่นคือ transformer age of extinction

      1. สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้จากบรรยากาศของชุดดูหนัง Klipsch ตัวนี้เลยนั่นคือ เสียงกลางแหลมที่มีความกระจ่างชัดสูงมากครับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงกลางแหลมจาก soundtrack จากตัวหนังเอง หรือเสียงพูดจากตัวละครต่างๆ จะมีความดังและมีความชัดมากๆ ไม่มีอาการเจ้าเนื้อ เสียงคลุมเครือหรือขมุกขมัว ออกอาการ Muddy ให้เห็นแต่อย่างใด ใครที่เคยมีประสบการณ์ที่เสียงจาก center เสียงพูดค่อยกว่าเสียงแชนแนลอื่นๆนั้น จะไม่เจอในชุดนี้เลยครับ และด้วยอานิสงค์จากค่าความไว (sensitivity) ของลำโพง klipsch ที่สูงมากถึงขนาด 96-98 db จึงทำให้ AVR ที่เราเคยต่อกับลำโพงชุดก่อนหน้าเอาไว้ (ชุดก่อนเราใช้ Paradigm monitor ทั้งชุด) นั้นมีเสียงที่ค่อยกว่าชุด Klipsch reference II อย่างเห็นได้ชัด จนเราต้องปรับ level และ volume ใหม่ให้ลดลงในตอนเซ็ทอัพ
 
     2. สิ่งที่สองที่เราสัมผัสได้ชัดมากๆคือ ไดนามิค และ อิมแพคของเสียงกลางและเบสครับ แต่ละฉากที่มีเสียงต่ำหรือเสียงเบสนั้นเราจะได้เจอกับแรงกระแทกแรงๆเข้ามาที่โซฟาพอให้รับรู้ได้ว่าเบาะที่เรานั่งนั้นมีการสั่นสะเทือนเล็กๆ  ให้จั๊กกะจี๊ที่ขาอ่อน  ส่วนฉากที่ความถี่ต่ำหนักๆนั้น จะได้คลื่นความถี่ต่ำที่กระชับ ไม่บวม ไม่เบลอเข้ามากระแทกโซฟาและขนตามร่างกายให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนครับ ความถี่ต่ำที่ได้นั้นจะกระชับและเก็บตัวเร็ว ไม่ตกค้างให้รำคาญใจแต่อย่างใดครับ
และสิ่งที่เราจะไม่มีทางเจอในชุดนี้ก็คือเสียงต่ำนุ่มๆ ชวนฝัน ฟังสบาย ย้วยๆยวบยาบ แต่จะได้เจอกับแรงปะทะ แรงอัดหนักๆ ที่ชัดเจนมาแทน
 
     3. สุดท้ายเรามาดูเรื่องบรรยากาศเสียงกันครับ ต้องบอกว่าในชุดที่เราใช้นั้นบรรยากาศ การแพนเสียง และการโอบล้อมถือเป็นจุดที่ทำได้ปานกลางไม่ถึงกับดีเลิศนัก  ในบางฉากนั้นสังเกตได้ว่าเสียงจากลำโพง surround เหมือนจะโดนลำโพงแชนแนลและเสียงอื่นๆกลืนไปบ้าง ไม่ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์เท่าไร่นัก แค่พอให้เราได้รับรู้บรรยากาศบ้างแต่ไม่ถึงกับชัดเจนมากครับ   แต่เราคงโทษเรื่องการแมทชิ่งที่เราเลือกใช้ Harman Kardon มาเป็นตัวหลัก นั่นเพราะ AVR ที่เราใช้นั้นจะเน้นเรื่อง Impact และเสียงเบสเป็นหลัก แต่มีจุดด้อยเรื่องการแพนเสียงในแต่ละแชนแนล  ถ้าหากเรายอมลดเรื่องเสียงเบสและความกระชับลงโดยเลือก AVR ตัวอื่นมาแทนในระบบ เช่น Yamaha, Pioneer, Anthem เราเชื่อว่าเสียงที่ได้จากชุดนี้จะดีขึ้นมากครับ




     ทีนี้เราตัดกลับมาลองฟังเพลงแบบ 2 channel กันดูบ้างครับ เราพยายามเลือกเพลงมาเทสๆหลายๆแนวๆ หลายๆแบบ เริ่มจากเพลงไทยสมัยใหม่ อย่าง Jetseter , เพลง Rock แรงๆอย่าง 30 Seconds To Mars , เพลง electronic อย่าง Daft punk, Tahiti 80 และเพลงหวานๆโชวเสียงร้องอย่างลูกหว้า พิจิกา 


** รูปด้านบนคัดลอกจาก http://www.klipsch-direct.de

สิ่งหนึ่งที่เราพบคือ เพลงอะไรก็ตามที่มีจังหวะคึกคัก สนุกสนาน ลำโพง Klipsch RF82 นั้นสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างคึกคัก กระชับ และหนักแน่น และเสียงเครื่องดนตรีจำพวก เบส กลอง เสียงอิเล็กโทรนิกส์นั้นจะสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีมากเป็นพิเศษ   ส่วนเสียงในย่านกลางหรือเสียงร้องของนักร้องนั้นยังติดความเป็นดิจิตอลและมีความแข๊งกระด้างไปบ้างหากนำไปฟังเพลงช้าๆที่ต้องการความหวาน แต่ทั้งนี้เราคิดว่าบุคลิกดังกล่าวนั้นได้มาจาก Integrated amp Harman kardon เป็นส่วนใหญ่ หากมีการสลับหาแอมป์ที่ให้ความหวานเช่น แอมป์หลอด และแผ่นเสียงมาเล่นคู่กันนั้น ลำโพงคู่นี้ย่อมน่าจะถ่ายทอดเสียงร้องได้หวานต่างไปจากแอมป์ solid state ที่เราใช้กันอยู่

ส่วนย่านเสียงสูงนั้นต้องบอกว่าเสียงสูงนั้นทอดยาวและพุ่งพอเหมาะกำลังดี ด้วยเพราะเราใช้
Harman kardon จึงทำให้เสียงค่อนข้างกลมกล่อม แต่หากนำแอมป์อื่นที่ให้เสียงในย่านโทนสูงดีเช่นกันอย่างเช่น Yamaha, onkyo มาจับคู่ด้วย อาจจะให้เสียงแหลมที่ทอดยาวและสด พุ่งเกินไปจนอาจทำให้ล้าหูได้หากฟังเป็นระยะเวลานานๆครับ


ในระหว่างการเทสนั้น เราก็ได้ลองต่อโดยใช้ AVR Harman kardon 370 ขับลำโพงทั้งหมดแทนโดยไม่ต่อ pre-out ผลที่ได้นั้นพบว่าเสียงเบสจากลำโพงคู่หน้าเวลาฟังเพลงนั้นได้ปริมาณมากขึ้นแบบเห็นได้ชัด และความกระชับ ความเนียนลดลงพอสมควร กลายเป็นว่าฟังเพลงนั้นจะให้เสียงเบสที่ปริมาณมากเกินไปและกลบเสียงในย่านอื่นไปบ้าง และการเว้นช่องไฟของเสียงเพลงจะไม่ค่อยเนียนและไม่ไพเราะเหมือนเราต่อ pre-out จาก integrated amp ครับ
ส่วนการดูหนังนั้นเราพบว่าเสียงไม่ค่อยต่างกันมากนักจากการต่อ pre-out แต่กระนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความกระจ่างชัดของเสียงในแชนแนลต่างๆเช่น center ที่ลดลงไปนิดหน่อย  อาจจะเป็นเพราะ AVR ที่ต้องรับภาระขับลำโพงเอง 5 channels ทั้งหมด ต่างจากตอนที่ต่อ pre-out ที่รับภาระแค่ center และ surround ครับ

 

สรุปลำโพงชุดนี้ที่เราทดสอบผ่านไปนั้น มีจุดเด่น จุดด้อยที่น่าสนใจดังนี้ครับ

จุดเด่น
1.   ดูหนังสนุก มันได้อารมณ์ โดยเฉพาะหนัง action จับได้กับแอมป์หลากหลายไม่ค่อยเลือกแอมป์
2.   ให้เสียงในย่านกลางต่ำ ได้ดีเยี่ยม
3.   ฟังเพลงได้ดีหากนำไปฟังกับเพลงที่มีจังหวะคึกคัก เช่นเพลง rock, electronic
4.   ขับง่ายมาก เราสามารถเลือกแอมป์ที่มีกำลังขับไม่สูงมากมาขับได้ แนะนำว่าไม่ควรต่ำกว่า  90-100 watts
5.   เป็นลำโพงที่มีความยืดหยุ่นสูง เสียงที่ได้มีความเอนเอียงไปตามแอมป์ที่นำมาขับ ถ้าใช้ Harman kardon จะได้ชุดลำโพงที่ดูหนังสนุกมาก เด่นในย่านเสียงกลางต่ำ แต่ถ้านำ avr อื่นๆที่เด่นในด้านต่างๆกันออกไปมาขับ เสียงก็จะเอียงไปทางนั้น  รวมถึงแอมป์หลอดด้วยครับ

จุดด้อย
1.   การฟังเพลงหากใครที่ชอบเสียงนุ่มๆ เบสหนาๆ ใหญ่ๆ ชอบเสียงกลาง เสียงแหลมที่มีหางเสียงจะไม่ชอบ เพราะชุดนี้ให้เสียงตรงกันข้ามคือ สด ชัดเจน กระชับ หนักแน่น
2.   การนำไปฟังเพลงและจับกับแอมป์บางตัวจะพบว่าเสียงมีความสด พุ่ง มากเกินไป เช่น yamaha
3.   ลำโพงคู่หน้า Klipsch RF82 มีขนาดใหญ่และหนักมาก เกือบ 30 กิโล การเซ็ทอัพและเคลื่อนย้ายต้องทำด้วยความระมัดระวัง
4.   ในเพลงร้อง เสียงจะไม่ค่อยหวาน เสียงกลางไม่อบอุ่น ทุ้มนุ่มนวล laid back เหมือนลำโพงทางฝั่งอังกฤษ แต่จะได้ความสดชัดจะแจ้งเหมาะกับเพลงมีจังหวะมาแทน



สรุปสุดท้ายนะครับ ชุด Home theater ชุด RF82, RC62, RB51 ชุดนี้นั้นมีบุคลิกที่สด หนักแน่น กระชับกระเฉง ทำให้ผู้ฟังตื่นตัวและสนุกสนานไปกับเพลงและภาพยนตร์ได้อยู่ตลอดเวลา   หากใครที่ชอบบุคลิกและแนวเสียงในสไตล์นี้ ขอแนะนำว่าชุดนี้เป็นชุดหนึ่งที่ควรพิจารณาเลือกใช้ครับ  แต่ทว่าตรงกันข้ามหากท่านชอบบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ฟังสบายๆเรื่อยๆ เสียงนุ่ม แหลมกรุ๋งกริ๋ง ทอดยาว กลางที่มีมวลอิ่มและหวานซึ้ง นั่งฟังไปเอนหลังพิงโซฟาไปเพลิดเพลินจนเผลอเคลิ้มหลับไปไม่รู้ตัว ต้องบอกว่าชุดนี้อาจยังไม่ใช่เนื้อคู่ของคุณครับ



หมายเหตุ: ชุดลำโพงที่เราใช้ทดสอบนี้ จะอ้างอิงกับชุดตามเวบไซด์ Klipsch.com ได้ตามรายละเอียดด้านล่าง แต่จะแตกต่างกันนิดหน่อยในส่วนของ Subwoofer ที่เราเลือกใช้ subwoofer คู่เพื่อเพิ่มพลังเสียงต่ำให้มากขึ้น และแตกต่างกันในส่วนของลำโพง surround ที่เราเลือกใช้ลำโพง bookshelf ตัวเล็กแทนที่จะเป็นลำโพง surround bi-pole นั้นเป็นเพราะห้องที่เราทำการทดสอบนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นักครับ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 02, 2016, 10:56:20 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
เมื่อวานนี้ทีมงานมีโอกาศได้ไปจัดส่งลำโพงรุ่นใหม่ Klipsch Reference Premier ทั้งชุดไปให้ลูกค้าย่านพัฒนาการ
ลำโพงในชุดประกอบไปด้วย


- Klipsch RP260F (คู่หน้า 6.5 นิ้ว)
- Klipsch RP440C (เซ็นเตอร์ 4 นิ้ว 4 ดอก)
- Klipsch RP160M (เซอรราวด์บุ๊กเชลฟ์ 6.5 นิ้ว)

งานนี้ System ลูกค้าใช้ HK AVR355 สายลำโพง Vendenhul Magnum Hybrid แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ต่อลองเสียงกันเนื่องจากระบบลูกค้ายังไม่เรียบร้อย กำลังทำห้องอยู่เลยยังไม่มีเครื่องเล่นและจอ เราเลยได้แต่ถ่ายรูปเล่นๆ และเอามาฝากกันครับ (รูปเยอะหน่อย) บ้านลูกค้าสวยครับ ห้องอคูสติกค่อนข้างดี และเตรียมทำไว้เป็นห้องดูหนังโดยเฉพาะเลย

สำหรับใครที่สนใจ Reference Premier สอบถามราคากันเข้ามาได้ และ Reference II ตอนนี้บางรุ่นของหมดแล้ว เหลือของเป็นบางรุ่นเท่านั้น ใครที่ยังตามหารุ่นเก่าก็ยังสอบถามได้ครับ ล๊อตนี้ หมดแล้วหมดเลย ไม่มีอีกแล้วจ้า

**สั่งของ บริการส่งฟรีถึงบ้าน ทุกที่ทั่วกทมฟรี ไม่ต้องเสียเวลาออกจากบ้าน
และของเราเบิกใหม่ มือหนึ่ง สดๆร้อนๆ รับประกันจากตัวแทนจำหน่าย HomeHifi (Sound Replublic) อย่างเป็นทางการครับ

































































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 31, 2016, 08:23:15 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์




รูปห้องฟังสวยๆของคุณอานนท์ที่จังหวัดเลยครับ ลูกค้าได้สั่งลำโพงรุ่นใหญ่อย่าง
Klipsch RP-280F (คู่หน้า)
และเซ็นเตอร์ Klipsch RP-450C ไปประจำการในห้องดูหนัง
บอกได้คำเดียวว่า ห้องสวยจริงๆครับ
และสีดำ Ebony ของ RP-280F ตัวนี้ก็เข้ากันกับห้องและตัดกับสีทองแดงของดอกลำโพงได้อย่างเหมาะเจาะ

คลิ๊กอ่านรีวิว Klipsch RP-280F ที่เราได้แปลและเรียบเรียงจาก AVSFORUM ได้ที่นี่ครับ
http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php…

และหาสนใจลำโพง Klipsch Reference Premier ทุกรุ่น รวมไปถึง Reference II และลำโพงรุ่นใหญ่อย่าง RF-7 II และ RC-64 II สามารถขอราคาพิเศษเราได้ครับ
นอกจากนั้นเรายังรับสั่งลำโพง Heritage Series อย่าง Klipsch Cornwall III, Heresy III, La Scala II และลำโพงซีรี่ย์สูงสุดอย่าง Palladium ก็สามารถสั่งได้เช่นกันครับ สินค้าใหม่สดๆร้อนๆ และนำเข้าอย่างถูกต้องโดยตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของประเทศไทยครับ (Sound-Replublic)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 03, 2015, 04:54:50 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
จัดส่งลำโพงฝังฝ้า KEF CI200CR สำหรับใช้ติดเพดานในระบบ Dolby Atmos และ Klipsch R115SW ซับวูฟเฟอร์ตัวใหญ่สุดใน reference series ไปให้ลูกค้าที่ถนนสิริธรครับ

นอกจากนั้นเรายังมีลำโพงฝังฝ้ารุ่นอื่นๆของ KEF เช่น KEF CI200RR, CI30QS และอีกหลายรุ่นด้วยครับ









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 03, 2015, 05:03:20 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
พาทัวร์ไปชมบรรยากาศห้องดูหนังของมืออาชีพที่ทำงานด้านเซ็ทอัพระบบ Home Theter กัน
 


วันนี้ผมจะพาไปชมบรรยากาศห้องดูหนัง Home Cinema แท้ๆของคุณชวินกันครับ
เรามาดูกันว่าคนที่ทำงานด้านระบบเสียง ทำงานด้านเซ็ทอัพระบบโฮมเธียร์เตอร์ ชีวิตที่ต้องอยู่กับการเซ็ทอัพเครื่องเสียงให้ลูกค้ามาเป็นร้อยเป็นพันห้อง นั้นห้องฟังเค้าจะเป็นยังไง

เรื่องก็คือว่า ช่วงหลังๆมานี่ผมมีโอกาศร่วมงานกับแกหลายงานทั้งตั้งใจและบังเอิญ ลูกค้าที่สั่งของกับผมก็บังเอิญไปเป็นลูกค้าใช้บริการเซ็ทอัพกับแกอยู่หลาย ท่าน ผมก็เลยมีโอกาศได้เห็นการทำงานกับแกหลายห้อง ส่วนใหญ๋จะเป็นห้องระดับกลางๆและค่อนข้างใหญ่ ทำให้ผมต้องตามเซอรวิสและอยู่ดูแลลูกค้าจนจบ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร และลูกค้าแฮปปี้จริงๆๆ หลายงานก็ได้ไปช่วยแกหยิบจับอะไรก๊อกๆแก๊กๆ ยกของ ยกลัง ยกลำโพงบ้างอะไรบ้างไปตามประสา ฮาๆ จนงานจบเรียบร้อยก็พระอาทิตย์ลาลับไปค่ำมืดเกือบแทบจะทุกงานไป (นี่ขนาดเริ่มงานกันก่อนเที่ยงนะ)




เอาเข้าจริงๆ จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เคยมีโอกาศไปเห็นห้องแกซะทีว่าหน้าตามันเป็นยังไง ชุดเครื่องเสียงแกใช้อะไรอยู่ แล้วเสียงละมันจะดีมั๊ย บลาๆๆๆ จนอาทิตย์ก่อนครับผมมีโอกาศอันดีที่ได้เอาซับ Klipsch R110SW วิ่งไปส่งที่บ้านแก (แกเอาไปติดตั้งที่บ้านลูกค้าอีกท่านนึง) งานนี้ผมเลยถือโอกาสขอร้อง (แกมบังคับ) ว่าต้องขอเข้าไปฟังไปชมซะหน่อยนะงานนี้

ตัดบทรวบรัดกันเลยจะได้ไม่เยิ่นเย้อ มารู้สึกตัวอีกที ผมก็อยู่หน้าห้องดูหนังของคุณชวินเรียบร้อยละ ฮาๆ ก้าวเท้าเข้าไปก็เจอห้องบรรยากาศตามในรูปเลยครับ จะเห็น่วาห้องมีการปรับอคูสติกโดยใช้ Diffuser มาติดตั้งเอาไว้ และมีการปรับ ambient ให้เหมาะกับการดูภาพยนตร์โดยใช้สีดำเป็นธีมหลัก และใช้ชุดเครื่องเสียงทั้งชุดของ M&K ที่ออกแบบรับรองคุณภาพตามหลักของ THX

ในห้องนี้ใช้ระบบเสียง 7.2 channel โดยลำโพงทั้งหมดเป็นของ M&K ทุกตัวยกเว้นซับตัวที่สองที่แกใช้ซับ JBL มาเสริมความถี่ต่ำและตั้งซ่อนไว้ด้านข้าง






สภาพห้องตอนเปิดไฟนั้นบอกกันตรงๆว่าเป็นห้องธรรมดาๆ มีโซฟาหนังสำหรับนั่งดูหนังตั้งอยู่ตรงกลางหนึ่งตัว และมีเก้าอี้กิตติมศักดิ์ตั้งอีกตัวนึงข้างๆนี่ละครับ ไม่ได้เป็นห้องราคาแพงหรือหรูหราอะไรมาก แต่ที่พิเศษคือเจ้าของห้องเค้าปรับจากห้องธรรมดาๆนี่ให้มีสภาพที่เหมาะกับ การดูหนัง และเซ็ทเสียงให้ถูกต้องตามหลักที่แกเรียนรู้มา






ว่าแล้วผมก็ขอให้แกลองปิดไฟเปิดหนังดูเลย สภาพหลังปิดไฟคือมันเหมือนนั่งอยู่ในถ้ำเงียบๆ อคูสติกห้องไม่ก้องและไม่เงียบจน dead เกินไป เรียกว่าบรรยากาศสบายๆเหมาะกับการดูหนังนั่นแหละครับ แล้วแกก็บรรเลงเปิดหนังนานาสารพันเรื่องบรรจงป้อนใส่โสตประสาททั้งภาพและ เสียง บรรยากาศต่างๆถาโถมใส่มาตรงจุดโซฟาที่ผมนั่งอย่างต่อเนื่อง ภาพยนตร์เรื่องแล้วเรื่องเล่า ถ่ายทอดผ่านไดอะลอกของตัวละคร ทั้งเสียงเอฟเฟก ทั้งเสียงเบส ทั้งการโยนเสียงผ่านหัวผมไปมาอยู่สักพัก ผมก็นั่งดูไปนั่งคิดอะไรไปเรื่อย จนเวลาเรื่มเนิ่นนานผ่านไปสักพัก ผมชักเริ่มรู้สึกไม่ดี กระสับกระส่าย และเริ่มรู้ตัวว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ผมจึงตัดสินใจพูดมาด้วยเสียงอันดังว่า "หยุด พอแล้วครับ"


 

แกก็เบาเสียงหนังลงพอให้คุยกันรู้เรื่อง แล้วบทสนทนาของผมกับพี่ชวินก็เริ่มขึ้น

ผม: พอแล้วพี่ ฟังนานไปกว่านี้ไม่ได้ละ
ชวิน: ทำไมละ
ผม: หูเสียครับ ฟังนานๆเสียงมันติดหู ผมกลับไปดูหนังที่ห้องผมไม่ได้แล้ว
ชวิน: ................


 

เค้าว่าสมองคนเราจะจดจำและปรับตัวคุ้นชินกับเสียง ภาพและบรรยากาศได้เมื่อใช้เวลากับมันซักระยะนึง คนเราจะไม่รู้สึกว่าซิสเต็มของตัวเองบกพร่องมาก ตราบใดที่ไม่มีโอกาศไปฟังซิสเต็มที่ใหญ่กว่า ดีกว่า เสียงดีกว่าหรอกครับ เรามักจะคิดว่าซิสเต็มตรูเนี่ยดีแล้ว พอใจแล้วละ จวบจนเราไม่คันไปดิ้นรนค้นหาไปฟังซิสเต็มดีๆ และถ้ามีโอกาสได้ไปฟังซิสเต็มที่ว่านั้นเมื่อไร่ละก็ อาการหูเสียจะบังเกิด และถ้าคุณนั่งแช่นั่งดูซิสเต็มนั้นไปนานๆเข้า โสตประสาทคุณจะรับรู้และยอมรับภาพและเสียงนั้นว่านี่แหละคือมาตรฐาน
และพอคุณกลับไปที่บ้าน ไปห้องฟังของคุณและเปิดชุดเครื่องเสียงคุณเมื่อไร่ เมื่อนั้นคุณจะเกิดอาการหูเสีย ดูหนังฟังเพลงเริ่มจะไม่สนุกและเริ่มคันอยากจะเสียตัง อยากจะปรับปรุง เซ็ทอัพมันใหม่ทั้งระบบ

 

ผมจึงหยุดแกซะตรงนี้ก่อนที่อาการนั้นจะเกิดขึ้นกับผม
มาถึงตรงนี้จะหาว่าไอ้นี่เว่อร์รึเปล่า อวยกันจนเกินงาม จะบอกว่าเปล่าครับผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลยกับ M&K และก็ไม่ได้เปอร์เซ็นเวลาผมแนะนำลูกค้าให้ไปใช้บริการเซ็ทอัพกับแกแม้แต้บาท เดียว แต่ผมได้ฟังได้เห็นอะไรก็เขียนออกมาตรงๆ อย่างนั้นเอง
ซึ่งซิสเต็มของพี่ชวินนั้น ผมจะอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือก็คือ มันไม่ใช่ซิสเต็มที่หนักแน่นมาก ไม่ใช่ซิสเต็มที่เสียงดีที่สุดในห้องฟังที่ผมเคยไปฟังมา แต่มันได้บรรยากาศทุกย่านเสียงมาครบ ทั้งสูง กลาง ต่ำ และจุดไหนที่มันต้องโหมมันก็โหม ตรงนั้นที่มันต้องเบามันก็เบาและได้รายละเอียดมาครบ
จะให้เปรียบเทียบง่ายๆก็คือนั่งตรงเก้าอี้ในห้องดูหนังของแกแล้วผมรู้สึก เหมือน ไปนั่งดูหนังในโรงใหญ่ๆ ซึ่งจุดนี้ผมยกเครดิตให้สองอย่างนั่นคือ


1. ชุดซิสเต็มของแก ที่มันถ่ายทอดเสียงได้พุ่ง สด เสียงจัด คมชัด รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เสียงโครมคราม มันพุ่งตามสไตล์ของลำโพง THX ที่ได้มาตรฐาน (ตรงนี้เลยได้มีโอกาสถามแกว่า ลำโพงพวก Home cinema ที่ได้มาตรฐาน THX นี่มันเสียงยังไง แกก็ตอบผมว่าลำโพงพวกนี้ไม่ว่าจะเป็น Klipsch THX Ultra 2 หรือ M&K หรือยี่ห้อไหนๆที่แปะ THX เสียงหลังจากเซ็ทแล้วมักจะเสียงออกแนวเดียวกัน คือสด ชัด ได้รายละเอียดครบ หนักแน่น ถาโถมตามสไตล์ลำโพงดูหนังแท้)




2. การเซ็ทอัพ ตรงนี้ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ คงไม่สามารถวิจารณ์ได้ว่าห้องแกเซ็ทอัพมาอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจก็คือ ห้องแกเสียงดีมากนะ ไม่ได้มาย่านใดย่านหนึ่ง ไม่ได้สักแต่เอาหนักอย่างเดียว โครมๆๆๆ แต่มันมาครบทุกย่านเลย กลางแหลมมันฟังแล้วรู้สึกเหมือนโรงหนัง แล้วก็ฟังไม่หนวกหู ฟังได้นาน บางเรื่องฉากที่มีฝนตกผมรู้สึกเสียงมันลงมาจากหัวจริงๆ ผมหันไปมองด้านหลังเห็นแกเซ็ทลำโพงเซอราวด์ไว้ค่อนข้างสูง ทำให้เข้าใจว่าเออ เสียงเซอราวด์แม้จะไม่ได้เป็น Atmos แต่เสียงมันสมจริงและลอย มันฟิลและเติมบรรยากาศใส่ห้องได้รอบตัวจริงๆ ไม่ใช่เสียงพุ่งมาจุดไหนจุดหนึ่งแบบที่เรานิยมทำกัน





สุดท้ายรู้สึกตัวอีกทีก็เริ่มดึกแล้ว หนังตาผมชักจะหย่อน เพราะห้องแกทั้งมืดทั้งบรรยากาศเหมือนถ้ำ โซฟานั่งสบาย เสียงดีฟังได้นาน ยิ่งหลังๆแกเน้นเปิดคอนเสริต์ให้ผมฟัง บรรยากาศดีเชียว ผมเริ่มเอนหลัง หนังตาก็เริ่มจะปิด ผมเลยถือโอกาศนี้ถามแกคำถามสุดท้ายก่อนลากลับว่า

นิยามคำว่า "เสียงดี" สำหรับพี่นี่มันเป็นยังไงครับ ??
แกตอบคำถามผมสั้นๆว่า ก็เสียงที่มันบาล้านทุกๆย่าน มาครบ ไม่หนักด้านใดด้านหนึ่ง ถ่ายทอดเสียงจากหนังหรือเพลงที่เค้าบันทึกมาได้เที่ยงตรงตามวัตถุประสงค์ของ หนังหรือเพลงนั้นๆ
และต้องเป็นซิสเต็มที่เราเข้าไปนั่งแล้วมันทำให้เราจมไปกับบรรยากาศของหนัง หรือเพลง ถ้าหนังมันน่ากลัวเราต้องกลัว ถ้าหนังโรแมนติกเราต้องรู้สึกมีความสุขและรู้สึกห้องมันหวานเป็นสีชมพูไป ทั้งห้อง หรือหนังสงครามเราต้องนึกว่าเรานั่งอยู่ใน killing field ที่ไม่รู้ว่าระเบิดมันจะลงตรงไหนของห้องได้นั้นแหละครับ



แล้วผมก็สอบถามเพิ่มว่าแล้วเรื่องมาตรฐานของลำโพงและอุปกรณ์ของเครื่องเสียงละ มีวิธีเลือกยังไงให้ได้ของดี เสียงดี
ตรงนี้แกไม่ได้ตอบผมตรงๆ แกบอกแค่ว่า ตั้งงบในใจก่อนว่าอยากจะจ่ายเท่าไร่แล้วค่อยเลือกลำโพงเลือกอุปกรณ์ในระบบว่าชอบเสียงแนวไหน

ซึ่งมาถึงจุดนี้ผมก็เห็นด้วยกับแกนะว่างบประมาณ และความชอบเป็นคีย์หลักที่จะทำให้คุณเลือกเครื่องเสียงได้ตรงใจที่สุด
ซึ่งเจ้าลำโพง THX แบบที่แกใช้เนี่ยผมก็ค่อนข้างชอบและรู้สึกเลยว่าเอกลักษณ์ของลำโพงประเภทนี้ เนี่ยมันสด มันชัด เสียงมันพุ่ง ได้รายละเอียด ถาโถมใส่ตัวคนฟังได้ดีกว่าลำโพง Home Theater บ้านปกติเยอะเลย แม้ตัวจะเล็กกว่าและหน้าตาทื่อๆดูไม่ค่อยสวยงามก็ตาม





ก็เป็นทางเลือกนะครับถ้าใครชอบดูหนัง 100% และอยากได้บรรยากาศสดๆ มันๆแบบโรงหนังจริงๆ ลำโพงแนวนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการรับชมภาพยนตร์ที่สมจริงอีกแบบ
แต่ถ้าคุณอยากได้ลำโพงที่ทั้งดูหนังฟังเพลง หวานบ้าง ฟังสบายๆ ไม่ต้องชัดเป๋ะ พุ่งสดขนาดนั้น แต่ต้องการลำโพงลายไม้สวยๆตั้งในห้องรับแขก ใครผ่านไปผ่านมายกมือถือขึ้นถ่ายหรือถามว่า "ลำโพงพี่สวยจังครับ" ให้เราได้อมยิ้มในใจได้ ก็ต้องมองลำโพงอีกแบบนึงที่เป็นลำโพง Home Theater หรือ Home Audio แทน





ส่วนผมบอกตรงๆว่าตอนนี้เริ่มสนใจและอยากจะสั่งเจ้า Klipsch THX Ultra II มาลองแล้วละครับ เพราะตอนนั่งเขียนบทความนี้อยู่บรรยากาศดูหนังจากลำโพง THX มันยังติดตรึงในหูและความทรงจำผมอยู่แบบไม่ยอมหลุดออกไปซะทีเลย 555

สุดท้ายพี่ชวินแกพูดขึ้นมาก่อนผมจะลากลับว่า ลูกค้าแกหลายคนไม่มั่นใจว่าเซ็ทอัพแล้วเสียงจะดีมั๊ย คุ้มเงินกับที่จะต้องจ่ายไปหรือเปล่า แกก็มักจะเชิญให้มานั่งฟัง นั่งดูหนังในห้องแกตรงที่นั่งที่ผมนั่งจุดนี้ละครับ

ตอนนี้ผมก็เงียบๆ และไม่ได้ตอบอะไรแกออกไปหรอกครับ แต่ผมรู้คำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วละว่า ใครก็ตามถ้าได้ลองมานั่งตรงจุดที่ผมนั่ง ได้ฟังได้ดูภหนังในห้องนี้ ก็คงจะคิดแบบผมและตัดสินใจได้ไม่ยากว่า เสียงมันดีจริงมั๊ย คุ้มค่ากับการลงทุนเซ็ทอัพเสียงให้ถูกต้องตามหลักหรือเปล่า?

ส่วนผมขอตัวไปเก็บตังสั่ง Klipsch THX Ultra II มาเล่นก่อนละครับ (ถึงช่วงขายของแล้วครับ 555)


http://www.whatthatsound.com/category/9/klipsch/klipsch-thx-ultra-2





















 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 05, 2016, 10:05:44 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
วันนี้เราเก็บรูปสวยๆจากห้องฟังของลูกค้าท่านนึงแถวสิริธรมาให้ชมกันเพลินๆครับ โดยลูกค้าสั่ง Subwoofer Klipsch R115SW และ KEF CI200CR ไปเติมเต็มระบบเสียง Dolby Atmos

โดยในระบบที่ลูกค้าใช้นั้นประกอบไปด้วย
Klipsch RF-7 II (Black)
Klipsch RC-64 II (Black)
Klipsch RS-52 II
Klipsch R112SW
AVR Yamaha 2040

ห้องนั้นสวยงามและน่าดูหนังฟังเพลงอย่างที่เห็นครับ ส่วนเรื่องเสียงนั้นไม่ต้องพูดถึงกันครับ สุดๆเพราะทั้งแผงหน้าและหลังนั้นล้วนสุดยอดทุกตัว

สำหรับใครที่สนใจลำโพง RF-7 II, RC-64 II สามารถติดต่อสอบถามราคาพิเศษเราได้ครับ













« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 03, 2015, 05:17:25 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Big passion in small room



วันนี้เรามีบทความสั้นเกียวกับระบบ 5.1 channels ของผู้ชายนักเล่นเครื่องเสียงคนนึงจากต่างประเทศที่เขียนเล่าประสบการณ์ชีวิตการเล่นเครื่องเสียงของเค้ามาให้อ่านกันสนุกๆ ว่าแม้ห้องจะไม่อำนวย ห้องไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าอยากเล่นลำโพงใหญ่ๆในห้องเล็กๆนั้นมันจะเป็นไปได้มั๊ย

บทความต้นฉบับ: http://www.electronichouse.com/daily/home-audio/home-theater-subwoofer-puts-boom-room/

 
Chad hunter คือชื่อทั่วๆไปของชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่ก็คงคล้ายกับชายหนุ่มหลายๆคนบนโลกใบ นี้ที่มีความคลั่งไคล้และหลงไหลในเครื่องเสียง เสียงดนตรี และอะไรก็ตามที่เปล่งเสียงออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นลำโพง โฮมเธียเตอร์ ซับวูฟเฟอร์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มทั่วๆไปเกือบทุกคนหลงใหล  เมื่อทำงาน มีเงิน หาซื้อได้ไม่เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น ก็ต้องหามาสนองความต้องการของเราถูกมั๊ยครับ และเมื่อเราเข้าไปดูในห้องของเค้าก็ถึงกับตะลีงว่าห้องนั่งเล่นขนาด 6 x 4 ตรม และสูง 2.5 เมตรนั้นสามารถยัดความฝัน ความสุข และเครื่องเสียงอะไรลงไปได้บ้าง

โดย ห้องนี้เป็นห้องนั่งเล่นซึ่งมีขนาด 24 ตรมซึ่งถือว่ากลางๆไม่มากนักและยังเป็นส่วนหนึ่งของห้องเช่าที่เค้าเช่าอยู่ อาศัยอีกด้วย  นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่จำกัด และยังเป็นพื้นที่เช่าที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมชายคาและผนังเดียวกับชาวบ้าน ซึ่งย่อมต้องเกรงใจและคิดเสมอว่าทุกครั้งที่จะยัดชุดเครื่องเสียงอะไรเข้าไป นั้น เสียงจะไปกวนหรือดังไปกระทบข้างห้องหรือเปล่า
วิถี ชีวิตในวัยเด็กของเค้าถูกปลูกฝังให้รักดนตรี ฟังเพลง และเริ่มต้นฟังเพลงแบบจริงจังมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มตั้งแต่แม่และพ่อเลี้ยงเค้ามีชุดเครื่อเสียงเล็กๆ (1980) Receiver Kenwood (สมัยก่อนดังมาก) ลำโพงตั้งพื้น Advent และเครื่องเล่นแผ่นเสียง  และนี่เองคือชุดฟังเพลงที่จุดประกายและปลูกฟังความหลงไหลคลั่งไคล้ในเสียง ดนตรีของเค้าตั้งแต่เด็กมาจนกระทั่งปัจจุบัน เสียงดนตรีที่ถูกเล่นผ่านแผ่นเสียง receiver และลำโพงชุดเดิมยังคงดังก้องและประทับใจอยู่ในหัวเค้าอยู่จนถึงทุกวันนี้ 



"เสียง มันดีจริงๆ" นั่นคือสิ่งที่เค้าคิดและอยากจะมีชุดเครื่องเสียงดีๆบ้างเมื่อโตขึ้น   จากนั้นสิ่งที่เค้าทำก็คือ ค้นหา หาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องเสียงว่าตัวไหนเสียงดี ตัวไหนที่เหมาะกับความชอบของตัวเอง หาอยู่สักพัก หาข้อดีข้อเสีย Soundbar เอย Home Theater เอย เริ่มเล่นลองผิดลองถูกมาตั้งแต่ 2 channels ฟังเพลงก่อน ลองมาหลากหลายยี่ห้อ เรียนรู้แนวเสียงมาจนรู้ว่ายี่ห้อไหนเป็นยังไง ตัวไหนเหมาะกับตัวเอง และสุดท้ายก็มาจบที่เครื่องเสียง 5.1 channels และรู้ว่าแท้จริงแล้วชอบ Klipsch
ชอบในเสียงสดๆของทวี ตเตอร์แบบฮอร์น ชอบเสียงสดๆ พุ่งๆ จัดๆแบบในโรงหนัง โดยชุด Klipsch ชุดแรกที่ได้เป็นเจ้าของนั้นคือในปี 1998 เป็นลำโพงรุ่นประหยัดที่มีขายในบ้านเราด้วยนั่นคือ Klipsch Synergy
หลังจากนั้นอีก 10 ปี ก็เริ่มอัพเกรดเขยิบขึ้นไปอีกขั้นนึง หันไปเล่น Klipsch Reference Series แทน



ตอน แรกเค้าไม่เคยฟัง Klipsch Reference Series มาก่อน แต่ไล่อ่านและเชื่อในรีวิวที่มีในอินเตอร์เน็ทมากมายตอนนั้นเกี่ยวกับ Reference Series ว่าเสียงดี เหมาะกับการดูหนัง  แม้ว่าในตอนแรกจะรู้สึกพอใจและชอบเสียงจากชุด Synergy ดีอยู่แล้วก็ตาม  แต่เชื่อมั๊ยครับว่า "โลกแห่งเครื่องเสียงมันไม่ค่อยมีคำว่าพอหรอก" พอได้แค่นี้ก็ต้องการให้ดีกว่านี้ ไปฟังชุดอื่นที่ดีกว่าก็อยากอัพให้ได้ดีเท่าเค้า เสียงไหนขาด ตรงไหนดรอปก็อยากจะอัพขึ้นมา
สุด ท้ายจบลงด้วยการขาย Klipsch Synergy ชุดเก่าทิ้งไปให้เพื่อนที่ทำงานคนนึง ที่น่าดีใจอย่างนึงก็คือราคาที่ขายก็ไม่ได้ตกหรือขาดทุนมาก  ในขณะที่เพื่อนก็ได้ชุดลำโพงดีๆไปใช้ด้วย  หลังจากขายไปก็ไปคว้าตัวใหม่ทันที เริ่มด้วย Klipsch RF 62 II, RC62 II, RS62 II

การอัพเกรดครั้ง นี้ต้องบอกเลยว่า สุดยอด ได้เสียงอย่างที่ต้องการและเหมาะกับขนาดห้องที่มีเนื้อที่ 24 ตรม เป็นอย่างมาก ไม่มากไป ไม่น้อยไป พอมาถึงตรงนี้ก็ยังไม่จบ ยังมองหาซับวูฟเฟอร์มาเติมเต็มเสียงเวลาดูหนังเพิ่มให้ครบเต็มระบบ คราวนี้ก็เลยจัด SVS SB13 และตอนนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์และได้เสียงทุกอย่างครบตามที่ต้องการ
แต่ เชื่อมั๊ยครับ เจ้า SVS SB13 ที่ได้มาใหม่่นี้เสียงดีมากๆ หนักแน่นจนเกินหน้าเกินตาลำโพงตัวอื่นในระบบ  และงานประกอบและตัวตู้สวยงามมากสุดๆ  จุดนี้เองแทนที่จะเป้นจุดสิ้นสุดและสมบูรณ์ในการเล่นเครื่องเสียงของ Chad แต่จริงๆแล้วมันกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นต่างหาก  โดยจุดนี้เองที่เมื่อเราได้อุปกรณ์อะไรที่ดีมากๆเข้ามาในระบบเมื่อใด เมื่อนั้นอุปกรณ์อื่นๆในระบบมักจะมีอันเป็นไปและต้องอัพตามอุปกรณ์ชิ้นนั้น ตามไปด้วย  เช่นได้ลำโพงมาใหม่ก็มักจะอัพแอมป์ อัพเซ็นเตอร์ตาม  ได้เซ็นเตอร์มาก็มักจะอัพเซอราวด์ตาม ชีวิตของคนที่หลงใหลและคลั่งใคร้ในเครื่องเสียงวนก็มักจะเป็นไปตามวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยไป

 

หลังจากนั้น ชุด RF62 ของเค้าก็ต้องมีอันเป็นไป ระเบิดชุด เพราะเสียงต่ำที่สุดยอดจาก SVS นี่เองทำให้คู่หน้าและเซ็นเตอร์ต้องถูกอัพกลายมาเป็น Klipsch RC64II และ RF7II
ซึ่งการอัพเกรดคู่หน้า และเซ็นเตอร์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่จ่ายตังค์เอาของเข้าบ้าน แต่จุดยากมันคือการใช้ลำโพงสเกลใหญ่ๆทั้งขนาดและเสียงอย่าง  Klipsch RC64II และ RF7II ในห้องเช่า 24 ตรม ที่ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่นักคือความท้ายทายที่สุดในการจัดวางและเซ็ทอัพให้ เสียงดีและไม่รบกวนชาวบ้านชาวช่องด้วย
แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรยากเกินความพยายาม การใช้ลำโพงใหญ่เกินห้องนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะ "หากมันมากไปเราเซ็ทให้มันน้อยลงได้ แต่ถ้ามันน้อยไปเราเซ็ทให้มันมากขึ้นนั้นยากกว่าเยอะ"  และ Chad ก็พิสูจน์ว่าห้องเช่าเล็กๆ ก็เล่นลำโพงใหญ่ๆ Hi-end แบบนี้ให้เสียงดีได้ 
สิ่ง นึงที่ช่วยให้เสียงและทุกอย่างไปได้สวยก็เป็นเพราะด้วยขนาดห้องที่ไม่ใหญ่ และค่า efficient (sensitivity) ของลำโพง Klipsch นั้นไวมาก ทำให้เมื่อมันมาติดตั้งในห้องขนาดไม่ใหญ่แบบนี้แล้ว เสียงที่ได้จึงจัดจ้าน หนักแน่น rock สะใจ เป็นอย่างที่ Chad ต้องการ

Chad บอกเอาไว้ว่า Klipsch RF-7 II ลำโพงรุ่นเรือธงตัวนี้เป็นอะไรที่สุดยอด  และหาอะไรมาเทียบได้ยากในช่วงราคานี้ และเมื่อจับซํบวูฟเฟอร์ดีๆมาเสริมเข้าไปในระบบก็ทำให้ทุกอย่างจบ และพอจริงๆสำหรับการดูหนังและฟังเพลงในแนวที่เค้าชอบ
และ ด้วยงบประมาณที่จ่ายไปสำหรับชุดโฮมเธียเตอร์ในห้องนั่งเล่น ห้องเอนกประสงค์ของเค้า ก็ทำให้ชีวิตประจำวันของเค้าไม่ว่าดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่การเล่นเกม (Play Station) นั้นมีสีสันและมีความสุขขึ้นอีกเยอะมากๆๆ
และ ในอนาคต Chad ก็แพลนเอาไว้ว่าจะมองหาบ้านที่เป็นที่ลงหลักปักฐานจริงๆของตัวเองซะที จะได้โยกย้ายชุดเครื่องเสียงที่เค้าลงทุนมาและมีความสุขกับมันในปัจจุบันนี้ ไปไว้ในบ้านหลังใหม่ของเค้าในเร็วๆนี้



ล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้ Chad ก็เพิ่งอัพ AVR เป็น Denon AVR-4520CI และเปลี่ยน PS3 เป็น PS4 และยังสั่ง Samsung LED 3D ขนาด 60 นิ้วมาประจำการ รวมถึงมีแพลนจะสั่ง Parasound Halo A51 Power amp มาประจำการในอนาคตอีกด้วย และแน่นอนที่สุดที่ขาดไม่ได้ก็คือ สั่งซับอีกลูกมาเติมให้ครบเป็นสองลูก (dual subwoofers)

สุด ท้ายจริงๆแล้วชีวิตของคนที่หลงไหลคลั่งไคร้ในเครื่องเสียงนี้จะคล้ายๆกันว่า มั๊ยครับ นั่นคือเล่นไปได้เรื่อยๆไม่มีวันจบสิ้น เมื่อไร่ที่ได้สิ่งที่ชอบและถูกใจก็จะนั่งยิ้มเล่นกับมันไปได้ทั้งวันเป็น เดือนๆปี   ก็นับว่าเป็นความสุขอย่างนึงที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ได้ใช้เวลาอยู่กับบ้าน กับครอบครัว ได้ทำกิจกรรมร่วมกันทั้งดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ถือว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดี และใช้เวลาว่างไปในทางที่สร้างสรรค์และไม่เดือดร้อนใครครับ


 

Equipment List:

    Denon AVR-4520CI 9.2-Channel A/V Receiver
    Klipsch RC-64 II Center Speaker
    Klipsch RF-7 II Floorstanding Speakers (2)
    Klipsch RS-62 II Reference Surround Speakers (2)
    Panamax M5300-PM Power Conditioner
    Samsung 60-inch UN60F7100 LED 3D Smart TV
    Sony BDP-S790 3D Blu-ray Player
    Sony PlayStation 4
    SVS SB13-Ultra Subwoofer



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2016, 09:22:02 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
จัดส่ง Klipsch RS-62 II ลำโพงเซอราวด์รุ่นใหญ่สุดให้ลูกค้าที่นนทบุรีครับ ลูกค้าเอาไปเติมเต็มระบบ Dolby Atmos ให้ครบทุกแชนแนล โดยเร็วๆนี้จะอัพซับวูฟเฟอร์ไปใช้แบบ Dual Subwoofer ตามสูตรของ Klipsch

โดยระบบลูกค้าเป็นดังนี้ครับ
Front: RF-7 II
Center: RC-62 II
Surround Back: RS-62 II
Surround Side: RS-62 II
Subwoofer: R115SW, R112SW
Atmos channel: KEF CI200CR
Amp: Yamaha 2040









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 03, 2015, 05:47:08 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


How to: Bi-Amping a Speaker

Bi-Amp คืออะไร ต่อยังไง แล้วต่างกับ Bi-Wire ยังไง ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร บางคนมีของ มีลำโพงมีแอมป์เหลืออยู่แต่ไม่รู้จะต่อยังไง วันนี้เรามีบทความวิธีการต่อไบแอมป์  และข้อดีของการต่อแบบนี้มาให้อ่านเล่นๆกันครับ
บทความต้นฉบับเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษคลิ๊กที่นี่เลย: http://www.klipsch.com/blog/how-to-bi-amping-a-speaker/


ฺBi-Amping และ Bi-Wiring

Bi-Amplification หรือ Bi-Amping เป็นเทคนิคการต่อลำโพงวิธีหนึ่ง ที่เราต้องเตรียมแอมป์  โดยแอมป์ตัวที่หนึ่งจะต่อกับดอกลำโพงเสียงทุ้มและแอมป์อีกตัวนึงต่อกับดอกลำโพงเสียงแหลมและเสียงกลาง   
ซึ่งการจะต่อแบบนี้ จะต้องไปดูด้านหลังของลำโพงตัวโปรดของเราก่อนว่ามีขั้วต่อ (Binding post) แบบสองคู่แยกกันหรือไม่ หนึ่งคู่จะมีดำกับแดง (บวก ลบ อย่างละคู่ แยกกัน ซึ่งลำโพงบางตัวมีคู่เดียว)  ถ้ามีขั้วต่อแบบสองคู่ มันจะมีสะพาน (jumper) คั่นเอาไว้อยู่เสมอ ตามรูป

แบบคู่เดียว แบบนี้จะต่อไบแอมป์ไม่ได้


แบบสองคู่ แบบนี้ต่อได้


เวลาเราต่อเล่นแบบปกติ เราจะใช้สายลำโพงเพียงสองเส้น ต่อจากแอมป์ ขั้วแดง (บวก) และดำ (ลบ) มาเข้าที่คู่ใดคู่หนึ่งของลำโพง คู่ใดก็ได้ เพราะไม่ว่าจะต่อคู่ใดก็ตาม ทั้งสองคู่มันจะถูกเชื่อมด้วยสะพาน (jumper) ถึงกันหมด ตามรูป


แต่ถ้าจะต่อแบบ Bi-Wired ก็สามารถเอาสะพาน (jumper) ออกแล้วต่อโดยใช้สายจำนวน 4 เส้น ต่อดำจากแอมป์มาเข้าขั้วดำของลำโพงทั้งสองคู่  และต่อแดงจากแอมป์มาเข้าขั้วแดงของลำโพงทั้งสองคู่เช่นกัน ตามรูป





วิธีการเอา Jumper หรือสะพานออกนั้นก็แสนง่าย แค่หมุนขั้วลำโพงทั้งสองคู่ให้หลวมๆแล้วดึงสะพานออกแค่นั้น ตามรูป



ข้อดีของการต่อ Bi-wire นั้นเค้าว่ากันว่าถ้าต่อโดยใช้สายที่แม๊ทช์กัน คุณภาพดีพอ กำลังแอมป์ขับไหว จะได้รายละเอียดของเสียง และความคมชัด ความเป็นดนตรีสูงขึ้นกว่าต่อแบบ single wire ครับ  แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่หูคนฟัง แล้วแต่คุณภาพและ color จากสายที่ใช้ และแล้วแต่ชุดของแต่ละคนด้วยเช่นกัน เพราะมีบางคนลองแล้วก็ชอบแบบ single มากกว่าก็มีครับ



How to connected Bi-Amp
วิธีการต่อไบแอมป์นั้นก็ไม่ยากครับ แค่เอาแอมป์มาสองตัว จะเป็นแอมป์ยี่ห้อเดียวกัน หรือคนละยี่ห้อ ต่างรุ่นต่างกำลังขับกันก็ได้ เอาขั้วแดงและดำของแอมป์ตัวแรกต่อไปที่คู่แดงและดำคู่ใดคู่หนึ่งของลำโพง เช่นต่อไปที่ดอก woofer เสียงต่ำ 
และเอาแอมป์ตัวที่สองมาต่อไปยังคู่แดงและดำอีกคู่ของลำโพง เช่นดอกเสียงกลางและสูง  ก่อนต่ออย่าลืมเอาสะพาน (jumper) ออกก่อนนะครับ ตามรูป






และควรพึงระลึกไว้เสมอว่า ควรเอาแอมป์ที่มีกำลังขับสูงมากพอมาขับขั้วลำโพงดอกวูฟเฟอร์เสียงต่ำ และควรเอาแอมป์ที่มีกำลังน้อยกว่าไปขับดอกเสียงแหลมหรือ tweeter ครับ
เช่นเรามีแอมป์คุณภาพดีให้เสียงหวานละเมียด แต่กำลังขับต่ำ เราสามารถเอาตัวนี้มาต่อกับขั้วเสียงแหลมเพื่อให้เสียงร้องและเสียงดนตรีมีความละเอียด ทอดยาวและละเมียดละไม  ส่วนแอมป์กำลังขับสูงๆหน่อยก็เอามาขับดอกวูฟเฟอร์เพื่อให้ได้อิมแพคของเบสที่ดี และหนักหน่วงเวลาเราดูหนังหรือฟังเพลงครับ

เทคนิคการเลือกแอมป์นั้นไม่มีข้อตายตัวครับ คงไม่มีใครตั้งใจซื้อแอมป์มาสองตัวเพื่อนำมาต่อ Bi-Amp โดยเฉพาะ แต่อาจจะมีแอมป์เหลือจากระบบ เราสามารถนำมาต่อได้ การแมทชิ่งถือเป็นเรื่องสนุกครับ เพราะบางทีแอมป์ต่างบุคลิก ต่างสัญชาติ ต่างกำลังขับกันแต่เมื่อนำมาต่อร่วมกันแล้ว ก็อาจจะให้น้ำเสียงที่ไพเราะจนไม่น่าเชื่อก็เป็นได้ครับ
ข้อดีของการต่อ Bi-Amp คือ การทำให้แอมป์แต่ละตัวขยายสัญญาณในช่วงความถี่ที่แคบลง จึงทำให้แอมป์ทำงานได้สบายมากขึ้น
แต่ข้อเสียก็คือเปลืองอุปกรณ์มากครับ และยังแมทชิ่งยากมากๆด้วยทั้งสาย ทั้งแอมป์ ใครคิดจะเล่น bi-amp กับชุดเล็กๆ ความแตกต่างที่ได้รับอาจจะไม่เยอะ ผมคิดว่าอัพเกรดลำโพงหรือแอมป์ให้ใหญ่ขึ้นคุ้มค่ากว่าครับ ยกเว้นว่ามีของอยู่แล้วอยากทดลองเล่นอันนี้ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดครับ


Note: AVR ที่เป็น 7.1, 9.1 บางรุ่น บางยี่ห้อ สามารถทำ Bi-Amp โดยไม่จำเป็นต้องมีแอมป์สองตัวนะครับ แอมป์เหล่านี้จะสามารถใช้ Surround channels ที่ไม่ได้ใช่เช่น Surround ข้าง โดยต่อไปใช้ร่วมกับ front channels คู่หน้าเพื่อทำ bi-Amp ให้ลำโพงได้ด้วยครับ
วิธีต่อก็แทนที่จะใช้แอมป์สองตัว ก็ใช้แอมป์ตัวเดียว ดำและแดงคู่แรกจะต่อจากคู่หน้า และดำและแดงคู่ที่สองจะต่อจาก surround ที่เราไม่ได้ใช้งานนี่เอง
ก่อนทำก็ต้องเช็คก่อนนะครับว่าแอมป์ที่เราใช้อยู่นั้นมีคุณสมบัตินี้รึเปล่า

และสุดท้ายสำหรับใครที่ต้องการเล่นแบบธรรมดาๆ ไม่ต้องการต่อ Bi-wire, Bi-amp ก็ดูสะพาน (jumper) ว่ายังต่ออยู่ครบและสามารถต่อสายคู่เดียวเข้าไปที่ขั้วดำ และแดงคู่ใดก็ได้ แค่นี้ก็เล่นได้แบบง่ายๆแล้วครับ 





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 06, 2016, 10:19:41 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


เพราะบทเพลงดีๆ ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา
เช่นเดียวกับลำโพงรุ่นเก่าที่ยังทรงคุณค่า แม้กาลเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปซักกี่เดือนกี่ปี แต่คุณค่าในตัวมันก็ยังคงเฉิดฉายและมิได้ถูกลดทอนคุณค่าไปตามกาลเวลาแต่อย่างใด

และนี่คือ Klipsch Reference RF-62
ใช่แล้วครับ ผมไม่ได้ลืมเติม II หรือเลข 2 ในรูปแบบโรมันแต่อย่างใด นี่คือลำโพง Klipsch RF-62 รุ่นแรกที่เลิกผลิตไปแล้วและหาซื้อไม่ได้ในบ้านเรา นอกซะจากตลาดมือสองที่นานๆจะมีหลุดออกมาซะที และนี่คือลำโพง RF-62 อีกตัวที่ลูกค้าผมท่านหนึ่งที่จังหวัดกาญจนบุรี ฝากให้ช่วยหาคนรับไปอุปการะต่อให้ที
ผมเห้นว่าลำโพงตัวนี้สภาพดี และมีคุณค่าในตัวเอง (ตรงที่หาซื้อไม่ได้แล้ว และเสียงรุ่นก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ต่างไปจากรุ่น II พอสมควร) ผมจึงอาสารับช่วยเป็นธุระหาคนซื้อให้ และในที่สุดก็ได้ผู้ซื้อท่านนึงรับมาดูแลต่อ



-----------------------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้ในรูปแบบเว็บไซต์: http://goo.gl/vr4GvP
-----------------------------------------------------------------------------

ผมจึงนัดแนะเวลากับลูกค้า และเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ลูกค้าผมขึ้นมาส่งลำโพงตัวนี้ถึงกรุงเทพ ผมจึงขออนุญาติตามไปทักทายและเก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมกันเล่นๆครับ

จะเห็นลำโพง Klispch Reference รุ่นแรก และ Reference II นั้นมีดูเผินๆก็คล้ายๆกัน ดูแทบไม่ออกว่าตัวไหนคือรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า
จริงๆมีหลายจุดนะครับที่แตกต่าง แต่จุดใหญ่ๆก็คือ ฐานลำโพงและโลโก้ Klipsch ที่ด้านล่างฐานลำโพงครับ (ตัวรุ่นสองจะไม่มี)

ลำโพงรุ่น Reference นี้ปัจจุบัน discontinued ไปนานแล้ว โดยเริ่มผลิต และทำตลาดตั้งแต่ปี 2006 - 2010 หลังจากนั้น Reference II ก็มาทำตลาดแทนตั้งแต่ 2010 มาจนถึงปัจจุบัน (Reference II Discontinued แล้วเช่นกันในปี 2015) นับรวมระยะเวลาทำตลาดในแต่ละรุ่นแต่ละ gen ประมาณ 5-6 ปี (อายุพอๆกับรุ่นรถยนตร์เลย)



นอกจากรูปร่างหน้าตาของรุ่น Reference กับ Reference II นั้นจะคล้ายๆกันแล้ว (ดูเผินๆ) ขนาด Diemension ของทั้งสองตัวยังเกือบจะเท่ากันเลยด้วย แต่ถ้าเรามาดูเนื้อใน จะพบว่าสเปกข้างในนั้นแตกต่างกันพอสมควร (เราเอาตัว RF62 มาเทียบกับ Rf-62 II) โดยเริ่มจาก

1. น้ำหนัก ตัว RF-62 จะหนักกว่าร่วม 2 กิโลกรัม (RF-62: 24.5 kg, RF-62 II: 22.3 kg)

2. Crossover นั้นตัว RF-62 เก่าจะตัดความถี่ที่ 1800 Hz ส่วนตัว RF-62 II จะตัดที่ 1500 Hz ตัวเก่าตัดความถี่สูงกว่า หมายความว่าความถี่ตั้งแต่ 1800 Hz ลงมาจะทำงานที่ดอกวูฟเฟอร์ทั้งสองดอก ส่วน RF-62 II ความถี่ตั้งแต่ 1500 Hz จะทำงานที่ดอกวูฟเฟอร์ทั้งสองดอก และ 1500 Hz ขึ้นไปทวีตเตอร์จะทำงานแทน ซึ่งดูตามสเปก เหมือนกับว่าเสียง Reference II น่าจะสดจัด แหลมกระด้างมากกว่า เพราะทวีตเตอร์ไทเทนียมทำงานตั้งแต่ความถี่ที่ต่ำกว่า ซึ่งจากการลองต่อทดลองฟัง RF-62 ก็ให้เสียงนุ่มนวลและไม่ได้แข๊งกระด้างแต่อย่างใด (แต่วันนั้นเราไม่ได้เอา RF-62 II เทียบด้วยห้องฟังเดียวกัน แอมป์เดียวกันเลยยังสรุปอะไรแน่นอนไม่ได้)

3. การตอบสนองความถี่ ตัวเก่าจะลงลึกได้น้อยกว่านั่นคือ RF-62 :38Hz - 23KHz ส่วน RF-62 II: 35Hz - 24 KHz ก็จะเห็นว่ารุ่นสองรองรับความถี่ต่ำได้ดีกว่า ความถี่สูงได้สูงกว่า (ทั่วๆไปหูมนุษย์ได้ยินความถี่สูงได้ไม่เกิืน 20 KHz) แต่นั่นเป็นเพียงตัวเลขในกระดาษนะครับ เวลาเราดูสเปกเครื่องเสียงต้องดูของจริงด้วยว่าตัวเลขที่ตอบสนองได้ทุกย่านสูงถึงต่ำแบบเทพๆนั้น มันเสียงดีน่าฟังในทุกๆย่านหรือเปล่า



สุดท้ายเราเก็บรูปมุมสวยๆ และหน้าตาลำโพงมาฝากกันด้วยนะครับ งานนี้บังเอิญที่ห้องของลูกค้าที่เราไปส่งนั้นบรรยากาศฉากหลังค่อนข้างวินเท จนิดๆ ผนังไม้ด้านหลังถ่ายรุปออกมาแล้ว สวยเข้ากับลำโพง และสีดอกลำโพงพอดิบพอดี





















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 10, 2016, 08:20:21 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์

วันนี้เรามีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับใครที่กำลังมองหาชุดโฮมเธียเตอร์ดีๆสักชุด วันนี้เราจัดเซ็ทลำโพงรุ่นใหม่ล่าสุดจากอเมริกา Klipsch Reference Premier มาให้เลือกถึง 12 ชุด โดยแต่ละชุดลด แลก แจกแถมกันเต็มที่ โดยความพิเศษนั้นคือ สามารถเลือกรับสิทธิพิเศษได้สามแบบด้วยกัน (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)

Option1. รับฟรี AVR โดยแจกฟรีของใหม่เบิกศูนย์ ตั้งแต่ Marantz 7009, Yamaha Aventage 1040, Onkyo TX-NR838, Onkyo TX-NR737, Onkyo TX-NR636

Option2. หรือเลือกรับเป็นส่วนลดเงินสดสำหรับแลกซื้อสินค้าอะไรก็ได้ในร้าน (Gift Voucher) ย้ำว่าแลกซื้อสินค้าอะไรก็ได้ทุกรุ่นทุกยี่ห้อที่เรามี โดยลดจากราคาขายที่เราลดสุดๆแล้วก็ลดลงไปอีกตั้งแต่ 13,000 - 40,000 บาท

Option3. หรือเลือกรับเป็น Cash Back คืนเป็นเงินสดเข้ากระเป๋าเอาไปเลยฟรีๆไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท


Set 1:
Klipsch RP280F: 62,900
Klipsch RP450C: 35,900
Klipsch RP250S: 42,900
Klipsch R115SW: 39,900
Total 181,600 บาท
Option1: Free Marantz 7009 ราคา 59,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 40,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 30,000 บาท



Set 2:
Klipsch RP280F: 62,900
Klipsch RP450C: 35,900
Klipsch RP250S: 42,900
Klipsch R112SW: 29,900
Total 171,600 บาท
Option1: Free Yamaha Aventage 1040 ราคา 49,500 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 35,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 25000 บาท



Set 3:
Klipsch RP280F: 62,900
Klipsch RP450C: 35,900
Klipsch RP160M: 27,900
Klipsch R112SW: 29,900
Total 156,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR838 ราคา 59,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 30,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 23,000 บาท



Set 4:
Klipsch RP260F: 49,900
Klipsch RP450C: 35,900
Klipsch RP240S: 29,900
Klipsch R112SW: 29,900
Total 145,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR838 ราคา 59,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 27,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 20,000 บาท



Set 5:
Klipsch RP260F: 49,900
Klipsch RP450C: 35,900
Klipsch RP160M: 27,900
Klipsch R112SW: 29,900
Total 143,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR838 ราคา 59,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 27,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 20,000 บาท



Set 6:
Klipsch RP260F: 49,900
Klipsch RP440C: 29,900
Klipsch RP150M: 22,900
Total 132,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR838 ราคา 59,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 25,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 18,000 บาท



Set 7:
Klipsch RP260F: 49,900
Klipsch RP440C: 29,900
Klipsch RP150M: 22,900
Klipsch R110SW: 23,900
Total 126,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR737 ราคา 43,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 25,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 18,000 บาท



Set 8:
Klipsch RP250F: 37,900
Klipsch RP440C: 29,900
Klipsch RP240S: 29,900
Klipsch R110SW: 23,900
Total 121,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR737 ราคา 43,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 22,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 15,000 บาท



Set 9:
Klipsch RP250F: 37,900
Klipsch RP250C: 19,900
Klipsch RP240S: 29,900
Klipsch R110SW: 23,900
Total 111,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR737 ราคา 43,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 18,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 14,000 บาท



Set 10:
Klipsch RP250F: 37,900
Klipsch RP250C: 19,900
Klipsch RP150M: 22,900
Klipsch R110SW: 23,900
Total 104,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR636 ราคา 29,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 17,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 13,000 บาท



Set 11:
Klipsch RP160M: 27,900
Klipsch RP250C: 19,900
Klipsch RP150M: 22,900
Klipsch R110SW: 23,900
Total 94,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR636 ราคา 29,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 14,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 11,000 บาท



Set12:
Klipsch RP150M: 22,900
Klipsch RP250C: 19,900
Klipsch RP150M: 22,900
Klipsch R110SW: 23,900
Total 89,600 บาท
Option1: Free AVR Onkyo TX-NR636 ราคา 29,900 บาท
Option2: หรือรับสิทธิ์ซื้อสินค้าในร้านตัวไหนก็ได้ 13,000 บาท
Option3: หรือรับสิทธิ์รับ Cash Back เงินสดมูลค่า 10,000 บาท

Option 1 นั้นจะเหมาะกับคนที่ยังไม่มีอะไรเลยทั้งลำโพงและ AVR โดยเราได้คัดสรรเลือก AVR ให้เข้ากับชุด และสามารถขับลำโพงได้เต็มที่มาให้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่อง matching หรือขับลำโพงไม่ไหว

Option 2 จะเหมาะกับคนที่อยากได้ชุดลำโพง แต่ไม่อยากได้ AVR ที่เราจัดไว้ หรือมี AVR อยู่แล้ว แต่ยังสามารถเลือกซื้อสินค้าอื่นๆในร้านของเราได้ในราคาลดสุดๆ แล้วลดไปอีกตามมูลค่าของส่วนลดเงินสดที่ได้รับ

Option 3 คล้ายข้อ 2 เพียงแต่รับเงินสดคืนไปเลย ไม่มีเงื่อนไข

และนอกจากนั้นเรามีบริการเซ็ทอัพฟรีเบื้องต้น หรือหากอยากได้แบบมืออาชีพเราก็มีให้บริการโดยใช้มืออาชีพที่ทำงานด้านเซ็ทอัพระบบ Home Theater โดยเฉพาะ มีเครื่องมือวัดถูกต้องตามหลักการ รับรองว่าเสียงดีในราคาไม่แพงครับ

หรือหากสนใจแค่ลำโพงบางตัว ไม่ต้องการจัดเป็นชุด ก็สามารถสอบถามราคาพิเศษกันเข้ามาได้ครับตามรายละเอียดด้านล่าง
สินค้าทั้งหมดสามารถรูดบัตรเครดิตได้ทุกธนาคาร (มีชาร์จ 3.8%)






















----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2015, 04:04:12 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


Top 10 Dolby Atmos Movies of 2015


เดี้ยวนี้ระบบเสียง Dolby Atmos ดูจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวแล้วนะครับ จะเห็นว่า AVR รุ่นใหม่ๆ ราคาเริ่มต้นแค่ 2-3 หมื่นบาทก็รองรับระบบเสียงแบบนี้แล้ว และลำโพงก็มีให้เลือกมากมายทั้งฝังฝ้าแท้ๆ (เช่น CDT-5650, CDT-5800) หรือลำโพงแบบยิงเสียงขึ้นด้านบน (Dolby Atmos Enabled) เช่น Klispch RP-140SA, Klipsch RP-280FA ซึ่งการใช้งานก็แล้วแต่ความชอบ ความสะดวก และงบประมาณเลยครับ

ตอนนี้ที่บ้านใครมีแอมป์ (AVR / Pre) ที่รองรับ Dolby Atmos น่าจะหาหนังที่รองรับระบบนี้แท้ๆมาเล่นมาชมกันได้มากขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าแผ่นไทยอาจจะยังไม่มี แต่ถ้าใครโหลดหนังมาดูเอง หรือสั่งหนังจากนอกมาก น่าจะได้ลองสัมผัสกันมาบ้างไม่มากก็น้อย
และถึงแม้แผ่นไทยเราจะยังไม่รองรับ Dolby Atmos แต่ก็สามารถ upmixing เสียงให้ออกที่แชนแนลด้านบนได้เช่นกัน (แต่เสียงอาจจะสู้ต้นฉบับแท้ๆที่บันทึกมาระบบ Atmos ไม่ได้)
วันนี้เราเลยเอาสุดยอด Top 10 ภาพยนตร์ Dolby Atmos มาจัดอันดับกันดู ตามไปชมกันเลย !!

-----------------------------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้ที่เว็บของเราได้ที่นี่: http://www.whatthatsound.com/article/top-10-dolby-atmos-movies-of-2015

ต้นฉบับ Klipsch.com/blog/top-10-dolby-atmos-movie-of-2015 by Alex Leopold
-----------------------------------------------------------------------------------


 

Dolby Atmos คือ ระบบเสียงแบบ Object-Based ที่รองรับมิติด้านบนเพิ่มขึ้นมาจากปกติที่รองรับเสียงรอบตัวในแนวระนาบเท่า นั้น ซึ่งมิติเสียงด้านบนจะสร้างความสมจริงได้มากกว่าในการชมภาพยนตร์ เช่นฉากยานบินผ่านบนหัว หรือฉากฝนตก หรือนก เฮลิคอปเตอร์ ระเบิดกลางอากาศ จะให้ความรู้สึกเหมือนจริงเหมือนมีวัตถุบินผ่านบนหัวจากซ้ายไปขวา หรือจากหน้าห้องไปหลังห้องได้นั่นเอง
ซึ่งปัจจุบัน AVR รุ่นใหม่ที่ออกในปี 2014-2016 1ส่วนใหญ่จะรองรับระบบ Dolby Atmos กันเกือบครบทุกตัวแล้ว ไม่ว่าจะ Marantz x010, Yamaha Aventage x050, Onkyo TX-NR, Onkyo RZ, Denon X200W, Pioneer LX series และ Pre-Processor รุ่นใหม่ๆก็รองรับกันเกือบทุกตัวแล้วเช่นกัน


1. Gravity


ใครคิดจะลงทุนซื้อแผ่นแท้ระบบเสียง Dolby Atmos นี่คือเรื่องที่ต้องมี ต้องซื้อ เพราะนี่เป็นหนึ่งในหนังที่มิ๊กเสียงมาดีมาก ทั้งดนตรีประกอบ และซาวด์เอฟเฟก เนื้อเรื่องเคว้งคว้างล่องลอยกลางอวกาศ จึงได้ยินเสียงมาจากทุกทิศทาง ทั้งเสียงไอพ่น สะเก็ดหิน ฉากระเบิด ที่สมจริงสมจังแบบสุดๆ ใครจะหาหนัง Dolby Atmos ที่แสดงศักยภาพของ AVR และลำโพงดีๆสักเรื่อง แนะนำโหลดหรือสั่งเรื่องนี้มาดูครับ


2. Mad Max: Fury Road


หนังในดวงใจใครหลายคน ระบบเสียงไม่ต้องพูดถึง รุนแรงสะใจ เบสแน่นปึ๊ก ซาวด์แค่ฟังระบบ HD ธรรมดาก็ฟินแล้ว นี่ยังมี Atmos มารับรองเลยว่ายิ่งฟินหนัก
ตัวหนังไม่ต้องพูดถึง ถ้าใครอยากเก็บหนังแอคชั่นมันๆไว้ดู ไว้โชวภาพ โชว์ระบบเสียง เรื่องนี้หยิบใส่ชั้นวางได้เลยไม่ต้องคิดมาก เนื้อเรื่องหนังไม่มีอะไร เน้นมันฟัดกันทั้งเรื่อง
ส่วนเสียง Dolby Atmos อาจะคนละอารมณ์กับ Gravity ส่วนใหญ่จะมาในรูปฉากของซาวด์เอฟเฟคของแอคชั่นมันๆ อย่างฉากต่อสู้ รถ มอเตอร์ไซร์ ระเบิด ฉากยิงปืน และมนุษย์กีตาร์ (ที่หน้าเหมือน maliryn manson)
ถ้าชอบดูหนังแอคชั่น เก็บไปเถอะ ไม่ผิดหวังแน่นอน

 

3. American Sniper


หนังชีวประวัติของ Chris Kyle (แสดงโดย Bradley Cooper) หนังค่อนข้างหม่นและเล่นกับอารมณ์ค่อนข้างมาก นำเสนอประวัติของนาวิกโยธินสหรัฐ ส่วนใหญ่โชว์เสียงเอฟเฟคปืน รถถัง ระเบิด โดยเฉพาะฉากไคล์แม๊กอย่างฉากพายุทราย ถ้าให้เทียบดีกรีความมัน เรื่องนี้อาจจะบู๊หรือมีฉากโชว์เสียงเอฟเฟคมากสู้สองเรื่องข้างบนไม่ได้ แต่จะเน้นเนื้อเรื่องมากกว่า เหมาะสำหรับใครที่ชื่นชอบหนังกึ่งชีวประวัติ กึ่งดราม่า และมีฉากมันๆให้ลุ้นด้วยครับ

 
4. Enchanted Kingdom


จากผู้สร้าง Earth and Walking with Donosaurs 3D มาถึงเรื่องนี้ เป็นหนังสารคดีที่โชว์ฉากสวยๆของธรวรมชาติ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ภาพและเสียงถือว่าดีใช้ได้ โดยเฉพาะใครที่ชอบดูสารคดี ระบบเสียงโชว์เสียงต่างๆได้ดีไม่ว่าจะเสียงฟ้าผ่า ถูเขาไฟปะทุ หิมะ น้ำตก และชีวิตสัตว์ป่า ถือเป็นเรื่องที่น่าเก็บสะสม ดูได้ทั้งครอบครัว ไม่มีพิษมีภัยครับ
 

5. Game of Thrones


ซีรี่ย์ชื่อดัง ทีมีแฟนๆทั่วโลกติดกันงอมแงม วันนี้ทำมาในรูปแบบ Dolby Atmos โชว์ระบบเสียงเจ๊งๆไม่ว่าจะฉากต่อสู้ต่างๆ เอฟเฟค เหมาะสำหรับคนที่เป็นแฟนเรื่องนี้อยู่แล้ว หรือยังไม่เคยดูแต่อยากลองว่ามันมีดีอะไร แต่ถ้าเคยดูแล้ว หรือไม่ชอบซีรี่ย์เรื่องนี้ แนะนำให้ข้าม

 
6. Everest


หนังกึ่งชีวประวัติอีกเรื่องที่ได้ฉากหลังเป็นภูเขาเอเวอเรสต์ในปี 1996 ใครชอบฟังเสียง dolby Atmos ต้องบอกว่าเรื่องนี้ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะทั้งเรื่องลำโพงด้านบนทำงานเยอะมาก ไม่ว่าจะเสียงพายุหิมะถาโถม ฉากหิมะถล่ม ฉากเฮลิคอปเตอร์บิน โดยเฉพาะฉากหิมะตกที่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงประหนึ่งว่าหิมะตกลงมาจากด้าน บน ลงมาที่พื้นห้องจริงๆ
เนื้อเรื่องหนังส่วนตัวไม่ค่อยมีอะไรมากนัก เพราะเน้นชีวประวัติและเล่าเรื่องราวเป็นเส้นตรง แต่เอฟเฟกและเสียง Dolby Atmos นั้นเรื่องนี้ไม่ธรรมดาครับ บอกเลย ใครที่ยังไม่ดูไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง
 

7. Sicario


หนังบันทึกเสียงยอดเยี่ยมอีกเรื่องแห่งปี เรื่องนี้ใครไม่เชียร์ผมเชียร์ครับ บันทึกเสียงมาดีมว๊ากกกกก เกินบรรยาย ทั้งเสียงบรรยากาศ เสียงระเบิด ปืน และหนังมีฉากที่เล่นกับเสียงด้านบนโดยเฉพาะหลายฉาก อย่างฉากที่เฮลิคอปเตอร์บินวน หนังว่าด้วยเรื่องของสงครามยาเสพย์ติดและการล้างแค้น เนื้อเรื่องมีแค่นี้ แต่หนังอัดแน่นไปด้วยฉากดิบๆและซาวด์เท่ๆโชว์ความเจ๊งของการบันทึกเสียงชั้น ดี
แนะนำครับเรื่องนี้ แล้วคุณจะฟินกับระบบเสียงของมัน

 
8. San Andreas


หนังสุดยอดนิยม สุดยอดฮิตของคนไทย ชื่นชอบกันตั้งแต่เด็กยันผู้ใหญ่ เนื้อเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่ต้องคิดเยอะ มีมหันตภัยแผ่นดินไหว พระเอกออกไช่ช่วยเมียและลูกสาว หนังโชว์เสียง Dolby Atmos มันเกือบทั้งเรื่อง ตึกถล่ม ปูนแตก แผ่นดินแยกกันทั้งเรื่อง มีทั้งคลื่นยักษ์ มีทั้งสะพานถล่ม เฮลิคอปเตอร์ตก คือไม่มีฉากไหนเงียบหรือลำโพงไม่กระเพื่อมเลยก็ว่าได้ ถล่มกันจนไม่ได้หายใจหายคอเลยทีเดียว
หากใครอยากฟังเสียง Atmos เยอะๆ บอกเลยว่า เรื่องนี้คุ้มสุด ได้ทั้งเบส ได้ทั้ง Atmos มีให้ฟังกันจนหูชา คุ้มสุดๆแล้ว แต่อย่าอะไรกับเนื้อเรื่อง เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ

 
9. Mission Impossible: Rogue Nation


หนังภาคต่อสุดฮิต ที่ภาคนี้ก็ยังได้ Tom Cruise มาเล่นอีกเช่นเคย (แต่เปลี่ยนนางเอกไปเรื่อยๆ) ฉากที่เด่นที่สุดก็คือฉากที่ปีนเครื่องบินฉากแรก และฉากหลังๆยังมีฉากโชว์เสียงเจ๋งๆของ Dolby Atmos อีกเยอะ (แต่ก็ไม่เยอะเท่า San Andreas) ไม่ว่าจะเป็นฉากโรงละครโอเปรา ฉากซิ่งรถ ฉากดำน้ำ ถ้าชื่นชอบหนังแอคชั่นสนุกๆ เรื่องนี้คุ้มครับ

 
10. The Fifth Element


เป็นเรื่องเดียวที่เป็นหนังเก่ามาก เรียกได้ว่าเข้าข่ายหนังคลาสสิคไซไฟไปแล้ว ล่าสุด Sony นำมาทำใหม่ในเวอร์ชั่น Dolby Atmos (Cinema Series) โดยใส่เสียง Atmos เข้าไปด้วย (ทำยังไงนะ)และด้วยเวทย์มนตร์ของวงการมายา การมิกซ์เสียง คอมพิวเตอร์เอฟเฟค เราก็ได้ The Fifth Element ในรูปแบบของหนัง Dolby Atmos เจ๋งๆมาให้ดูกัน ใครชอบเก็บสะสมหนังเก่า หรือชื่นชอบ The Fifth Element อยู่แล้ว version นี้ต้องเก็บครับ


หนัง Dolby Atmos ที่กำลังจะมาเร็วๆนี้ - Upcoming Dolby Atmos Movies

ในปีนี้ หนังใหม่ๆที่กำลังจะออกในระบบเสียง Atmos ก็ยังคงทยอยออกมากันเรื่อยๆ ใครที่ลังเลว่าตอนนี้ถึงเวลาที่จะลงทุนระบบเสียง Atmos ทั้ง AVR และลำโพงหรือยัง เราอยากให้ลองดูรายชื่อหนังใหม่ๆ ที่กำลังจะมาในรูปแบบ Dolby Atmos และ Ultra 4K ไว้เป็นข้อมูลตัดสินใจครับ

- Sicario (March 1, 2016),

- Ender’s Game (March 1)

- The Amazing Spider-Man 2 (ยังไม่กำหนดวัน)

- Heart of the Sea (March 8)

- The Hunger Games: Mockingjay – Part 2 (March 22)

หรือใครอยู่เมืองนอก สามารถใช้บริการ stream หนัง Dolby Atmos ผ่าน VUDU ได้ โดย VUDU จะมีบริการหนังใหม่ๆในระบบ 4K และ Dolby Atmos ให้ดูกันได้ตลอดเช่น Man of Steel, Edge of Tomorrow, Pacific Rim, Entourage และเรื่องอื่นๆ

แล้วหนังในระบบ Dolby Atmos ที่คุณชอบคือเรื่องอะไรครับ ?


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 10, 2016, 09:32:23 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
ส่ง Klipsch R112-SW ที่ศาลายา










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 15, 2015, 03:55:51 pm โดย keamglad »