22 Jun 2014
Article

ระเบิดศึกสายเลือด !!! LED TV vs LCD TV แตกต่างกันอย่างไร? อะไรดีกว่ากัน?


  • lcdtvthailand

คำถามที่ถามกันบ่อยๆในวงการทีวีและเครื่องเสียงในปัจจุบันนี้ก็คือ “พี่ครับ LED TV กับ LCD TV ต่างกันอย่างไรครับ ?” จากผลสำรวจของเราเองมันคือหนึ่งในเป็นคำถามที่พนักงานขายทีวีตอนนี้แทบโดนกันหมดทุกคนครับ และแน่นอนมันก็ตามมาถึงทีมงาน LCDTVTHAILAND ซึ่งโดนคำถามนี้กันถ้วนหน้า เอาเป็นว่าผมขออธิบายรายละเอียดของ LED TV VS LCD TV ก่อนละกันครับ

LCD TV คืออะไร???

LCD TV ย่อมากจาก Liquid Crystal Display ซึ่งใช้หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟ เรียงในแนวนอนยาวลงมาเป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลวคอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงแบ็คไลท์ (สีขาว) ลอดผ่านทะลุ Color Filter แม่สี 3 สี ทั้งสีแดง น้ำเงิน เขียว เพื่อแสดงออกมาเป็นสีสันต่างๆ

หลอดไฟ CCFL

LED TV คืออะไร ???

LED TV ย่อมาจาก Light Emitting Diode เป็นหลอดไฟขนาด “จิ๋วแต่แจ๋ว” ซึ่งใช้หลอด LED เป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสีนต่างๆ

สรุป

สรุปอย่างได้ใจความได้ว่า LED TV ก็คือ LCD TV ที่เปลี่ยนจากหลอด CCFL เป็นหลอด LED ในการกำเนิดแสงนั่นเอง โดยยังใช้ Liquid Crystral ผลึกแข็งกึ่งเหลวคอยบิดตัวเพื่อให้แสง Backlight ส่องผ่านไปยัง Color Filter ทั้ง 3 สี ในการสร้างสีในแต่ละพิกเซล ดังนั้นตามหลักการแล้วมันก็คือ “LED Backlight – LCD TV” ครับ  เพียงแต่สลับจากการใช้หลอด CCFL ให้เป็นหลอด LED เพื่อใช้กำเนิดแสง อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือ LED เป็นเทคโนโลยีที่มีให้เห็นกันบ่อยในจอโน๊ตบุ๊คที่บางๆครับ

แล้ว LED TV กับ LCD TV อะไรดีกว่ากันหละ???

ขอตอบแบบฟันธงเลยนะครับ ในฐานะคลุกคลีกับจอภาพอยู่แทบทุกวันว่า LED TV ดีกว่า LCD TV ในหลายแง่ครับ เรามาดูตารางเปรียบเทียบกันในเชิงคุณภาพผลลัพธ์เลยนะครับ โดยเป็นการตัดสินให้คะแนนโดยทีมงาน LCDTVTHAILAND

ด้วยความที่เป็นหลอดไฟ “จิ๋วแต่แจ๋ว” โดยความสามารถของเจ้า LED นั้นสามารถให้ “แสงสว่างได้ดีกว่าโดยที่ใช้ไฟน้อยกว่า” ทำให้ LED เป็นแหล่งกำเนิดไฟที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหลอด CCFL ทันทีครับ และที่สำคัญด้วยขนาดหลอดที่เล็กกว่า ทำให้ LED TV มีความบางกว่า LCD TV ทั่วๆไปที่ใช้หลอด CCFL Backlight แต่อย่างไรก็ตาม LED TV นั้นก็ยังมีระดับราคาที่สูงอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า “คุ้มค่าหรือเปล่า” กับการลงทุนในช่วงนี้  โดยผมบอกได้เพียงสั้นๆว่า ค่าตัวของ LED TV ค่อนข้างแพงกว่า LCD TV อยู่พอสมควร แต่ก็มี LED TV ก็มีอัตราการกินไฟน้อยกว่า LCD TV อยู่ประมาณ 40%-50% เลยทีเดียว ดังนั้นเรื่องความคุ้มค่าก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้วหละว่าจะเลือกตัวไหนครับ

หมายเหตุ : ในปี 2013 ตอนนี้แทบไม่มี LCD TV ที่ใช้หลอด CCFL เป็นแบ็คไลท์แล้ว กลายเป็น LED TV ได้เข้ามาแทนที่เกือบทั้งหมดและทำต้นทุนได้ถูกลงกว่าเดิมมาก ทำให้ LED TV มีตั้งแต่รุ่นประหยัดราคาถูก ไปจนถึงรุ่นไฮเอ็นด์ราคาแพง

LED TV มีทั้งหมดกี่แบบ ???

อันนี้หลายๆท่านอาจะจะยังสงสัยว่า LED TV มันมีหลายแบบด้วยเหรอ คำตอบแบบฟันธงนะครับว่ามีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป เรามาดูกันเลยดีกว่า

1. EDGE LED :วางหลอด LED ไว้ตรงขอบของทีวี
EDGE ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “ขอบ” ครับ โดยหลอด LED จะถูกวางไว้ตามขอบบน ล่าง ซ้าย ขวา ของทีวีและคอยยิงแสงเข้ามาตรงกลางจอทีวี สำหรับข้อดีก็มีตรงที่ “ความบาง” ที่บางกว่า LCD TV ทั่วๆไปหลายเท่า เพราะหลอด LED อยู่แค่ด้านข้างครับ ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องการประหยัดไฟครับ อย่างไรก็ตามข้อเสียหลักๆเมื่อเทียบกับ LED แบบ Full LED ก็คือ ไม่สามารถทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆได้เนื่องจากหลอดไฟอยู่ที่ขอบนั่นเอง

Edge LED วางหลอดไฟไว้ตามขอบด้านบน ล่าง และด้านข้าง
หาก Edge LED แบบดีๆหน่อย เช่นรุ่นมิดเอ็นด์ถึงไฮเอ็นด์
ก็จะทำ Local Dimming ได้ แต่ไม่ละเอียดเทพแบบ Full LED

สำหรับ EDGE LED TV ก็ได้แก่ Samsung, LG, Sony, Toshiba, Panasonic และอื่นๆแทบทุกรุ่นครับ ซึ่งถ้าเป็นตัวที่ราคาแพงหน่อยก็จะทำ Local Dimming ได้ด้วยแบบรูปข้างบน

2. Full LED :หลอด LED เป็นแผงอยู่ด้านหลัง
สำหรับแบบที่ 2 เราเรียกว่า Full LED  เพราะว่ามีหลอดไฟอย่าด้านหลังทั้งแผงคอยให้กำเนิดแสงนั่นเอง ข้อดีของ Full LED ก็คือ ความสามารถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิด หลอด LED เป็นกลุ่มๆ หรือเฉพาะจุดนั้นเองอย่างอิสระ เช่นฉากๆ นึงด้านซ้ายเป็นสีดำ ด้านขวาเป็นสีขาว หลอด LED Backlight บริเวณด้านซ้ายก็จะปิดเพื่อทำให้สีดำบริเวณด้านซ้ายดำสนิท และกลุ่ม LED Backlightด้านขวาจะเปิดเพื่อให้แสงสามารถลอดออกมาเป็นสีขาวครับ ในขณะที่ CCFL และ EDGE LED ไม่สามารถได้ ส่วนข้อเสียคือเรื่องความหนาของตัวเครื่องครับ เนื่องจากต้องใช้หลอดไฟ LED หลายตัวไว้ด้านหลังของตัวจอ ซึ่งทำให้ทีวีมีความหนาประมาณ LCD TV ทั่วๆ ไปอยู่ครับ

หมายเหตุ : LG เรียกว่า Full LED ส่วน Sony เรียกว่า Intelligent Peak LED

หลอดไฟ LED จะอยู่เต็มแผงหลังของจอ
เวลาทำ Local Dimming ก็จะทำเป็นโซนบล็อคสี่เหลี่ยมตารางหมากรุกแบบนี้
นึกภาพไม่ออกให้ดูรูปนี้ว่า Full LED มันทำ Local Dimming ได้ละเอียดกว่าอย่างไร
แกะจอให้ดูหลอดไฟ LED อัดเรียงกันทั่วพื้นที่แบบนี้ แถมยังทำ Local Dimming เปิด-ปิดไฟได้เป็นกลุ่มๆ
จึงกล้าเรียกว่า “Full LED” ได้เต็มปาก !

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ Sony HX955 รุ่นท็อปของ Sony ปี 2012 และ LG LM9600 ตัวท็อปของ LG ปี 2012 รุ่นนี้ใช้ Full LED Backlight ครับ รวมถึง Philips รุ่น PFL9706 รุ่นนี้ก็ใช้ Full LED Backlight เช่นกัน ซึ่งทั้ง 3 ก็แสดงสีดำได้ดำสงัดเทียบเท่า Plasma TV ระดับท็อปๆเลยแหละครับ

2.1 Direct LED : คือ Full LED อีกประเภทหนึ่ง แต่จะเป็นเกรดที่ต่ำกว่าทั้งด้าน “ต้นทุน” และ “ประสิทธิภาพ” กล่าวคือจะใช้จำนวนหลอดไฟ LED น้อยกว่า คือประมาณ 50-60 หลอดเท่านั้น และที่สำคัญคือมัน “ไม่สามารถทำ Local Dimming ได้” จุดประสงค์ของ Direct LED ก็เพื่อมาแทนพวก LCD TV ที่ใช้หลอด CCFL ซึ่งกินไฟกว่าครับ จะพบได้ใน LED TV รุ่นประหยัดของบางค่ายเช่น Philips รุ่น 5605 และ 6605 ในปี 2010-2011 ที่ผ่านมา และล่าสุดก็คือ Samsung LED TV Series EH5000 /6000 ในปี 2012 นี้ ดังนี้ข้อได้เปรียบของ Direct LED ที่เหนือกว่า Edge LED ก็คือเรื่องของความสว่างที่มีมากกว่าและครอบคลุมทั่วจอมากกว่า แต่ข้อเสียเปรียบก็คือความหนาเทอะทะของตัวเครื่องที่จะดูหนากว่า ไม่สามารถสู้หุ่นอันผอมเพรียวของ Edge LED ได้

Direct LED มีหลอดไฟวางทั่วจอก็จริง แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่า Full LED อยู่มาก
และไม่สามารถทำ Local Dimming ได้

3. RGB LED : หลอดไฟ LED สีแดง เขียว น้ำเงิน เป็นแผงอยู่ด้านหลัง 
แบบสุดท้ายผมขอยกให้เป็นตัวท็อปของ LED TV ในปัจจุบันนะครับ ซึ่งก็คือ RGB LED TV นั่นเอง โดยหลักการให้กำเนิดแสงก็คล้ายๆ กับ Full LED เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้หลอด LED สีเดียวซึ่งปกติเป็นสีขาวในการกำเนิดแสง เจ้า RGB LED TV ใช้หลอด LED แม่สี 3 สี (แดง R, เขียว G, น้ำเงิน B) ในการให้กำเนิดแสงแทน ซึ่งหลอดไฟ 3 สีนี้แยกการทำงานกันอย่างอิสระ ส่งผลให้การสร้างสีดีขึ้น เพราะแสงต้นขั้วนั้นออกมาเป็นแม่สีตั้งแต่แรก ความถูกต้องและคมชัดของสีจึงมีมากขึ้น ตลอดจนความสามารถในการไล่เฉดสีจนมีมิติของภาพก็ดีขึ้น ตามหลักการแล้ว RGB LED ถือว่าเป็น LED TV ที่ดีที่สุดครับ มีต้นทุนที่สูงกว่า และความสามารถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดไฟเป็นกลุ่มๆอย่างอิสระเพื่อสีดำที่ดำสนิทและคอนทราสต์ที่มากขึ้นก็มีเช่นเดียวกับ Full LED แบบข้อที่ 2 ครับ ส่วนข้อเสียที่เห็นหลักๆก็คือระดับราคาที่ค่อนข้างสูงมากๆจนทำให้ไม่สามารถทำตลาดได้และเลิกผลิตไปในที่สุด

ตัวอย่างทีวีที่ใช้ RGB ก็คือ Sony X450 ขนาด 46” 55” 70” และ Sharp XS1 ขนาด 65” ซึ่งค่าตัวของ Sharp RGB LED TV ก็ 699,990 บาท และ 70X450 ราคาอยู่ที่ 799,990 บาทซึ่งถอยรถ Vios และ Civic ได้อย่างละ 1 คันพอดีเลยหละครับ

หมายเหตุ ข้อมูลตั้งแต่ปี 2009 นะครับ ส่วนในปัจจุบันนี้ ไม่มี RGB LED TV จำหน่ายแล้ว

แล้วเลือกซื้อตัวไหนดีกว่ากันหละครับ ช่วยแนะนำหน่อย ???

จริงๆทั้ง CCFL LCD TV, EDGE LED TV, Full LED TV, และ RGB LED TV ก็มีข้อดี ข้อด้อยแตกต่างกันออกไปครับ รวมถึงระดับราคาที่สูงขึ้นไปตามความล้ำของเทคโนโลยี ทั้งนี้เรื่อง “ความคุ้มค่า” ในการเลือกซื้อนั้น อันที่ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรามากกว่า ด้วยสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ หลายท่านคิดว่าซื้อ LCD TV ธรรมดาก็พอแล้ว ภาพก็ไม่ได้ด้อยกว่า LED TV ซักเท่าไหร่ เหลืองเงินไปซื้ออย่างอื่นได้อีก หรือบางท่านเห็นว่า LED TV ได้บางเฉียบและประหยัดไฟกว่าในระยะยาว น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า หรือบางท่านต้องการทีวีที่ให้คุณภาพระดับเทพที่สุด โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคาก็อาจจะอัพไปเล่น Full LED TV / RGB LED TV ตัวท็อปเลย ซื้อทีเดียว จ่ายทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินเสียทองหลายรอบครับ อย่างที่บอก “ความคุ้มค่า” มันขึ้นอยู่กับ “ความพอใจส่วนบุคคล” !!!!

ทีมงาน LCDTVTHAILAND หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านในการเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อทีวีครับ เพื่อนๆสามารถ Copy บทความนี้ไปโพสต์ลงเว็บอื่นหรือ Blog ก็ไม่ว่ากัน เพียงแค่ช่วย Credit เว็บ www.lcdtvthailand.com ให้เป็น credit ตอนต้นหรือตอนท้ายเท่านั้นเองนะครับ