ผมเชื่อว่าหลายๆ คนในช่วงนี้ เวลาไปไหนมาไหน หรือ เวลาที่ดูสเปกเกี่ยวกับ TV เครื่องเสียงรุ่นใหม่ ก็มักจะได้ยินว่า เครื่องรุ่นนั้นรุ่นนี้รองรับ IMAX Enhanced แล้วนะ !!! แต่ว่าเจ้า IMAX Enhanced ที่กล่าวถึงนี้ มันคืออะไรหละ !? ผมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกัน
แต่ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับ IMAX Enhanced เราควรที่จะต้องรู้จักต้นตอของมันเสียก่อน นั่นก็คือ IMAX หรือ โรงภาพยนตร์ IMAX นั่นเอง
IMAX คืออะไร ?
IMAX หรือชื่อเต็มคือ Image Maximum เป็นชื่อระบบของโรงภาพยนตร์จากบริษัท IMAX Corporation จากประเทศแคนาดา ซึ่งแตกต่างจากโรงภาพยนตร์ปกติทั่วไปตรงที่ ตั้งแต่กล้องถ่ายทำ เครื่องฉาย จอรับภาพ รวมถึงเครื่องเสียง ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่เป็นของ IMAX ทั้งหมดเลย
ซึ่งโรงภาพยนตร์ IMAX นั้นจะมีเอกลักษณ์อยู่ที่หน้าจอขนาดใหญ่ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน โดย IMAX ในประเทศไทย สาขา Paragon Cineplex นั้นมีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 1,380 นิ้ว !!! โดยมีความสูงของจออยู่ที่ 21 เมตร อัตราส่วนภาพ 1.43:1 ซึ่งให้ภาพแบบเต็มตาอย่างแท้จริง มาพร้อมระบบเสียง Laser Sound ที่มีกำลังขับสูงสุดถึง 16000 วัตต์ ให้เสียงที่กระหึ่ม เสียงเบสลงลึกระดับ Deep Bass ได้มากกว่าลำโพงของโรงภาพยนตร์ทั่วไป และ ที่นั่งแบบ Stadium Seat หรือที่นั่งแบบ อัฒจันทร์ ทำให้รับชมภาพและเสียงได้แบบเต็มอิ่ม ไม่มีใครบังใคร ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกนำมาพัฒนาและย่อส่วนให้มาอยู่ในบ้านของเราในชื่อ IMAX Enhanced นั่นเอง
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของโรงภาพยนตร์ IMAX ที่นี่)
IMAX Enhanced คืออะไร ?
IMAX Enhanced คือมาตรฐานระบบภาพและเสียงภายในบ้าน ที่เป็นความร่วมมือกันระหว่าง IMAX Corporation กับบริษัทผู้เชี่ยวชาญทางด้านเสียงมาอย่างยาวนานอย่าง Datasat Digital Entertainment ที่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช่ชื่อว่า DTS, Inc. หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ DTS นั่นเอง
โดยมาตรฐานนี้ทาง IMAX และ DTS จะเข้าไปควบคุมทุกขึ้นตอนตั้งแต่ขั้นตอน Post Production ใน Studio ภาพยนตร์ ทั้งด้านภาพและเสียง รวมถึงผู้ผลิต TV Projector เครื่องเสียง Home Theater ต่างๆ ออกมาจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของ IMAX Enhanced เพื่อที่จะยกระดับประสบการรับชมภายในบ้านให้ออกมาใกล้เคียงกับการรับชมในโรงภาพยนตร์ IMAX มากที่สุด โดยจะประกอบไปด้วยทั้งหมด 4 ส่วนหลักๆ ดังนี้
IMAGE : ภาพ
ภาพยนตร์ หรือ Content ต่างๆ ที่จะได้รับมาตรฐาน IMAX Enhanced นั้น จะต้องใช้กล้องของ IMAX ในการถ่ายทำ หรือเป็นภาพยนตร์ที่ทำการ Master หรือตัดต่อภาพมาในสัดส่วนภาพแบบพิเศษสำหรับ IMAX โดยเฉพาะ และนำมาผ่านกระบวนการที่เรียกว่า IMAX DMR (Digital Media Remastering) ที่จะเป็นการปรับปรุงภาพโดยการ ลด Noise รวมถึง Grain ต่างๆ ให้ภาพมีสีสันสดใส กระจ่างชัดเจนมากกว่าไฟล์แบบปกติ ตามมาตรฐานของ IMAX นั่นเอง
โดยจะทำ Master ออกมาแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นการ Master ที่ขอบเขตสีแบบ DCI P3 ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมภาพยนตร์หรือบางเรื่องอาจจะสูงถึงระดับ Rec2020 เลย เพื่อให้คุณภาพออกมาดีที่สุดในรูปแบบ 4K HDR นั่นเองครับ
โดย TV และ Projector รุ่นที่จะผ่านมาตรฐาน IMAX Enhanced นี้ได้ จะต้องมีขนาดของหน้าจอตั้งแต่ 65 นิ้วขึ้นไป รองรับ HDR แบบ HDR 10 รวมถึงต้องสามารถปรับแต่งภาพในส่วนของ ความละเอียดภาพ (Resolution), สี (Color), ความสว่าง (Brightness), ความเข้ม (Contrast) และ สัดส่วนภาพ (Scale Of Image) ได้
ซึ่งตอนนี้ TV และ Projector รุ่นที่รองรับในปัจจุบัน (วันที่ 24 พ.ย. 64) ที่รองรับ IMAX Enhanced นั้นได้แก่ Sony OLED TV A90J A80J, Hisense ULED U8G U7G และ Projector จาก Sony เช่น VPL-VW1025ES กับ VPL-VW325ES เป็นต้น
(เช็ครายชื่อ TV Projector รุ่นที่รองรับ IMAX Enhanced ได้ที่นี่)
SCALE : ขนาดภาพ
ส่วนนี้ต้องบอกว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของโรงภาพยนตร์ IMAX กับ มาตรฐาน IMAX Enhanced เลยก็ว่าได้ นั้นก็คือจะได้สัดส่วนภาพแบบพิเศษ ที่จะมีการเพิ่มขนาดของภาพในด้านความสูงจากปกติหนังส่วนใหญ่จะอยู่ที่อัตราส่วนแบบ 2.40 : 1 หรือ 21 : 9 ให้เป็นอัตราส่วนแบบ 1.90 : 1 ให้ภาพ(เกือบ)เต็มจอแบบ 16:9 เลย หรือเรียกว่าใหญ่กว่ามากถึง 26% เลยทีเดียว
โดยหนังบางเรื่องอาจจะได้ภาพที่อัตราส่วนแบบ 1.90 : 1 ทั้งเรื่อง หรือบางเรื่องอาจจะเป็นแค่ในฉากสำคัญๆ เท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ผู้กำกับ ขั้นตอนในการถ่ายทำ รวมถึงกล้องที่ใช้ถ่ายทำของหนังแต่ละเรื่องครับ
SOUND : เสียง
IMAX และ DTS ได้บอกว่าเสปคมาตรฐานของระบบเสียงแบบ IMAX Enhanced ไว้ว่าจะรองรับเครื่องเสียงที่มีจำนวน Channel ตั้งแต่ 5.1 Ch ไปจนสูงสุดที่ 11.1 CH (7.1.4 CH)
แต่เพื่อประสบการณ์รับฟังเสียงที่ดีทาง IMAX แนะนำว่าควรจะมีจำนวนลำโพงขั้นต่ำอยู่ที่ 5.2.4 CH โดยประกอบไปด้วยลำโพงหลัก 5 ตัว ลำโพงด้านสูง 4 ตัว และลำโพง Subwoofer 2 ตัว ซึ่งเหตุผลที่แนะนำให้ใช้ลำโพง Subwoofer 2 ตัวก็เพื่อต้องการให้เสียงเบสที่ได้มีความชัดเจนถูกต้องมีไดนามิกของเสียงที่ดีกว่าการใช้งาน Subwoofer ตัวเดียวนั่นเอง
แต่หากใครอยากได้รับประสบการณ์ด้านเสียงของ IMAX Enhanced แบบเต็มที่ที่สุด ก็ได้แนะนำให้ติดตั้งลำโพงในรูปแบบ 7.2.4 CH ได้แก่ ลำโพงในแนวระนาบ 7 ตัว ลำโพงด้านสูงอีก 4 ตัว และ ลำโพง Subwoofer 2 ตัว
ซึ่งในส่วนของไฟล์เสียงจะเป็นการเข้ารหัสสัญญาณเสียงแบบพิเศษมาพร้อมกับสัญญาณเสียงแบบ DTS:X ซึ่งถ้าเราใช้งานร่วมกับเครื่องเสียงที่รองรับมาตรฐาน IMAX Enhanced ตัวเครื่องจะแสดงผลว่า IMAX DTS:X ส่วนเครื่องที่ไม่รองรับก็จะขึ้นเป็น DTS:X ปกติครับ
(ตรวจสอบ AVR เครื่องเสียงรุ่นที่รองรับ IMAX Enhanced คลิกที่นี่)
Content : หนังและคอนเทนต์ต่างๆ
สำหรับภาพยนตร์ที่ได้รับมาตรฐาน IMAX Enhanced ในปัจจบันก็ถือว่าค่อนข้างออกมาให้รับชมอย่างแพร่หลายแล้วในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแผ่น 4K UHD Blu-ray บนแอปสตรีมมิ่งต่างๆ อย่างเช่น Disney+ , BRAVIA CORE, Rakuten TV และ iQiYi
ส่วนในประเทศไทยนั้นอาจจะยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร คนที่อยากจะสัมผัสภาพและเสียงในระบบ IMAX Enhaced จริงๆ ก็อาจจะต้องหาแผ่น 4K UHD Blu-ray เรื่องที่ได้รับมาตรฐาน IMAX Enhanced มารับชมอย่างส่วนตัวผู้เขียนก็เคยรับชมจากแผ่นภาพยนตร์สารคดี 2 เรื่องอย่าง A Beautiful Planet กับ Journey To The South Pacific และหนัง 1 เรื่องอย่าง Bad Boy For Life เท่านั้น
สามารถเช็ครายชื่อหนังที่ได้รับมาตรฐาน IMAX Enhanced ได้ที่นี่
ล่าสุดจากการที่แอปสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ ในต่างประเทศสามารถรับชมภาพยนตร์หลายเรื่องของ Marvel ในรูปแบบ IMAX Enhanced กันได้แล้ว โดยแอป Disney+ hotstar ในบ้านเคยออกมาบอกว่าจะมีอัปเกรดตามมาอย่างแน่นอนแต่ไม่ได้ระบุว่าเมื่อใดจะอัปเกรดให้เราสามารถรับชมภาพยนตร์ที่ได้รับมาตรฐาน IMAX Enhanced ได้อย่างเต็มรูปแบบครับ
สรุป
IMAX Enhanced คือมาตรฐานใหม่ของภาพและเสียง ที่เปรียบเสมือนเป็นการยกโรงภาพยนตร์ IMAX มาไว้ในบ้านคุณ ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทในวงการด้านภาพและเสียงในอนาคตนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน และถ้าหากในอนาคตมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IMAX Enhanced ผม TopZaKo จะนำมาบอกกล่าวเพิ่มเติมให้แฟนๆ LCDTVTHAILAND ได้รับทราบกันอย่างแน่นอนครับ
ขอขอบคุณ twice.com และ imaxenhanced.com
