“จะดูคอนเทนท์ 4K ดูได้ที่ไหนบ้าง?”
เป็นหนึ่งในคำถามที่หลายๆ คนได้เข้ามาถามกันตลอดว่าในตอนนี้เราก็มีทั้งทีวี, จอภาพ และเครื่องฉายความละเอียดแบบ 4K กันมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว และหลายๆ คนอาจจะยังคงไม่ได้รับคำตอบกับคำถามข้อนั้น ว่าเราจะสามารถดูคอนเทนท์ความละเอียดแบบ 4K กันได้ที่ไหนบ้าง
วันนี้เราทีมงาน LCDTVTHAILAND เลยทำการรวมรวมมาให้เราสามารถรับชมคอนเทนท์ 4K ได้ที่ไหนบ้าง แต่ละช่องทางมีจุดดีจุดเด่นอย่างไร มาดูกันได้เลย!!!!
ช่องทางในการรับชมคอนเทนท์ 4K
1.4K UHD Blu-ray
4K UHD Blu-ray หรือที่เราเรียกกันว่าแผ่น 4K นั่นเอง โดยเป็นแผ่น Blu-ray ชนิดใหม่ที่เกิดมาเพื่อคอนเทนท์ 4K เท่านั้น นอกจากความละเอียดแบบ 4K ด้วยแล้วแผ่น UHD Blu-ray ยังมีลูกเล่นทางด้านภาพอย่าง HDR อีกด้วย (HDR คืออะไรสามารถอ่านได้ที่นี่) (ยังไม่ได้ใส่ลิงค์)
แต่ข้อจำกัดของแผ่น 4K UHD Blu-ray นั้นก็คือจำเป็นจะต้องใช้กับเครื่องเล่น 4K UHD Blu-ray Player เท่านั้น (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของ 4K UHD Blu-ray ได้ที่นี่)(ยังไม่ได้ใส่ลิงค์) สำหรับแผ่น 4K UHD Blu-ray ในปัจจุบันนั้นก็มีวางจำหน่ายกันอย่างแพร่หลายแล้วจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการรับชมคอนเทนท์แบบ 4K
จุดเด่น: มีคุณภาพบิทเรตสูงสุดในปัจจุบัน, ภาพยนตร์และซีรีส์หลายเรื่องมีให้เลือกชุดคอลเล็คชั่นแบบพิเศษมีคุณค่าแก่การสะสม, ไม่จำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการรับชมความละเอียดแบบ 4K HDR
ข้อสังเกต: มีราคาแพงและจำเป็นจะต้องใช้รับชมผ่านเครื่องเล่น 4K UHD Blu-ray Player เท่านั้น
เสียเงินเท่าไหร่ถ้าอยากดู: แล้วแต่เรื่องมีตั้งแต่ 700 บาทขึ้นไปจนถึงหลายพันบาท
2. YouTube
ถ้าหากจากถามว่าอีกหนึ่งช่องทางในการรับชมคอนเทนท์ความละเอียดแบบ 4K ได้ที่ไหนแบบฟรีๆ ก็คงหนีไม่พ้น YouTube อย่างแน่นอน ซึ่งในปัจจุบันนั้นก็มีช่องใน YouTube หลากหลายช่องหลายรายการเริ่มมีการอัพโหลดคลิปที่ความละเอียดแบบ 4K กันแล้ว รวมไปถึงช่อง LCDTVTHAILAND ของเราด้วยนะ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ ฟรี!!!
จุดเด่น: มีคอนเทนท์ 4K ให้ได้รับชมกันแบบฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย, มีคอนเทนท์ให้เลือกหลากหลาย
ข้อสังเกต: จำเป็นจะต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการรับชมความละเอียดแบบ 4K, ไม่มีคอนเทนท์ที่เป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์จากค่ายภาพยนตร์ชั้นนำ
เสียเงินเท่าไหร่ถ้าอยากดู: ฟรี!!!
3.Netflix
บริการสตรีมมิ่งยอดฮิตของยุคนี้ก็ว่าได้ ซึ่ง Netflix นั้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เราสามารถรับชมคอนเทนท์แบบ 4K ได้ด้วย โดยคอนเทนท์ 4K ของ Netflix นั้นจะมีทั้งซีรีส์และภาพยนตร์ให้เลือกดูกันหลากหลายเรื่องและบางเรื่องนั้นสามารถรับชมได้ในรูปแบบ 4K HDR อีกด้วย
แต่ต้องบอกก่อนว่าคอนเทนท์ 4K บน Netflix นั้นจะเป็น Original Netflix หรือก็คือคอนเทนท์ที่เป็นของ Netflix เอง ซึ่งจะมีภาพยนตร์และซีรีส์ที่ไม่ใช่ Original Netflix บางเรื่องเท่านั้นที่จะมีให้ชมที่ความละเอียดระดับ 4K
จุดเด่น: มีคอนเทนท์ความละเอียดแบบ 4K HDR ให้ดูหลากหลายทั้งภาพยนตร์และซีรีส์, ดูได้บนหลายอุปกรณ์
ข้อสังเกต: จำเป็นจะต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการรับชมความละเอียดแบบ 4K HDR, จำเป็นจะต้องเสียค่าบริการรายเดือนในการรับชม
เสียเงินเท่าไหร่ถ้าอยากดู: ถ้าต้องการรับชมที่ความละเอียด 4K HDR จะเสียค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ 420 บาท แต่ก็มีแพ็คเกจอื่นๆ ที่ราคาถูกกว่าให้เลือกด้วยเช่นกัน
4.Disney+
บริการสตรีมมิ่งน้องใหม่ของยักษ์ใหญ่ของวงการภาพยนตร์อย่าง Disney ซึ่งแน่นอนว่าเป็นบริการใหม่ล่าสุดความละเอียดสูงสุดที่สามารถรับชมได้จึงไม่พ้นความละเอียดแบบ 4K HDR แต่ทั้งนี้ตัวบริการ Disney+ เองก็ยังไม่เปิดให้บริการแบบเป็นทางการแต่อย่างใดก็ต้องอดใจรอกันหน่อย
จุดเด่น: มีคอนเทนท์ความละเอียดแบบ 4K HDR ให้ดูหลากหลายทั้งภาพยนตร์และซีรีส์, ดูได้บนหลายอุปกรณ์
ข้อสังเกต: จำเป็นจะต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการรับชมความละเอียดแบบ 4K HDR, จำเป็นจะต้องเสียค่าบริการรายเดือนในการรับชม, ยังไม่เปิดบริการอย่างเป็นทางการ
เสียเงินเท่าไหร่ถ้าอยากดู: แพ็คเกจรายเดือนอยู่ที่ $6.99 (220 บาทโดยประมาณ) แต่ทั้งนี้ Disney+ ยังไม่ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
5.Amazon Prime Video
อีกหนึ่งบริการสตรีมมิ่งจากค่าย e-Commerce ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาโดยตัวบริการนี้จะคล้ายกับ Netflix นั่นก็คือจะมีทั้งภาพยนตร์และซีรีส์ให้รับชมกันได้ที่ความละเอียดสูงสุดแบบ 4K HDR ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็น Original Content ของทาง Amazon Prime Video เอง แต่ก็จะมีภาพยนตร์หรือซีรีส์บางเรื่องที่ไม่ใช่ Original Content ของ Amazon Prime Video ที่สามารถรับชมได้ในความละเอียด 4K HDR
จุดเด่น: มีคอนเทนท์ความละเอียดแบบ 4K HDR ให้ดูหลากหลายทั้งภาพยนตร์และซีรีส์, ดูได้บนหลายอุปกรณ์
ข้อสังเกต: จำเป็นจะต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการรับชมความละเอียดแบบ 4K HDR, จำเป็นจะต้องเสียค่าบริการรายเดือนในการรับชม, คอนเทนท์ที่มีซับไตเติ้ลภาษาไทยมีน้อย
เสียเงินเท่าไหร่ถ้าอยากดู: ราคาสำหรับแพ็คเกจ 4K อยู่ที่เดือนละ $8.99 ต่อเดือน
6.iTunes Movies and TV Shows
อีกหนึ่งช่องทางในการรับชมคอนเทนท์แบบ 4K โดยใน iTunes Movies and TV Shows นั้นจะมีภาพยนตร์และซีรีส์หลายๆ แบบ 4K HDR เรื่องให้เลือกเช่า-ซื้อ กันในราคาแบบสบายกระเป๋ามากๆ ซึ่งแต่ละสัปดาห์จะมีการลดราคาภาพยนตร์และซีรีส์ราคาพิเศษโดยบางเรื่องจะเหลือราคาประมาณเพียง 99 บาทเท่านั้น
แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งนั่นก็คือถ้าจะต้องการรับชมบนความละเอียด 4K นั้นต้องรับชมผ่าน Apple TV 4K หรือสมาร์ททีวีที่มี iTunes Movies and TV Shows หรือ AirPlay 2 เท่านั้น
จุดเด่น: มีภาพยนตร์และซีรีส์ความละเอียดแบบ 4K HDR ให้เลือกซื้อ-เช่า จำนวนมาก, มีราคาถูกกว่าแผ่น 4K UHD Blu-ray
ข้อสังเกต: จะสามารถรับชมความละเอียดแบบ 4K ได้บน Apple TV 4K หรือ หรือสมาร์ททีวีที่มี iTunes Movies and TV Shows หรือ AirPlay 2 เท่านั้น, จำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการรับชมความละเอียดระดับ 4K
เสียเงินเท่าไหร่ถ้าอยากดู:แล้วแต่เรื่องมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 99 บาท ไปจนถึง 499 บาท
7. Google Play Movies & TV
ถ้ามี iTunes Movies and TV Shows แล้วจะไม่มี Google Play Movies & TV จากค่าย Google ได้อย่างไร ซึ่งจุดเด่นของ Google Play Movies & TV นั้นก็คือการมีภาพยนตร์และซีรีส์ให้เลือกซื้อและเช่ามากมายหลายเรื่อง
โดยข้อได้เปรียบของบริการจาก Google นี้ก็เป็นการรองรับอุปกรณ์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน Android TV รวมไปถึงเบราเซอร์ก็สามารถรับชมภาพยนตร์แบบ 4K ได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ภาพยนตร์และซีรีส์ความละเอียด 4K มีให้บริการแค่ในสหรัฐและแคนาดาเท่านั้นในตอนนี้ โดยจะมีราคาหนัง 4K ต่อเรื่องประมาณ $7.99
จุดเด่น: มีภาพยนตร์และซีรีส์ความละเอียดแบบ 4K HDR ให้เลือกซื้อ-เช่า จำนวนมาก, มีราคาถูกกว่าแผ่น 4K UHD Blu-ray
ข้อสังเกต: จำเป็นจะต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการรับชมความละเอียดแบบ 4K HDR, ยังไม่เปิดบริการอย่างเป็นทางการในประเทศไทย
เสียเงินเท่าไหร่ถ้าอยากดู:แล้วแต่เรื่องมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ $7.99 ขึ้นไป
และนี่ก็คือช่องทางในการรับชมคอนเทนท์ 4K กันได้ที่ไหนบ้างและในแต่ละช่องทางนั้นมีจุดดีจุเด่นอย่างไร ซึ่งก็น่าจะคลายข้อสงสัยของใครหลายๆ คนที่เคยถามว่าจะหาคอนเทนท์ 4K กันได้ที่ไหนบ้างกันแล้วนะ