สำหรับหน้าจอทีวีในปัจจุบันนี้ทั้ง LCD TV และ LED TV ก็จะใช้ Panel ที่ไม่เหมือนกัน หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วเจ้า “Panel” แต่ละชนิด มันมีข้อแตกต่างกันอย่างไร รวมไปถึงข้อดี ข้อเสีย และสุดท้ายแล้วเราควรจะเลือกใช้แบบใดกันแน่ แต่ไม่ต้องห่วงครับ!! บทความนี้จะพาท่านไปรู้จักกับ Panel ทั้ง 3 แบบที่ใช้กันในปัจจุบันคือ IPS , VA และ TN
1. Panel แบบ IPS ( In-Plane Switching )
หน้าจอแบบ IPS นี้ ผมคิดว่าน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันมากที่สุด เพราะส่วนมากเวลาเราไปเดินตามห้างก็จะเห็นคำนี้แปะอยู่บนทีวีหลายๆยี่ห้อ สำหรับข้อดีของ IPS ที่เด่นชัดที่สุดก็คือ “มุมมองที่กว้างขวาง” ถึง 178 องศา ที่ช่วยให้หน้าจอชนิดนี้ได้เปรียบกว่าหน้าจอชนิดอื่นๆในด้านตำแหน่งการรับชม ที่ไม่ว่าจะนั่งมุมไหน อัตราการผิดเพี้ยนของสี ก็จะน้อยมาก แต่พูดข้อเสียของ IPS ก็คือในด้านการแสดงผล ”สีดำ” ( black-level ) อาจจะยังไม่ดีเท่าหน้าจอแบบ S-PVA
ชนิดของ Panel IPS ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัทต่างๆ
– Super-IPS ( S-IPS )
ให้กำเนิดในปี 1998 โดยบริษัท Hitachi ซึ่งมีจุดมุ่งหมายคือพัฒนาคุณภาพของหน้าจอให้ดียิ่งขึ้นกว่าหน้าจอ IPS แบบเดิมทั้งในด้าน Response Time ที่ต่ำลงและการแสดงสีสัน ในปัจจุบันถูกผลิตโดยสองบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการจอภาพคือ LG และ Philips ซึ่งทาง LG ก็ได้ใช้หน้าจอนี้กับทีวีของตัวเองโดยมีจุดขายที่มุมมองการใช้งานกว้างขวางอีกด้วย
– IPS-alpha ( Panasonic )
Panel แบบ IPS-alpha นี้ จริงๆถูกพัฒนาขึ้นมาจาก Panel ที่เรียกกันว่า IPS-Pro นั่นเอง โดยในปัจจุบันนั้นทาง Panasonic ได้นำมาใช้กับ LCD TV / LED TV ของตนเอง ข้อดีของ Panel ชนิดนี้จะมีในเรื่องของ Contrast Ratio ที่สูง และ Color Space หรือช่องว่างของสีที่กว้าง ส่งผลให้สามารถแสดงสีออกมาได้ครบถ้วนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น เปรียบเสมือนการนำเอา Panel PVA และ ASV มารวมกัน โดยปราศจากข้อเสียในด้านของมุมมองที่แคบ
2. หน้าจอ Vertical Alignment (VA)
ถ้าเปรียบเทียบหน้าจอ IPS , TN และ VA นั้น จุดเด่นที่สุดของ VA ก็คือสีดำที่ดำสนิท หรือให้ค่า Contrast Ratio ที่สูง สำหรับหน้าจอ VA นี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของมุมมองที่น้อยกว่าแบบ IPS แต่ก็ถือว่ายังดีกว่าแบบ TN ยกตัวอย่างเช่นในฉากที่มืด จะทำให้เห็นรายละเอียดน้อยลงไปด้วย ถ้าไม่ได้นั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางจอภาพ แต่เรื่องสีสันก็ถือว่าออกแนวสว่าง สดใส
– S-PVA ( Super Patterned Vertical Alignment )
Panel แบบ S-PVA ก็เป็นอีกหนึ่งแบบที่นิยมใช้กัน ( พัฒนาขึ้นมาจาก Panel แบบ MVA ) ซึ่งในปัจจุบันมีทั้ง Samsung และ Sony ที่ใช้ทำตลาดอยู่ โดยเป็น Panel 8 Bit ขึ้นไป ( 8 bit ช่วยให้แสดงสีได้ 256 ระดับใน 1 แม่สี ส่วนถ้าเป็น 10 Bit ก็จะแสดงผลได้มากกว่านั้น 4 เท่าคือ 1024 ระดับใน 1 แม่สี ) ข้อดีของ S-PVA คือการแสดงสีดำ ที่ให้ความดำมีมิติ และถูกพัฒนาให้มี Response Time ที่ต่ำลงเรื่อยๆ
– ASV ( Axially Symmetric Vertical Alignment )
Panel ชนิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Sharp โดยมีการเคลมไว้ว่าเป็นหน้าจอที่มีมุมมองกว้างขวางเช่นเดียวกัน ซึ่งทำตลาดภายใต้ชื่อเรียกว่า “Advance Super View” แต่โดยพื้นฐานก็ถูกพัฒนามาจากหน้าจอประเภท VA นั่นเองครับ
3. Panel แบบ TN ( Twisted Nematic )
มาถึง Panel แบบ TN หรือ Twisted Nematic ที่จะครองส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุด ด้วยข้อดี 2 ข้อที่ถือเป็นตัวตัดสินใจในการเลือกซื้อจอของผู้บริโภคนั่นคือ “ราคาถูก” และ “มีค่า Response Time ที่ต่ำ“ ซึ่งในด้านราคานั้นก็ถือเป็นปัจจัยหลักเลย โดยส่วนมากจะพบเห็นได้ใน LCD TV รุ่นล่างไปจนถึงรุ่นกลาง ส่วนค่า Response Time ที่ต่ำก็จะทำให้ภาพเคลื่อนไหวไม่มีอาการกระตุกให้เห็น แต่ทั้งหมดนั้นแลกมากับข้อเสียอันใหญ่หลวงก็คือ มุมมองการรับชมที่แคบ และอัตราการผิดเพี้ยนของสีสูงกว่าหน้าจอแบบ IPS และ VA ซึ่งมุมมองในแนวนอนทำได้เพียง 170 องศา และในแนวตั้งได้เพียง 160 องศาเท่านั้น
ยี่ห้อ | ประเภทของ Panel ที่ใช้ ( เป็นส่วนมาก ) |
LG | S-IPS |
Panasonic | IPS-Alpha |
Samsung | S-PVA |
Sharp | ASV |
Toshiba | VA |
Sony | S-PVA |
Philips | TBC |
สรุป
หลังจากทำความรู้จักกับ Panel แต่ละชนิดกันแล้ว ทำให้เรารู้ถึงข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันออกไป ผมขอสรุปอย่างสั้นๆว่าประเภทแรกคือ Panel TN ราคาถูกที่สุดเหมาะกับการใช้งานทั่วไปเช่นดูฟรีทีวีหรือดูภาพยนตร์ที่มีภาพเคลื่อนไหวรวดเร็วเพราะมี Response Time ต่ำ ถัดมาคือ Panel IPS เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการมุมมองที่กว้างขวางและต้องการความแม่นยำของสีในการแสดงผลให้ไม่ผิดเพี้ยน และสุดท้ายคือ Panel VA เป็น Panel ที่มีจุดเด่นในด้านการแสดงสีดำมีค่า Contrast Ratio สูงแสดงรายละเอียดในที่มืดได้ดี และสุดท้ายนี้ไม่ว่าจะเป็น Panel ชนิดไหนก็ควรเลือกให้เหมาะสมตามความต้องการใช้งานของเราเองดีที่สุดครับ