01 Jan 2014
Article

หลักการเลือกซื้อ TV ง่ายๆ แค่นี้ก็ได้ทีวีตรงใจคุณ


  • lcdtvthailand

หลักการเลือกซื้อTV

1.จำนวนของพิกเซล!!

ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีเรื่องภาพนั้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทีวีที่เราเลือกซื้ออย่างน้อยๆ ควรจะมีความละเอียดอย่างน้อยๆ ระดับ Full HD 1080p ขึ้นไป แต่ถ้าใครพอมีกำลังซื้อมากหน่อยจะพิจารณาความละเอียดที่สูงขึ้นคือ Ultra HD หรือที่เรียกกันฮิตๆ ว่า 4K (3840×2160) ก็ได้ไม่ว่ากัน หลายคนอาจคิดว่าทีวีความละเอียดสูงยังไม่มีความจำเป็นเพราะคอนเทนท์ยังไม่แพร่หลาย แต่ทางเราอยากจะบอกนะครับว่าในปัจจุบันระบบอัพสเกลภาพของ UHD TV นั้นพัฒนาไปไกลแล้ว แม้คอนเทนท์ที่เปิดจะยังคงความละเอียดแค่ 1080p แต่เมื่อเปิดดูแล้วก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร

HD = 720p

Full HD =1080p

4K UHD = 2160p

2.Contrast Ratio 

ค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดีนะครับ เพราะค่า Contrast Ratio คืออัตราส่วนสีดำที่ดำที่สุดและสีขาวที่ขาวที่สุดที่ทีวีสามารถแสดงได้ ทีวีเครื่องไหนมีค่าคอนทราสต์เรโชสูงๆ จะแสดงภาพได้ดูลึกมีมิติสมจริง คุณจะเก็บรายละเอียดของภาพในฉากมืดๆ ได้ดี (สีดำไม่เป็นสีเทา) สีสันความสว่างของภาพจะดี ภาพทีได้จะมีมิติ มีรายละเอียดไม่คลุมเครือ

หากทีวีมีค่า Contrast สูง ภาพที่ได้ก็จะมีความสมจริงยิ่งขึ้น

3. Response Time

ค่านี้ยิ่งต่ำมากๆ ยิ่งดีครับ อย่างน้อยควรจะต่ำว่า 4ms ซึ่งค่า Response Time นี้ เป็นความเร็วในการตอบสนองของเม็ดพิกเซลเมื่อเปลี่ยนจากการแสดงสีดำมาเป็นสีขาว แล้วก็เปลี่ยนจากสีขาวมาเป็นสีดำอีกครั้งนึง โดยมีหน่วยเป็นมิลลิวินาที (ms) อย่างไรก็ดีผู้ใช้อย่างเราๆ มักเห็นสเปคข้างกล่องที่อ้างอิงตัวเลขที่ค่อนข้างเกินจริง สาเหตุก็เป็นเพราะผู้ผลิตแต่ละแบรนด์ต่างมีวิธีวัดค่า Response Time เป็นของตัวเอง ดังนั้นผู้ซื้อจึงควรทดสอบด้วยตาตัวเองมากกว่าเชื่อสเปคที่เขียนไว้ข้างกล่อง

4. มีช่องต่อที่ครอบคลุม

– ถ้าเป็นขนาด 42” ขึ้นไปควรมีช่องต่อ HDMI version 1.4  (แต่ถ้าทีวีที่เลือกซื้อเป็น UHD TV ควรจะเป็น HDMI version 2.0) อย่างน้อยๆ 3 ช่องนะครับ แต่ถ้าเป็นขนาดเล็กกว่านั้นส่วนใหญ่แต่ละแบรนด์จะให้มาประมาณ 1-2 ช่องเท่านั้น- ช่องต่อ Component ควรจะมีอย่างน้อย 1 ชุด- ช่องต่อ Optical
– ช่องต่อ AV ก็ควรจะมีนะครับถึงแม้ว่าอนาคตอาจจะไม่ได้ใช้แล้ว แต่ตอนนี้ยังคงมี่เครื่องที่ใช้สาย AV กันอยู่ใช้ไหมละครับ ดังนั้นก็ควรจะมีอย่างน้อยซัก 1 ชุดนะครับ
– ส่วนช่องต่อ USB Port ในปัจจุบันรุ่นล่างๆ ขนาด 32″ อย่างน้อยๆ ก็มีให้ 1 ช่องแล้ว ดังนั้นรุ่นกลางขนาด 40″ ขึ้นไปควรมีอย่างน้อย 2 ช่อง

5. ขาตั้งและมุมมอง

ต้องยอมรับว่าขาตั้งของทีวีในปัจจุบันส่วนใหญ่เกือบ 80% ไม่สามารถหมุนซ้าย – ขวาได้ ก่อนเลือกซื้อผู้ใช้ควรคิดคำนึงด้วยว่าเวลาเราใช้งานจริง มีการหมุนทีวีมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างไรก็ดีด้วยความที่เทคโนโลยีการผลิตพัฒนาไปเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อทีวีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ในราคาที่ถูกลง ดังนั้นปัญหาเรื่องการหมุนของขาตั้งจึงแทบไม่ต้องใส่ใจ ผู้ใช้ควรมาพิจารณาถึงเรื่องมุมมองของทีวีแทน ฉะนั้นก่อนเลือกซื้อผู้ใช้ควรลองดูมุมมองด้านข้างของทีวีด้วย ว่าให้ภาพเป็นอย่างไร สีสันเป็นอย่างไร แตกต่างจากการมองตรงกลางมากน้อยแค่ไหนด้วย 

6. ดีไซน์

หากจะพูดว่าทีวีนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับเฟอร์นิเจอร์ก็คงไม่ผิดนัก เพราะทีวีเครื่องแรกมักจะถูกจัดวางอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ดังนั้นการเลือกดีไซน์ของทีวีให้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ก็ถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ดังนั้นแต่ละแบรนด์นอกจากจะใส่เรื่องภาพแล้วยังคิดคำนึงถึงการดีไซน์ที่ถูกใจผู้ใช้ด้วย แต่ก็อย่างว่าแหล่ะครับเรื่องดีไซน์มันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะความชอบแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

7. ขนาดของจอภาพ (ปัจจัยสำคัญมาก)

เชื่อว่าหลายๆคนที่เคยซื้อ LCD TV หรือ Plasma TV ไปแล้ว ใช้ไปซักพักจะเจอปัญหา “จอหด” คือทีวีที่มีอยู่ที่บ้านมันดูเล็กเหลือเกินทั้งๆที่ตอนซื้อเราก็ว่าใหญ่แล้วนะ ทางผู้เขียนแนะนำให้ซื้อขนาดที่ใหญ่ และเป็นขนาดที่ “ใหญ่แบบพอเหมาะ” มิใช่ใหญ่จนเกินไปจนสายตากวาดไม่ทั่วประหนึ่งนั่งแถวหน้่าสุดในโรงหนัง หากมีระยะดูซัก 1.5-2.0 เมตรขึ้นไปก็แนะนำระดับ 40″ ขึ้นไป หรือหากมีระยะรับชมซัก 3.0 เมตรก็แนะนำขนาด 50″ ขึ้นไป ขนาดยิ่งใหญ่ = เป็นการขยายขอบเขตความสุขในการรับชมให้มากยิ่งขึ้น และเป็นการซื้อทีเดียวจบด้วยครับ

ทั้งนี้โปรดศึกษา “ขนาดทีวีที่เหมาะสม” ได้ตามบทความครับhttp://www.lcdtvthailand.com/topic_detail.php?id=236