IMAX King of Theater
ถ้าที่สุดของ Home Theater คือ Projector จอใหญ่ๆ
ที่สุดของโรงหนังก็คงต้องเป็น IMAX
มาดูกันว่าโรงภาพยนตร์ IMAX มีความพิเศษอย่างไร ?
ผมและทางทีมงาน LCDTVTHAILAND ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงหนัง Krungsri IMAX สยามพารากอน พร้อมกับชมเครื่องฉาย ระบบการทำงานภายในห้องคอนโทรลและรับฟังการบรรยายจากเจ้าหน้าที่ของ IMAX กันแบบสุด Exclusive พร้อมกันนี้จึงได้นำเอาข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจ ซึ่งหลายคนสงสัย และอยากรู้เกี่ยวกับการทำงานของโรงภาพยนตร์ IMAX มาเล่าสู่กันฟัง เชื่อว่าคงคลายข้อสงสัยของแฟนพันธ์แท้จอใหญ่หลายๆคนได้อย่างแน่นอน
ระบบภาพและจอรับภาพ
กรุงศรี IMAX สยามพารากอนนั้นจัดได้ว่าเป็นโรงภาพยนตร์แห่งเดียวในเมืองไทยที่มีเครื่องฉายระบบฟิล์มขนาด 70 มม. และมีความจุของที่นั่งประมาณ 500 ที่นั่งจัดวางที่นั่งแบบ Stadium โดยคนที่นั่งด้านหน้าจะไม่บังคนข้างหลังในทุกมุมมอง และมีขนาดของจอใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่าโรงภาพยนตร์ IMAX ทุกสาขาในเมืองไทยคือมีขนาดใหญ่ถึง 1,380” หรือกว้าง 30 ม. และสูง ถึง 21 ม. อัตราส่วน 1.43:1 (ในขณะที่โรงภาพยนตร์ทั่วไปมีสัดส่วนอยู่ที่ 2.4:1) ความโค้งของจอ 70 องศา เป็นจอประเภท AT (Acoustic Transparent) เนื้อจอที่ใช้เป็นสี Silver มีระยะห่างจากจอถึงเครื่องฉาย 50 เมตร
เครื่องฉายภาพ
ต่อจากเรื่องจอ ก็มาถึงเรื่องของเครื่องฉาย ที่กรุงศรี IMAX พารากอน เป็นระบบ Hybrid คือมีเครื่องฉายที่สามารถ รองรับภาพยนตร์ได้ทั้ง 2 ระบบ ทั้ง Analog (Film) และ Digital (File) ซึ่งในปัจจุบันภาพยนต์ที่ฉายในระบบ IMAX เป็นระบบ Digital เกือบทั้งหมด และยังมีภาพยนต์ใหม่ๆออกมาอย่างสม่ำเสมอส่วนภาพยนตร์ที่บันทึกมาในระบบฟิล์มมีน้อยลงมากภาพยนต์ เรื่องล่าสุดที่มีการฉายด้วยระบบฟิล์ม 70 มม. คือเรื่อง Interstellar ของ ผู้กำกับ Christopher Nolan ซึ่งชื่นชอบการถ่ายทำด้วยฟิล์ม IMAX เป็นอย่างมาก จากผลงานที่ผ่านมาเช่น Batman Begins / The Dark Knight / Dark Knight Rises เครื่องฉายทั้งสองระบบมีขนาดใหญ่มากโดยเฉพาะเครื่องฉายระบบ Analog ใช้ฟิล์ม 70 มม. มีแท่นวางฟิล์มที่สูงเกือบเท่าตัวคนเลยทีเดียว และม้วนฟิล์มเองก็มีขนาดใหญ่มากเช่นกันและยังใช้หลอดไฟที่มีกำลังวัตต์สูงถึง 15,000 วัตต์ ความพิเศษอีกอย่างคือเป็นจอภาพยนตร์แบบเต็มพื้นที่ “ตั้งแต่พื้นถึงเพดาน” และกำแพงจนถึงกำแพงอีกด้าน ตัวจอมีความโค้งเล็กน้อยเพื่อโอบล้อมสายตาและรู้สึกเข้าถึงภาพยนตร์มากขึ้น ให้อรรถรสของการรับชมภาพยนตร์ในแบบที่ โรงภาพยนตร์อื่นให้ไม่ได้
ส่วนเครื่องฉายในระบบ Digital ก็มีขนาดใหญ่ไม่แพ้กัน ออกแบบโดยทีมวิศวกรของทาง IMAX โดยใช้ DLP Projector 2K พัฒนาโดย Christie 2 เครื่องทำงานพร้อมกัน มี Native Contrast ที่ 2000:1 หลอดไฟมีกำลังวัตต์ 6500 วัตต์ และมีความสว่างสูงถึง 33,000 Lumens ต่อเครื่อง นั่นหมายความว่าเมื่อฉายพร้อมกันจะมีความสว่างสูงถึง 66,000 Lumens เลยทีเดียวทำให้การดูภาพยนต์ในระบบ 3D สว่างเพียงพอกับจอภาพขนาดยักษ์ๆของ IMAX อย่างสบายๆสามารถวัดค่าความสว่างได้ถึง 14 Fl. ตามมาตรฐาน ซึ่งกับขนาดจอที่มีขนาดใหญ่มากๆแล้วถือว่าสว่างมาก (Home Theater Projector ทั่วไปจะมีความสว่างเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 1500-2000 Lumens) ส่วนหลอดภาพมีอายุการใช้งาน 600 ชม. หรือประมาณ 1 เดือนเศษๆ (เปิดวันละประมาณ 15 ชม.) คือจะเปิดเครื่อง และปิดเครื่องเพียงครั้งเดียวในแต่ละวัน ทาง IMAX ต้องสำรองหลอดภาพไว้ตลอดเพราะเปลี่ยนบ่อยมากเมื่อครบตาม ชม. ที่กำหนดตัว Control จะแจ้งให้เปลี่ยนหลอดทันที การควบคุมและสั่งงานเครื่องฉายใช้ระบบ Network สั่งงานผ่านทางเครื่อง Control ซึ่งควบคุมการทำงานทั้งหมด โดยจะ upload file ภาพยนตร์เข้าไปในเครื่องฉายก่อนซึ่งจะมีรหัสปลดล๊อคมาจากทาง IMAX สำหรับการฉายภาพยนตร์ในแต่ละเรื่อง
แว่น 3 มิติ
แว่น 3D ของโรงภาพยนต์ระบบ IMAX จะมีขนาดใหญ่กว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไป และใหญ่กว่าแว่น 3D ที่ใช้ในระบบ Home Theater ค่อนข้างมากเนื่องจากเวลาดูกับจอ IMAX ที่มีขนาดใหญ่ จะได้เห็นภาพได้อย่างเต็มตาไม่มีขอบของกรอบแว่นมากวนตา และไม่ต้องก้มเงยหัวเพื่อดูภาพให้ทั่วทั้งจออีกด้วย อีกทั้งยังให้ความตื้นลึกความคมชัด และมิติของภาพที่ดี มากกว่าการดูภาพ 3D ในระบบอื่นๆอย่างชัดเจน
ทดสอบรับชม
จากการดูหนังเรื่อง Captain America Civil War หลายๆฉากทำได้ดีมาก ภาพซ้อนเป็นชั้น และวัตุที่ลอยออกมาจากจอก็ทำได้ดีมาก ฉากต่อสู้กันที่สนามบินภาพดูเต็มตาเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ โดยเฉพาะช่วงที่ Ant Man ขยายตัวใหญ่ขึ้นสัมผัสได้ถึงความใหญ่โต ซึ่งเป็นข้อดีของจอ IMAX ที่โรงภาพยนตร์แบบอื่นให้ไม่ได้ น่าประทับใจมากครับซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของผมที่มาดูภาพยนตร์จากโรงหนัง IMAX เรื่องล่าสุดที่มาดูคือเรื่อง Starwars The Force Awaken ก็สร้างความประทับใจได้มากกว่าการดูจากโรงปกติอีกเช่นกัน ทีเด็ดของโรงภาพยนต์ IMAX อีกอย่างหนึ่งก็คือในการเปิดเครื่องในแต่ละวันจะมีการ Calibrate ทั้งระบบภาพและระบบเสียงทุกครั้ง โดยจะใช้เวลาในการ Auto Calibrate แต่ละครั้งประมาณ 40 นาที โดยระบบภาพจะมีเซ็นเซอร์รับภาพอยู่ตรงกลางระหว่างเครื่องฉาย Digital ทั้ง 2 เครื่อง โดยจะทำหน้าที่วัดแสงที่ปรากฏบนจอภาพ และปรับภาพ Auto Calibrate ให้โดยอัตโนมัติ
ระบบเสียง
ส่วนระบบเสียงจะมีไมค์ 3 ตัว ติดตั้งอยู่ตรงประตูทางออกทั้งซ้าย-ขวา และบริเวณกึ่งกลางทางด้านหลังใต้เครื่องฉาย และจะทำการปรับเสียง Auto Calibrate โดยอัตโนมัติเช่นเดียวกับระบบภาพ ซึ่งในขั้นตอนการ Auto Calibrate ภาพและเสียงของ IMAX จะห้ามมีเสียงรบกวน และห้ามมีคนเข้าออกอย่างเด็ดขาดไม่อย่างนั้นอาจต้องเริ่มทำการปรับใหม่อีกครั้งจะทำให้เสียเวลามาก และในกรณีที่มีสิ่งใดที่ผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในส่วนของระบบภาพ และระบบเสียงทางตัว Control จะแจ้งข้อมูลไปยังศูนย์ Center ของ IMAX ที่ต่างประเทศเพื่อทำการแก้ไขในทันที จะเห็นว่าทาง IMAX ให้ความสำคัญกับมาตรฐานของระบบ IMAX เป็นอย่างมากเพื่อทำให้ผู้ชมได้ดูภาพยนตร์ได้อย่างเต็มอรรถรส มีคุณภาพสูงสุด และประทับใจในทุกๆครั้งที่รับชมนั่นเอง
ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่นำมาฉายใน IMAX จะเป็นระบบเสียงของโดยเฉพาะ นอกจากนี้ลำโพงในโรงก็ได้ใช้วิศวกรของ IMAX เอง ให้ออกแบบลำโพงขึ้นมาใหม่เพื่อนำมาใช้กับโรงภาพยนต์ระบบ IMAX โดยเฉพาะ สามารถให้เสียงได้ครอบคลุมทั่วทุกจุด ทุกที่นั่ง ระบบเสียงเป็นระบบ Dolby Digital 5.3 แชนแนล คือมีลำโพงหลัก 5 แชนแนล และ Subwoofer 3 แชนแนล ใช้ Power Amp Mono 8 ตัวแยกขับแต่ละแชนแนลให้กำลัง ขับรวมสูงถึง 30,000 วัตต์ และระบบเสียงทั้งหมดก็ควบคุมผ่านตัวคอนโทรลเช่นกัน
สรุป
มาถึงตรงนี้ทุกท่านคงได้รู้ และเห็นความพิเศษของโรงภาพยนตร์ระบบ IMAX แล้วทั้งในส่วนของโรงภาพยนตร์ เครื่องฉายระบบเสียง และระบบภาพ 3 มิติว่ามีความพิเศษและแตกต่างจากโรงภาพยนตร์ทั่วไปอย่างไร หากท่านใดยังไม่เคยสัมผัสลองหาโอกาสเลือกภาพยนตร์ที่ท่านชื่นชอบแล้วแวะไปดูสักครั้งรับรองว่าทุกท่านจะต้องประทับใจเหมือนผมอย่างแน่นอนครับและขอขอบคุณ Krungsri IMAX ที่ให้โอกาสเยี่ยมชมแบบสุด Exclusive ในครั้งนี้ด้วยครับ