คำถามยอดฮิตว่าจะซื้อทีวีหากไปจะไปให้สุดกับทีวี OLED เลือกซื้อระหว่าง Sony A9G หรือ LG C9 ดี ? เพราะผลรีวิวออกมาดีทั้งคู่ แถมสำนักรีวิวเมืองนอกก็ตัดสินกันแบบได้คนหละหมัด ผลัดกันเข้าวิน วันนี้ผมจะสรุปแบบละเอียดด้วยมาตรฐานการทดสอบภาพและเสียงแบบ LCDTVTHAILAND ซึ่งอิงจากสถาบันภาพอย่าง ISF/THX/PVA พร้อมแชร์ประสบการณ์การใช้งานจริง ย้ำว่า “ใช้งานจริง” เพื่อให้ทราบจุดเด่นและข้อจำกัดของแต่ละตัวนะครับ
> คลิ๊กอ่านรีวิว Sony 65A9G
> คลิ๊กอ่านรีวิว LG 65C9
ภาพ | Picture
แนวภาพ : คาแรกเตอร์ภาพก่อนปรับภาพจะเทไปคนละทิศทางซักนิดนึง Sony จะเป็นแนว Studio Look เป็นธรรมชาติ สุขุม ลุ่มลึก คล้ายจอ Studio Monitor อ้างอิงของตัวเอง ในขณะที่ LG จะดูเปิดสว่าง รุกเร้า โดดเด้ง อย่างไรก็ตามเมื่อปรับจูนภาพให้ถูกต้อง ทั้งคู่จะมีคาแรกเตอร์ภาพที่ใกล้เคียงกันมากยิ่งขึ้น
ความสว่างสูงสุด : LG C9 จะได้เปรียบเพราะสว่างเกิน 800 nits ++ ส่วน Sony จะทำได้ราว 600 nits ++ เมื่อเร่งความสูงสุดให้ LG ภาพจะดูเปิดสว่างกว่า Sony ซักครึ่งก้าว ส่งผลให้พวกแสง HDR ดูเจิดจรัสกว่า เพราะทำ HDR Tone Mapping ระหว่างคอนเทนต์กับจอแสดงผลได้ในสเกลที่กว้างกว่า ส่วน Sony จะกำหนดเพดานไว้ประมาณนี้ จึงจะออกแนวสุภาพ ดูสบายตา ไม่เน้นรุกเร้าขนาดนั้น
ความดำ : ขึ้นชื่อว่า OLED เม็ดพิกเซลทั้ง 8.29 ล้านพิกเซลจะเปิด/ปิดตัวเองได้ทุกเม็ด ทำให้สร้างระดับความดำได้ดำสนิท 100% ทั้งคู่ จะต่างกันเล็กน้อยที่ Sony จะคุมระดับความดำสนิทของพื้นหลังของคอนเทนต์ Dolby Vision HDR ใน Netflix ในทุกโหมดภาพได้เนียนสะอาดกว่า LG ซักขยักนึง
สีสัน : Sony เน้นเป็นธรรมชาติ ใสกิ๊ง ลุ่มลึก น้ำหนักสีเป็นแบบพอดีๆไม่มีโดด ส่วน LG จะได้น้ำหนักสีที่อิ่มแน่น เตะตา เร้าใจ
โมชั่นภาพเคลื่อนไหว : เดิมที Sony จะเด่นจุดนี้แบบไร้คู่แข่ง แต่ในปีนี้เมื่อปรับระดับ TruMotion ของ LG ให้ถูกต้องตามที่รีวิวแนะนำไป บอกได้เลยว่าจับชนได้แล้ว ไม่หนีกัน
อัพสเกล : ดีใช้ได้พอๆกัน ดูพวกคลิป Full HD / HD คมกำลังดี แถมมีตัวช่วยเช่นการเพิ่มระดับ Sharpness ให้พอเหมาะหรือเปิดตัวช่วยอย่าง Reality Creation ช่วยให้ภาพองค์รวมดูชัดขึ้น
เล่นเกมส์ : LG ให้ค่า Input Lag ที่ต่ำกว่าอยู่ประมาณ 13.3 – 33 ms เท่านั้น ที่มีช่วงแปรผันเพราะต้องเปิดรอไปซักระยะก่อนค่าจะค่อยต่ำลงเรื่อยๆเอง ซึ่งโดยรวมยังตอบสนองได้ไวกว่า Sony ขยักเล็กๆซึ่งมีค่าอยู่ประมาณ 26.5 ms แต่ต้องเปิด Game Mode ทั้งคู่ด้วยนะ (หมายเหตุ – ค่า Input Lag ควรต่ำกว่า 40 ms = ถือว่าตอบสนองได้ฉับไว ซึ่งทั้งคู่ทำได้ดีมาก)
เสียง | Sound
Sony จะยืนหนึ่งเรื่องนี้ ลำโพง Acoustic Surface กำลังขับ 80 Watts ยิงเสียงออกจากหน้าจอ มีความอิ่มแน่น เบสเป็นลูกชัดเจน สเกลเสียงใหญ่โตโอ่อา เปิดเทียบแล้วขี่เจ้าอื่นแทบทุกตัว ไม่ต้องซื้อลำโพง Soundbar เสริมยังได้ ส่วน LG จะเป็นแบบ Down Firing กำลังขับ 40 Watts ยิงเสียงลงล่าง สเกลเสียงก็หลดหลั่นลงมา จริงๆคุณภาพก็ถือว่าดีนะหากเทียบกับลำโพงยิงลงล่างด้วยกัน โดยทั้งคู่สามารถเอาต์พุตเสียง Dolby Atmos แบบ Bit Rate สูงทาง HDMI eARC ไปยังชุดแอมป์หรือ Soundbar ได้
การเชื่อมต่อ | Connectivity
หากดูผิวเผินจะดูสูสีทั้งคู่ คือมีชนิดละจำนวนพอร์ทเชื่อมต่อสายสัญญาณที่ใกล้เคียงกัน ต่อบลูทูธไร้สายได้ทั้งคู่ แต่ !!! LG จะมีคุณสมบัติของ HDMI 2.1 หลายประการ ทั้ง VRR, ALLR และ eARC อนาคตน่าจะรับสัญญาณ 4K 120Hz ได้ด้วย ส่วน Sony แม้จะมี eARC เพิ่มเข้ามา แต่ยังคงอิงคุณสมบัติ เวอร์ชั่น HDMI 2.0 อยู่ดี
สมาร์ททีวี | Smart TV
เป็นหัวข้อที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ทว่าหลายสำนักมักละเลยการทดสอบ แล้วไปให้น้ำหนักเรื่องคุณภาพของภาพเพียงอย่างเดียว ที่ว่าสำคัญเพราะมันคือ “การใช้งานจริง” ในการหาคอนเทนต์โปรดไม่ว่าจะเป็นหนัง, ละครซีรีส์, กีฬา และ เกมส์ มาเสพบนจอ แปลง่ายๆคือ “ประตูสู่ความสุข” นั่นเอง ซึ่งเป็นการปะทะกันระหว่างความไฮเทคของ Sony Android 9.0 VS การใช้งานง่ายเว่อร์วังของ LG ThinQ AI (webOS) !
แอพส์ : ขอยกให้ Android TV เข้าวิน จะมีทั้งคุณภาพและปริมาณของแอพส์เยอะที่สุด ล่าสุดมีพวก LINE TV เข้ามาอีก แบบเสียงตังค์ก็มี โดยเฉพาะเกมส์ที่ต่อจอย PS4 Dual Shock เล่นแบบไร้สายได้ด้วย จะลงแอพส์เสริม .apk แบบเล่นแร่แปรธาตุก็ทำได้ ส่วน LG ก็จะมีพอประมาณ คัดแอพส์วีดีโอคอนเทนต์หลักมาให้ครบ มีแอพส์เกมส์แบบเบสิคที่ใช้ Magic Control มาเล่นแก้เบื่อให้นิดหน่อย
รีโมท : LG Magic Remote ยืนหนึ่ง เคลื่อนไหวอิสระแบบแอร์เมาส์ด้วยลูกศรตัวใหญ่ จัดว่าใช้ง่ายที่สุดในสามโลก ส่วน Sony ถึงแม้จะอัพหน้าตารีโมทมาใหม่พร้อมการเชื่อมต่อแบบบบลูทูธ แต่ความสามารถจริงยังแอบเดิมๆ ผ่าม !!
การใช้งาน : หากเน้นใช้งานง่าย LG webOS เขาวินแบบเต็มๆ แถบเมนูหลักดูง่าย ไม่ซับซ้อน ใช้เคียงคู่ Magic Remote เด็กใช้ได้ผู้ใหญ่ใช้ดี ส่วน Android จริงๆมันก็ไม่ยาก…แต่ก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เด็ก สตรี และคนชรา ต้องเรียนรู้ซักพักหากจะเจาะลึก เพราะมันมีรายละเอียดปลีกย่อยเชิงเทคนิคมากกว่านั่นเอง
สั่งงานทีวีด้วยเสียง : Sony A9G คือทีวีที่ไฮเทคและฉลาดล้ำที่สุด รองรับคำสั่งเสียงไทย/อังกฤษได้ค่อนข้างแม่นยำ ช่วยให้เข้าถึงคอนเทนต์โปรดได้ง่าย มีรูไมโครโฟนฝังอยู่หน้าเครื่อง พูดสั่งใส่ทีวีโดยตรงได้เลยแบบแฮนด์ฟรี หรือจะพูดใส่รีโมทก็ได้เหมือนกัน แถมยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Smart Device ภายนอก เช่น หลอดไฟอัจฉริยะ ผ่าน Google Assistant ได้อีกด้วย ใช้ทีวีเป็น Control Center คุมทุกสรรพสิ่งได้เลย | ส่วน LG C9 จะสั่งผ่านไมโครโฟนบนรีโมทได้อย่างเดียว รองรับภาษาไทยได้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ทว่าความแม่นยำก็จะเป็นรองซักหนึ่งขยัก
เชื่อมต่อมือถือ : Android 9.0 มี Chromecast รองรับการ Cast จากแอพวีดีโอหลากหลายจากมือถือทั้ง Android/iOS เช่น YouTube, Netflix , Line TV (ละคร วาไรตี้), True ID (บอลพรีเมียร์ลีก), BeIn Sports Connect (บอลสเปน), AIS Play (หนังและซีรีส์) หรือแม้กระทั่งแอพดูมวยปล้ำ WWE ส่วนสาวก Apple เมื่ออัพเดทเป็น Android 9.0 แล้วก็สามารถใช้งาน Airplay ที่ติดมากับเครื่องได้เลย | ส่วน LG ThinQ AI จะรองรับการ Cast แอพส์หลักอย่าง YouTube และ Netflix อย่างเดียว เสริมด้วย Airplay จาก Apple อย่างเป็นทางการมาให้แล้ว รองรับการโคลนภาพบนหน้าจอ iPhone/iPad ไปแสดงบนจอทีวีได้ค่อนข้างสมบูรณ์
อัพเกรด OS : ตามหลักแล้วระบบปฏิบัติการ Android จะรองรับการอัพเกรดไปอีกถึง 3 เวอร์ชั่นข้างหน้า เช่น 9.0 => 10.0 => 11.0 ทว่า ThinQ AI ที่มีพื้นฐานเป็น webOS น่าจะจบที่ปีต่อปีเฉกเช่นรุ่นที่ผ่านๆมา\
ดีไซน์ | Design
ด้านหน้า : สวยและมีประโยชน์กันคนละแบบ ฟาก Sony เรียบหรูแบบ Minimal เหมือนมีกระจกแผ่นเดียววางเอาไว้ ข้อจำกัดมันจะแนบชิดชั้นวางมากๆอาจจะเสริมซาวด์บาร์ลำบากนิดนึง แต่ก็แลกกับความสามารถที่ยิงเสียงคุณภาพสูงออกจากหน้าจอโดยตรงแต่แรก ส่วน LG ก็จะเรียบหรูแบบ Solid ตัววัสดุดูหรูหราไฮเอ็นด์ มีขาตั้งสี่เหลี่ยมคางหมูยกตัวจอสูงขึ้นมาเล็กน้อย
ด้านหลัง : LG จะดูสวยหรูด้วยผิวโลหะขัดมัน ส่วน Sony จะเปนผิวสีดำด้านลายตารางหมากฮอส และมีฝาปิดโซนช่องต่อถึง 4 ชิ้น ช่วยซ่อนสายสัญญาณให้ดูสะอาดตาขึ้น
ราคา | Price
ราคาเปิดตัวของทั้งสองรุ่นนี้เท่ากัน แต่ราคาขายจริง LG จะถูกกว่านิดๆหน่อยๆ ทั้งไซส์ 55”/ 65” ส่วนประกันจะอยู่ที่ 3 ปีเท่ากัน
สรุป | Conclusion
เป็นปีแรกที่ขอตัดสินให้ Best OLED TV มีผลออกมาที่ “เสมอกัน” ไม่ได้กั๊กนะ แต่ครั้นให้ทีมนักรีวิวแต่ละคนเลือกตัวที่ดีที่สุดในใจ ก็ยังเสียงแตกออกมาเท่ากันอยู่ดี เพราะประสิทธิภาพในแต่ละด้านมันคู่คี่กันเหลือเกิน ต่างจากปีสองปีที่ผ่านมาที่ยังมีปัจจัยรองที่มาช่วยตัดสินเมื่อปัจจัยหลักดันเทียบเคียงกัน เช่นคุณภาพของภาพสูสีแบบหายใจรดต้นคอ แต่ระบบสมาร์ทและระบบเสียงยังห่างชั้นกันมาก
ฟันธงให้ว่าคุณภาพของภาพดีเลิศทั้งคู่ จะต่างที่คาแรกเตอร์ภาพนิดหน่อย ชอบธรรมชาติ สุขุม ลุ่มลึก ก็ Sony หากชอบสดสว่าง ซู่ซ่า บ้าพลังหน่อยก็ LG ส่วนระบบสมาร์ทก็เป็นการเปิดหน้าแลกระหว่างความล้ำสุดขีดจาก Android 9.0 พร้อม Google Assistant กับการใช้งานง่ายเวอร์วังของ ThinQ AI พร้อมเมจิครีโมท ซึ่งถือว่าดีคนละมุมทั้งความความไฮเทค VS เป็นมิตรกับผู้ใช้ สรุปแล้ว “คุณภาพ” ดีเลิศสูสีกันกันทั้งคู่ (Reference) จึงอยากให้ใช้ “ลักษณะการใช้งาน” และ “ความชอบ” (Preference) เป็นตัวตัดสินเลือกทีวี OLED TV ให้เหมาะกับตัวเราครับ