สำหรับเครื่องเล่นเกมคอนโซลเจนเนอเรชั่นถัดไปทั้ง Xbox Series X จาก Microsoft และ PlayStation 5 จาก Sony ต่างก็ได้เผยรายละเอียดต่างๆ อย่างสเปคและประสิทธิภาพของเครื่องกันไปเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ ซึ่งดูเหมือนว่าหากกางหน้ากระดาษเทียบกันของเครื่องทั้งสองรุ่นเราจะเห็นได้ว่าด้านประสิทธิภาพและชิ้นส่วนภายในนั้นมีความคลายคลึงกันอย่างมาก
ทั้งในเรื่องของ CPU, GPU, SSD หรืออื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามหากวัดกันที่สเปคเพียงอย่างเดียวแล้วนั้น Xbox Series X ก็ดูเหมือนจะมีภาษีที่ดีกว่าคู่แข่งจากค่าย Sony อยู่พอสมควรด้วยพลังการประมวลผล GPU ที่สูงถึง 12 Teraflops นำหน้าเหนือ PS5 ที่มีพลังน้อยกว่าอยู่ที่ 10.3 Teraflops ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ตามทฤษฏีแล้ว Xbox Series X มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า PS5
แต่อย่างไรก็ตามความแตกต่างของพลังการประมวลผลนั้นแท้จริงแล้วก็อาจจะไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไรนัก โดยแม้ว่า PS5 จะมีพลังการประมวลผลที่น้อยกว่าแต่ Sony เองก็ได้เล็งเห็นถึงศักยด้านอื่นๆ ที่ PS5 นั้นทำได้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ด้านเสียงอย่าง 3D Audio ที่ทาง Sony เลือกใช้แพลตฟอร์ม Head-related Transfer Functions (HRTFs) ในการสร้างสนามเสียงที่พวกเขาบอกว่าสามารถสร้างความเสมือนจริงได้มากกว่าเดิมนั่นเอง
รวมถึงแม้แต่ Xbox Series X เองก็มีการกล่าวถึงการรันเฟรมเรตในระดับ High Framerate ที่ 120 FPS ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ใหม่ของวงการคอนโซลที่มีเครื่องเล่นที่สามารถแตะเฟรมภาพไปถึงระดับนั้นได้แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงการโชว์ถึงประสิทธิภาพบางส่วนเท่านั้นแน่นอนว่ามันอาจจะถูกใจเกมเมอร์สาย Hardcore แต่สิ่งที่ตัดสินชัยชนะนั้นอาจจะไม่ได้มากจากส่วนที่ทั้งสองค่ายได้หยิบยกมานำเสนอเลยก็ได้
ซึ่งตรงนี้มีค่ายเกมหนึ่งค่ายที่พิสูจน์ได้ว่ากราฟฟิค, เสียง, ประสิทธิภาพของเครื่องนั้นไม่ได้เป็นตัวตัดสินชัยชนะของเครื่องเกมของพวกเขาอย่าง Nintendo Switch จากค่าย Nintendo โดยเครื่องเกมของพวกเขานั้นถือว่าเป็นคู่แข่งร่วมกับ PS4 และ Xbox One ตรงๆ แต่ทั้งประสิทธิภาพของเครื่องเกมจากค่าย Nintendo นั้นไม่สามารถสู้ได้เลย อย่างไรก็ตามทั้งนี้มีสิ่งหนึ่งที่นั่นก็คือการดึงดูดด้วยการใช้เกม, เกมเพลย์ และความเข้าถึงง่ายเพื่อต่อกรกับเครื่องคอนโซลจากยักษ์ใหญ่ทั้งสอง
ทั้งนี้รวมไปถึงประสบการณ์ของ Microsoft เองที่เคยพลาดท่าเมื่อช่วงต้นเจนเนอเรชั่นของ Xbox One ที่มีความยุ่งยางในการเล่นไม่ว่าจะเป็นการต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลาเพื่อให้เล่นเกมได้, การตั้งราคาเครื่องที่แพงกว่า PS4 อยู่ถึง 100 ดอลลาร์ (PS4 ราคา 400 ดอลลาร์, Xbox One ราคา 500 ดอลลาร์) และนี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ค่ายเกมทั้งสองนั้นจะดำเนินกลยุทธและตัดสินชัยชนะของสงครามคอนโซลได้เหนือจากสเปคและประสิทธิภาพ
โดยแท้จริงแล้วนั้นสิ่งที่ตัดสินชัยชนะได้นั้นไม่ได้มาจากสเปคแต่เป็น เกม, การเข้าถึงที่ง่าย, การรองรับฟีเจอร์อำนวยความสะดวกต่างๆ, แอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่ง, ราคาที่เหมาะสม ซึ่งนี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เหล่าผู้ซื้อ “ส่วนใหญ่” นำไปเป็นปัจจัยในการเลือกซื้อเครื่องคอนโซลสักเครื่องต่างหาก
ที่มา: gizmodo |