เป็นอีกปีที่ทางทีมงานหัวปั่น หันหมุน ทำผลสรุปว่าปีนี้ใครจะได้ตำแหน่ง “ทีวีที่ดีที่สุด” ไปครอง ซึ่งสิ่งสำคัญที่ใช้ในการตัดสินของทาง LCDTVTHAILAND คือ ประสิทธิภาพที่อ้างอิงจากผลการทดสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรมภาพและเสียง รวมกับประสบการณ์การใช้งานจริง ที่ดูผ่านด้วย “ตาเนื้อ” พร้อมกับฟังเสียงจริงด้วยหูตัวเอง จนในที่สุดพวกเราก็ได้ผลสรุปทีวีที่ดีที่สุดในแต่ละสาขา รวมถึงซาวด์บาร์ที่ดีที่สุดประจำปีด้วย
1. Best of The Best TV Award : LG G4 & Samsung S95D
ปีนี้เราขอมอบรางวัลทีวีที่ดีที่สุดแห่งปี ให้กับ OLED ตัวท็อปจากสองค่ายเกาหลีไปครองคู่กัน ประสิทธิภาพคือ “ดีเลิศ” ทั้งคู่ ต่างกันที่พื้นผิวจอ Glossy vs Matte จึงทำให้ตอบโจทย์การใช้งานต่างกัน ซึ่งทีวีทั้ง 2 รุ่น เราเคยนำมาสาธิตในงานบรรยายของ LCDTVTHAILAND เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสของจริงผ่านหลากหลายหัวข้อการทดสอบอย่างเข้มข้น เพื่อให้ได้ข้อมูลนำไปพิจารณาเพื่อเลือกทีวีที่ตรงกับการใช้งาน และความชื่นชอบของแต่ละบุคคล
- LG OLED evo G4 : G4 คือ OLED ตัวบนสุดของ LG ดีไซน์แขวนผนังสวยงามบางเฉียบแนบชิดเฉกเช่นกรอบรูปในแกลเลอรี่ ตัวหน้าจอพาแนลเป็น W-OLED ผิวจอแบบ Glossy ให้ระดับความดำที่ลุ่มลึกมีมิติ ถ่ายทอดสีสันได้มันวาวอย่างเป็นธรรมชาติ ความพิเศษของ G4 ที่เหนือกว่าซีรีส์รอง คือ การเพิ่มเทคโนโลยี Micro Lens Array โครงสร้างหน้าจอแบบเลนส์รวมแสงขนาดเล็กพิเศษ ช่วยบูสท์ความสว่างและขยายมุมมองการรับชมได้เหนือชั้น พร้อมขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล Alpha 11 ตัวท็อป รองรับระบบภาพ Dolby Vision และเสียง Atmos ให้ HDMI 2.1 มา 4 ช่อง ตอบโจทย์สายเกมมิ่งอย่างสมบูรณ์ อีกส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ รีโมทคู่ขวัญ Magic Remote ที่ใช้งานง่ายเป็นแอร์เมาส์ขยับเคอร์เซอร์ได้อย่างอิสระ เป็นทีวีที่ให้ความสุดทั้งภายใน (ภาพ) และภายนอก (ดีไซน์)
- Samsung OLED S95D : S95D กับพาแนล QD-OLED โดดเด่นเรื่องการให้ขอบเขตสีกว้างใกล้เคียงมาตรฐาน Rec.2020 ส่งผลให้ภาพมีความสดอิ่มโดดเด้ง ขับแสงสีจากต้นฉบับภาพยนตร์ 4K HDR ได้หมดจดขึ้น พร้อมการเคลือบผิวจอ Glare-Free แบบ Matte Black ดำด้าน ขจัดแสงรบกวนและเงาสะท้อนได้โดดเด่น จึงเป็น OLED Panel ที่ให้ความรู้สึกคล้ายจอผืนผ้าใบแบบโรงภาพยนตร์ ด้านภาพนอกจากความสดสว่าง ยังดูกลมกล่อมสบายตา ลงตัวเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร มีกล่อง One Connect แยกจัดวางศูนย์รวมช่องต่อออกมาจากจอทีวีได้ ช่วยให้เชื่อมต่อง่ายและจัดระเบียบสายสัญญาณได้สะดวกขึ้น พร้อม HDMI 2.1 จำนวน 4 ช่อง รีโมทเป็น Solar Cell ชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเอง นี่จึงเป็น “OLED ฟีลโรงหนัง” ที่ให้ผลการทดสอบค่าภาพดีเลิศทั้งแสงและสี ด้วยคุณภาพระดับท็อปคลาส
LG G4 : 83” 77” 65”
Samsung S95D : 77” 65” 55”
2. Editor’s Choice Award : Samsung S90D
รุ่นนี้ขอนิยามว่า “เพชรเม็ดงาม…ที่คนยังไม่ค่อยรู้” เพราะเป็นรุ่นที่พลังภาพโดดเด่นเกินเบอร์ เหนือกว่า LED TV ทุกตัว ในราคาขายที่สมเหตุสมผล เพียงแต่ผู้ใช้งานบ้านเราอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักรุ่นนี้เท่าไหร่นัก เพราะการประชาสัมพันธ์จะไปเน้น Neo QLED และ OLED ตัวท็อปเป็นหลัก โดย S90D ใช้จอดำเงา Glossy ขับภาพออกมาได้ฉ่ำวาว ขนาดจอ 65” และ 55” ใช้พาแนล QD-OLED ภาพสีสันสดอิ่มแนว Vibrant Look ส่วนขนาด 83”, 77” และ 48” จะใช้พาแนล W-OLED ให้ภาพสวยเป็นธรรมชาติ Natural Look เป็น OLED ที่ให้ระดับความสว่างสูงสุดเกิน 1000 nits ให้ภาพสว่างเจิดจรัสเกินหน้าเกินตา OLED ทั่วไป ให้คุณภาพของภาพในเกณฑ์ยอดเยี่ยม ขับภาพ HDR ได้เปล่งประกาย แถมให้ HDMI 2.1 x 4 ช่องรองรับเกมมิ่ง 144Hz รีโมท SolarCell ชาร์จแบตได้ด้วยตัวเอง พ่วงด้วยแอปดูหนังและซีรีส์ครบครันใน Tizen OS | Samsung S90D จึงเป็น “เพชรเม็ดงาม” ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในปีนี้ จึงขอเชียร์ให้เป็น “ตัวจบ” พร้อมมอบรางวัลทีวีขวัญใจทีมงาน Editor’s Choice ให้ไปครอง
Samsung S90D : 83” 77” 65” 55” 48”
3. Best 8K LED TV Award : Samsung QN900D
รางวัลทีวี 8K แห่งปี ตกเป็นของ Neo QLED 8K รุ่น QN900D จาก Samsung คุณสมบัติเด่นอย่าง Mini LED Backlight ขนาดเล็กจำนวนมากจัดวางเต็มผืนด้านหลังจอ Quantum Dot LCD Panel นอกจากให้ค่าความสว่างสูงกว่า 2000 nits แล้ว ยังคุมโซนดิมแสงได้ละเอียด ให้ระดับความดำใกล้เคียง OLED ขึ้นไปอีกขั้น ทางด้านคอนเทนต์ 8K อาจยังไม่แพร่หลาย ทว่าตัวชิป AI มีความเก่งกาจช่วยอัพสเกลคอนเทนต์ 4K และ HD เพื่อแสดงผลบนจอ 8K ได้คมชัดแบบจับต้องได้ เหนืออื่นใด คือ คุณสมบัติพิเศษด้านการเล่นเกมกับ PC จะรองรับสัญญาณ 8K 60Hz ไปจนถึง 4K 240Hz (ผ่านเทคโนโลยี DSC) เป็นอัตรารีเฟรชเรทสูงที่สุดในตลาดเกมมิ่งทีวีเวลานี้ ตัวเครื่องมีดีไซน์ไร้ขอบที่แท้ทรู ดูสวยมากเหมือนภาพลอยบนอากาศปราศจากกรอบขวางกั้น เป็นรุ่นที่โชว์ความแกรนด์ทั้งความสวยของตัวเครื่อง กับขนาดใหญ่โตของหน้าจอ และความละเอียดของภาพได้อย่างพร้อมเพรียง
Samsung QN900D : 85” 75” 65”
4. Best 4K LED TV Award : Sony BRAVIA 9
เปรียบดั่ง “ยกโรงหนังมาไว้ที่บ้าน” หรือ “Cinema is Coming Home” คือ ปรัชญาที่ Sony ยึดถือในการออกแบบทีวี BRAVIA 9 รุนเรือธงของปีนี้ โดย Sony กล้าวางตำแหน่ง Mini LED TV รุ่นนี้ ไว้เหนือกว่า BRAVIA 8 ที่เป็น OLED TV เสียอีก ซึ่งประสิทธิภาพของรุ่นนี้อยู่ในตำแหน่งหัวแถวของ 4K LED TV ทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นระดับความสว่างสูงสุดกว่า 2700 nits สว่างสุดเท่าที่ Sony เคยผลิตทีวีมา พร้อมความสามารถในการแบ่งโซนดิมแสงผ่าน Mini LED Backlight ได้ละเอียด สร้างระดับคอนทราสต์จากความสว่าง และความดำได้น่าตื่นตะลึง ตอกย้ำการที่ Sony มีสินค้าระดับโปรเฟสชันแนลในกระบวนการผลิตภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ อาทิ อุปกรณ์บันทึกภาพวิดีโอ, จอมอนิเตอร์อ้างอิง, เครื่องฉายในโรงภาพยนตร์ ไปจนถึงสตูดิโอผลิตภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่าง Sony Pictures ประสบการณ์ทั้งหมดถูกถ่ายทอดลงสู่ BRAVIA 9 ได้อย่างช่ำชอง ภาพมีความถูกต้องสมจริงแบบกลิ่นอาย Studio Look เป็นคาแรกเตอร์ภาพที่ปรุงแต่งน้อย แต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพคับแก้ว พร้อมแอปอย่าง Sony Pictures Core ให้ชมภาพยนตร์ 4K บิทเรทสูงจากค่ายของเขาฟรีด้วย รุ่นนี้จะเน้นไซส์ใหญ่เต็มตาแบบโรงหนังในบ้านเป็นหลัก เป็น 4K LED TV สายดูหนังที่เยี่ยมยุทธ์สุดของปีนี้
Sony BRAVIA 9 : 85” 75”
5. Best Midrange 4K LED TV : TCL C855
TCL คือ หนึ่งในผู้บุกเบิก Mini LED TV ในไทย โดย C855 นับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 แล้ว ซึ่งผ่านการปรับจูนเพิ่มประสิทธิภาพจากรุ่นก่อนชัดเจน ให้คอนทราสต์ที่ทรงพลังในแบบตัวท็อป ทว่าค่าตัวเอื้อมถึงได้ไม่ยาก โดดเด่นด้วยความสว่างสูงกว่า 2700 nits พร้อมความสามารถในการแบ่งโซนดิมแสงได้ละเอียดเนียนตาขึ้นอีกขั้น จอดำเงา Glossy ให้ภาพดำลึกมีมิติ ขับภาพ HDR ได้อย่างรุกเร้า เปิดสว่าง รองรับทุกมาตรฐานภาพและเสียงชั้นนำ ทั้ง HDR10+, Dolby Vision/Atmos และ IMAX Enhanced เล่นเกมรองรับ 4K 144Hz VRR พ่วงด้วยลำโพงที่ถูกไฟน์จูนจากแบรนด์เครื่องเสียง Onkyo ส่วนระบบปฏิบัติการ Google TV มีแอปฯ เพียบ สั่งงานด้วยเสียงได้ นับเป็นทีวีจากแดนมังกรที่มีราคาระดับกลางค่อนไปทางบน แต่ให้สเปกแรงเกินหน้าเกินตา ได้ความพรีเมียมครบทุกมิติ
TCL C855 : 75” 65”
6. Best Value 4K LED TV : TCL C755 / QM8B
ทีวี “ตัวคุ้ม” ในปีนี้ตกเป็นของ TCL C755 และ QM8B ทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝดต่างไซส์กัน คุณสมบัตินับว่าจัดจ้านในราคามิตรภาพ ได้แก่ เทคโนโลยี Mini LED + Quantum Dot ความสว่างสูงระดับ 1000 nits อิงมาตรฐาน Ultra HD Premium เพิ่มเติมเรื่องแบ่งโซนดิมแสงได้ หากเทียบกับคู่แข่งที่งบใกล้เคียงกัน ประสิทธิภาพอาจได้แค่ Full Array หรือ Edge LED การรองรับ HDR ครบทุกรูปแบบ ทั้ง HDR10+, Dolby Vision/Atmos, IMAX Enhanced เล่นเกมรองรับ 4K 144Hz VRR และฟีเจอร์ Game Master 2.0 ระบบปฏิบัติการเป็น Google TV มีแอปฯ การใช้งานครบครัน สั่งงานด้วยเสียงได้ ลูกเล่นแพรวพราวไม่แพ้รุ่นพี่ ที่สำคัญที่สุดคือค่าตัวน่าคบหามาก จึงขอมอบรางวัลทีวี 4K ที่ให้ความคุ้มค่าที่สุดไปครอบครอง
TCL C755 : 98” 85” 75” 65” 55” 50”
TCL QMB : 65” 55”
7. Best Budget 4K LED TV : Samsung Q70D
ใครงบจำกัด แต่อยากได้สเปคคุ้มค่าแบบครบ ๆ Samsung Q70D คือตัวเลือกที่น่าสนใจ มีให้เลือกหลากหลายไซส์ ใหญ่สุดถึง 85 นิ้ว ใช้ Quantum Dot VA Panel จึงให้ขอบเขตสีกว้าง และถ่ายทอดระดับคอนทราสต์ดีเมื่อรับชมมุมตรง ในส่วนของ Dual Edge LED Backlight ช่วยให้ได้อุณหภูมิสีที่แม่นยำขึ้น และยังอัพเกรดความสว่างสูงกว่ารุ่นปีที่แล้วเล็กน้อย ได้ HDMI 2.1 ครบทั้ง 4 ช่อง รองรับ 4K 120Hz VRR ระบบ Tizen OS มีการอัพเกรดแอปฯ ล่าสุด อย่าง HBO MAX, Monomax, TrueVisions Now และ Samsung TV Plus มีรีโมท SolarCell จึงนับเป็นทีวีตัวประหยัด ราคาสบายกระเป๋า มือใหม่เล่นได้ ให้สเปครองรับอนาคตครบ ๆ
Samsung Q70D : 85” 75” 65” 55”
8. Best Gaming TV Award : LG OLED evo C4
ราชันเกมมิ่งทีวีปีนี้ ตกเป็นของ LG OLED evo C4 เพียบพร้อมทั้งเรื่องภาพอันดีเยี่ยมตามแบบฉบับ OLED พร้อมขนาดที่มีให้เลือกหลากหลายที่สุด ตั้งแต่ไซส์เล็ก 42″, 48″ ประยุกต์ใช้เป็น Gaming Monitor ได้ ไปจนถึงขนาดมาตรฐานอย่าง 55″, 65″, 77″ และไซส์ยักษ์อย่าง 83″ ได้อารมณ์ Gaming Theater ใหญ่เต็มตา ให้ HDMI 2.1 มาแบบไม่กั๊ก 4 ช่อง รองรับ 4K 144Hz พร้อมการันตี NVIDIA G-Sync Certified และ AMD FreeSync Premium Pro ฟีเจอร์ป้องกันเฟรมภาพขาดจากทั้งสองค่าย รองรับมาตรฐาน HDR ขั้นท็อปสำหรับสายเกมอย่าง Dolby Vision Gaming และ HGiG มีค่า Input Lag ต่ำ จึงแสดงภาพได้ฉับไวไม่หน่วงช้า พร้อมเมนู Game Optimizer ปรับแต่งโหมดภาพ แสดงสถานะ และฟีเจอร์ช่วยสนับสนุนการเล่นเกม ถ่ายทอดภาพสวยเต็มศักยภาพเข้ากันได้ดีกับทั้ง PS5 / Xbox / PC จึงเข้าวินทีวีสายเกมมิ่งต่อเนื่องไปอีกปี
LG OLED evo C4 : 83” 77” 65” 55” 48”
9. Best Design Award : LG evo G4
“สวยทั้งภายในและภายนอก” คือคำจำกัดความของ LG OLED evo G4 โดย G ย่อมาจาก Gallery Design ดีไซน์เพรียวบาง ออกแบบให้แขวนแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับผนังดั่งกรอบรูปในแกลเลอรี ด้วยขาแขวนพิเศษที่ถูกออกแบบมาได้อย่างชาญฉลาด สามารถดึงทีวีให้ห่างจากผนังเพื่อการเสียบต่อสาย และดันกลับชิดผนังได้อย่างกลมกลืน หน้าจอดำเงาแบบ Glossy ไร้ขอบ พร้อมโหมดแสดงรูปภาพงานศิลปะรวมถึงพวกรูปวิวทิวทัศน์งาม ๆ เหมือนดั่งกรอบรูปจริง ๆ ดูดีทั้งเวลาเปิดและปิดทีวี นับเป็นตัวท็อปที่ดีเลิศทั้งการแสดงผลภาพและรูปลักษณ์ภายนอก
LG G4 : 83” 77” 65”
10. Best Smart TV Award : Sony Google TV
Sony Google TV 2024 คือ ทีวีที่ทีมงานยกให้ระบบ Smart TV ดีที่สุดแห่งปี เพราะนิยามทีวีที่ดี มิใช่แค่เรื่องภาพเพียงอย่างเดียว ทว่าลูกเล่นความบันเทิงต้องหลากหลายพร้อมสรรพ ซึ่งแน่นอน Google TV ยืนหนึ่งเรื่องนี้ แต่จุดที่แตกต่างจาก Sony Google TV นอกจากแอปฯ ดูหนัง ซีรีส์ กีฬา ทั่วไปแล้ว ยังมีแอปฯ สุดเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง Sony Pictures Core ดูหนังในเครือฯ แบบ 4K บิทเรทสูงพิเศษ จำนวนหลายร้อยเรื่องแบบฟรี ๆ ซึ่งบางเรื่องได้สัดส่วน IMAX เต็มตา หาไม่ได้จากแอปฯ สตรีมมิ่งเจ้าอื่น นอกจากนี้ระบบก็มีความเสถียร รองรับการเชื่อมต่อไร้สายกับ iPhone / iPad แสดงภาพขึ้นจอใหญ่ได้เลย สั่งงานด้วยเสียงทั้งอังกฤษ ไทย ฯลฯ ผ่าน Google Assistant ทั้งพูดตรงกับทีวี หรือพูดผ่านรีโมทได้แม่นยำ นับเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ปรนิบัติผู้ใช้งานได้ครบจบในเครื่องเดียว
หมายเหตุ : อ้างอิงรุ่น BRAVIA 7 ซึ่งเป็นรุ่นที่มีหลายขนาดหน้าจอ ในราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อม
Sony BRAVIA 7 : 85” 75” 65”
ประกาศรางวัลซาวด์บาร์
เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไป ที่เน้นความง่ายในการใช้งาน และติดตั้ง ทำให้หลายแบรนด์เริ่มหันมาให้ความสนใจในการพัฒนาซาวด์บาร์กันมากขึ้น เพราะตอบโจทย์การใช้งานของคนยุคใหม่ ดังนั้นรุ่นไหนเสียงดี ฟีเจอร์เด่น ราคาเป็นมิตร ก็จะถือครองความได้เปรียบในตลาด และปีนี้เราเองก็ได้คัดมาแล้วว่ารุ่นไหนมีความเหมาะสมลงตัวบ้าง
1. Best of The Best Soundbar Award : Klipsch Flexus Sound System
เมื่อจ้าวแห่งลำโพงที่ใช้งานในโรงภาพยนตร์จากสหรัฐอเมริกา พัฒนาซิสเต็มซาวด์บาร์รุ่นใหม่ ประสิทธิภาพจึงโดดเด่นเกินใคร โดยครั้งนี้ Klipsch ได้ร่วมมือกับ Onkyo แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อเติมเต็มวงจรเสียง และภาคขยายตามแบบฉบับไฮไฟ บวกกับความสามารถด้านการออกแบบลำโพงของ Klipsch เอง จนได้มาเป็น “Flexus Sound System” ชุดซาวด์บาร์ที่มีประสิทธิภาพเทียบเคียงชุดลำโพงโฮมเธียเตอร์แยกชิ้น ! ประกอบไปด้วย Core 200 + Sub 100 + Surr 100 ถ่ายทอดเสียงรอบทิศทางจาก Dolby Atmos ในแบบ 5.1.2 Ch แท้ ๆ และถึงแม้อุปกรณ์จะแยกชิ้นส่วนกันมา (ซื้อแบบแยกชิ้นได้) แต่ติดตั้งใช้งานด้วยกันง่าย เพียงแค่เสียบ USB Dongle หรือกดปุ่มเชื่อมต่อครั้งเดียวไม่ต้องพึ่งแอปฯ อื่นใดให้ยุ่งยาก การแยกแยะทิศทางเสียงหน้า-หลัง และเหนือศีรษะโดดเด่น แต่ที่พิเศษ คือลำโพงซับวูฟเฟอร์ไร้สายขนาด 10 นิ้ว สามารถเพิ่มการใช้งานได้สูงสุด 2 ตู้ พร้อมกัน พื้นฐานการออกแบบก็เป็นเดียวกับที่ใช้งานในชุดโฮมเธียเตอร์แยกชิ้นแบบจริงจัง ขยายขีดความสามารถถ่ายทอดคุณภาพเสียงความถี่ต่ำทั้งลงลึกและหนักแน่น ได้น่าประทับใจมาก !
Klipsch Flexus Core 200 ราคา 21,900 บาท + Flexus Sub 100 ราคา 15,900 บาท + Flexus Surr 100 ราคา 14,900 บาท
2. Editor’s Choice Soundbar Award : Samsung HW-Q990D
ซาวด์บาร์รุ่นท็อปที่สเปกครบถ้วนรอบด้านบวกคุณภาพเสียงเหนือชั้นเกินราคา จึงไม่แปลกที่ Samsung จะเป็นขวัญใจยืนหนึ่งมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง HW-Q990D รุ่นใหม่ประจำปี 2024 แม้อิงการออกแบบจากรุ่นก่อน แต่ก็อัปเดทเพิ่มเติมคุณสมบัติใหม่ อาทิ HDMI 2.1 Input x 2 / Output x 1 สามารถ Passthrough 4K 120Hz เชื่อมต่อสัญญาณจากเครื่องเกมตรงเข้ากับซาวด์บาร์ได้ ไปจนถึงลูกเล่น Sound Grouping ใช้งานตัวบาร์หลัก และลำโพงเซอร์ราวด์ไร้สายเพื่อกระจายเสียงครอบคลุมในจุดต่าง ๆ ในบ้าน หรือ Private Rear Sound สลับหน้าที่ลำโพงเซอร์ราวด์ แยกไปใช้งานเป็นลำโพงสเตอริโอไร้สายอิสระ เป็นการเพิ่มอรรถประโยชน์เป็นอย่างดี ส่วนคุณสมบัติหลักอย่างการถ่ายเสียงรอบทิศแบบ 360 องศา มาครบทั้งภาคถอดรหัสเสียง Dolby Atmos และ DTS:X และส่งผ่านไปยังตัวขับเสียงหน้า-หลัง และซับวูฟเฟอร์ไร้สาย จำนวนรวม 11.1.4 Ch จึงได้เสียงโอบล้อมรอบทิศทางแบบโหดเกินค่าตัว ทั้งหมดนี้หากจะหาตัวเทียบเคียงแบบครบ ๆ ในงบเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องง่าย !
Samsung HW-Q990D ราคาเปิดตัว 29,990 บาท
3. Best Standalone Soundbar Award : Bose Smart Ultra Soundbar
Bose Smart Ultra Soundbar ตัวท็อปรุ่นใหม่ ซึ่ง “Smart” สมชื่อ จากการออกแบบ All-in-One “ชิ้นเดียวก็เอาอยู่” มาพร้อม Up-Firing Speakers ในตัว ใช้ยิงเสียงขึ้นสะท้อนเพดานถ่ายทอด “เสียงขึ้นหัว” จากระบบเสียง Dolby Atmos ได้อย่างน่าทึ่ง บรรยากาศโอบล้อมจึงโดดเด่นมากสำหรับซาวด์บาร์ชิ้นเดียว ด้านการติดตั้งทำได้สะดวกเพราะอุปกรณ์น้อยชิ้น คุณภาพเสียงก็ให้ความกลมกล่อมสไตล์ Bose ดูหนังสนุก ฟังเพลงนุ่มนวลไพเราะ พร้อมรองรับสตรีมมิ่งเพลงผ่านแอปฯ ชื่อดังอย่าง Spotify Connect และ Tidal Connect การเซ็ตอัประบบเสียงมีความยืดหยุ่นผ่านแอป ฯ Bose Music แต่ที่ล้ำเป็นพิเศษ คือ ฟีเจอร์ปรับจูนเสียงอัตโนมัติให้ลงตัวกับสภาพแวดล้อมภายในห้องซึ่งใช้งานได้จริง ถือเป็นคุณสมบัติที่ยากจะมีคู่แข่งในระดับเดียวกันทำได้ สุดท้ายคือการรองรับอนาคต สามารถขยับขยายอัพเกรดคุณภาพเสียง ด้วยลำโพงซับวูฟเฟอร์และลำโพงคู่หลังแบบไร้สาย ช่วยเติมเต็มยกระดับความหนักแน่นและมิติเสียงรอบทิศทางได้อย่างสมบูรณ์แบบ !
Bose Smart Ultra Soundbar ราคาเปิดตัว 36,900 บาท
4. Best Value Soundbar Award : Samsung Ultra Slim Soundbar HW-S800D (สีดำ) / 801D (สีขาว)
ด้วยดีไซน์เก๋ไก๋แบบสลิมบางประหยัดพื้นที่ และมีให้เลือก 2 สี ดำ และ ขาว ใครที่เป็นสายตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอล ต้องถูกใจอย่างแน่นอน แถมยังมาพร้อมคุณภาพเสียงที่ดีเกินขนาดไปเยอะ กับประสิทธิภาพในแบบ 3.1.2 Ch มีตัวขับเสียงที่ยิงขึ้นสะท้อนเพดานเพื่อการถ่ายทอดเสียง Dolby Atmos พร้อมซับวูฟเฟอร์ไร้สายเติมเต็มเสียงให้กับบาร์หลักขนาดเล็กให้ครอบคลุมครบย่าน โดยเฉพาะเบส ซึ่งจำเป็นต่อการดูหนังฟังเพลงหลากหลายแนว ได้ทั้งความสนุกครบรส ทว่าไม่กินพื้นที่จัดวาง รองรับการสตรีมมิ่งเพลงไร้สายอย่าง Spotify Connect, Tidal Connect, AirPlay รวมถึง Chromecast กรณีใช้งานร่วมกับทีวีของ Samsung จะเปิดใช้ Q-Symphony ผนึกกำลังเสียงซาวด์บาร์รวมกับลำโพงทีวีได้ และรองรับการเชื่อมต่อสัญญาณ Dolby Atmos แบบไร้สายได้ด้วย นอกเหนือจากช่อง HDMI eARC ที่มีให้ เหนืออื่นใดคือราคาเป็นมิตรมาก ๆ และราคาขายจริงที่ต่ำกว่าราคาตั้งพอสมควร ซึ่งในเรนจ์ราคานี้ เมื่อนำคุณสมบัติรอบด้านทั้งรูปลักษณ์ ยันคุณภาพเสียง จึงเหมาะสมกับรางวัลนี้
Samsung Ultra Slim Soundbar HW-S800D (สีดำ) / 801D (สีขาว) ราคาเปิดตัว : 15,990 บาท