ไม่เพียงแค่ทีวี ในปีนี้ทางเว็บเราก็ได้รีวิว Projector, Soundbar และ Blu-ray Player ด้วยกันหลายเครื่อง และจากการคัดสรรบรรดารุ่นทั้งหมดที่เคยรีวิว ก็ออกมาเป็นตารางสามหมวดใหญ่ที่ทุกท่านได้เห็นกันด้านล่าง ดังนั้นใครจะพิจารณาซื้อ Projector หรือ Soundbar หรือ Blu-ray Player รางวัลเหล่านี้คือเครื่องการันตีชั้นดีว่าซื้อไปแล้วคุ้มค่า คุณภาพสมอย่างที่หวัง
>> คลิกอ่านประกาศรางวัล Best of The Best TV Award ในแต่ละสาขา
>> คลิกอ่านเกณฑ์ในการตัดสินรางวัล และขั้นตอนการทดสอบ
1) Best of The Best 4K Projector Award : Hisense 100LN60D Laser TV
ที่ผ่านมาโปรเจ็คเตอร์แม้ให้ขนาดภาพที่ใหญ่เต็มตา แต่ความสว่างยังเป็นรองทีวีอยู่มาก เวลารับชม HDR content ผ่านโปรเจ็คเตอร์จึงดูทึมๆ ไม่เจิดจรัสเท่าใดนัก แต่ Hisense Laser TV เครื่องนี้ออกมาเพื่อลบภาพลักษณ์ดังกล่าว โดยเป็นโปรเจ็คเตอร์แบบ Ultra Short Throw ที่ให้ความสว่างแบบ HDR Peak Brightness สูงเกือบๆ 300 nits! เมื่อเสริมกับจอรับภาพพิเศษสามารถตัดแสงรบกวนออกแบบใช้งานร่วมกันให้รูปลักษณ์ที่มองแล้วเหมือนทีวี การรับชมในห้องนั่งเล่นไม่ใช่ห้องมืดก็ทำได้เหนือกว่าโปรเจ็คเตอร์ปกติ ตอกย้ำด้วยความอเนกประสงค์จากลูกเล่นความบันเทิงตามแบบ Smart TV ต่อเน็ตเล่น Netflix, YouTube ต่อเสาอากาศดูดิจิตอลทีวี (DVB-T2) ดาวเทียม (DVB-S2) และ USB 3.0/2.0 เล่นไฟล์ได้ในตัวเชื่อมต่อคีย์บอร์ด-เมาส์ได้ พร้อมระบบเสียงดีเทียบเท่า Soundbar 2.1 ทั้งหมดที่กล่าวมา คงไม่มีโปรเจ็คเตอร์อื่นใดในปี 2019 ที่ให้ได้เหนือกว่านี้อีกแล้ว
2) Best Midrange 4K Projector Award : BenQ W5700
ดูแค่โหงวเฮ้งภายนอกก็พอจะเดาประสิทธิภาพของ BenQ W5700 เครื่องนี้ได้ ตัวเครื่องอาจดูใหญ่สักหน่อยหากเทียบกับรุ่นน้อง W2700 แต่ก็ใช้ยืนยันได้ว่าเนื้อที่ภายในติดตั้งอุปกรณ์ได้แบบเดียวกับรุ่น Pro อย่างเลนส์ฉายคุณภาพสูง ระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ เสียงเงียบ ในแง่ประสิทธิภาพนั้นก็ทำได้น้องๆ W11000H ในแง่ความเที่ยงตรงของสีสัน ขอบเขตสีก็ทำได้กว้างครอบคลุม 97.1% DCI-P3 ตอบรับมาตรฐาน HDR ได้เต็มที่มากยิ่งขึ้น หากเป็นเมื่อก่อนจะได้โฮมเธียเตอร์โปรเจ็คเตอร์คุณภาพระดับนี้ต้องมีไม่ต่ำกว่า 1 แสน ทว่าค่าตัวของ W5700 69,900 บาท จะหาตัวเปรียบเทียบในระดับราคานี้ไม่ง่ายเลย
3) Best Value 4K Projector Award : BenQ W2700
แม้ราคาจะสูงกว่า TK800 4K HDR Projector รุ่นเล็กสุดของ BenQ อยู่ระดับหนึ่ง แต่การเพิ่มงบมาคบกับ W2700 ก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คุณภาพของภาพเหนือกว่าด้วยกงล้อสี RGBRGB รองรับมาตรฐาน ISFccc ถ่ายทอดสีสันได้เที่ยงตรงยิ่งขึ้น จุดที่ต่างจาก W5700 รุ่นพี่ คือ ขนาด W2700 เล็กกะทัดรัดกว่า ระยะฉายแบบ Medium-Short Throw ไม่ต้องวางห่างก็สามารถฉายภาพบนจอขนาดใหญ่ได้ จะใช้งานในห้องเล็กที่ทางจำกัดก็ติดตั้งสะดวก ยกเคลื่อนย้ายเปลี่ยนที่ได้ไม่ลำบาก มีลำโพงในตัวเพิ่มการใช้งานอเนกประสงค์ยืดหยุ่นกว่า ในขณะที่แหล่งกำเนิดแสง UHP สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 10,000/15,000 ชม. (ในโหมด Eco/Smart Eco) จึงได้รางวัลเรื่องของความคุ้มค่าไปครอง
1) Best Of The Best Soundbar Award : Samsung HW-Q90R
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าซาวด์บาร์ที่ควรค่าแก่รางวัลสุดยอดซาวด์บาร์ประจำปีนี้คงหนีไม่พ้น Samsung HW-Q90R จากกระแสปากต่อปากถึงความคุ้มค่าในการใช้งาน จนกระทั่งมาถึงมือทีมงานและได้ทำการทดสอบอย่างเข้มข้น จนสามารถยืนยันได้ว่าซาวด์บาร์รุ่นนี้เหมาะสมที่จะคว้ารางวัลสุดยอดซาวด์บาร์ที่สุดแล้ว เนื่องด้วยจุดเด่นหลายๆ อย่าง จุดแรกเลยคือคุณภาพเสียง สามารถให้ระบบเสียงเซอร์ราวด์แบบ 7.1.4 แชนแนลได้อย่างแท้จริง เพราะภายในชุดแพ็คเกจ ไม่ได้มีแค่ตัวลำโพงซาวด์บาร์และซับวูฟเฟอร์แบบทั่วๆไป แต่เพิ่มเติมลำโพงเซอร์ราวด์มาให้ในชุด เพื่อสร้างมิติเสียงที่ชัดเจนได้มากกว่าการจำลองเซอร์ราวด์ ยังเพิ่มลำโพง Dolby Atmos Enabled Speaker (Upward Firing) ไว้ที่ด้านบนลำโพงซาวด์บาร์และเซอร์ราวด์ด้วย สำหรับยิงเสียงขึ้นสะท้อนเพดานสร้างมิติด้านสูง เรียกได้ว่าเต็มระบบไม่แพ้ชุดโฮมเธียเตอร์จริงๆ แถมยังติดตั้งง่าย พร้อมใช้งานได้ทันทีไม่เสียเวลาลากสายลำโพง
จุดเด่นถัดมาคือการเชื่อมต่อที่ทันสมัย รองรับการใช้งานในระยะยาว มาพร้อมการรองรับ HDMI eARC รับสัญญาณเสียง Dolby Atmos จากแอพสตรีมมิ่งต่างๆ อย่าง Netflix ฯลฯ อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth และ WiFi ซึ่งอย่างหลังนี้เพิ่มความพิเศษเข้ามาตรงที่สามารถใช้งานร่วมกับผู้ช่วยอัจฉริยะ Amazon Alexa และใช้งานผ่านแอพ SmartThings เพิ่มความสะดวกอีกเท่าตัว สุดท้าย อันเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาซื้อคือเรื่องราคา หากเทียบกับลูกเล่นต่างๆ แล้ว นับว่าคุ้มค่ามาก ได้เต็มระบบเซอร์ราวด์พร้อมพ่วงด้วยฟีเจอร์มากมายในราคาจับต้องได้ ต้องยกรางวัล Best Of The Best Soundbar ประจำปีนี้จากเราไปเลย
2) Best Mid-Range Soundbar Award : Klipsch Bar 40
รางวัลสุดยอดซาวด์บาร์ในรุ่นระดับกลางประจำนี้ได้แก่ Klipsch Bar 40 ขึ้นชื่อว่า Klipsch หลายท่านคงคุ้นกับกิตติศัพท์ด้านพลังเสียงของแบรนด์นี้อย่างแน่นอน มาถึงซาวด์บาร์รุ่นนี้ก็ยังคงรักษาชื่อเสียงได้อย่างเหนียวแน่น เป็นซาวด์บาร์ที่มาในระบบ 2.1 แชนแนล กำลังขับรวมสูงสุดที่ 320W โดยสามารถขับเสียงที่หนักแน่นแต่ยังมีความนุ่มนวลกลมกล่อม ซึ่งซับวูฟเฟอร์ของชุดนี้ให้เสียงเบสที่มีมวลหนาใหญ่ ได้ความกระแทกกระทั้นและความแผ่นสะเทือนจากเสียงย่านต่ำได้เป็นอย่างดี อันมีผลต่อการเพิ่มอรรถรสให้ใกล้เคียงกับโรงภาพยนตร์
แต่ถ้ายังรู้สึกไม่เต็มอิ่มหรือไม่สะใจกับเสียงเบสมากพอ Bar 40 สามารถอัพเกรดซับวูฟเฟอร์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 เครื่อง เซ็ตอัพในระบบ 2.2 แชนแนล นอกจากนี้ยังมีระบบจำลองเสียงเซอร์ราวด์ ทำให้ซาวด์บาร์รุ่นนี้มีเวทีเสียงที่กว้าง ได้ความโปร่งจากการขยายมุมเสียงที่กว้างขึ้น ไม่คับแคบชวนให้อึดอัด และจากการทดสอบแล้ว Klipsch Bar 40 รองรับการถอดรหัสเสียงที่ครอบคลุมพอตัวเลย ทั้งฝั่ง DTS และ Dolby จะนำไปต่อกับเครื่องเล่น Blu-ray หรือถอดรหัสเสียงจาการสตรีมมิ่งก็ทำได้ไม่มีปัญหา เพิ่มความสนุกสนานและอรรถรสได้มากกว่าลำโพงทีวีหลายเท่าตัว ในระดับราคาที่เอื้อมถึง พร้อมคุณภาพเสียงที่คุ้มราคา
3) Best Value Soundbar Award : JBL Bar Studio
ผู้ที่คว้ารางวัลสุดยอดซาวด์บาร์รุ่นคุ้มราคาประจำปีนี้ก็คือ JBL Bar Studio เป็นซาวด์บาร์ที่ให้ความประหยัดในทุกด้าน ยกเว้นด้านคุณภาพและความคุ้มค่าที่ให้มาเกินตัวแบบไม่มีกั๊ก จุดเด่นของซาวด์บาร์รุ่นนี้อยู่ที่ขนาดตัวที่กะทัดรัดมากๆ มีหน้ากว้างเพียง 24.2 นิ้วเท่านั้น ทำให้สามารถติดตั้งกับทีวีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางได้อย่างลงตัว และแม้จะมีขนาดตัวที่เล็กเช่นนี้ แถมยังไม่ในรูปแบบซาวด์บาร์เครื่องเดียวเดี่ยวๆ แต่สามารถให้สุ้มเสียงที่มีความหนักแน่นได้ เพราะภายในได้ออกแบบโครงสร้างให้ช่วยขยายมวลเสียงเบส ขับเสียงต่ำผ่านดอกลำโพงวูฟเฟอร์ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ดอก ตอบสนองย่านเสียงต่ำได้อย่างน่าพึงพอใจโดยไม่ต้องมีซับวูฟเฟอร์
ช่องเชื่อมต่อต่างๆ มีมาให้ครบครัน ทั้ง AUX, Optical, HDMI ARC และ Bluetooth ได้ความหลากหลายในการเชื่อมต่อมากกว่าซาวด์บาร์รุ่นเริ่มตั้นทั่วไป ยังมีโหมดเสียงสำเร็จรูปให้เลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม โดยรวมแล้วนับว่าเป็นซาวด์บาร์รุ่นเริ่มต้นที่มีความสามารถรอบด้าน ควรค่าแก่รางวัลสุดยอดซาวด์บาร์รุ่นคุ้มค่าเลยจริงๆ
1) Best of The Best 4K Blu-ray Player Award : Pioneer UDP-LX800
ถึงแม้ Pioneer จะวางจำหน่าย UDP-LX800 มาสักพักใหญ่ๆ แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มี 4K Blu-ray Player เครื่องใดให้คุณภาพเหนือกว่า โดยเฉพาะเมื่อ Oppo เลิกผลิต UDP-205 ไป ก็ยิ่งไม่มีตัวเปรียบเทียบ การเอาใจใส่แม้ในจุดเล็กๆ ทั้งโครงสร้างที่แน่นหนามั่นคง กับการชีลด์ป้องกันสัญญาณรบกวนอย่างเต็มที่ มีส่วนช่วยส่งเสริมให้การถ่ายทอดคุณภาพของภาพและเสียงสมบูรณ์แบบใกล้เคียงอุดมคติมากยิ่งขึ้น ฟังก์ชั่น Pure Digital Transport Mode ร่วมกับ Dual HDMI Output ตอกย้ำการส่งผ่านคุณภาพของภาพ-เสียงดิจิตอลที่สมบูรณ์เหนือ 4K Blu-ray Player อื่นใดในปี 2019
2) Best 4K Blu-ray Player Award : Pioneer UDP-LX500
หากงบไม่ถึง LX800 หันมามองรุ่นน้องอย่าง LX500 ก็เป็นตัวเลือก 4K Blu-ray Player ที่คุ้มค่า การให้ความสำคัญในรายละเอียดฮาร์ดแวร์ปลีกย่อยอาจไม่จัดเต็มเท่า แต่คุณภาพของภาพและเสียงจากการใช้งานจริงก็ย่อหย่อนลงเพียงเล็กน้อย ด้านคุณสมบัติหลักๆ อย่างการรองรับแผ่นดิสก์หลากหลาย ทั้ง 4K UHD Blu-ray, Blu-ray 2D/3D, DVD-V ไปจนถึง SACD, DVD-A, CD-A และ Hi-res Files ทำได้เหมือนกัน โครงสร้างบึกบึนแน่นหนา การันตีคุณภาพโดย Pioneer ผู้คร่ำหวอดกับเครื่องเล่นฟอร์แม็ตแผ่นดิสก์คุณภาพสูงมาช้านาน