7 มีนาคม 2018 “นายโรมัน” ได้รับหมายเชิญจาก Samsung ประเทศไทย ให้บินลัดฟ้าไปร่วมงานเปิดตัว QLED TV รุ่นใหม่ปี 2018 และ The Wall – Micro LED จอยักษ์ 146″ ที่มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสื่อด้านภาพ-เสียงและเทคโนโลยีชั้นนำของโลกก็ล้วนมารวมตัวกันกันที่นี่ โดยงานจัดขึ้นที่ American Stock Exchange Building ใจกลางย่านธุรกิจในเกาะแมนฮัตตัน ผมจึงมีโอกาสเก็บภาพไฮไลท์และข้อมูลความรู้ใหม่มาฝากแฟนเว็บ LCDTVTHAILAND ทุกท่านเช่นเคย หรือท่านไหนขี้เกียจอ่านก็มุ่งตรงไปยังวีดีโอสรุปได้เช่นกัน (ฮา)
QLED TV คืออะไร ?
ต้องขอปูพื้นฐานก่อนว่ามันย่อมาจาก Quantum Dot LED คือ LED TV ที่ใช้เทคโนโลยี Quantum Dot มาช่วยอัพเกรดคุณภาพของภาพในด้าน “ความสว่างและสีสัน” ให้เหนือชั้นกว่า LED TV ทั่วไป ฉะนั้นหากต่อไปเราได้ยินศัพท์คำว่า QLED TV ก็ให้นึกเสมอเลยว่าเป็น “อีกขั้นของทีวีที่เหนือกว่า” ของ LED TV สามารถให้ระดับความสว่างที่เจิดจรัสและขอบเขตของสีสันที่กว้างและสดอิ่มขึ้น ในปีที่ผ่านมาการการทดสอบ QLED TV รุ่น Q9F ของ Samsung เองก็จัดว่าเป็นทีวีประเภท LED TV ที่ดีที่สุด วัดการแสดงผลทั้ง 2 ค่าด้วยเครื่องมือก็ทำได้ดีเกินหน้าเกินตาชาวบ้านอยู่พอสมควร เป็นการรันตีว่าเจ้าเทคโนโลยี Quantum Dot นี่สามารถช่วยให้ภาพ “ขึ้น“ จริงได้อีกสเต็ป
ระดับทีวี 4K ของ Samsung
1) QLED TV = ตัวไฮเอ็นด์ คุณภาพดีที่สุด เช่น Q9F Q8C Q7F Q6F
* C = Cuvred จอโค้ง และ F = Flat จอตรง
2)Premium UHD TV = ทีวี 4K ระดับพรีเมี่ยมกลางค่อนบน เช่นพวกซีรีส์ 8500, 8000 และ 7000
3)UHD TV = ทีวี 4K รุ่นเริ่มต้น พวกซีรีส์ 6000
มาในปี 2018 นี้ Samsung ยังคงสานต่อคำว่า QLED TV เฉกเช่นปีที่ผ่านมา เหตุเพราะเป็นตัวอักษรที่เข้าใจง่าย Q = Quantum Dot มีความหมายตรงๆไปเลย ไม่อ้อมค้อมอย่าง SUHD TV ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่หลายท่านยังคงหาคำตอบของคำว่า S มันย่อมาจากอะไรกันแน่ ? ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้กัน (ฮา) ซึ่งตัวที่ Samsung นำมาจัดแสดงแสงยานุภาพบนเวทีก็ได้แก่พระเอกอย่าง Q9F (จอตรง) และ Q8C (จอโค้ง)
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือทั้ง Q9F และ Q8C สองตัวท็อปอัพเกรดมาใช้โครงสร้างหลอดไฟกำเนิดแสงแบบ Full Array LED Backlight ซึ่งข้อดีคือสามารถดิมไฟเป็นโซนๆอย่างละเอียดเพื่อสร้างระดับความดำให้ดำสนิทขึ้นกว่าเดิม ตลอดจนการระเบิดพลังความสว่างได้แบบเต็มใบ ในขณะที่รุ่นรองมาอย่าง Q7F และ Q6F จะใช้หลอดไฟแบบ Edge LED คือติดตั้งหลอดไฟ LED ไว้ที่ขอบบนและล่างแทน เป็นโครงสร้างหลอดไฟที่นิยมที่สุด จะได้เรื่องโครงสร้างที่เรียบง่ายและระดับความบางเฉียบของตัวเครื่องแทน
ดีไซน์
ยังคงมาในคอนเซปต์เรียบหรู ทั้งจอตรงและจอโค้ง ที่ดีคือให้ออพชั่นขาตั้งแบบพิเศษทั้ง Gravity Stand ทรงกลมแนวอวกาศ และ Studio Stand ทรงสามแฉกแนวขาตั้งกรอบรูปในพิพิธภัณฑ์ มาให้เช่นเดิม หากอยากไปด้านอาร์ทให้สุดก็ต้อง 2 แบบนี้เป็นออพชั่นเสริม แต่ไฮไลท์ที่ทาง Samsung ภูมิใจนำเสนอคือการเชื่อมต่อสายสัญญาณแบบล่องหนด้วย One Invisible Connection สายไฟเบอร์ออพติคสีใสเส้นจิ๋วที่เชื่อมต่อกับกล่องศูนย์รวมช่องต่อ One Connect Box ซึ่งคราวนี้ไม่ได้ไม่ได้รวมแค่เพียงสายสัญญาณด้านภาพและเสียงไว้เพียงอย่างเดียว แต่ถึงขั้นผนวก “สายไฟ” เข้าไปด้วยได้แล้ว ดีไซน์คลีนมาก เปลี่ยนให้ด้านหลังทีวีนั้นโล่งของจริง ปราศจากเส้นสายกองรุงรังหลังเครื่อง
ภาพ
แน่นอนว่าทุกตัวมีความละเอียด 4K Ultra HD หรือ 3840 x 21ุ60 พิกเซล โดยใช้พาแนลตัวใหม่ที่มีชื่อว่า Ultra Black Elite ที่ช่วยเสริมระดับความดำเงาพร้อมลดแสงสะท้อนบนหน้าจอ พร้อมโครงสร้างหลอดไฟ Full Array LED Backlight สำหรับรุ่น Q9F และ Q8C และ Edge LED สำหรับรุ่น Q7F และ Q6F ขึ้นชื่อว่า Q ก็แปลว่าทุกตัวใช้เทคโนโลยี Quantum Dot ทั้งหมด เห็นพวก Demo ตามงานเปิดตัวหรือตัวโชว์ห้างร้านว่า “สีมันสดมาก” ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากมันคือเรื่องดี เพราะพวกคอนเทนต์ Demo นั้นถูกผลิตมาอย่างดีมาก ขับทุกศักยภาพออกมาได้อย่างหมดจดไม่ว่าจะแสงหรือสีก็ตาม พร้อมรองรับมาตรฐานภาพ HDR แบบใหม่นั่นก็คือ HDR10+ ซึ่ง Samsung เป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง
Ambient Mode : โหมดแอมเบี้ยน
อีกหนึ่งของเล่นใหม่ในปีนี้คือ Ambient Mode หรือ โหมดสร้างบรรยากาศใหม่ๆให้กับทีวียามปิดเครื่อง เชื่อว่า Samsung คงต่อยอดไอเดียจาก The Frame หรือทีวีกรอบรูป ซึ่งเมื่อเรา “ปิดทีวี” โหมดรูปภาพ “งานศิลป์” จะถูกแสดงผลบนหน้าจออัตโนมัติ แต่ Ambient Mode เป็นอีกคอนเซปต์ใหม่ กล่าวคือเมื่อ “ปิดทีวี” จอภาพจะแสดงลวดลายปรากฏให้กลมกลืนเหมือนกับ “ลวดลายบนกำแพง” ประหนึ่งทีวีกับกำแพงคือสวยกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน ตัวอย่างคือในรูปด้านล่างนี้เป็นลายอิฐบล็อคเหมือนกัน โดยตัวเครื่องสามารถโคลนนิ่งลวดลายผนังด้านหลังเพื่อมาแสดงผลบนจอได้ผ่านการถ่ายรูปและคำนวณโดยแอพ Smart Things (ไปดาวน์โหลดมารอซะ) นอกจากนี้ก็ยังสามารถนำพยากรณ์อากาศ วันที่/เวลา และข่าวสารต่างๆมาแสดงผลบนหน้าจอควบคู่ไปด้วยได้เช่นกัน
.
.
.
.
แต่หากอยากได้งานศิลป์แบบฮารด์คอร์ ขอเชิญดูอีกหนึ่งทางเลือกด้านล่างได้เลย
.
.
.
.
เป็นยิ่งกว่า Smart ฉลาด คือ Intelligent อัจฉริยะ
สำหรับลูกเล่นอัจฉริยะที่เพิ่มขึ้นมาก็ได้แก่ Bixby Voice Assistant หรือฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะซึ่งรองรับการสั่งงานด้วยเสียง จะว่าไปแล้วก็มีความคล้ายคลึงกับพวก Google Assistant และ Amazon Alexa คือพูดคุยสั่งมันได้แทบทุกอย่าง คือจะสั่งเปลี่ยนช่อง, เปลี่ยน Input, ค้นหาคลิปวีดีโอ, เข้าแอพส์ต่างๆ, ถามพยากรณ์อากาศ ก็ทำได้หมด และยังรวมถึงแอพพลิเคชั่น SmartThings ของมือถือที่ช่วยให้การเซ็ตอัพทีวีตอนเริ่มต้นเป็นเรื่องง่าย อาทิการเชื่อมต่อ WiFi ให้ทีวีในครั้งแรก โดยปกติเราต้องกดรีโมทของทีวี แล้วเข้าไปกดใส่ Password ยาวเยื้อย จะค่อนข้างเสียเวลามาก แต่นี่ทำได้ง่ายโดยใช้ชุดข้อมูลของมือถือที่เชื่อมต่อ WiFi วงนั้นในขณะนั้นเลย หรือพวกแอพส์ดูวีดีโอคอนเทนต์บนทีวีก็ไม่ต้องใส่ Password เพื่อ Login ให้ซ้ำซ้อน เพราะอาศัยชุดข้อมูลจากแอพบนมือถือเช่นกัน เป็นอีกลูกเล่นที่ช่วยให้ทีวีก้าวข้ามผ่านคำว่า Smart ไปสู่ยุค Intelligent เสียที !
ปิ๊งป่อง ! หมายเหตุว่าฟีเจอร์ Bixby ในช่งแรกยังเปิดให้บริการในโซนอเมริกาและเกาหลีเท่านั้น ส่วนไทยแลนด์บ้านเฮาอดใจรอกันไปก่อนเด้อ
The Wall : มาตรฐานใหม่โรงหนังภายในบ้าน
หากพูดถึงทีวีจอใหญ่ ในบ้านเรามีขายจริงก็แค่ขนาด 86″ หรือหากอยากใหญ่กว่านั้นเช่น 100″ ขึ้นไป ก็ต้องมุ่งหน้าสู่สายโปรเจกเตอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเทคโนโลยีจอแสดงผลทั้ง 2 แบบก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันออกไป เช่น ทีวีจะสว่างและสู้แสงได้ดีกว่า แต่ขนาดจอจะเล็กกว่ามาก ในขณะที่โปรเจกเตอร์ได้จอใหญ่เบิ้มทันที ปรับย่อขยายขนาดได้อิสระ แต่ก็ดันไม่ค่อยสู้แสงรบกวนเท่าที่ควร หากจะได้ภาพสดสวยก็ต้องคุมแสงได้ 100% เท่านั้น ดังนี้ทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการจอใหญ่และยังคงคุณภาพของภาพได้ดีในทุกสภาพแสงนั้น ก็ยังไม่มีจอชนิดไหนทำได้ ทว่า…..จวบจนเริ่มได้ข่าวของ Samsung The Wall ในงาน CES ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกาเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
The Wall คือ ทีวีจอยักษ์ติดกำแพง (แปลตรงตัวอีกแล้ว) มีขนาดใหญ่ถึง 146″ ความละเอียด 4K Ultra HD ซึ่งใช้เทคโนโลยี Micro LED หลอดไฟ RGB LED 3 สีรวมกันเป็น 1 พิกเซลเปล่งแสงออกมาโดยตรง แผงหน้าจอเป็นโครงสร้าง “โมดูล” เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเอามาต่อเรียงกันเพื่อประกอบออกมาเป็นจอใหญ่ เราสามารถเลือก Customize ทั้งขนาดและสัดส่วนของจอภาพตามใจนึกได้เหมือนตัวต่อ Lego
ข้อดีของมันคือเจ้าเม็ดพิกเซลนี่แหละเปล่งแปสงสีเองได้โดยตรง ไม่ใช่หลอด LED Backlight แบบ LED TV ทั่วไปซึ่งคอยส่องแสงเพื่อให้มาลอดผ่านชั้นฟิลเตอร์สีเพื่อกำเนิดออกมาเป็นภาพสีสันต่างๆอีกทีอีกที ดังนี้ Micro LED จึงสามารถสร้างระดับความสว่างได้สูงมาก สีสันสดใสทุกมุมมอง รวมถึงเมื่อต้องการแสดงเป็นสีดำก็ทำได้ดำสนิท ปราศจากแสงลอด ตามหลักการแล้วมันเป็นจอภาพใน “อุดมคติ” ที่ต่อยอดหลักการมาจากจอ Cinema LED ที่กำลังใช้จริงในโรงหนังจริง ในบ้านเราที่พารากิน ซีนีเพล็กซ์ก็ใกล้เปิดตัวแล้ว จะเรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่จากโรงหนังจริงสู่โรงหนังภายในบ้านอย่างแยบยล โดยที่ไม่ต้องกระโดดลงไปสมรภูมิโปรเจกเตอร์กับเขาเลยแม้แต่น้อย
* ข้อจำกัด : ยังไม่สามารถผลิตในขนาดที่เล็กลงมาได้ เช่นจะประกอบโมดูลให้เป็นซัก 55″ หรือ 65″ ก็จะไม่ได้ความละเอียดหน้าจอแบบ 4K
ความรู้สึกแรกกับ The Wall ก็ขอบอกว่า “อลังการ” ตอนแรกสุดก็แอบปรามาสว่า “คงสว่างโร่” แทบทะละุตาเหมือนจอ LED ป้ายโฆษณาตามท้องถนน ที่จัดเรียงพิกเซลกันถ่างและห่าง แลดูหยาบเว่อร์วัง แต่พอได้มาดู The Wall – Micro LED เข้าจริงก็กลับพบว่าขนาด 146″ความละเอียด 4K กับการยืนถอยมาซัก 4 เมตรขึ้นไป ก็เห็นภาพได้สว่างใสกำลังดี สู้ชนะได้ทุกสภาพแสง แต่ละพิกเซลก็ดูเรียงกันเรียบเนียนจนแทบไม่เห็นไร้รอยต่อ สีสดทุกมุมมอง สีดำทำได้ดีเลยแหละ ก็แหงหละ…แค่ปิดหลอดไฟลงไปก็ดำสนิทแล้วหนิ ส่วนข้อจำกัดผมยังเป็นเรื่องราคาทีอาจจะยังจับต้องไม่ได้ในช่วงแรก โดยส่วนตัวผมชื่นชมทุกการเปลี่ยน “นวัตกรรม” ให้เป็น “สินค้าขายจริง” (อัพเดทว่าเดือน 8 พร้อมวางขายที่อเมริกาที่แรก)
Micro LED คือสิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดในงานนี้ เพราะมันคือมาตรฐานใหม่ของวงการจอใหญ่ในอนาคตที่ให้สามารถให้ภาพได้ตามอุดมคติ ข่าวล่าสุดคือ Christie ผู้ผลิตโปรเจกเตอร์ระดับเวิลด์คลาส ก็กระโดดมาร่วมวงผลิตเทคโนโลยี LED Modular Display กับเขาแล้วเช่นกัน ผมจึงกล้าฟันธงแบบไม่กลัวหน้าแตกเลยว่ามันกำลังจะเป็น “มาตรฐานใหม่ของจอใหญ่ภายในบ้าน” เร็วๆนี้อย่างแน่นอน !
สรุป
ผมเป็นคนกระดี๊กระด๊ากับทุกนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆในวงการภาพและเสียงอยู่แล้ว ครั้งนี้ที่ลงทุนบินไกลมาถึงเมืองลุงแซมก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง ได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของ QLED TV ทั้งเรื่องภาพ ดีไซน์และความฉลาดล้ำด้านลูกเล่น ที่ขาดไม่ได้ขาใหญ่ประจำซอยอย่างเจ้า The Wall ขนาด 146″ เห็นครั้งแรกนี่ภาพใหญ่สะท้านโสตมาก จนคิดว่าจะต้องนำมันมาโชว์ในบรรยายเปิดตัวให้แฟนเว็บเราได้เห็นเป็นกลุ่มแรกๆให้จงได้ เชื่อเหลือเกินว่างคงถูกใจกันแน่นอน แต่ให้ทำใจว่าในช่วงแรกอาจไม่เป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์เท่าไหร่นัก ส่วนกำหนดการวางขาย QLED TV ก็น่าจะเริ่มเข้าไทยซักเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ส่วน The Wall จะเริ่มขายที่อเมริกาก่อนในเดือนสิงหาคม ส่วนบ้านเราหากมีกำหนดการที่แน่นอนก็จะแจ้งให้ทราบกันอีกที (ขอให้เข้าจริงเถอะ สาธุ๊) ลากันด้วยภาพ “นายโรมัน” ยิ้มแฉ่งกันแลนด์มาร์คประจำเมืองอย่างหอไอเฟล เอ้ย ! เทพีเสรีภาพ โปรดติดตามรีวิว QLED TV รุ่นใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าครับ สวัสดี !