พรีวิว Sony BVM-X300, 4K OLED Studio Monitor
หลายท่านคงได้ยินคำพรรณนาถึงความยอดเยี่ยมของทีวีบ่อยๆ ว่า “ทีวีรุ่นนั้นรุ่นนี้ให้ภาพดีสมจริง เหมือนส่งตรงจากสตูดิโอตัดต่อภาพยนตร์” ฟังดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยากจะอธิบายให้เห็นภาพว่าภาพที่สตูดิโอตัดต่อภาพยนตร์เห็นเป็นอย่างไร…?? เนื่องในโอกาสที่ทีมงาน LCDTVTHAILAND ได้สัมผัสใช้งานสตูดิโอมอนิเตอร์ระดับอ้างอิงในตำนาน คือ Sony BVM-X300 จึงขอมาเล่าสู่กันฟังครับ
ก่อนพูดถึงรายละเอียดของ BVM-X300 เชื่อว่าหลายท่านคงสงสัยเป็นแน่ว่า หมวดหมู่จอภาพของ Sony คือ TRIMASTER Series กับ BRAVIA Series มีความแตกต่างกันอย่างไร ผมทำตารางเปรียบเทียบสรุปคุณสมบัติคร่าวๆ ไว้ดังนี้ครับ
อย่างที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกัน BRAVIA Series เป็น “ทีวีสไตล์คอนซูเมอร์” เน้นจอภาพขนาดใหญ่เพื่อสร้างความบันเทิง ออกแบบให้มีความสวยงามกลมกลืนเหมาะกับการติดตั้งใช้งานในบ้านพักอาศัย พร้อมลูกเล่นฟีเจอร์เสริม Android Smart TV เพิ่มประโยชน์ใช้สอยที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ เท่าทันตามยุคสมัย จากข้อมูลนี้ย่อมชัดเจนว่า หากเป็นการใช้งานในบ้านนั้น BRAVIA Series ดูจะเข้าทางกว่า
ขณะที่ TRIMASTER Series เป็นสินค้าจอภาพในกลุ่มโปรเฟสชันนัลที่มีคุณสมบัติแบบ “มอนิเตอร์เต็มร้อย” กล่าวคือ มีหน้าที่ไว้แสดงสัญญาณภาพแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น ไม่สนเรื่องลูกเล่นฟีเจอร์โหมดภาพสีสดคมชัด หรือนุ่มนวลสบายตาแฟนซีใดๆ ไม่มีแม้แต่รีโมตคอนโทรล ช่องต่อรับสัญญาณภาพก็เป็นมาตรฐานที่พบได้กับงานโปรเฟสชันนัลอย่าง 3G/HD-SDI (BVM-X300 รุ่นอัพเกรด V2 จะมีช่องต่อ HDMI 2.0 เพิ่มเข้ามา) รูปลักษณ์ก็ไม่หวือหวา ไม่เน้นความหรูหรา แต่ให้ใช้งานได้จริง ยกเคลื่อนย้ายสะดวก มีพัดลมระบายความร้อนในตัวเผื่อสำหรับใช้งานนอกสถานที่ในสภาพแวดล้อมสมบุกสมบันกว่าทีวี
สามารถเชื่อมต่อ Headphones หรือ Active Speakers ที่ช่อง 3.5 mm Stereo Audio Mini Jack ทั้งที่ด้านหน้าและด้านหลังจอภาพ ส่วน LAN 10/100 มีไว้สำหรับเชื่อมต่อกับ Monitor Control Unit อุปกรณ์เสริมของ Sony และสุดท้ายสายไฟมาตรฐาน IEC สามารถถอดเปลี่ยนสายได้
BVM-X300 ภาพดีกว่า “ทีวี” จริงไหม?
จากการทดลองใช้งานช่วงเวลาสั้นๆ พอจะสรุปได้ว่า BVM-X300 มีศักยภาพฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวเนื่องไปถึงการแสดงภาพ “เหนือกว่า” ทีวี จริงครับ! ประการสำคัญ คือ RGB OLED Panel จูนสีจากโรงงานให้ดุลสีเที่ยงตรง แทบจะปราศจาก Vertical Banding รบกวนไม่ว่าจะเช็คจากแพทเทิร์นทดสอบหรือเมื่อรับชมคอนเทนต์จริง การตอบสนอง (Response Time) ก็รวดเร็วกว่า สามารถแยกแยะรายละเอียดในฉากที่มีการเคลื่อนไหวเร็วๆ ได้คมชัดกว่าทีวีเล็กน้อย เช่นเดียวกับ Input Lag ที่ต่ำระดับ 10 ms นิดๆ
แต่ปัจจัยข้างต้นไม่ได้หมายความว่า BVM-X300 เมื่อรับชมกับคอนเทนต์มาตรฐานคอนซูเมอร์แล้ว ภาพจะดูดีกว่าทีวีเสมอไป กรณีรับชมคอนเทนต์คุณภาพต่ำ มันจะเห็นจุดบกพร่องชัดมากเนื่องจากมอนิเตอร์ไม่มีระบบชดเชยประนีประนอมลดทอนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจุดนี้หลายท่านที่เก็บหนังไว้ตั้งแต่ยุควีซีดี ดีวีดี หรือดูฟรีทีวีช่อง SD ดูเว็บหนังออนไลน์ที่บีบอัดข้อมูลสูง ก็คงจะไม่ปลื้มกับภาพที่ได้
BVM-X300 ไม่มีระบบแทรกเฟรม MotionFlow ถึงแม้การถ่ายทอดภาพเคลื่อนไหวของ BVM-X300 เป็นแบบตรงไปตรงมาดูเป็นธรรมชาติดีมาก แต่บางท่านที่เคยชินกับการแทรกเฟรมภาพเยอะๆ ดูแล้วลื่นปื้ดๆ ของทีวี ก็อาจจะไม่ชอบต้นฉบับได้เหมือนกัน
BVM-X300 จำเป็นต้องปรับภาพไหม?
ความเที่ยงตรงจากโรงงานนับเป็นจุดเด่นที่สุดของ BVM-X300 ที่เหนือกว่าทีวีหลายๆ รุ่น อย่างไรก็ดี มอนิเตอร์ระดับนี้ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการปรับภาพสอบเทียบมาตรฐานให้เที่ยงตรงอยู่เสมอเพื่อชดเชยความเปลี่ยนแปลงของฮาร์ดแวร์ตามอายุการใช้งาน แต่เนื่องจากพื้นฐานฮาร์ดแวร์ระดับสตูดิโอมอนิเตอร์ที่คุมเรื่องคุณภาพการแสดงผลและจูนสีมาได้ดีแต่ต้นอยู่แล้ว ขั้นตอนปรับภาพจึงดำเนินการไม่นานและไม่ยุ่งยากครับ
ใครควรจะใช้งาน BVM-X300?
หากเงินไม่ใช่ปัญหา จะซื้อ BVM-X300 มาใช้ที่บ้านก็คงไม่มีใครว่า อย่างไรก็ดีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของรุ่นนี้เน้นเป็นมอนิเตอร์สำหรับงานเฉพาะทางเพื่อใช้ “ประเมินคุณภาพ” ในกระบวนการถ่ายทำ (Pre Production) ไปจนถึงงานเกรดดิ้ง (Post Production) รายการภาพยนตร์หรือวิดีโอต่างๆ
แต่หากท่านไม่ได้ซีเรียสแบบสตูดิโอ การใช้งาน “ทีวี” น่าจะตอบสนองได้ยืดหยุ่นกว่า ปัจจุบัน BRAVIA TV “Master Series” ของ Sony เอง ก็ให้ความเที่ยงตรงของสีสันได้ใกล้เคียงสตูดิโอมอนิเตอร์มากยิ่งขึ้นแล้ว ซึ่งด้วยจอภาพขนาดใหญ่จึงดูได้เต็มตาเหมาะกับลักษณะการรับชมในบ้าน ที่สำคัญคือระบบ Android Smart TV เอื้อต่อการใช้งานเพื่อสร้างความบันเทิงในชีวิตประจำวัน เท่าทันยุคสมัยได้ดีกว่าครับ
Sony BVM-X300 4K OLED Professional Monitor
ราคาปัจจุบัน (V2) โดยประมาณ 35,000USD