20 Mar 2017
Review

รีวิว Klipsch RSB-14 คมชัดดุดันหนักแน่น ช่องต่อจัดเต็ม รองรับทั้ง 4K HDR และ Wi-Fi


  • lcdtvthailand

Soundbar & Wireless Subwoofer

Klipsch RSB-14

ราคา 29,900 บาท

เมื่อพูดถึง Klipsch สิ่งแรกที่แว่บเข้ามาในหัวเลยคือ โทนสีของแบรนด์นี้ที่เป็นสีทองแดงตัดกับสีดำ แล้วตามมาด้วยแนวเสียงดุดันสไตล์อเมริกัน อันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นจนกลายภาพเป็นที่ติดตาคนทั่วไป สร้างชื่อให้ Klipsch เป็นแบรนด์เครื่องเสียงอันดับต้นๆ ที่ใครต้องนึกถึง โดยเฉพาะชุดลำโพงระดับอ้างอิงอย่าง Klipsch Reference Series

ซีรี่ส์ Reference นี้ หลายท่านอาจจะคุ้นเคยในมาดของชุดลำโพงเต็มระบบขนาดใหญ่ สำหรับเติมเต็มห้องโฮมเธียเตอร์ สร้างอรรถรสการรับชมให้ใกล้เคียงกับโรงภาพยนตร์ ซึ่งจริงๆ แล้ว ซีรี่ส์นี้ไม่ได้มีแค่ชุดลำโพง ยังเอาใจผู้ที่รักการฟังเสียงในระดับคุณภาพ แต่อาจมีข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ งบประมาณ หรือต้องการความเรียบง่ายในการใช้งาน ด้วยซาวด์บาร์พลังดุ เติมเต็มความสนุกได้ไม่แพ้ชุดใหญ่ ในนามของซีรี่ส์ Reference เช่นเดียวกัน

เสียงทดสอบจริงของ Klipsch RSB-14

รุ่นเริ่มต้นอย่าง R-4B หรือจะรุ่นกลางของซีรี่ส์ R-10B ทางเราก็เคยรีวิวมาแล้ว (อ่านได้ที่ รวมรีวิวซาวด์บาร์ ) มาในครั้งนี้เป็นซาวด์บาร์รุ่นใหม่ใช้รหัสโมเดลว่า “RSB” และไม่ได้ธรรมดาแค่นั้น ยังเป็นรุ่นท็อปสุดในรุ่นโมเดลใหม่อีกด้วย มีชื่อว่า Klipsch RSB-14 ต่อยอดความสำเร็จ และปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น มีอะไรแตกต่างเพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้าบ้าง มาไล่กันทีละอย่างเลยดีกว่า เริ่มต้นที่….. !!

Design – การออกแบบ

Klipsch RSB-14 เป็นซาวด์บาร์ 2.1-Channel มาพร้อมซับวูฟเฟอร์ไร้สาย รูปลักษณ์ภายนอกของตัวซาวด์บาร์ แทบจะไม่แตกต่างจากโมเดลก่อนหน้าเท่าไรนัก ดีไซน์ทรงสี่เหลี่ยม มีความยาวขนาด 44 นิ้ว ความลึกและความสูงเท่ากันที่ 3.25 นิ้ว น้ำหนักเบาเพียง 4.54 กก. ตัวเครื่องมีสีดำล้วน ด้านหน้าเป็นตะแกรงอะลูมิเนียมแข็งแรง ตรงกลางด้วยเพลทโลโก้สีทองแดง ใต้โลโก้จะมีแถบปุ่มคำสั่งและจอแสดงสถานะการใช้งาน

รูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ เห็นก็รู้ทันทีว่า Klipsch แน่นอน

เห็นบางๆ แบบนี้ ภายในอัดไปด้วยดอกลำโพงถึง 6 ดอก ประกอบด้วยคู่ทวีตเตอร์ขนาด 0.75 นิ้ว แบบ Tractrix Horn อันเป็นจุดเด่นของ Klipsch และวูฟเฟอร์ขนาด 2.75 นิ้ว ขนาบอยู่ข้างละ 2 ดอก หากเทียบกับรุ่นก่อนหน้าแล้ว RSB-14 ดอกลำโพงวูฟเฟอร์จะมีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย กำลังขับสูงสุดอยูที่ 200W โดยรุ่นนี้สามารถตอบสนองย่านความถี่ตั้งแต่ 28Hz – 20KHz

ด้านหลังมีรูสำหรับแขวนผนังให้ด้วย

แถบด้านหน้าประกอบไปด้วยจอแสดงสถานะและชุดปุ่มคำสั่ง จอ LED แสดงสถานะนั้น มีขนาดที่เล็กมาก คอยแสดงสัญลักษณ์ต่างว่าขณะนี้ใช้งานช่องต่อแบบไหนอยู่ เช่น BluetoothAnalog หรือ HDMI ช่อง 1 เป็นต้น รวมถึงบอกสถานะการใช้โหมดเสียงด้วย ด้านล่างเป็นชุดปุ่มคำสั่งต่างๆ ปุ่มแรกมีไว้สำหรับปิดเสียง, ปุ่มเปิดการเชื่อมต่อด้วย Bluetooth, ปุ่มสำหรับช่องเชื่อมต่อ, ปุ่มลดเสียง และปุ่มเพิ่มความดังเสียง

จอแสดงผลเป็นแถบจอขนาดเล็กเหนือปุ่มต่างๆ

ส่วนช่องต่อต่างๆจะอยู่ทางด้านหลัง ซึ่งข้อแตกต่างอย่างยิ่งยวดจากรุ่นก่อนหน้าอยู่ตรงนี้แหละ นั่นคือช่องต่อ HDMI ที่หลายคนบ่นเสียดายมามากมายว่าทำไมไม่มีช่องต่อ HDMI ว่าแล้วก็เหมือนประชด ใส่ช่อง HDMI มาให้ถึง 4 ช่องเลยทีเดียว แบ่งเป็นอินพุต 3 ช่อง และเอ๊าท์พุต 1 ช่อง ทั้งหมดเป็นเวอร์ชั่น 2.0 /HDCP 2.2 รองรับ 4K Passtrough ด้วย ช่องต่ออื่นๆ ก็จะมีช่องเสียบสาย AUX, ช่อง USB (สำหรับอัพเดทเฟิร์มแวร์), ช่องต่อ Optical, ช่องเสียบสายไฟ และช่องต่อ Ethernet ซึ่งปุ่มเปิดการเชื่อมสัญญาณ Wi-Fi ก็อยู่ตรงจุดนี้เช่นกัน รองรับคลื่นสัญญาณ 2.4 GHz

ช่องต่อจัดเต็มแบบเวอร์วังอลังการมาก!

เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงจากซาวด์บาร์โมเดลที่แล้วเลย กับรีโมทที่มีขนาดยาวกว่าเดิม แต่ปุ่มคำสั่งไม่ได้มีอะไรเพิ่มขึ้นเท่าไรนัก เพียงจำแนกออกมาให้ง่ายขึ้น ปุ่มคำสั่งหลักๆ จะมีปุ่มปิด/เปิดเครื่อง, ปุ่มสลับช่องเชื่อมต่อ, ปุ่มคำสั่งเล่นเพลง, ปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียงซับวูฟเฟอร์, ปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียงซาวด์บาร์, ปุ่มปิดเสียง และปุ่มสุดท้ายคือโหมดเสียงทั้ง 3 โหมด Dialog, Surround และ Night

ขนาดยาวใกล้เคียงกับรีโมททีวีทั่วไป

มาดูซับวูฟเฟอร์ไร้สายกันบ้าง ตัวตู้เป็นดีไซน์แบบเปิด ใช้วัสดุเป็น MDF ออกแบบให้ดอกลำโพงไฟเบอร์ขนาด 8 นิ้ว ยิงเสียงออกจากด้านข้างของตัวตู้ สัดส่วนซับวูฟเฟอร์มีหน้ากว้างเพียง 7 นิ้ว ด้านข้างมีความกว้าง 16 นิ้ว และความสูง 13.125 นิ้ว มีท่อคายเสียงอยู่ทางด้านหลัง ช่องต่อมีเพียงแค่ช่องต่อสายไฟก็อยู่ทางด้านหลังเท่านั้น ไม่รองรับการเชื่อมต่ออื่นๆ นอกจากนี้จะมีไฟ LED เล็กๆ คอยแสดงสถานนะการเชื่อมต่อด้วย

ขุมพลังสำคัญของชุดนี้ ดุดันตั้งแต่ดีไซน์ยันเสียง

Features – ลูกเล่น

ฟีเจอร์ลูกเล่นที่น่าสนใจของ RSB-14 นั้นคือสิ่งที่เพิ่มเติมมาจากซาวด์บาร์รุ่นก่อนหน้า 2 สิ่งใหญ่ๆ ได้แก่ การเชื่อมต่อผ่านสัญญาณ Wi-Fi และช่องต่อที่ให้มาอย่างครบครันจัดเต็ม มีทั้งช่องต่อ Ethernet และช่องอินพุต HDMI ถึง 3 ช่อง ซึ่งล้วนเป็น HDMI 2.0 /HDCP 2.2 ทั้งหมด รองรับสัญญาณภาพ 4K HDR เพื่อส่งผ่านไปยังทีวีได้

ภาพที่ผ่านซาวด์บาร์ยังสวยสดคมชัด ไม่ต่างจากต่อโดยตรง

ส่วนฟีเจอร์การเชื่อมต่อด้วยสัญญาณ Wi-Fi จะต้องเชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชั่น Klipsch Stream หรือ DTS Play-Fi บนสมาร์ทโฟน สามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง iOS และ Android โดยวิธีการเชื่อมต่อนั้น ให้กดปุ่ม Wi-Fi ที่บริเวณจุดรวมช่องต่อด้านหลังเครื่อง กดค้างไว้ประมาณ 4 วินาที จนไฟ LED บริเวณปุ่มกดกระพริบเป็นจังหวะ ให้นำสมาร์ทโฟนของท่าน เชื่อมต่อไปยังแหล่งสัญญาณที่ชื่อว่า “PlayFiXXXXXXX” เพื่อจับคู่ระหว่างซาวด์บาร์กับสมาร์ทโฟน

หากเชื่อมต่อ Wi-Fi สำเร็จ จะขึ้นสัญลักษณ์ดังภาพ

เมื่อจับคู่เรียบร้อยให้เข้ามาที่แอพฯ ดังกล่าว (แอพฯ Klipsch Stream จะมีหน้าจอการใช้งานแบบเดียวกันกับ DTS Play-Fi) ตัวแอพฯ จะให้เลือกเครือข่าย Wi-Fi ที่ใช้ภายในบ้าน เพื่อให้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานแบบ Multiroom ได้แล้ว สามารถแบ่งกลุ่มใช้งานในเครือข่ายเป็นห้องต่างๆ รวมถึงจับคู่กับลำโพงอื่นๆ เพื่อจำลองระบบเสียงเซอร์ราวด์ก็ทำได้เช่นกัน

ใคร่ใช้งานบริการไหน ก็ฟังกันได้ตามสะดวก

นอกจากนี้ ตัวแอพฯ ยังรองรับการฟังเพลงผ่านบริการสตรีมมิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Tidal, Spotify, Deezer เป็นต้น หรือจะสตรีมมิ่งจากไฟล์เพลงในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ แม้กระทั่งดึงไฟล์เพลงจากแหล่งเก็บข้อมูลบนเครือข่ายก็ทำได้ ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลงความละเอียดสูงได้เป็นอย่างดี เพราะการใช้งานสตรีมมิ่งนี้ สามารถสตรีมมิ่งเพลงความละเอียดสูงสุดที่ 24-Bit/192kHZ เลยทีเดียว