01 Jan 2016
Review

รีวิว Klipsch R-10B สุดยอด SoundBar ที่เหมือนยกโรงหนังมาไว้ที่บ้าน คอหนังฟังแล้วต้องกรี๊ด!


  • lcdtvthailand
10B

หลังจากที่ได้พาแฟนๆ และผู้อ่านไปทำความรู้จักกับแบรนด์ Klipsch ที่ถือว่าขึ้นชื่อในเรื่องของการใช้งานในด้านการรับชมภาพยนตร์ ซึ่งในรีวิวหลายๆ ตัวของ Klipsch ที่ผ่านมานั้นทางทีมงานเองก็ได้พาคุณผู้อ่านและแฟนๆ เว็บไซต์ได้ไปรับชมศักยภาพของมันไม่ว่าจะเป็นชุดลำโพง SoundBase รุ่น SB 120 ที่เป็นลำโพงแบบเอาทีวีมาวางทำบนตัวของลำโพงกันไปแล้ว มาในครั้งนี้กระผมเลยอาสาพาคุณผู้อ่านมาดูกันที่ชุดลำโพง SondBar ที่มาพร้อมกับ Subwoofer แบบแยกอยู่ภายนอกกันบ้าง

หากท่านที่เคยทดลองฟังหรือว่าใช้งานลำโพงจากแบรนด์นี้อยู่จะต้องติดใจคาแรคเตอร์เสียงของมันเวลาที่ใช้รับชมภาพยนตร์กันอย่างแน่นอน

Klipsch SoundBase รุ่น R-10B
ราคา 21,900 บาท

Klipsch R-10B ตัวที่กระผมจะนำมารีวิวให้คุณผู้อ่านได้รับชมในครั้งนี้ถือว่าเป็นน้องเล็กของซีรีย์ R เลยก็ว่าได้ แต่ถ้าพูดถึงคุณภาพละก็ระดับ Klipsch ที่ขึ้นชื่อในด้านของลำโพงที่ใช้รับชมในโรงภาพยนตร์แล้วต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มาดูที่จุดเด่นของเจ้า Klipsch R-10B กันสักเล็กน้อย โดยจุดเด่นของ SondBar ชุดนี้จะมาพร้อมกับลำโพงซับวูฟเฟอร์แบบ Active ที่แยกออกมาอยู่ภายนอกของตัว SondBar ที่เป็นลำโพงหลักอีกทีและที่สำคัญการเชื่อมต่อระหว่าง SondBar และตู้ Subwoofer นั้นจะเชื่อมต่อกันเองอัตโนมัติผ่านทางสัญญาณไร้สายทันทีเมื่อเราทำการเสียบปลั๊กลำโพงทั้งสองชิ้นเรียบร้อย

ส่วนของรูปแบบการรองรับการเชื่อมต่อบนตัว Klipsch R-10B จะรองรับการเชื่อมต่อจากภายนอกผ่านทางพอร์ต Optical Digital, RCA และสัญญาณไร้สายผ่านทาง Bluetooth ทำให้การนำไปใช้งานกับทีวีหรือเครื่องเล่นชนิดอื่นๆ นั้นสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างครบครัน

ในส่วนสเปคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านของเทคนิคนั้นสามารถดูได้ที่ตารางด้านล่างนี้ได้เลย

Klipsch R-10B SPECIFICATIONS
SPEAKER SYSTEM2-way soundbar with 8” wireless subwoofer
PEAK AMPLIFIER OUTPUT250 Watts peak system power
FREQUENCY RESPONSE27Hz-20kHz
TWEETERTwo .75” (19mm) textile dome tweeters mated to dual 90° x 90° Tractrix® Horns
MIDRANGETwo 3” (76mm) polypropylene drivers
SUBWOOFEROne 8” (203mm) side-firing fiber composite cone/ported enclosure. MDF cabinet
INPUTS1 Optical digital, 1 Stereo RCA, Bluetooth® with aptX® audio coding technology
SOUNDBAR DIMENSIONS40” (1015.8mm)W x 2.8” (71mm)D x 4.1” (105.1mm)H
SUBWOOFER DIMENSIONS8.3″ (210mm)W x 16″ (406.4mm)D x 13.2″ (336.4mm)H
WEIGHTSoundbar: 7 lbs. (3.2 kg)
Subwoofer: 25.1 lbs. (11.4 kg)
FINISHSoundbar: Satin black
Subwoofer: Brushed Black Vinyl
Grille: Perforated Metal
MOUNTING OPTIONSTwo built-in keyhole mounts for wall mounting, also includes removable rubber feet for tabletop positioning
INCLUDED ACCESSORIESOne 1.5m optical cable, one pair of rubber feet, one wall mounting template, one remote control, power supply
MAX LOAD WEIGHTPackaged product 42.1 lbs (19.1kg)

Design – การออกแบบ

หลังจากที่ได้พาคุณผู้อ่านได้ไปไล่ดูในส่วนของข้อมูลทางเทคนิคและจุดเด่นแบบคร่าวๆ กันไปแล้วทีนี้ก็มาดูที่ส่วนของดีไซน์กันบ้าง โดยตัวของเจ้า Klipsch R-10B ไม่ว่าจะเป็นบอดี้ของ SoundBar และ Subwoofer นั้นจะมาในคอนเซ็ปต์สีดำเข้มทั้งหมดทำให้ดูแล้วมีความกลมกลืนกันทั้งชุด นอกจากนี้ตัวของ SoundBar เองยังคงมีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างเช่น ปุ่มควบคุมฟังก์ชันต่างๆ มาให้ทางด้านหน้าอีกด้วย เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปดูของจริงกันเลยดีกว่า

เมื่อแกะกล่องออกมาจะพบกับอุปกรณ์เสริมและคู่มือการใช้งานถูกแพ็คมาเป็นอย่าดี
สำหรับกล่องที่ใส่อุปกรณ์หลักนั้นจะเป็นกล่องสีน้ำตาลและที่ด้านบนจะมีตัวหนังสืออธิบายไว้ว่าใส่อุปกรณ์อะไรมาให้เราได้ใช้งานกันบ้าง

เมื่อแกะเจ้ากล่องสีน้ำตาลออกมาจะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
1. สายไฟ AC จำนวน 2 เส้น
2. อะแดปเตอร์แปลงไฟ จำนวน 1 ชุด
3. สายสัญญาณ Optic Digital จำนวน 1 เส้น
4. ขายางสำหรับรอง SoundBar (Rubber Feet) จำนวน 1 คู่
5. รีโมทคอนโทรล จำนวน 1 ชิ้น

หน้าตาของคู่หูภายในชุด Klipsch R-10B จะแบ่งเป็นตัวของ SoundBar และ Subwoofer แบบไร้สาย
รีโมทคอนโทรลนั้นยังคงหน้าตาจิ้มลิ้มๆ เหมือนเดิม ซึ่งคงจะเป็นเอกลักษณ์ของอุปกรณ์จำพวกนี้ไปซะแล้วที่มันจะมาในรูปทรงที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด
ขยับๆ มาที่หน้าตาของ SoundBar กันบ้าง อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าหน้าตาโดยรวมของ Klipsch R-10B จะมาในโทนสีดำกึ่งดำด้าน
ถ้าหากซูมเข้ามาที่บริเวณด้านหน้าส่วนกลางของ SoundBar นั้นจะเป็นที่อยู่ของปุ่มควบคุมการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของ Klipsch R-10B โดยที่บริเวณด้านบนนั้นจะมีโลโก้ “Klipsch” เงาวับแปะอยู่ที่บริเวณด้านบนอีกด้วย

สำหรับปุ่มควบคุมนั้นจะเหมือนกับปุ่มต่างๆ ที่อยู่บนตัวรีโมทคอนโทรลแทบทั้งสิ้น
1. ไฟแสดงสถานะการเปิดใช้งานโหมดเสียง 3-D SURROUND
2. ปุ่มเลือกการเชื่อมต่อ Input จากภายนอก ได้แก่ เชื่อมต่อไร้สายผ่านสัญญาณบลูทูธ (BLUETOOTH), เชื่อมต่อผ่านทางพอร์ต RCA และเชื่อมต่อแบบดิจิตอลผ่านทางพอร์ต Optical Digital
3. ปุ่มสำหรับปิดเสียง (Mute)
4. ปุ่มสำหรับปรับลดระดับความดังของเสียง
5. ปุ่มสำหรับปรับเพิ่มระดับความดังของเสียง
6. ไฟแสดงสถานะว่ากำลังทำงานอยู่ในโหมดการเชื่อมต่อ Input แบบใด

นอกจากนี้ถ้าหากท่านแกะกล่อง SoundBar ออกมาครั้งแรกจะพบเข้ากับสติกเกอร์แสดงรายละเอียดว่าเจ้า KlipschR-10B นั้นรองรับรูปแบบการใช้งานหรือเทคโนโลยีแบบใดบ้าง ซึ่งก็จะบรรยายถึงคุณลักษณะเด่นของตัวมันเอาไว้นั่นเอง

ในด้านของการใช้งานนั้นเจ้า Klipsch R-10B จะรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์พกพาจำพวกแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS ผ่านทางสัญญาณบลูทูธบนเทคโนโลยี aptX® ที่จะทำให้ได้ความละเอียดในการรับฟังเทียบเท่ากับการรับฟังจากแผ่นซีดีเพลง นอกจากนี้ภายในชุดจะมาพร้อมกับลำโพง Subwoofer ไร้สายแบบ Active ที่รองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่านทางคลื่นความถี่ 2.4 GHz ทำให้การสตรีมมิ่งสัญญาณเสียงจาก SoundBar ไปยัง Subwoofer นั่นมีคุณภาพสูง

ถัดมาที่รายละเอียดของตัวไดร์เวอร์ที่ถูกติดตั้งมาบน SoundBar กันสักเล็กน้อย โดยทาง Klipsch ได้เลือกติดตั้งไดร์เวอร์ทวีตเตอร์โดมที่ทักทอจากผ้าและมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual 90° x 90° Tractrix® Horns ขนาด 0.75 นิ้ว และส่วนของไดร์เวอร์ที่จะมาช่วยในเรื่องของเสียงกลางที่ค่อนไปทางเสียงต่ำนั้นจะเป็นไดร์เวอร์แบบมิจเรนจ์ขนาด 3 นิ้ว (ขึ้นรูปจากโพลีโพรไพลีน) ทั้งนี้ตัวของ SoundBar นั้นจะเป็นแบบ 2-Way ที่ประกอบด้วยไดร์เวอร์ทั้ง 2 ชนิดดังที่ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้

ทั้งนี้ถ้าหากเรานำไปใช้งานด้วยการติดตั้งลงบนชั้นวางทีวีทาง Klipsch ก็ได้แถมแผ่นยางรอง (Rubber Feet) มาไว้ให้เราได้ติดเข้าไปที่ตัวของ SoundBar อีกด้วย “ถ้าหากใครสะดวกแขวนกับผนังก็จะไป”
ถัดมาที่หน้าตาของตู้ Subwoofer กันบ้าง สำหรับหน้าตาของมันนั้นไม่มีอะไรมากมีรูปทรงเหมือนกับทั่วๆ ไป แต่ที่ด้านบนจะมีการสกรีนโลโก้ของ Klipsch เอาไว้
มาถึงคิวของตู้ Subwoofer ที่มีขนาดกำลังพอเหมาะพอเจาะกันบ้าง โดยจะมาพร้อมกับได้เวอร์วูบเฟอร์ขนาด 8 นิ้วที่หันหน้าไดร์เวอร์ออกทางด้านข้าง ผนวกเข้ากับแผ่นตะแกรงอะลูมิเนียมขนาดใหญ่ที่คอยปกป้องไดร์เวอร์อยู่นั่นเอง
สำหรับท่อเบสจะมีความแปลกกว่าตู้ Subwoofer ทั่วๆ ไปตรงที่มีลักษณะของท่อเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า นอกจากนี้แล้วตัวของตู้ทั้งหมดจะทำมาจากวัสดุที่เป็นไม้แบบ MDF
ขอทิ้งท้ายที่ดีไซน์ด้านหลังตัวตู้ Subwoofer กันอีกสักภาพ ซึ่งที่ด้านหลังนั้นจะมีแผ่นหลักขนาดใหญ่ยึดปิดภาคขยายภายในเอาไว้อยู่อีกด้วย