04 Jun 2018
Review

รีวิวลำโพงตั้งพื้น Klipsch R-28PF คงความดุดัน แต่เพิ่มความนุ่มนวล ช่องต่อหลากหลาย ให้การฟังระดับ Hi-Res


  • lcdtvthailand

Powered Floorstanding Speakers

Klipsch R-28PF

ราคา 59,900 บาท ราคาโปรโมชั่น 54,900 บาท

ลำโพงหลายแบรนด์ในปัจจุบัน ไม่ได้พัฒนาแค่ด้านเสียงเพียงอย่างเดียว ต่างก็พัฒนาเทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อสำหรับการฟังด้วย ซึ่ง Klipsch เองก็เป็นอีกแบรนด์ที่ไม่หยุดพัฒนาทั้งด้านเสียงและเทคโนโลยี ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ล่าสุดนี้ได้ปล่อยชุดลำโพงตั้งพื้นไซส์ยักษ์รุ่นใหม่ออกมาชื่อรุ่นว่า R-28PF

หากสังเกตที่ชื่อรุ่น Klipsch R-28PF จะพบว่ามีรหัส R ติดมาด้วย อันมาจาก Reference ซีรีส์ชุดลำโพงที่ให้เสียงระดับอ้างอิง ผลพวงจากดอกลำโพงที่ทุกท่านย่อมคุ้นตาเป็นอย่างดี ได้แก่ ดอกลำโพงวูฟเฟอร์กราไฟต์สีทองแดง กับดอกทวีตเตอร์อะลูมินัมไดอะแฟรม ครอบด้วย Tractix Horn สองสิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ Reference

ส่วนรหัส PF ตามหลังก็ย่อมาจาก Powered Floorstanding มาถึงจุดนี้บางท่านอาจจะฉุกคิดแล้วว่า มีคำว่า Powered พ่วงมาแบบนี้ ต้องเป็นลำโพงแอคทีฟแน่ๆ ใช่แล้วครับ… นี่คือลำโพงตั้งพื้นแบบแอคทีฟ บิวท์อินแอมป์มาในตัว โดยมีคอนเซ็ปต์ประจำรุ่นว่า “No Receiver Needed” ที่แปลว่าไม่ต้องใช้รีซีฟเวอร์ นับว่าน่าสนใจและแปลกใหม่พอตัว สำหรับลำโพงตั้งพื้นไซส์ใหญ่ขนาดนี้ ซึ่งเจ้า Klipsch R-28PFจะทำอะไรได้บ้าง และแนวเสียงเป็นอย่างไร เชิญรับชมรีวิวกันเลย…

Design – การออกแบบ

ก่อนชมฟีเจอร์ เรามาดูที่รูปลักษณ์กันก่อน ลำโพงตั้งพื้นคู่นี้หลายท่านอาจรู้สึกคุ้นชื่อ คุ้นตาเป็นพิเศษ เพราะ R-28PF นั้นเป็นรุ่นต่อยอดมาจาก R-28F ลำโพงตั้งพื้นรุ่นสูงสุดจากซีรีส์ Reference หน้าตาถอดแบบกันมา ชนิดที่ว่ามองเผินๆ รับรองว่าแยกกันไม่ออก ตัวตู้เป็น MDF ผิวลายไม้สีดำสนิท มีความสูง 42 นิ้ว หน้ากว้าง 9.5 นิ้ว และความลึก 15.7 นิ้ว ซึ่งลำโพงฝั่งขวาจะมีหน้าที่เป็นภาครับสัญญาณ จากการใส่แอมป์มาแล้วในตัวนั่นเอง แล้วส่งต่อสัญญาณเสียงไปยังลำโพงฝั่งซ้าย น้ำหนักของลำโพงอยู่ที่ประมาณ 25 กก.

ถอดแบบจากรุ่น R-28F เป๊ะ มีจุดต่างอยู่ที่จอแสดงผลบนลำโพงฝั่งขวา

ช่องต่อรับสัญญาณต่างๆ อยู่ที่ด้านหลังของลำโพงฝั่งขวา ด้านบนจะมีช่องต่อเซอร์วิสและปุ่มบิดสำหรับเพิม/ลดระดับเสียง ถัดมาด้านล่างมีช่องต่อประกอบไปด้วย ช่องต่ออะนาล็อก Phono/LineAUX 3.5 มม., USB Type BOptical และช่องต่อเอ๊าท์พุต RCA สำหรับใครที่ต้องการเพิ่มซับวูฟเฟอร์ อัพเกรดระบบเป็น 2.1-Ch และยังรองรับการเชื่อมต่อสายกราวด์ ไว้ลดสัญญาณจี่จากการต่อ Phono กับเครื่องเล่นแผ่นไวนิล ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายก็รองรับสัญญาณ Bluetooth aptX ที่รองรับความละเอียดสูงสุดถึง 16bit/44.1kHz เทียบเท่ากับการฟังผ่านแผ่น CD

จับคู่ลำโพงซ้าย-ขวาได้เรียบง่าย เพียงสายเส้นเดียวเท่านั้น

ภาคการจ่ายไฟนั้น มีสวิตช์สำหรับสลับแรงดันไฟได้ 2 ระบบ คือ 100V-120V กับ 220V-240V เพื่อความเหมาะสมต่อไฟภายในบ้าน ช่องต่อสายไฟก็เป็นแบบ IEC สามารถการอัพเกรดไปใช้สายไฟคุณภาพสูงขึ้นได้ และใกล้ๆ กันเป็นช่องเชื่อมต่อของลำโพงคู่นี้ ด้วยสายลำโพงแบบ 4 ขั้ว ที่ให้มาในชุด มีความยาวถึง 5 เมตร สะดวกต่อการติดตั้งในห้องขนาดใหญ่

มาดูด้านหน้ากันบ้าง แน่นอนว่าการถอดแบบจากรุ่น R-28F เช่นนี้ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ต้องเป็นดอกลำโพงกราไฟต์สีทองแดงและทวีตเตอร์ที่ครอบด้วย Tractix Horn ซึ่ง R-28PF ก็ใช้ขนาดเดียวกันเลย คอยทำหน้าที่ให้เสียงระดับอ้างอิงสมชื่อซีรีส์ ใช้ดอกวูฟเฟอร์กราไฟต์มีขนาด 8 นิ้ว จำนวน 2 ดอก และดอกทวีตเตอร์ไดอะแฟรมจากอะลูมินัม ขนาด 1 นิ้ว ครอบด้วย Tractix Horn ที่ช่วยในเรื่องการกระจายย่านเสียงแหลม ตามสเปคแล้ว ลำโพงคู่นี้สามารถตอบสนองย่านเสียงได้ตั้งแต่ 33Hz – 20kHz

ดอกทวีตเตอร์ครอบด้วย Tractix Horn จุดกำเนิดเสียงจัดจ้าน เอกลักษณ์เสียงที่ไม่เหมือนใครของ Klipsch
ภาคขยาย Bi-Amp แยกขับเฉพาะวูฟเฟอร์ ให้กำลังขับต่อคู่สูงถึง 110W มีพลังมากพอต่อการติดตั้งในห้องขนาดใหญ่

ทางด้านล่างของลำโพงจะมีช่องคายเสียง แบบเดียวกับ R-28F ฐานรองเป็นยาง ให้ความนุ่ม รองรับการสั่นสะเทือนได้เป็นอย่างดี ส่วนจุดที่สร้างความแตกต่างจากรุ่น R-28F คือ ตัวลำโพงฝั่งขวาที่เป็นภาคขยาย ทางด้านหน้าของลำโพงใต้ช่องคายเสียง จะมีจอแสดงผล LED คอยบ่งบอกสถานะการใช้งานตามช่องอินพุตที่เลือกอยู่ แต่ละช่องต่อจะมีสีสันต่างกันไป ให้ความสว่างชัดเจน ง่ายต่อการสังเกต

เมื่อไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง ตัวเครื่องจะทำการปิดแบบอัตโนมัติด้วย
หน้าตาของลำโพงฝั่งซ้ายและขวา ต่างกันนิดเดียวเอง

รีโมทของ R-28PF มีขนาดเล็กกะทัดรัด แยกปุ่มต่างๆ ออกชัดเจน ใช้งานได้ง่ายมากเลยทีเดียว โดยปุ่มคำสั่งนั้นจะได้แก่ ปุ่มปิด/เปิดเครื่อง, ปุ่ม LED สำหรับปิด/เปิดจอแสดงผล, ปุ่มเพิ่ม/ลด ระดับความดัง, ปุ่มปิดเสียง, ปุ่มเพิ่ม/ลด ระดับเสียงเบสเมื่อเชื่อมต่อซับวูฟเฟอร์, ปุ่มรีเซ็ตระดับเสียงซับวูฟเฟอร์, ปุ่มเล่น/หยุดเพลงเมื่อเชื่อมต่อ Bluetooth, ปุ่มเชื่อมต่อ Bluetooth (หากกดแช่ไว้ลำโพงจะทำการหาคู่สัญญาณใหม่) และสุดท้ายอีก 4 ปุ่ม เป็นอินพุตต่างๆ นั่นเอง

รีโมทแยกปุ่มชัดเจน เข้าถึงแต่ละอินพุตได้รวดเร็ว

Features – ลูกเล่น

ลูกเล่นของ Klipsch R-28PF นับว่าโดดเด่นน่าสนใจมาก เข้าสู่ความเป็น Stand-Alone ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะในตัวลำโพงเองได้บิวท์อินภาคขยายรูปแบบ Bi-Amp เอาไว้ กำลังขับรวม 260W แบ่งเป็นทวีตเตอร์ดอกละ 20W และวูฟเฟอร์คู่ละ 110W ไม่จำเป็นต้องมี AV Receiver ก็สามารถรับความบันเทิงได้

เน้นความง่ายในการติดตั้ง พร้อมใช้งานได้ทันที เพียบพร้อมด้วยช่องต่อหลากหลาย

โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบหรือกำลังสนใจเครื่องเล่นแผ่นเสียงไวนิล ตามปกติแล้วเครื่องเล่นไวนิลต้องใช้ Phono เป็นภาคขยายเสียง จึงทำให้ผู้ใช้งานต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในจุดนี้ด้วย แต่ R-28PF มีภาคขยาย Phono Pre-Amp มาให้ภายในเครื่อง สามารถเชื่อมต่อจากเครื่องเล่นไวนิลมาที่ลำโพงได้แบบตรงๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายไปอีกหนึ่งต่อ ส่วนคุณภาพเสียงจะสู้ภาคขยาย Phono แบบแยกชิ้นได้หรือเปล่า รอชมการทดสอบได้ที่หน้าต่อไป

ลูกเล่นอะนาล็อกผ่านไปแล้ว มาดูแบบดิจิตอลกันบ้าง ในรุ่นนี้มีให้ทั้ง USB-B ไว้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และ Optical สำหรับเชื่อมต่อทีวี เครื่องเล่น Blu-ray หรือ AV Receiver ได้ ซึ่งความพิเศษของช่องต่อ USB-B อยู่ตรงที่มี DAC แปลงสัญญาณเสียงดิจิตอลมาเป็นอะนาล็อก รองรับความละเอียดสูงสุด 24-bit/192kHz ตอบโจทย์นักฟังที่นิยมการเล่นไฟล์เสียงระดับ Hi-Res

ไม่ต้องใช้ซิสเต็มอะไรมเยอะ แค่สาย Optical จากเครื่องเล่น Blu-ray มายังชุดลำโพงเท่านั้น

ช่องต่อ Optical ก็สามารถต่อตรงเข้ากับทีวี หรือเครื่องเล่นแผ่น เพิ่มอรรถรสในการรับชมได้อีกเท่าตัว สาย Optical ที่ให้มาในชุด มีความยาว 3 ม. ไม่ยากต่อการเชื่อมเข้ากับซิสเต็ม คล้ายกับการต่อเข้าซาวด์บาร์ทั่วไป ซึ่งชุดนี้มีช่องต่อเอ๊าท์พุตซับวูฟเฟอร์ ไว้ต่อเสริม เพิ่มความกระแทกกระทั้นให้มากขึ้นยามรับชมภาพยนตร์

และฟีเจอร์ทีเด็ดที่ไม่แนะนำไม่ได้เลยคือ Bluetooth aptX เป็นเทคโนโลยีการเข้ารหัสบีบอัดเพื่อส่งข้อมูลคุณภาพสูงผ่านสัญญาณ Bluetooth ทำให้ได้คุณภาพเสียงในความละเอียด 16bit/44.1kHz ระดับเดียวกับ CD แต่อุปกรณ์เล่นเพลงที่ใช้เชื่อมต่อก็ต้องรองรับ Bluetooth aptX เช่นกัน เรียกได้ว่าครบครันแทบจะทุกด้านการฟังเพลง ลูกเล่นเยอะขนาดนี้ แล้วเสียงล่ะ… จะดีแค่ไหน? ลุยกันต่อพร้อมฟังเสียงที่หน้า 2 โดยพลัน!