18 Oct 2018
Review

รีวิวชุดลำโพง Klipsch Reference Premiere 2018 ตอกย้ำตัวตนสไตล์อเมริกัน ไม่ลดความดุดันแต่เพิ่มความนวล


  • lcdtvthailand

High Fidelity Home Audio

Klipsch Reference Premiere 2018

ด้วยความนิยมที่ได้กระแสตอบรับในแง่บวกอย่างล้นหลามจากทั่วโลก ทำให้ Klipsch ซีรีส์ Reference Premiere เป็นชุดลำโพงคุณภาพสูงที่มักเป็นซีรีส์แนะนำ สำหรับใครก็ตามที่ต้องการยกระดับการฟังให้ใกล้เคียงโรงภาพยนตร์ ตามนิยามประจำซีรีส์ คือ “ถ่ายทอดคุณภาพเสียงที่ถูกต้องตรงตามมาตรฐานอ้างอิง” ตรงตามความต้องการที่ผู้กำกับภาพยนตร์มากที่สุด

คลิปรีวิวและทดสอบเสียง
Klipsch Reference Premiere 2018

ซึ่งรีวิวครั้งนี้ก็เป็นชุดลำโพงซีรีส์ Reference Premiere เจเนเรชั่นล่าสุด ประจำปี 2018 ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นก่อนหน้า ปรับปรุงพัฒนา แต่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นดอกลำโพงวูฟเฟอร์สีทองแดง Cerametallic หรือดอกทวีตเตอร์ไทเทเนียมที่ครอบทับด้วย Tractrix® Horn เอกสิทธิ์เฉพาะ Klipsch ที่สามารถขับเสียงย่านแหลมได้แบบถึงพริกถึงขิงไม่เหมือนใคร เป็นต้น

ลำโพงในซีรีส์ Reference Premiere ประจำปี 2018 มีทั้งหมด 16 รุ่นด้วยกัน ได้แก่…

ลำโพงตั้งพื้นบิลต์อินลำโพงยิงฝ้า Dolby Atmos Enabled Speaker : RP-8060FA
ลำโพงตั้งพื้น จำนวน 4 รุ่น RP-8000FRP-6000FRP-5000F และ RP-4000F
ลำโพงวางหิ้ง จำนวน 3 รุ่น RP-600MRP-500M และ RP-400M
ลำโพงเซ็นเตอร์ จำนวน 5 รุ่น RP-504CRP-404CRP-600CRP-500C และ RP-400C
ลำโพงเซอร์ราวด์ 2 ทางแบบ Bi-Pole จำนวน 2 รุ่น RP-502S และ RP-402S
ลำโพงแขวนผนัง RP-500SA

ส่วนชุดลำโพงที่นำมาทดสอบนั้น ประกอบด้วย…

ลำโพงตั้งพื้นรุ่น RP-8000F ราคา 65,900 บาท 
ลำโพงเซ็นเตอร์รุ่น RP-504C ราคา 37,900 บาท 
ลำโพงวางหิ้งรุ่น RP-600M ราคา 29,900 บาท 
ลำโพงเซอร์ราวด์รุ่น RP-502S ราคา 45,900 บาท
ซับวูฟเฟอร์รุ่น SPL-120 ราคา 30,900 บาท

ซึ่งซับวูฟเฟอร์ที่เพิ่มเติมมา ก็เป็นรุ่นใหม่ประจำปีนี้เช่นกัน ใช้ชื่อซีรีส์ว่า SPL Series ทั้งหมดจะมีความแตกต่างจากเดิมอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะพัฒนาการด้านเสียง มาเริ่มทำความรู้จักกันให้มากขึ้นเลย…

Design – การออกแบบ

หากดูรูปลักษณ์ภายนอก เอกลักษณ์ความเป็น Klipsch ทุกอย่างยังคงอยู่ครบถ้วน ปราดสายตาเพียงแว่บเดียว ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือชุดลำโพงจาก Klipsch อย่างแน่นอน ตู้ลำโพงยังคงใช้วัสดุ MDF ผิวไม้สีดำ ตัดด้วยดอกลำโพงสีทองแดง และเพิ่มรายละเอียดบางส่วนให้แตกต่างจาก Reference Premiere รุ่นปีก่อน ตรงที่บริเวณดอกลำโพงจะมีเส้นวงทองแดงล้อมกรอบเอาไว้ในลำโพงทุกรุ่นของปีนี้ ช่วยให้ดูสวยงาม ดูดีมีระดับมากขึ้น

ลำโพงตั้งพื้นรุ่นใหญ่สุดในซีรีส์ RP-8000F มีรูปโฉมที่ดูพรีเมี่ยมมากขึ้นกว่าเจนฯ ก่อนหน้าอย่างรุ่น RP-280F ตัวลำโพงมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย สัดส่วนอยู่ที่ 43.12” x 10.90” x 17.56” (สูง x กว้าง x ลึก) ส่วนฐานได้เปลี่ยนจากที่แบนราบกับพื้น เพิ่มขาตั้งขึ้นมา สร้างความมั่นคงแข็งแรงในการติดตั้ง

เห็นจุดแตกต่างไหมเอ่ย?
ซ้าย : Klipsch RP-8000F
ขวา : Klipsch R-820F

ดอกลำโพงยังคงซิกเนเจอร์ของตัวเองเอาไว้ ดอกทวีตเตอร์ไทเทเนียม LTS ขนาด 1 นิ้ว ได้เพิ่มช่องว่างด้านหลังดอกทวีตเตอร์ เพื่อสลายคลื่นเสียงตกค้าง ครอบทับด้วย Hybrid Tractrix® Horn เอกสิทธิ์เฉพาะ Klipsch ช่วยถ่ายทอดเสียงให้กระจากเปิดกว้าง ซึ่งฮอร์นนี้ใช้วัสดุเป็นซิลิโคน ผิวสัมผัสคล้ายยาง ช่วยในเรื่องของอะคูสติกเสียงที่มาจากทวีตเตอร์

ส่วนดอกวูฟเฟอร์ทองแดง Cerametallic จำนวน 2 ดอก ในรุ่น RP-8000F มีขนาด 8 นิ้ว โครงสร้างภายในนั้นยังคงใช้วัสดุที่เป็นส่วนผสมระหว่างโลหะและเซรามิกที่มีคุณสมบัติแข็งแแกร่งแต่น้ำหนักเบา ด้าน Voice Coil เป็นขดทองแดงพันรอบแกนไทเทเนียม บรรจุบนโครงสร้างเหล็กกล้า เพื่อความทนทานต่อช่วงชักจากแม่เหล็กตัวขับเสียง

หน้าตาโครงสร้างภายในของวูฟเฟอร์

หลังตู้ลำโพงของ RP-8000F มีช่องคายเสียงอยู่ทางด้านล่าง ใช้การออกแบบที่เรียกว่า Tractix port รูปทรงคล้ายกับ Tractix Horn ภายในบุด้วยใยสังเคราะห์ เพิ่มศักยภาพในการระบายมวลอากาศ ลดความผิดเพี้ยนของย่านเสียง ใกล้ๆ กันนั้นเป็นช่องต่อสายลำโพง Binding Post ชุบทองแบบ Bi-Wire รองรับสายลำโพงหัวกล้วย มีบริดจ์เชื่อมช่องต่อมาให้ด้วย สำหรับการใช้สัญญาณแบบ Single-Wire

ถัดมาที่ลำโพงเซ็นเตอร์ไซส์ยักษ์รุ่น RP-504C ขนาดตัวจะพอๆ กับเจนฯ ก่อนหน้า อยู่ที่ 6.81” x 31.13” x 14.46” น้ำหนักประมาณ 15 กก. แนะนำว่าควรใช้ขาตั้งลำโพงเซ็นเตอร์ที่มีความแข็งแรง รองรับต่อขนาดและน้ำหนักของ RP-504C รุ่นนี้ใช้ทวีตเตอร์ไทเทเนียม LTSขนาด 1 นิ้ว ครอบทับด้วย Hybrid Tractrix® Horn ส่วนวูฟเฟอร์ทองแดง Cerametallic มีจำนวน 4 ดอก เป็นขนาด 5.25 นิ้ว ใช้ช่องต่อ Binding Post แบบ Single-Wire

ด้านบนเป็นลำโพงเซ็นเตอร์จากซีรีส์ Reference
ด้านล่างคือลำโพงเซ็นเตอร์ RP-504C พระเอกของงานนี้

ส่วนลำโพงวางหิ้ง RP-600M ขนาดตัวจะกะทัดรัดขึ้นกว่า RP-160M ขนาดตัวอยู่ที่ 15.69” x 7.95” x 11.85” จัดวางติดตั้งสะดวกกว่าเดิม ใช้ดอกลำโพงทวีตเตอร์ไทเทเนียม LTS ขนาด 1 นิ้ว และวูฟเฟอร์ทองแดงขนาด 6.5 นิ้ว อย่างละ 1 ดอก ใช้ช่องต่อสายลำโพง Binding Post แบบ Bi-Wire เช่นเดียวกับลำโพงตั้งพื้น

อีกหนึ่งรุ่นที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ลำโพงเซอร์ราวด์ Bi-Pole รุ่น RP-502S ใช้คู่ทวีตเตอร์ไทเทเนียม LTS ขนาด 1 นิ้ว และคู่วูฟเฟอร์ทองแดง Cerametallic ขนาด 5.25 นิ้ว ตัวตู้มีขนาด 13.85” x 11.88” x 7.49” น้ำหนักประมาณ 7 กก. สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบวางหิ้งหรือแบบแขวน ซึ่งด้านหลังตัวตู้จะมีรูสำหรับแขวนผนังมาให้ด้วย

ลำโพง Bi-Pole ขับเสียงได้ 2 ทาง

สิ่งที่พิเศษของชุดนี้ยังอยู่ที่ RP-500SA ลำโพง Dolby Atmos Enabled Speaker หรือลำโพงแยกชิ้นที่ออกแบบไว้สำหรับใช้งานกับระบบเสียงเซอร์ราวด์ด้านสูง Dolby Atmos ติดตั้งบนตัวลำโพงตั้งพื้น เพื่อยิงเสียงกระทบเพดานตกลงมายังตำแหน่งนั่งฟัง ซึ่งในรุ่นนี้ได้เพิ่มสวิตช์ทางด้านหลังตัวตู้ สลับจุดตัดเสียงสำหรับการติดตั้งแบบยิงขึ้นฝ้า หรือแบบแขวนผนัง

โฉมหน้าของลำโพง Dolby Atmos Enabled ประจำซีรีส์นี้

ปิดท้ายส่วนนี้ด้วยซับวูฟเฟอร์รุ่น SPL-120 ซึ่งอยู่ในซีรีส์ SPL เป็นรุ่นที่สูงกว่าซีรีส์ Reference ขึ้นมาอีกขั้น เป็นซีรีส์ซับวูฟเฟอร์ที่จับคู่กับ Reference Premiere โดยเฉพาะ จุดแตกต่างอยู่ที่รุ่นนี้บิลต์อินแอมป์คลาส D ไว้ในตัว ให้กำลังขับสูงสุดถึง 600W ขณะเดียวกันก็ประหยัดพลังงาน ในสถานะ Stand By ใช้ไฟต่ำกว่า 0.5W ดีไซน์ให้ยิงเสียงแบบ Front-Firing มี Bass Reflex อยู่ทางด้านหน้าเช่นกัน ขับเสียงผ่านดอกลำโพงทองแดง Cerametallic ขนาดใหญ่ถึง 12 นิ้วเลยทีเดียว ซึ่งตัวลำโพงมีขนาด 17.75” x 14.7” x 19.9” มีน้ำหนักประมาณ 20 กก.

ปุ่มควบคุมทางด้านหลังมีให้ครบครัน ได้แก่ ปุ่มเปิด/เปิด, ปุ่มสลับเฟส 0-180°, ปุ่มปรับจุดตัดเสียง และปุ่มเพิ่ม/ลดระดับ Gain ส่วนช่องต่อ RCA มีมาให้ 2 ช่อง สำหรับใช้งานแบบ 2-Ch และมี 1 ช่องที่รองรับ LFE นอกจากนี้ยังมีช่องต่อสำหรับใช้งานกับอุปกรณ์รับสัญญาณ Klipsch-WA2 ให้ผู้ที่ต้องใช้งานแบบไร้สายได้อัพเกรด