26 Sep 2019
Review

รีวิว Samsung HW-Q90R ซาวด์บาร์ที่มาเต็มระบบ Dolby Atmos 7.1.4-Ch อย่างแท้จริง ชุดเดียวจบได้ไม่แพ้ลำโพงแยกชิ้น


  • lcdtvthailand

หลังจากที่ Samsung ได้เข้าซื้อกิจการของ Harman แบรนด์เครื่องเสียงยักษ์ใหญ่ระดับโลก เราก็ได้เห็นพัฒนาการด้านเครื่องเสียง โดยเฉพาะฝั่ง Home Entertainment ที่ใช้แบรนด์เป็น Samsung มีคุณภาพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับคำชมมากมายในเวลาอันสั้น ไต่เต้าขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่หลายคนต่างพากันแนะนำแบบปากต่อปากในเรื่องของความคุ้มค่า

และครั้งนี้เป็นคิวการทดสอบของหนึ่งในนอมินีที่ได้เข้าชิงรางวัลสุดยอดซาวด์บาร์จาก LCDTVTHAILAND ประจำปีนี้ นั่นคือ Samsung Soundbar HW-Q90R ซาวด์บาร์ตัวท็อปที่ทาง Samsung ส่งมาประชัน ได้รับการออกแบบโดย Harman/Kardon แค่เห็นสเปคและฟีเจอร์คร่าวๆ ของรุ่นนี้ก็จัดว่าน่าสนใจแล้ว เพราะมาในรูปแบบ Dolby Atmos 7.1.4-Ch แถมด้วยราคาเปิดตัวที่ชวนให้ตาวาว จากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ถ้าหากจะได้ซาวด์บาร์ที่เต็มระบบขนาดนี้ ต้องมีงบในการซื้อประมาณครึ่งแสนเลยทีเดียว ชื่อเสียงลือนามมาขนาดนี้ ทางทีมงานก็อดไม่ได้ที่จะคว้ามาทดสอบ จะมากความสามารถแค่ไหน ไปดูรายละเอียดในแต่ละส่วนกัน

โฉมหน้าของลำโพงทั้งหมดในชุดนี้

สเปคคร่าวๆ ของ Samsung HW-Q90R
– เป็นซาวด์บาร์ที่มีลำโพงเซอร์ราวด์และซับวูฟเฟอร์ไร้สาย พร้อมบิลต์อิน Dolby Atmos Enabled Speaker
– รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS:X ในรูปแบบ 7.1.4-Ch
– สามารถส่งผ่านสัญญาณภาพ 4K HDR10+
– สามารถจำลองเสียงเซอร์ราวด์
– กำลังขับรวม 510W
– รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และ WiFi
– ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 33,990 บาท

คลิปเสียงทดสอบ Samsung HW-Q90R
คลิกอ่านประกาศรางวัลที่ภาพด้านบนได้เลย

Design – การออกแบบ

ภายในชุดของ Samsung HW-Q90R ประกอบด้วยลำโพงซาวด์บาร์, ลำโพงเซอร์ราวด์ 1 คู่ และซับวูฟเฟอร์ไร้สาย กำลังขับรวมทั้งชุดอยู่ที่ 510W ให้เสียงในระบบ 7.1.4-Ch รองรับระบบเสียง LPCM 8ch, Dolby Digital, Dolby Atmos (ทั้ง True HD กับ Digital Plus) และ DTS:X ตอบสนองย่านเสียงตั้งแต่ 34Hz – 17kHz ตัวเครื่องซาวด์บาร์มีขนาด 1226 x 83 x 136 มม. น้ำหนักอยู่ที่ 8.8 กก. ถือว่ามีขนาดตัวที่ค่อนข้างสูงใหญ่เลย แต่ถ้าใช้ร่วมกับทีวี Samsung QLED TV Q90R ก็จะเข้ากันได้อย่างพอดี ไม่บังจอหรือเซ็นเซอร์รับสัญญาณรีโมททีวี

ลำโพงซาวด์บาร์มีขนาดที่ยาวและใหญ่กว่าทั่วไป แนะนำให้วัดขนาดพื้นที่ติดตั้งมาก่อน

รูปลักษณ์ของเครื่องนี้เป็นทรงสี่เหลี่ยม กรอบลำโพงเป็นอะลูมิเนียม เฉพาะตัวเครื่องซาวด์บาร์มีดอกลำโพงรวมกันมากถึง 13 ดอก (แต่ทั้งระบบรวมแล้วมากถึง 17 ดอก เลยทีเดียว!) แบ่งเป็น 18W จำนวน 10 ดอก กับ 10W จำนวน 3 ดอก เนื่องด้วยการบิลต์อินดอกลำโพงแบบ Up Firing และ Side Firing สำหรับขับเสียงออกมากระทบเพดานกับกำแพง ตกมายังตำแหน่งนั่งฟัง เปรียบเหมือนย่อลำโพงคู่หน้า ลำโพงเซ็นเตอร์ และลำโพงท็อปเซอร์ราวด์ด้านหน้า เอาไว้ในแท่งลำโพงซาวด์บาร์เพียงแท่งเดียวเท่านั้น

ยืนยันว่าออกแบบโดย Harman Kardon หากสังเกตดีๆ จะเห็นดอกลำโพงที่ทำหน้ายิงขึ้นเพดาน
สำหรับสร้างเซอร์ราวด์ด้านสูง ตกกระทบมายังตำแหน่งนั่งฟังด้วย
ด้านข้างของลำโพงซาวด์บาร์จะมีดอกลำโพงสำหรับยิงเสียงสะท้อนมายังตำแหน่งนั่งฟัง

ช่องต่อเครื่องของซาวด์บาร์รุ่นนี้จะอยู่ใต้ตัวเครื่อง มีมาให้ค่อนข้างครบครันต่อการใช้ ประกอบด้วย HDMI In 2 ช่อง, HDMI Out (รองรับ eARC ด้วย) 1 ช่อง และ Optical ส่วนการเชื่อมต่อแบบไร้สายก็ได้ทั้ง Bluetooth และ WiFi ซึ่งการใช้งานแบบ WiFi นี้ ช่วยให้ใช้งานร่วมกับแอพฯ SmartThings, Spotify Connect รวมถึง Voice Assistant อย่าง Amazon Alexa

ช่องต่อต่างๆ จะอยู่ใต้ฐานของซาวด์บาร์

ถัดมาที่คู่ลำโพงเซอร์ราวด์ไร้สาย ออกแบบให้เป็นทรงสี่เหลี่ยมเข้าชุดกับซาวด์บาร์ มีขนาดอยู่ที่ 120 x 210 x 141 มม. น้ำหนักตัว 2.1 กก. แต่ละข้างจะมีดอกลำโพงอยู่ 2 ดอก บิลต์อิน Dolby Atmos Enabled Speaker มาในตัว เพื่อยิงเสียงขึ้นเพดาน สะท้อนเสียงตกลงมายังตำแหน่งนั่งฟัง สร้างเซอร์ราวด์ด้านสูง Dolby Atmos จริง ไม่ใช่แค่การจำลอง ให้กำลังขับดอกละ 35W ดอกลำโพงครอบทับด้วยหน้ากากอะลูมิเนียมสีดำ ให้ความแข็งแรงสูง

ลำโพงเซอร์ราวด์ดีไซน์เรียบง่าย เข้ากับทุกการตกแต่งห้อง
ดอกลำโพง Dolby Atmos Enabled Speaker ด้านบนลำโพงเซอร์ราวด์

ด้านหลังของลำโพงเซอร์ราวด์จะมีไฟแสดงสถานะเชื่อมต่อและปุ่มรีเซ็ต หากเชื่อมต่อกับซาวด์บาร์ ไฟสถานะจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีน้ำเงิน เพียงแค่เสียบปลั๊กลำโพงเซอร์ราวด์ก็จะเชื่อมต่อทันที ไม่ต้องกดปุ่มใดๆ แม้จะเป็นลำโพงไร้สาย แต่ก็ยังคงต้องใช้สายไฟอยู่ โดยสายไฟของรุ่นนี้มีความยาว 1 ม. แนะนำให้ตรวจสอบความยาวของสายและตำแหน่งของปลั๊กให้ดี

และสุดท้ายคือซับวูฟเฟอร์ไร้สาย เป็นแบบ Side Firing อันมีจุดเด่นในเรื่องความบางของตัวซับวูฟเฟอร์ ขนาดอยู่ที่ 205 x 403 x 403 มม. น้ำหนัก 9.8 กก. กำลังขับ 160W ใช้ดอกลำโพงขนาด 8 นิ้ว มีช่องคายเสียงอยู่ทางด้านหลัง ด้วยดีไซน์ที่มีความบาง ทำให้ง่ายต่อการติดตั้ง เข้ากันได้กับห้องขนาดเล็ก

ดอกลำโพงจะอยู่ทางด้านข้าง
ข้างหลังมีช่องคายเสียงอยู่ทางด้านบน

รีโมทที่ให้มาในรุ่นนี้จะใช้ดีไซน์แบบ One Remote ของทีวี เหมือนจนผู้ใช้งานทีวี Samsung อาจจะต้องหยิบผิดบ้าง ปุ่มบนรีโมท ได้แก่ ปุ่มปิด/เปิดเครื่อง, ปุ่มสลับอินพุต, ปุ่มเปิดการใช้งาน Bluetooth, ปุ่มเล่น/หยุด, ปุ่มปิดเสียง, ปุ่มปรับโหมดเสียง, ปุ่มตั้งค่า, ปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง และปุ่มเพิ่ม/ลดความดังซับวูฟเฟอร์

รีโมทเป็นแบบ One Remote บางคำสั่งสามารถใช้ร่วมกับทีวีได้

Extra – เพิ่มเติม

สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงเลยการรองรับ HDMI eARC ไฮไลต์เด่นที่ทำให้ซาวด์บาร์รุ่นนี้สามารถรับสัญญาณเสียง Dolby Atmos ในรูปแบบ Dolby TrueHD ซึ่งการใช้งานผ่าน HDMI eARC นี้ ทีวีที่เชื่อมต่อก็ต้องรองรับด้วยเช่นกัน จากบริการสตรีมมิ่งต่างๆ อย่างเช่น Netflix หรือ Apple TV เป็นต้น ด้วยวิธีบิตสตรีม ส่งผ่านสัญญาณจากทีวีมาสู่ซาวด์บาร์โดยตรง ให้ซาวด์บาร์รับหน้าที่ถอดรหัสสัญญาณเสียงต่อ เป็นฟีเจอร์ที่ในอนาคตอันใกล้นี้จำเป็นต้องมีติดไว้เลย

ถ้ามีตัวเลือกระบบเสียงแบบนี้ก็เตรียมรับความบันเทิงกันได้เลย

นอกเหนือจากความจัดเต็มด้านระบบเสียง ลูกเล่นที่เพิ่มเติมเข้ามานั้นก็มากมายเลยทีเดียว โดยซาวด์บาร์รุ่นนี้สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่าน Bluetooth และเครือข่าย WiFi ภายในบ้าน ซึ่งวิธีการก็ไม่ยาก ก่อนอื่นต้องทำการโหลดแอพ SmartThings ลงบนสมาร์ทโฟนของผู้ใช้งาน ได้ทั้งระบบ Android และ iOS จากนั้นเลือกอินพุตของซาวด์บาร์ไปที่ WiFi แล้วเข้าไปที่แอพ SmartThings เลือกเมนู “เพิ่มอุปกรณ์ Soundbar” เมื่อพบชื่อของ Samsung HW-Q90R ให้ทำการกดเพิ่มไปได้เลย เท่านี้เป็นอันเรียบร้อย

เมื่อซาวด์บาร์เชื่อมต่อ WiFi ได้เลย ศักยภาพในการใช้งานก็จะเพิ่มไปอีกระดับ เช่นการใช้งานผ่านคำสั่งเสียงร่วมกับ Amazon Alexa สามารถสั่งการด้วยคำพูด โดยไม่ต้องพึ่งรีโมท ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม/ลดความดังเสียง หรือควบคุมการเล่นเพลง ทั้งนี้ผู้ใช้งานต้องทำการดาวน์โหลดแอพ Amazon Alexa ลงบนสมาร์ทโฟน เพื่อทำการเปิดใช้งาน Amazon Alexa กับซาวด์บาร์รุ่นนี้

ผลพวงจากการร่วมออกแบบกับ Harman Kardon สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลง ทาง Samsung ได้ใส่ฟีเจอร์ UHQ 32bit Up-Scaling โดยฟีเจอร์นี้จะเป็นการอัพสเกลเสียงให้มีมิติเสียงที่ลึกมากยิ่งขึ้น เพิ่มไดนามิกและเวทีเสียงของการฟัง ซึ่งจะทำการอัพสเกลให้แบบอัตโนมัติในทุกๆ ช่องทางการเชื่อมต่อ หากจินตนาการไม่ออก ลองนึกภาพของทีวี 4K ที่อัพสเกลหนัง Full HD ให้มีความคมชัดกว่าเดิม เป็นอีกลูกเล่นที่เพิ่มความสุนทรีย์ให้แก่การฟังเพลง

ทุกๆ การฟังจะถูกอัพสเกลเสียงให้มีความไพเราะมากขึ้น

โหมดเสียงของซาวด์บาร์รุ่นนี้จะมีโหมดเสียง Standard, Surround, Game Pro และ Adaptive Sound เชื่อว่า 2 โหมดหลังอาจไม่คุ้นสำหรับบางท่าน ซึ่งโหมด Game Pro นั้นจะทำการปรับแต่งเสียงให้มีความกระแทกกระทั้นเพิ่มขึ้น ที่ส่วนใหญ่จะเน้นความตูมตามจากเสียงเบสของซับวูฟเฟอร์ และอีกโหมด Adaptive Sound จะช่วยหนุนย่านเสียงต่ำให้ผุดขึ้นมาอย่างคมชัด เพื่อเนื้อเสียงที่มีความอิ่มนวลนั่นเอง เพิ่มเสียงร้องและเสียงสนทนามีความชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงการเปิดโหมดจำลองเสียงเซอร์ราวด์ Virtual Surround เปลี่ยนเสียงเซอร์ราวด์แบบธรรมดา ให้เพิ่มมิติด้านสูงขึ้นมาด้วย แต่ในการรับชมด้วยระบบเสียง Dolby Atmos จากคอนเท็นต์ต้นทางนั้น จะไม่สามารถปรับแต่งโหมดเสียงใดๆ ได้

แนะนำให้เปิดเมนู Virtual Surround นี้เอาไว้เลย