18 Oct 2019
Review

รีวิว Klipsch Bar 40 ซาวด์บาร์สไตล์วินเทจ มาพร้อมทวิตเตอร์แบบ Tractrix horn ให้เสียงชัดเจน จัดจ้าน ดุดัน ดูหนังก็ดี ฟังเพลงก็สนุก


  • TopZaKo

การรับชมภาพยนตร์ ซีรีส์ต่างๆ รวมถึงรายการที่ชื่นชอบบน TV เครื่องโปรด เป็นสิ่งที่ใครหลายคนในยุคนี้นิยมทำเพื่อการพักผ่อนกันอย่างแน่นอน แต่ว่า หากต้องการให้การดูหนังมีความสนุกสนานมากยิ่งขึ้นไปอีกหละต้องทำอย่างไร ? นอกจากสีสันของภาพที่ดีแล้ว เรื่องเสียงก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งต้องยอมรับว่าทีวีทั่วไปส่วนใหญ่ในท้องตลาดยังให้คุณภาพของเสียงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก การหาเครื่องเสียงดีๆ มาช่วยเสริม ณ จุดนี้น่าจะดีไม่ใช่น้อย

ซึ่งใครที่มีขนาดของบ้านหรือพื้นที่รับชม TV ที่ไม่ใหญ่มากนัก ครั้นจะหาชุดเครื่องเสียงโฮมเธียร์เตอร์สักชุดมาใช้ก็คงจะลำบาก ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดเรื่องสถานที่ การติดตั้งลำโพงต่างๆ รวมถึงสายไฟระโยงระยางมากมาย การเลือกหาลำโพงในรูปแบบ Soundbar ดีๆ สักเครื่องหนึ่งมาใช้งาน น่าจะตอบโจทย์ตรงจุดนี้ได้ดีมากกว่า โดยวันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับลำโพง Soundbar จาก Klipsch รุ่น Bar 40 จะดีแค่ไหนและมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามมาดูกันครับ

อ่านประกาศตัดสินรางวัล คลิก ที่ภาพได้เลยครับ

Design – การออกแบบ

หน้าตาโดยรวมของ Klipsch Bar 40

การออกแบบ โดยรวมของ Klipsch Bar 40 รุ่นนี้ มาในโทนสีดำเทา ตัวเครื่องทำมาจากวัสดุสังเคราะห์ทำลวดลายให้มีลักษณะคล้ายโลหะ โดยมีผ้าแบบเดียวกับที่ Klipsch นิยมใช้เป็นหน้ากากลำโพง Classic มาคลุมตัวเครื่อง Soundbar ไว้ ให้ความรู้สึกเรียบหรูสไตล์วินเทจนิดๆ มีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ กว้าง 101.4 ซม. X ยาว 8.6 ซม. x สูง 7.3 ซม. และมีน้ำหนักตัวเครื่องรวมกับลำโพง Subwoofer ไร้สายอยู่ที่ 9.57 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ามีขนาดกำลังดีไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป สามารถใช้งานร่วมกับทีวีทั่วไปได้โดยไม่บังตัวรับสัญญาณรีโมทของ TV ครับ

โลโก้ Klipsch Reference ยืนยันได้ว่าเสียงของ Soundbar ตัวนี้ต้องไม่ธรรมดา
สีดำเทาดูเรียบหรูสวยงาม

สเปคด้านเสียง ของ Soundbar ตัวนี้มาในรูปแบบ 2.1 Ch ประกอบไปด้วย ลำโพง Soundbar หลัก 2 Ch และ Subwoofer ไร้สายอีกหนึ่งเครื่อง โดยในตัว Soundbar หลักนั้นมาพร้อมลำโพงวูฟเฟอร์ที่กรวยลำโพงทำมาจากไฟเบอร์คุณภาพสูงขนาด 3 นิ้ว จำนวน 2 ดอกอยู่บริเวณใต้ผ้าสีดำ และลำโพงทวิตเตอร์แบบ Tractrix horn เอกลักษณ์เฉพาะของทาง Klipsch ที่ช่วยกระจายเสียงแหลมให้มีความกว้าง ชัดเจน ขนาด 3/4 นิ้ว จำนวน 2 ดอกอยู่บริเวณด้านข้างของตัวเครื่อง

ภาพลำโพงภายในตัว Soundbar และ Subwoofer ไร้สาย

ด้านบน ของตัวเครื่องจะเป็นในส่วนของไฟสถานะต่างๆ ประกอบไปด้วย ไฟสัญญาณ Input, ไฟ Logo Dolby Audio ที่เมื่อตัวเครื่องได้รับสัญญาณเสียงในรูปแบบ Dolby ไฟดวงนี้จะแสดงขึ้นมา, ไฟโหมดเสียง Surround, ไฟโหมดเสียงพูด หรือ Dialog และ ไฟสัญลักษณ์โหมดกลางคืน หรือ Night โดยในส่วนของไฟสถานะสัญญาณ Input จะปรับเปลี่ยนสีไปตามสัญญาณ Input ต่างๆ ที่เราเลือกใช้งานอยู่ตามข้างล่างนี้

ไฟ Input Source

– ไฟสีส้ม คือ TV HDMI ARC
– ไฟสีฟ้า คือ Bluetooth
– ไฟสีแดง คือ Digital Input แบบ Optical
– ไฟสีเขียว คือ Analog 3.5 mm.

ในส่วนของ ปุ่มกด ที่อยู่ใกล้ๆ กันจะประกอบไปด้วย ปุ่ม เปิด/ปิด ตัวเครื่อง, ปุ่มเลือกสัญญาณ Input และปุ่ม เพิ่ม/ลด ความดังเสียง

โหมดเสียง Surround, Dialog, Night

นอกจากปุ่มกดและไฟสถานะด้านบนแล้ว บริเวณใกล้ๆ กับลำโพงทวิตเตอร์ด้านขวาก็จะมี ไฟ LED ที่คอยบอกสถานะต่างๆ อีกเช่นกัน ได้แก่ ความดังของ Volume, ความดังของลำโพง Subwoofer และไฟดวงล่างสุดจะเปลี่ยนสีตามสัญญาณ Input แบบเดียวกับไฟด้านบนครับ ซึ่งไฟในส่วนนี้เราสามารถกดปุ่มที่เขียนว่า “LED” ที่รีโมท เพื่อลดความสว่างหรือปิดไปเลยเพื่อไม่ให้มีแสงรบกวนเวลารับชม TV ได้

ระดับเสียง Volume
ระดับเสียง Subwoofer
ไฟ LED สามารถปรับระดับความสว่างได้
ด้านหลังของตัวเครื่องมีช่องสำหรับแขวนตัวเครื่องเข้ากับผนังได้

และแม้ว่าตัวลำโพง Soundbar จะมีคุณภาพเสียงที่ดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ในเรื่องของเสียงเบสเนื่องด้วยขนาดตัวเครื่องที่จำกัด หากอยากได้เบสที่ลงลึกกระหึ่มก็ต้องอาศัยลำโพงที่เรียกว่า Subwoofer นั่นเอง โดย Bar 40 เครื่องนี้มาพร้อมลำโพง Subwoofer ไร้สาย ที่ตัวตู้เป็นลายไม้สีดำดูเรียบหรูสวยงาม มาพร้อมดอกลำโพงขนาด 6.5 นิ้ว 1 ดอก พร้อมท่อระบายเบสยิงลงด้านล่างแบบ Down firing ให้เสียงเบสแผ่กระจายครอบคลุมพื้นที่นั่งฟังได้เป็นอย่างดี โดยทาง Klipsch แนะนำว่าให้วางไว้ลำโพง Subwoofer ไว้ในระยะไม่เกิน 9 เมตรจากตัว Soundbar เพื่อให้สัญญาณสามารถรับส่งได้อย่างไม่มีปัญหาครับ

ดอกลำโพง Subwoofer และ ท่อระบายเบส

*** ตามปกติแล้วเมื่อเปิดลำโพง Soundbar ตัวลำโพง Subwoofer ก็จะเปิดตามแบบอัตโนมัติ แต่หากเกิดมีปัญหาในการเชื่อมต่อ ก็สามารถ Reconnect ใหม่ได้โดยการ กดปุ่ม Pair ที่ด้านหลังของ Subwoofer ค้างไว้ 3 วินาทีจนไฟสถานะกระพริบ และกดปุ่ม Pair ที่ด้านหลังของตัว Soundbar ค้างไว้ 3 วินาทีจนไฟสถานะหยุดกระพริบเป็นอันเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อ***

Subwoofer ไร้สาย กับ Soundbar ดีไซน์เข้ากันอย่างลงตัว

รีโมท มาในดีไซน์แบบเดียวกับลำโพงและ Soundbar รุ่นเก่าๆ จาก Klipsch ซึ่งมีขนาดเล็กกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ปุ่มควบคุมครบครันต่อการใช้งาน ประกอบไปด้วยปุ่มต่างๆ ได้แก่ ปุ่ม เปิด/ปิด ตัวเครื่อง, ปุ่มไฟสถานะ LED, ปุ่ม เพิ่ม/ลด ความดังเสียง, ปุ่ม Mute, ปุ่ม เพิ่ม/ลด ความดัง Subwoofer, ปุ่ม Bluetooth, ปุ่มเลือกสัญญาณ Input, ปุ่มโหมดเสียง Surround, ปุ่มโหมดเสียง Dialog และ ปุ่มโหมดเสียงกลางคืน หรือ Night Mode

รีโมทที่มาพร้อมตัวเครื่อง

Connectivity – ช่องต่อ

ช่องเชื่อมต่อ ของเจ้า Bar 40 เครื่องนี้จะอยู่บริเวณด้านใต้ของตัวเครื่อง แม้ว่าจะไม่มีช่องเชื่อมต่อเยอะเท่าลำโพง Soundbar รุ่น Top แต่ก็ให้มาครบครันต่อการใช้งานในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ประกอบไปด้วย ช่องต่างๆ ตามด้านล่างนี้

– HDMI ARC In x 1 ช่อง
– Digital Optical In x 1 ช่อง
– Analog In 3.5 mm. x 1 ช่อง
– Subwoofer Out x 1 ช่อง
– USB (ไว้สำหรับอัพเดทเฟิร์มแวร์) x 1 ช่อง
– ช่องสายไฟ

***ช่องต่อ HDMI มีพื้นที่แคบไปสักเล็กน้อยอาจใช้ร่วมกับสาย HDMI ที่มีขนาดของสายใหญ่ได้ไม่สะดวก แนะนำให้ใช้สาย HDMI ที่มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปครับ***

ช่องเชื่อมต่อต่างๆ บริเวณด้านซ้ายมือ
ช่องเสียบสายไฟ

Extra – เพิ่มเติม

นอกจากการรับฟังเสียงในแบบปกติแล้ว Klipsch Bar 40 เครื่องนี้ยังมาพร้อม โหมดเสียง ให้เลือกใช้งานได้อีกทั้งหมด 3 โหมด ด้วยกัน โดยแต่ละโหมดนั้นสามารถเลือกเปิดใช้งานพร้อมกันได้ หรือจะเปิดที่ละโหมดก็ได้เช่นกัน โดยแบ่งเป็นตามข้างล่างนี้

– Surround : โหมดจำลองเสียงแบบรอบทิศทาง โดยโหมดนี้จะเป็นการสร้างสนามเสียงให้เสียงที่กว้างขึ้นจากลำโพง 2CH จะให้เสียงที่กว้างขึ้น โอบล้อมมากขึ้น ให้อารมณ์ใกล้เคียงชุดโฮมเธียร์เตอร์เล็กๆ ได้เลย
– Dialog : โหมดเน้นเสียงพูด โดยจะเป็นการ Boost เฉพาะเสียงย่านกลางขึ้นมาให้ให้เสียงพูดมีความชัดเจน 
– Night Mode : โหมดนี้จะเป็นการปิดลำโพง Subwoofer เพื่อลดเสียงเบสลง ทำให้เสียงไม่ไปดังรบกวนคนรอบข้างเวลาใช้งานในช่วงกลางคืน

โหมดเสียง Surround , Dialog , Night

อีกหนึ่งฟีเจอร์เล็กๆ น้อยๆ แต่น่าสนใจคือ Soundbar ตัวนี้มาพร้อมช่อง Subwoofer Out แบบ RCA ให้คุณสามารถเพิ่ม Subwoofer อีกหนึ่งตัวเพื่อใช้งานในรูปแบบ 2.2 Ch ได้ ซึ่งเหมาพกับคนที่ใช้งาน Soundbar ตัวนี้ในห้องที่มีขนาดใหญ่ หรือหากใครอยากอัพเกรดแทนที่ลำโพง Suubwoofer ไร้สายที่มาในชุดไปเลยก็ได้เช่นกัน