08 Aug 2022
Review

รีวิว หูฟัง True Wireless 2 รุ่นแรกจาก Denon กับ AH-C830NCW ตัดเสียงรบกวนได้ และ AH-C630W รุ่นคุ้มค่าคุ้มราคา


  • TopZaKo

สวัสดีแฟนๆ LCDTVTHAILAND ทุกท่าน วันนี้ผมมี หูฟัง True Wireless 2 รุ่นแรก จาก Denon แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น มารีวิวให้ทุกคนได้รู้จักกัน กับ Denon AH-C830NCW และ AH-C630W ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้บอกได้เลยว่าทั้ง คุณภาพเสียง การใช้งาน ฟีเจอร์ต่างๆ เรียกว่าให้มาดี คุ้มค่า คุ้มราคาเลยทีเดียว แถมในรุ่นพี่ใหญ่อย่าง AH-C830NCW ยังมาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนภายนอกหรือ Active Noise Cancelling ด้วย มาดูรายละเอียดเจาะลึกในรีวิวกันได้เลย โดย ในรีวิว นี้ที่ได้มาในรุ่น AH-C830NCW จะเป็นสีดำ ส่วนรุ่น AH-C630W จะเป็นสีขาว

AH-C630W สีขาว (ซ้าย) และ AH-C830NCW สีดำ (ขวา)
เพื่อยืนยันว่าเป็นสินค้าของแท้จากมหาจักรจะต้องมี QR Code รับประกันเพิ่ม 3 เดือน และเพื่อรับสิทธิพิเศษในการเป็นสมาชิก Mahajak Plus ติดอยู่ด้วย

สเปคคร่าวๆ ของ Denon AH-C830NCW

  • เป็นหูฟังไร้สายแยกข้างอิสระแบบ True Wireless
  • ใช้ Bluetooth เวอร์ชั่น 5.0 with LE (Low Energy)
  • รองรับการถอดรหัสสัญญาณเสียง AAC และ SBC
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 6 ชั่วโมง 24 ชั่วโมงเมื่อใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ
  • มีระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก Active Noise Cancelling และ Transparency Mode
  • ราคา 4,590 บาท

สเปคคร่าวๆ ของ Denon AH-C630W

  • เป็นหูฟังไร้สายแยกข้างอิสระแบบ True Wireless
  • ใช้ Bluetooth เวอร์ชั่น 5.0 with LE (Low Energy)
  • รองรับการถอดรหัสสัญญาณเสียง SBC
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 4.5 ชั่วโมง 18 ชั่วโมงเมื่อใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ
  • ราคา 2,990 บาท

Design – ดีไซน์

การออกแบบ ของหูฟังทั้ง 2 รุ่นนี้จะมีดีไซน์ที่เรียกว่า เหมือนกัน เลยทีเดียว มีความสวยงาม ดูเรียบหรู ในระดับหนึ่ง เข้าได้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันไปซะหมด ยังมีส่วนที่แตกต่างกันก็คือผิวสัมผัส โดยในรุ่นใหญ่อย่าง AH-C830NCW ที่ตัวเคสของหูฟังจะเป็นแบบผิวด้านผิวกับที่หูฟังจะเป็นแบบมันเงามีความ Glossy สะท้อนแสงเหมือนผิวเปียโน ดูพรีเมี่ยม ส่วนรุ่นน้องอย่าง AH-C630W จะเป็นผิวแบบด้านทั้งที่ตัวเคสและตัวหูฟังเลย ในส่วนของสีทั้ง 2 รุ่นจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 สี เหมือนกันคือ สีขาว และ สีดำ

เคสชาร์จ มีขนาดที่เล็กกะทัดรัด ดีไซน์เป็นแบบฝาพับ เปิด/ปิด ได้ มีโลโก้ Denon อยู่ที่ด้านบน มีไฟสถานะอยู่ที่ด้านหน้า มีปุ่มควบคุมพร้อมช่องชาร์จแบตแบบ USB-C อยู่ที่ด้านหลัง ซึ่งอายุการใช้งานนั้นในรุ่นใหญ่อย่าง AH-C830NCW จะมีแบตที่ใช้ได้นานกว่าอยู่ที่ 6 ชั่วโมง (24 ชั่วโมง เมื่อใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ) ส่วนรุ่นเล็กอย่าง AH-C630W อยู่ที่ 4.5 ชั่วโมง (18 ชั่วโมง เมื่อใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ)

ตัวเคสมีน้ำหนักค่อนข้างเบาโดยในรุ่น AH-C830NCW อยู่ที่ 53.6 กรัม ส่วนรุ่น AH-C630W จะอยู่ที่ 52.4 กรัม ซึ่งถือว่า เบาและเล็กกว่าหลายรุ่นในท้องตลาด จะใส่กระเป๋าถือ วางในที่ต่างๆ หรือพกพาไปไหนมาไหนก็สะดวก รวมถึงยังสามารถใส่ในกระเป๋ากางเกงผู้ชายได้แบบไม่นูนออกมามากจนเกินไปอีกด้วย

เมื่อเปิดฝาเคสออกมาก็จะเจอกับหูฟังทั้ง 2 ข้าง ซึ่งภายในช่องเก็บหูฟังก็จะมีแม่เหล็กติดตั้งมาให้ด้วย ทำให้เวลาที่เราต้องการเก็บหูฟังเขาไปในเคสเพื่อชาร์จแบตหลังใช้งานตัวเคสก็จะทำการดึงหูฟังของเราให้เข้าไปในช่องได้อย่างง่ายดาย

ตัว หูฟัง จะเป็นแบบ In-Ear มีการออกแบบให้สอดรับเขากับใบหูของเรา มีน้ำหนักที่เบามาก โดยในรุ่น AH-C830NCW อยู่ที่ 5.3 กรัม กับ ในรุ่น AH-C630W อยู่ที่ 4.7 กรัม จากที่ได้ทดสอบใส่ใช้งานในชีวิตประจำวันถือว่า สวมใส่ได้อย่างสะดวกสบาย จะใส่เดินไปไหนมาไหนก็ไม่หลุดร่วง แต่จากที่สังเกตบางจังหวะที่ฟังเพลงสนุกๆ เผลอโยกหัวแรง ตัวหูฟังอาจมีการขยับบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงยึดอยู่กับรูหูของเราไม่หลุดออกจากหูแต่อย่างใด ในส่วนของความแตกต่างของหูฟังทั้ง 2 รุ่นนี้ นอกจากเรื่องของวัสดุแล้ว หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในรุ่นใหญ่อย่าง AH-C830NCW จะมีรูไมโครโฟนของระบบ Active Noise Cancelling อยู่ที่ด้านบน และที่บริเวณด้านล่างของหูฟังจะมีการทำลวดลายตัดสีเงินไว้ ซึ่งทำให้ดูโดดเด่นกว่ารุ่นน้อง AH-C630W ในระดับหนึ่งเลย

ของที่ให้มาในกล่อง ทั้ง 2 รุ่นนี้จะเหมือนกันเลยคือจะมี ตัวหูฟังพร้อมเคสชาร์จ, มียางจุกหูฟังมาให้เลือกเปลี่ยนได้อีก 2 ขนาด, มีสายชาร์จแบบ USB-C และมีคู่มือการใช้งาน

ฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆ

ฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆ ในรุ่นใหญ่อย่าง AH-C830NCW ถือว่าให้มาเยอะพอสมควร ส่วนในรุ่นน้องอย่าง AH-C630W ถือว่าให้มาแบบพอดี เน้นสร้างความสะดวกสบายในการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน โดยเมื่อนำมารวมกันแล้วจะ มีทั้งหมด 5 ข้อ ซึ่งในข้อที่ 3-5 จะมีเฉพาะในรุ่นใหญ่เท่านั้น จะมีอะไรบ้างมาดูกัน

ข้อที่ 1 ก็คือหูฟังทั้ง 2 รุ่นนี้ รองรับการกันน้ำที่ IPX4 (เฉพาะตัวหูฟังไม่รวมเคสชาร์จ) เรียกว่าสามารถนำหูฟังตัวนี้ไปใช้งานขณะออกกำลังกายที่มีเหงื่อออกหรือในบางครั้งที่เราอยู่นอกบ้านแล้วเกิดเจอฝนตกแบบปรอยๆ รวมถึงหากเราวางหูฟังไว้แล้วเผลอทำน้ำหกใส่ตัวหูฟังก็จะไม่เกิดความเสียหายแต่อย่างใด

ข้อที่ 2 ก็คือรองรับการใช้งานร่วมกับ ผู้ช่วยคำสั่งเสียง บนมือถืออย่าง Google Assistant กับ Siri เพียงเชื่อมต่อ Bluetooth กับมือถือที่รองรับก็สามารถเรียกใช้งานคำสั่งเสียงผ่านตัวหูฟังได้แล้ว

ข้อที่ 3 Google Fast Pair หรือก็คือรองรับการเชื่อมต่อแบบไวนั่นเอง ซึ่งถ้าเกิดเรานำหูฟังของเราเข้าใกล้กับมือถือหรืออุปกรณ์ที่รองรับฟีเจอร์นี้ ที่ตัวมือถือก็จะขึ้นชื่อรุ่นพร้อมรูปของหูฟังเพื่อให้เรากดเชื่อมต่อได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องมากดเปิด Bluetooth แล้วกด Pair ที่ตัวหูฟังให้ยุ่งยากเลย

ข้อที่ 4 คือระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก หรือ Active Noise Cancelling โดยฟีเจอร์นี้ตัวหูฟังจะใช้ไมโครโฟนที่อยู่บริเวณด้านบนของหูฟังรับเสียงภายนอกแล้วนำมาสังเคราะห์เป็นคลื่นเสียงหักล้างทำให้เราได้ยินเสียงรอบข้างน้อยลง เช่น เสียงรถติดริมถนน เสียงก่อสร้าง เสียงเครื่องดูดฝุ่น หรือเวลาเราดูหนังฟังเพลงอยู่ที่บ้าน มีลูกหลาน หรือสมาชิกในบ้านหลายคน แล้วต้องการความสงบอยู่ในโลกส่วนตัวก็สามารถเปิดฟีเจอร์นี้ให้เราสามารถฟังเพลง ดูหนังหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น

ข้อที่ 5 ฟีเจอร์ที่เป็นขั้วตรงข้ามของ Active Noise-cancelling ก็คือ Transparency Mode นั่นเอง โดยฟีเจอร์นี้จะเปลี่ยนเป็นการใช้ไมค์ที่ติดอยู่ด้านนอกตัวหูฟังรับเสียงเข้ามาให้เราได้ยินเสียงภายนอกไปพร้อมกับการฟังเพลงได้ชัดขึ้น เหมาะกับเวลาที่บางครั้งเราเดินริมถนนแล้วต้องการข้ามถนนเราก็สามารถเปิด Transparency Mode เพื่อรับเสียงภายนอกเข้ามาให้เรา Focus กับสถานการณ์ตอนนั้นได้อย่างเต็มที่ หรือบางครั้งในขณะที่เราทำงานแล้วอยากฟังเพลงเพื่อผ่อนคล้ายแต่กลัวหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานเรียกเราก็สามารถเปิดโหมดนี้เพื่อให้ได้ยินเวลามีคนเรียกเราได้ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด

ในมือถือรุ่นที่รองรับ มีบอกเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ด้วย ตัวอย่างจาก iPhone 12 mini

วิธีการใช้งานและคำสั่งต่างๆ

การสั่งงานของหูฟังทั้ง 2 รุ่นนี้ทำแบบเดียวกัน เลยคือจะเป็นระบบสัมผัสโดยใช้วิธี “แตะ” ที่บริเวณด้านบนของก้านหูฟังทั้ง 2 ข้าง ซึ่งจะมีคำสั่งต่างๆ ดังนี้

วิธีควบคุมการฟังเพลงที่หูฟังด้านขวา

  • แตะ x1 เพื่อเล่นหรือหยุดเพลง
  • แตะ x2 เพื่อเล่นเพลงถัดไป
  • แตะ x3 เพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า

วิธีเลือกโหมดการใช้งานที่หูฟังด้านซ้าย (เฉพาะรุ่น AH-C830NCW)

  • แตะ x1 จะเป็นการสลับโหมดไปมาระหว่าง Active Noise-cancelling / Transparency Mode / ปิดการใช้งาน

วิธีใช้งานโทรศัพท์ สามารถทำได้เหมือนกันทั้ง 2 ข้าง

  • แตะ x2 เพื่อ รับ / วางสาย
  • แตะ x1 และ แตะ ค้างไว้ 2 วินาที เพื่อปฏิเสธสาย

วิธีใช้งานคำสั่งเสียงที่หูฟังด้านขวา

  • แตะ x1 และ แตะ ค้างไว้ 3 วินาที เพื่อเรียกใช้งานคำสั่งเสียงจากมือถือ Siri / Google Assistant

วิธี Paring Bluetooth กับอุปกรณ์ต่างๆ

  • กดปุ่มที่หลังเคสค้างไว้ 2 วินาที และต้องมีหูฟังใส่ไว้อย่างน้อย 1 ข้าง

ในการใช้งานจริงถือว่าทำได้ดีเลย แตะเพื่อสั่งงานได้สะดวก แตะติดง่าย แต่เนื่องจากคำสั่งในการใช้งานถือว่าค่อนข้างเยอะรวมถึงในการสั่งงานบางอย่าง เช่นการใช้งานคำสั่งเสียง เราต้องคอยจับจังหวะในการกดให้ถูกต้องไม่เช่นนั้นระบบก็จะไม่ทำงานซึ่งต้องใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยสักพักถึงจะใช้งานได้อย่างคล่องตัวครับ