Setup – การติดตั้ง
ขอข้ามเรื่องการจัดวางไปนะครับ เพราะคิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร แค่วางซาวด์บาร์ไว้หน้าทีวี หรือถ้าแขวนผนังก็จัดการยึดติดกันไป ซับวูฟเฟอร์ก็วางเข้ามุม อย่าให้อะไรมาบังเพราะแม้ว่าเสียงย่านความถี่ต่ำจะไม่มีทิศทาง แต่ถ้าโดนบังก็หมองได้เช่นกัน
เมื่อวางได้แล้ว การควบคุมซาวด์บาร์ตัวนี้จำเป็นต้องทำผ่านทางแอป HEOS บนสมาร์ทโฟนเท่านั้น โดยการที่เราจะทำการจับคู่กับซาวด์บาร์ได้ง่ายที่สุด สมาร์ทโฟนของคุณจะต้องมีช่องหูฟัง 3.5 มม. เพราะถ้าไม่มีอีกตัวเลือกนึงคือการเสียบสายแลนเข้าที่หลังซาวด์บาร์เท่านั้น แม้ว่าตัวซาวด์บาร์เองจะสามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ แต่การเชื่อมต่อครั้งแรกเข้ากับแอปฯ จำเป็นจะต้องใช้เน็ตแบบมีสายเสียก่อน
สำหรับขั้นตอนการเชื่อมต่อมีตามนี้ครับ
1. อันดับแรก โหลดแอปพลิเคชั่น HEOS ลงบนสมาร์ทโฟนก่อน โดยให้สมาร์ทโฟนเครื่องนั้นต่อ Wi-Fi ที่จะใช้งานเอาไว้
2. ให้รีเซ็ตค่าจากโรงงานที่ตัวซาวด์บาร์ทิ้งทั้งหมด โดยการเสียบปลั๊กให้มีไฟเลี้ยง จากนั้นกดปุ่ม Connect และ Bluetooth ที่หลังเครื่องค้างไว้ 5 วินาที จนไฟด้านหน้ากระพริบเป็นสีเหลือง
3. จากนั้นให้เปิดแอป แล้วเสียบสาย 3.5 เข้าที่สมาร์ทโฟน
4. ตัวแอปฯ จะให้เรากดตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆ โดยขั้นตอนการ pairing จะต้องให้ไฟสีเขียวหยุดกระพริบจึงจะหมายความว่าเชื่อมต่อกับแอปฯ สำเร็จ
5. เมื่อเชื่อมต่อกันเรียบร้อยแล้ว ตัวระบบจะให้เราต่ออินเทอร์เน็ต Wi-Fi ให้กับซาวด์บาร์ โดยจะเป็นการโอนข้อมูลการเชื่อมต่อบนมือถือของเราเข้าไป ซึ่งจะต้องใส่พาสเวิร์ดอีกครั้ง
6. เสร็จสิ้นการเชื่อมต่อ ตอนนี้ถ้าเรามีสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นก็สามารถที่จะโหลดแอป HEOS เพื่อมาควบคุมได้อีกด้วย โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องอยู่บนเครือข่ายเดียวกันกับซาวด์บาร์
Sound – เสียง
หลังตัวซาวด์บาร์วิ่งมาเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ของเครือข่ายเราเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มทดสอบด้วยการดูภาพยนตร์ Netflix โดยเชื่อมต่อกับทีวีแบบ HDMI ARC ซึ่งคาแร็คเตอร์เสียงกลางและเสียงแหลมค่อนข้างหลบอยู่ด้านหลังเล็กน้อย ไม่แผดพุ่งรุกเร้า แต่อย่างไรก็ตาม การถ่ายเสียงไปในทิศทางซ้ายขวาสามารถทำออกมาได้ค่อนข้างดี สามารถแสดงมิติเวทีเสียงได้กว้างพอสมควร
ในจุดนี้ถ้าเราคิดว่าต้องการเสียงแหลมที่ทอดตัวได้ไกลขึ้นอีกนิด เราสามารถกดแอปฯ HEOS ขึ้นมาเพื่อทำการเปลี่ยนโหมดเสียงเป็น Movie บวกกับปรับเพิ่ม EQ เสียงแหลมขึ้น เพื่อเติมอรรถรสในการชมภาพยนตร์ให้ถึงลูกถึงคนมากยิ่งขึ้น
ส่วนการนำมาใช้งานประกบคู่กับการฟังเพลงพบโหมดเสียง Music ที่มีมาให้เลือกใช้งานสามารถให้เสียงที่ค่อนข้างเป็นกลางดีอยู่แล้ว และตัวซาวด์บาร์เองก็ไม่ได้งกไดรเวอร์ ทำให้เสียงที่ออกมามีน้ำมีนวลไม่อัดอั้นจนฟังแล้วเหมือนนักร้องโดนบัง อย่างเพลง Wonderful World ที่ถูกคัฟเวอร์โดย Eva Cassidy ตัวลำโพงก็ถ่ายทอดเสียงเอื้อนหยาดเยิ้มของเธอออกมาได้หวานและมีเสน่ห์ โดยรวมแล้วค่อนข้างลงตัวไม่ต้องปรับอะไรเพิ่มก็ถือว่าสามารถนำมาฟังเพลงได้ไพเราะไม่แพ้ซาวด์บาร์คู่แข่งในช่วงราคาเดียวกัน
Conclusion – สรุป
เป็นซาวด์บาร์ที่เสียงดีตามมาตรฐาน สามารถเข้ามาเติมเต็มมิติเสียงให้กับทีวีได้อย่างแตกต่าง แต่มีจุดเดียวที่คิดว่าอาจจะดูใช้งานยาก คือการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นที่ซับซ้อนและมีตัวเลือกให้น้อยไปหน่อย เพราะน้อยคนนักที่จะวางระบบเน็ตเวิร์คไว้บริเวณทีวี รวมถึงในปัจจุบันสมาร์ทโฟนบางรุ่นก็เริ่มจะถอดพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. ออกไป ตัวอย่างเช่น สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทางฝั่ง iOS นั้นไม่เหลือแล้ว ทาง Android เอง Google ก็ตามไปติด ๆ ฉะนั้น Denon น่าจะเพิ่มตัวเลือกในการจับคู่สมาร์ทโฟนกับซาวด์บาร์ให้มากขึ้นอีกนิด
อาจจะเป็นการใช้สัญญาณ Bluetooth ช่วยในการส่งข้อมูลของ Wi-Fi ไปยังตัวเครื่องเพื่อให้สามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้ หรืออะไรที่คล้าย ๆ ก็น่าจะดี เพราะตัวซาวด์บาร์เองไม่ได้มีรีโมทควบคุมมาให้ การจะปรับ EQ หรือเปลี่ยนโหมดเสียงจำเป็นจะต้องทำผ่านแอปพลิเคชั่นเท่านั้น ไม่สามารถกดเอาจากหน้าเครื่องได้
นอกเหนือจากนั้นคุณภาพเสียงที่ได้ล้วนแล้วแต่ไม่ทิ้งลายความเป็น Denon เลย สามารถถ่ายทอดความครึกครื้นและมิติเสียงออกมาได้ดี โดยเฉพาะเมื่อใช้งานคู่กับการฟังเพลง เพียงแค่เปลี่ยนโหมดเสียงเป็น Music ก็ได้เสียงที่ไพเราะออกจากกล่องไม่ต้องปรับอะไรเพิ่มมาก ส่วนการนำมาดูภาพยนตร์ส่วนตัวผมว่าเสียงแหลมมีความจัดจ้านน้อยไป ตรงนี้สามารถปรับ EQ ในตัวแอปฯ HEOS เพิ่มได้อีกนิดหน่อยเพื่อเติมรสชาติและความจัดจ้านที่หายไป
ก็เรียกว่ามีครบทุกอย่างที่ซาวด์บาร์ยุคปัจจุบันควรจะมี ยิ่งถ้าเรามี Amazon Alexa ใช้งานอยู่แล้ว เราสามารถนำมันมาเชื่อมต่อเข้ากับซาวด์บาร์ตัวนี้เพื่อที่จะคอยรับคำสั่งเสียงจากเราได้อีกด้วย เปลี่ยนจุดชมภาพยนตร์ที่ดูธรรมดา ให้กลายเป็นมุม IoT ล้ำ ๆ ได้เลยทีเดียว
ข้อดี
– เสียงดีสมกับที่ได้วิศวกร Denon มาช่วยจัดการระบบเสียงให้
– ลูกเล่นแพรวพราว ใช้งานคู่กับ AI อัจฉริยะอย่าง Amazon Alexa ได้
– ดีไซน์เด่นเรียบหรูแบบเหมาะสม วางบนชั้นแล้วไม่แย่งความสนใจจากตัวทีวี
– มีช่อง HDMI ARC และ HDMI IN มาให้แยกจากกัน สร้างตัวเลือกในการใช้งานให้ได้มากขึ้น
ข้อเสีย
– ไม่มีรีโมทมาให้
– การจับคู่เพื่อนำซาวด์บาร์เข้ามาเป็นหนึ่งในอุปกรณ์บนเครือข่ายในบ้านทำได้ยาก ถ้าไม่ใช่คนที่ชำนาญเทคโนโลยีอาจจะลำบาก ซึ่งไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะเน้นควบคุมผ่านแอปฯ เพียงอย่างเดียว