ภาพ
เริ่มการทดสอบด้วยค่าภาพจากโรงงาน ยังไม่ผ่านการปรับแต่งคาลิเบรตใดๆ ในการรับชมแบบ 4K HDR โดยใช้คอนเท็นต์บนแอพ Netflix แหล่งรวมภาพยนตร์ซีรี่ส์ 4K HDR ที่เข้าถึงง่ายที่สุดในตอนนี้ โดยโหมดภาพที่แนะนำคือ HDR Night ซึ่งโหมดนี้จะให้สีสันที่ค่อนข้างถูกต้อง ขณะเดียวกันก็ยังคงความสว่างเอาไว้ในระดับที่เหมาะสม รับชมได้ในระยะยาวไม่ทำให้ล้าสายตา
ขอยกตัวอย่างด้วยซีรีส์ “Love Death + Robots” ตอน “Sonnies Edge” เรื่องราวเกี่ยวกับสังเวียนต่อสู้ยุคอนาคตที่ใช้ร่างสัตว์ประหลาด ควบคุมด้วยจิตของผู้ใช้ ลงสนามต่อสู้แทนตัวมนุษย์ จุดเด่นของเรื่องนี้อยู่ตรงที่คอนทราสต์ของภาพ ระหว่างความสว่างและความมืด เหมาะต่อการทดสอบการรับชมแบบ HDR เป็นอย่างยิ่ง
ในช่วงที่ตัวเอกกำลังจะต่อสู้ ห้องที่เป็นสังเวียนจะมีโทนภาพที่มืด Hisense รุ่นนี้สามารถรักษารายละเอียดของภาพไว้ได้ดี แม้จะมีค่าความสว่างประมาณ 300 นิตส์ และในบางฉากจะมีแสงไฟนีออนและแสงเรืองรองต่างๆ ทีวีเครื่องนี้ก็ขุดความสว่างออกมา งัดประกายแสงของฉากให้สว่างวาบตัดกับโทนภาพยามกลางคืน สร้างภาพที่มีมิติได้อย่างสวยงาม เมื่อรวมกับจอภาพที่มีขนาดใหญ่ สามารถให้อรรถรสทางสายตาได้ดีเลยทีเดียว
ขยับมาทดสอบภาพแบบ SDR และการอัพสเกลกันบ้าง โดยใช้แผ่น Full HD Blu-ray เรื่อง “James Bond 007 – Casino Royale” อันมีโทนสีอบอุ่นตามสไตล์ฟิล์ม ซึ่งในการรับชมแบบ SDR ทีวีรุ่นนี้สามารถปรับโหมดภาพได้ 5 โหมด และโหมดที่แนะนำก็คือโหมด Cinema Night เพราะให้ขอบเขตสีที่ดีที่สุดกว่าทุกโหมด
สีสันภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ติดโทนเหลืองหรือแดงจนเกินไป สังเกตได้จากสีหน้าและเสื้อผ้าของตัวละคร อย่างฉากแรกที่ เจมส์ บอนด์ วิ่งไล่จับผู้ร้าย ในขณะที่อยู่บนเครนจะเห็นได้ว่าสีท้องฟ้ามีความฟ้าสวยงาม สีผิวของบอนด์และผู้ร้ายก็มีความเป็นธรรมชาติ และฉากนี้จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ในการปรับโมชั่นนั้น ให้เข้าไปที่เมนู Ultra Smooth Motion จากนั้นเลือกที่ Custom ให้ทำการปรับ Judder Reduction ไว้ที่ 3 และปรับ Blur Reduction ไว้ที่ 10 จะได้ความลื่นในระดับสบายสายตา
ความสามารถในการอัพสเกลนั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ตามปกติแล้ว การรับชมคอนเท็นต์ Full HD บนจอภาพขนาด 75 นิ้ว ความคมชัดย่อมถูกลดทอนลงไป แต่ Hisense 75B7500 สามารถขจัดปัญหาจุดนั้นด้วยการอัพสเกลที่ให้ความละเอียดใกล้เคียงกับ 4K เลย ซึ่งข้อดีนี้ก็ช่วยให้การรับชมแบบทั่วไป อย่างช่องดิจิตอลหรือคลิปบน YouTube มีความคมชัดเต็มตาในจอภาพขนาดยักษ์
แต่เมื่อได้ทำการปรับแต่งคาลิเบรตภาพแล้ว ภาพมีความอิ่มสดเป็นธรรมชาติมากขึ้น ข้อดีอีกอย่างของรุ่นนี้คือเมนูการปรับค่าภาพที่ให้มาค่อนข้างละเอียด และบันทึกการตั้งแค่แยกเอาไว้แต่ละแชนแนลได้ด้วย ทั้งนี้การจะปรับให้ละเอียดเพื่อค่าภาพที่ถูกต้องที่สุด จำเป็นต้องทำการปรับแต่งโดยผู้เชี่ยวชาญและใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง
โหมดภาพแนะนำยังสำหรับการรับชมแบบ HDR ยังคงเป็นโหมด HDR Night คราวนี้ทดสอบด้วยแผ่น 4K UHD Blu-ray เรื่อง “Pan” เรื่องราวการผจญภัยของ ปีเตอร์ แพน ในดินแดนเนเวอร์แลนด์ ผู้กำกับได้ใส่สเปเชียลเอฟเฟ็กต์อลังการจัดเต็ม ยกตัวอย่างด้วยฉากที่ภูตแฟร์รี่มาช่วยแพน แสงจากตัวภูติจิ๋วถูกขับออกมาเป็นประกาย ทีวีสามารถแสดงผลได้โดยยังคงรายละเอียดของผิวมนุษย์จริงๆ เอาไว้ ประกายแสงไม่พร่าฟุ้ง สีสันของผิวและเสื้อผ้าก็คงความเป็นธรรมชาติ ไม่ถูกเร่งแสงจนสีผิดเพี้ยน
ขอบเขตสีของรุ่นนี้มีความกว้างสูง เมื่อนำมาทดสอบกับคอนเท็นต์ 4K HDR ที่มีสีสันฉูดฉาดหลากหลาย อย่าง “Love Death + Robots” ตอน “Fish Night” สามารถตอบสนองต่อสีต่างๆ ได้ดี ถึงทีวีรุ่นนี้จะค่าความสว่างที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็ให้ความเรืองรองได้อย่างน่าสนใจ การไล่เฉดสีมีระดับที่ดิ ไม่เกิดเป็นชั้นๆ ให้ขัดสายตา แยกแสงสีชัดเจน ตามมาตรฐานทีวี Hisense เลย
จอใหญ่ๆ แบบนี้ ให้ดูหนังอย่างเดียวคงสะใจไม่พอ ต้องเอามาทดสอบกับการเล่นเกมด้วย ค่า Input Lag ที่วัดได้จากการเปิดโหมด Game Mode ซึ่งเป็นโหมดที่ให้ Input Lag ต่ำที่สุด อยู่ที่ 34.7MS เท่านั้น ให้ภาพเคลื่อนไหวตอบสนองต่อการเล่นได้อย่างทันท่วงที ไร้อาการดีเลย์หรือกระตุก ตอบสนองฉับไว ขับความสดของสีตัวละครและเอฟเฟ็กต์ภายในเกมได้จัดจ้านน่าตื่นเต้น สร้างความรุกเร้าในการเล่นเกมได้ดีเชียว แนะนำให้เปิดเอาไว้ทุกครั้งที่เล่นเลย
เสียง
ด้านเสียงของทีวีรุ่นนี้ ให้ความดังเพียงพอต่อระยะรับชมที่เหมาะสมได้เลย ตามสเปคแล้วรองรับการถอดรหัสเสียง Dolby Audio และ DTS ทำให้เล่นเสียงจากการรับชมแบบสตรีมมิ่งบนแอพ Netflix ได้ มีโหมดเสียงให้ปรับ 6 โหมด โดยโหมดเสียงแนะนำคือโหมด Standard ที่ให้เสียงเหมาะสมต่อการรับชมที่สุด แต่หากต้องการให้เสียงพูดมีความชัดและดังขึ้นให้เลือกที่โหมด Speech จะได้เสียงพูดที่ชัดโดยไม่มีเสียงย่านอื่นมารบกวน