การรับชมภาพยนตร์ ซีรีส์ต่างๆ รวมถึงรายการที่ชื่นชอบบน TV เครื่องโปรด เป็นสิ่งที่ใครหลายคนในยุคนี้นิยมทำเพื่อการพักผ่อนกันอย่างแน่นอน แต่ว่า หากต้องการให้การดูหนังมีความสนุกสนานมากยิ่งขึ้นไปอีกหละต้องทำอย่างไร ? นอกจากสีสันของภาพที่ดีแล้ว เรื่องเสียงก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งต้องยอมรับว่าทีวีทั่วไปส่วนใหญ่ในท้องตลาดยังให้คุณภาพของเสียงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก การหาเครื่องเสียงดีๆ มาช่วยเสริม ณ จุดนี้น่าจะดีไม่ใช่น้อย
ซึ่งใครที่มีขนาดของบ้านหรือพื้นที่รับชม TV ที่ไม่ใหญ่มากนัก ครั้นจะหาชุดเครื่องเสียงโฮมเธียร์เตอร์สักชุดมาใช้ก็คงจะลำบาก ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดเรื่องสถานที่ การติดตั้งลำโพงต่างๆ รวมถึงสายไฟระโยงระยางมากมาย การเลือกหาลำโพงในรูปแบบ Soundbar ดีๆ สักเครื่องหนึ่งมาใช้งาน น่าจะตอบโจทย์ตรงจุดนี้ได้ดีมากกว่า โดยวันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับลำโพง Soundbar จาก Klipsch รุ่น Bar 40 จะดีแค่ไหนและมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามมาดูกันครับ
Design – การออกแบบ
การออกแบบ โดยรวมของ Klipsch Bar 40 รุ่นนี้ มาในโทนสีดำเทา ตัวเครื่องทำมาจากวัสดุสังเคราะห์ทำลวดลายให้มีลักษณะคล้ายโลหะ โดยมีผ้าแบบเดียวกับที่ Klipsch นิยมใช้เป็นหน้ากากลำโพง Classic มาคลุมตัวเครื่อง Soundbar ไว้ ให้ความรู้สึกเรียบหรูสไตล์วินเทจนิดๆ มีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ กว้าง 101.4 ซม. X ยาว 8.6 ซม. x สูง 7.3 ซม. และมีน้ำหนักตัวเครื่องรวมกับลำโพง Subwoofer ไร้สายอยู่ที่ 9.57 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ามีขนาดกำลังดีไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป สามารถใช้งานร่วมกับทีวีทั่วไปได้โดยไม่บังตัวรับสัญญาณรีโมทของ TV ครับ
สเปคด้านเสียง ของ Soundbar ตัวนี้มาในรูปแบบ 2.1 Ch ประกอบไปด้วย ลำโพง Soundbar หลัก 2 Ch และ Subwoofer ไร้สายอีกหนึ่งเครื่อง โดยในตัว Soundbar หลักนั้นมาพร้อมลำโพงวูฟเฟอร์ที่กรวยลำโพงทำมาจากไฟเบอร์คุณภาพสูงขนาด 3 นิ้ว จำนวน 2 ดอกอยู่บริเวณใต้ผ้าสีดำ และลำโพงทวิตเตอร์แบบ Tractrix horn เอกลักษณ์เฉพาะของทาง Klipsch ที่ช่วยกระจายเสียงแหลมให้มีความกว้าง ชัดเจน ขนาด 3/4 นิ้ว จำนวน 2 ดอกอยู่บริเวณด้านข้างของตัวเครื่อง
ด้านบน ของตัวเครื่องจะเป็นในส่วนของไฟสถานะต่างๆ ประกอบไปด้วย ไฟสัญญาณ Input, ไฟ Logo Dolby Audio ที่เมื่อตัวเครื่องได้รับสัญญาณเสียงในรูปแบบ Dolby ไฟดวงนี้จะแสดงขึ้นมา, ไฟโหมดเสียง Surround, ไฟโหมดเสียงพูด หรือ Dialog และ ไฟสัญลักษณ์โหมดกลางคืน หรือ Night โดยในส่วนของไฟสถานะสัญญาณ Input จะปรับเปลี่ยนสีไปตามสัญญาณ Input ต่างๆ ที่เราเลือกใช้งานอยู่ตามข้างล่างนี้
– ไฟสีส้ม คือ TV HDMI ARC
– ไฟสีฟ้า คือ Bluetooth
– ไฟสีแดง คือ Digital Input แบบ Optical
– ไฟสีเขียว คือ Analog 3.5 mm.
ในส่วนของ ปุ่มกด ที่อยู่ใกล้ๆ กันจะประกอบไปด้วย ปุ่ม เปิด/ปิด ตัวเครื่อง, ปุ่มเลือกสัญญาณ Input และปุ่ม เพิ่ม/ลด ความดังเสียง
นอกจากปุ่มกดและไฟสถานะด้านบนแล้ว บริเวณใกล้ๆ กับลำโพงทวิตเตอร์ด้านขวาก็จะมี ไฟ LED ที่คอยบอกสถานะต่างๆ อีกเช่นกัน ได้แก่ ความดังของ Volume, ความดังของลำโพง Subwoofer และไฟดวงล่างสุดจะเปลี่ยนสีตามสัญญาณ Input แบบเดียวกับไฟด้านบนครับ ซึ่งไฟในส่วนนี้เราสามารถกดปุ่มที่เขียนว่า “LED” ที่รีโมท เพื่อลดความสว่างหรือปิดไปเลยเพื่อไม่ให้มีแสงรบกวนเวลารับชม TV ได้
และแม้ว่าตัวลำโพง Soundbar จะมีคุณภาพเสียงที่ดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ในเรื่องของเสียงเบสเนื่องด้วยขนาดตัวเครื่องที่จำกัด หากอยากได้เบสที่ลงลึกกระหึ่มก็ต้องอาศัยลำโพงที่เรียกว่า Subwoofer นั่นเอง โดย Bar 40 เครื่องนี้มาพร้อมลำโพง Subwoofer ไร้สาย ที่ตัวตู้เป็นลายไม้สีดำดูเรียบหรูสวยงาม มาพร้อมดอกลำโพงขนาด 6.5 นิ้ว 1 ดอก พร้อมท่อระบายเบสยิงลงด้านล่างแบบ Down firing ให้เสียงเบสแผ่กระจายครอบคลุมพื้นที่นั่งฟังได้เป็นอย่างดี โดยทาง Klipsch แนะนำว่าให้วางไว้ลำโพง Subwoofer ไว้ในระยะไม่เกิน 9 เมตรจากตัว Soundbar เพื่อให้สัญญาณสามารถรับส่งได้อย่างไม่มีปัญหาครับ
*** ตามปกติแล้วเมื่อเปิดลำโพง Soundbar ตัวลำโพง Subwoofer ก็จะเปิดตามแบบอัตโนมัติ แต่หากเกิดมีปัญหาในการเชื่อมต่อ ก็สามารถ Reconnect ใหม่ได้โดยการ กดปุ่ม Pair ที่ด้านหลังของ Subwoofer ค้างไว้ 3 วินาทีจนไฟสถานะกระพริบ และกดปุ่ม Pair ที่ด้านหลังของตัว Soundbar ค้างไว้ 3 วินาทีจนไฟสถานะหยุดกระพริบเป็นอันเสร็จสิ้นการเชื่อมต่อ***
รีโมท มาในดีไซน์แบบเดียวกับลำโพงและ Soundbar รุ่นเก่าๆ จาก Klipsch ซึ่งมีขนาดเล็กกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ปุ่มควบคุมครบครันต่อการใช้งาน ประกอบไปด้วยปุ่มต่างๆ ได้แก่ ปุ่ม เปิด/ปิด ตัวเครื่อง, ปุ่มไฟสถานะ LED, ปุ่ม เพิ่ม/ลด ความดังเสียง, ปุ่ม Mute, ปุ่ม เพิ่ม/ลด ความดัง Subwoofer, ปุ่ม Bluetooth, ปุ่มเลือกสัญญาณ Input, ปุ่มโหมดเสียง Surround, ปุ่มโหมดเสียง Dialog และ ปุ่มโหมดเสียงกลางคืน หรือ Night Mode
Connectivity – ช่องต่อ
ช่องเชื่อมต่อ ของเจ้า Bar 40 เครื่องนี้จะอยู่บริเวณด้านใต้ของตัวเครื่อง แม้ว่าจะไม่มีช่องเชื่อมต่อเยอะเท่าลำโพง Soundbar รุ่น Top แต่ก็ให้มาครบครันต่อการใช้งานในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ประกอบไปด้วย ช่องต่างๆ ตามด้านล่างนี้
– HDMI ARC In x 1 ช่อง
– Digital Optical In x 1 ช่อง
– Analog In 3.5 mm. x 1 ช่อง
– Subwoofer Out x 1 ช่อง
– USB (ไว้สำหรับอัพเดทเฟิร์มแวร์) x 1 ช่อง
– ช่องสายไฟ
***ช่องต่อ HDMI มีพื้นที่แคบไปสักเล็กน้อยอาจใช้ร่วมกับสาย HDMI ที่มีขนาดของสายใหญ่ได้ไม่สะดวก แนะนำให้ใช้สาย HDMI ที่มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปครับ***
Extra – เพิ่มเติม
นอกจากการรับฟังเสียงในแบบปกติแล้ว Klipsch Bar 40 เครื่องนี้ยังมาพร้อม โหมดเสียง ให้เลือกใช้งานได้อีกทั้งหมด 3 โหมด ด้วยกัน โดยแต่ละโหมดนั้นสามารถเลือกเปิดใช้งานพร้อมกันได้ หรือจะเปิดที่ละโหมดก็ได้เช่นกัน โดยแบ่งเป็นตามข้างล่างนี้
– Surround : โหมดจำลองเสียงแบบรอบทิศทาง โดยโหมดนี้จะเป็นการสร้างสนามเสียงให้เสียงที่กว้างขึ้นจากลำโพง 2CH จะให้เสียงที่กว้างขึ้น โอบล้อมมากขึ้น ให้อารมณ์ใกล้เคียงชุดโฮมเธียร์เตอร์เล็กๆ ได้เลย
– Dialog : โหมดเน้นเสียงพูด โดยจะเป็นการ Boost เฉพาะเสียงย่านกลางขึ้นมาให้ให้เสียงพูดมีความชัดเจน
– Night Mode : โหมดนี้จะเป็นการปิดลำโพง Subwoofer เพื่อลดเสียงเบสลง ทำให้เสียงไม่ไปดังรบกวนคนรอบข้างเวลาใช้งานในช่วงกลางคืน
อีกหนึ่งฟีเจอร์เล็กๆ น้อยๆ แต่น่าสนใจคือ Soundbar ตัวนี้มาพร้อมช่อง Subwoofer Out แบบ RCA ให้คุณสามารถเพิ่ม Subwoofer อีกหนึ่งตัวเพื่อใช้งานในรูปแบบ 2.2 Ch ได้ ซึ่งเหมาพกับคนที่ใช้งาน Soundbar ตัวนี้ในห้องที่มีขนาดใหญ่ หรือหากใครอยากอัพเกรดแทนที่ลำโพง Suubwoofer ไร้สายที่มาในชุดไปเลยก็ได้เช่นกัน