25 Jan 2018
Review

(No spoil) รีวิว Maze Runner: The Death Cure ปิดไตรภาคกับไข้มรณะ!!


  • lcdtvthailand

เรื่องย่อ: ในภาคสุดท้ายของหนังมหากาพย์ภาพยนตร์ไตรภาคอย่าง THE MAZE RUNNER :THE DAETH CURE จะเป็นการปิดตำนานไตรภาคของ THE MAZE RUNNER ที่เข้าฉายในปี 2014 และปี 2015 โดยในภาคนี้ โทมัส ได้นำเหล่าเพื่อนพ้องชาวทุ่งที่หลบหนีมาได้ ไปพบกับภารกิจสุดอันตรายเพื่อไปช่วยเพื่อนที่กำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขาต้องบุกเข้าไปในเมืองในตำนานเมืองสุดท้ายเป็นเขาวงกตที่ถูกควบคุมโดย W.C.K.D ซึ่งอาจเป็นเขาวงกตที่อันตรายที่สุดในบรรดาเขาวงกตทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ใครก็ตามที่รอดชีวิตจะได้รู้คำตอบที่เหล่าชาวทุ่งต่างสงสัยตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาได้ไปที่เขาวงกตนั้นว่า พวกเขาเข้าไปที่เขาวงกตได้อย่างไร? มีจุดเริ่มต้นจากอะไรกันแน่?

บทวิจารณ์: ต้องบอกว่าถ้าใครที่เป็นเเฟนหนัง THE MAZE RUNNERที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกและภาคสองที่ทำออกได้ดีและมีมาตรฐานสูงพอสมควร คงจะคาดหวังกับภาคนี้มากที่จะมีอะไรแปลกใหม่หรือเนื้อหาที่มีสเกลเรื่องใหญ่ขึ้น อลังการหรือฟอร์มยักษ์ขึ้นแต่…เหมือนคำพูดที่ว่าอะไรนะ สูงสุดคืนสู่สามัญ ตัวเนื้อเรื่องในภาคนี้ไม่ได้มีวางโครงเรื่องที่พีคหรืออลังการแต่อย่างใดเพราะเป็นบทสรุปของเรื่องราวในตอนท้ายของเรื่องทั้งหมดแล้ว เป็นเหมือนเเพทฟอร์มของหนังไตรภาค ที่ปูเรื่อง ดำเนินเรื่อง บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด

ซึ่งคงความคลาสสิกตามแบบฉบับหนังไตรภาค ซึ่งคนดูคงจะพอเดาๆได้ หรือรู้อยู่เเล้ว ถ้าได้อ่านหนังสือหรือนิยาย คงพอเป็นแนวๆทาง แต่จะตรงหรือไม่ตรงกับหนังต้องไปติดตามรับชมกันเอาเองนะฮะ เเอดมินจะไม่สปอยเนื้อหาเเต่อย่างใดทั้งสิ้น เผื่อเเฟนๆที่ต้องการลุ้นความเป็นไปของหนังว่าจะมีบทสรุปอย่างไร เอาล่ะมาพูดถึงจุดเด่นของหนังภาคนี้ที่แอดมินสัมผัสได้เเละชอบมากที่สุดเลย คือโปรดักชั่น การถ่ายทำในทุกช็อตทุกชีน พูดได้ว่า”เดอะเบส”เพราะกล้องเอาอยู่หมด คือกล้องไม่ว่าจะช็อตชีนวิ่ง บู๊ ต่อสู้ ตัวละครเคลื่อนที่ไปกล้องไปไหน ณ จุดๆนั้น โดนไม่หลุดเเม้เเต่นิดเดียว และมีความสมูทต่อเนื่องกันชัดเจน ใครที่เรียนสายโปรดักชั่นหรืออะไรทางนี้จะรู้ว่าการถ่ายทำนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

หนังมีความไหลลื่นมาก มีมุมภาพหลากหลายแบบ ชีนสวยๆหลายฉาก CG เอฟเฟคดีมากสมราคาหนังใหญ่ ยิ่งได้ดูในระบบ IMAX ต้องบอกว่าสเกลภาพและความตื่นเต้นนั้นจะยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก นี่คือจุดนึงที่ประทับใจ ต่อมาคือเนื้อหาของหนัง ที่ดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องจะไม่มีอะไรแต่มันเเฝงด้วยอะไรหลายๆอย่าง ที่มองภาพชัดเจนเลยคือมิตรภาพที่ดีที่สุดของเหล่าเพื่อนฝูง ที่ร่วมชะตากรรมฟ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน และเเฝงไว้ด้วยแง่คิดเเละมุมมองในสังคมที่โหดร้ายที่คน ที่โดนคนมีอำนาจกดขี่ ข่มเหง มีทิฐิ โดยยึดความคิดตัวเองเป็นหลัก ซึ่งทำอะไรก็ตามแต่เพื่อให้ตัวเองไม่เสียผลประโยชน์ ซึ่งถ้าเรามองดีๆหนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นหมดเลย นิดนึงละกันนะ ภาคนี้มีแอบดราม่าน้ำตาซึมอยู่เลยแหละ ต้องไปดู โดยรวมหลักๆแล้วดีมาก

สรุปหนัง: ในเวลาความยาวของหนัง โดยประมาณถ้ากะๆก็ 2ชม.40นาทีต้องบอกว่ารู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวมากเลย รู้สึกว่าหนังดำเนินเรื่องได้ไว เพราะเนื้อเรื่องดูไม่ค่อยจะมีอะไร มันคาดเดาได้พอสมควรว่าหนังจะจบเเบบไหน แต่…ดูเพลินครับเพราะอย่างที่บอกจุดเด่นเลยคือการถ่ายทำ โปรดักชั่นดีมาก ฉากต่อสู้ค่อนข้างเยอะพอสมควร ไม่ได้พูดพร่ำเพ้อรำลึกถึงอดีตอะไร คือหนังดำเนินเรื่องไปข้างหน้าตรงๆเลยไม่ย้อนความหลังอะไรทั้งสิ้น ตรงดีชอบ บทพล็อตเรื่องเนื้อเรื่องเฉยๆแต่มีจุดพีคดราม่าสะเทือนอารมอยู่ คือรู้สึกว่าหนังมันไม่ต้องจบแบบนี้ก็ได้รึเปล่า

เเฟนๆหลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบ รวมถึงตัวผมเอง แต่เอาน่ะคนเขียนบทคงคิดมาเเล้วว่านี่แหละคือบทสรุป ขึ้นอยู่กับมุมของแต่ละคนว่าจะมองยังไง คือบทเฉยๆเเต่การถ่ายดำเนินเรื่องดีมากประมาณนี้ ที่พูดอยู่เลย โปรดักชั่นนดี ถ่ายทำสุดยอด CG อลังการ กล้องเอาอยู่หมด ชอบความรู้สึกของตัวละครที่เเสดงออกที่สื่อถึงกันในทุกๆทางซึ่งแต่ละตัวละครมีบทสรุปเเละความเป็นไปที่เเสดงออกในหลายๆอย่างแต่ท้ายสุดเเล้วมันก็มีความเกี่ยวเนื่องและสอดคล้องกันทั้งหมด ซึ่งสื่ออารมณ์ได้ดี ชัดเจนครับ เเละความรู้สึกถึงสิ่งดีๆมิตรภาพแน่นอนเลยสัมผัสได้ชัดเจนเช่นกัน เเง่คิด มุมมองที่ได้จากหนังมีเเน่นอน ท้ายสุดที่จะพูดเลยคือ หนังสนุกครับประทับในความรู้สึกนึง แต่ถ้าให้พูดคือความรู้สึกส่วนตัวไม่ชอบบทสรุป แบบนี้สักเท่าไหร่ แต่เป็นหนังที่ชอบที่มากอีกเรื่องนึงเลย ในปีนี้ 

คะแนน 8/10