เสียง
นอกจากอารยธรรมเมโสโปเตเมียที่เป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของโลกใบนี้ เรายังมีอารยธรรม Walkman ที่นับว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการเครื่องเสียง จนถึงทุกวันนี้แม้ว่ากระแส Walkman จะไม่ร้อนแรงเหมือนแต่ก่อน แต่การมาของ Hi-Res Audio กำลังจะมาปลุกกระแสดังกล่าวให้ดูครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้งเพราะทั้ง MDR-1ABT และ NWZ-A15 มาพร้อมกับสารพัดฟีเจอร์สำหรับการฟังเพลงความละเอียดสูงทั้งคู่
NWZ-A15 รองรับการอ่านไฟล์ FLAC ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 24bit/192kHz ถ้าพูดกันง่ายๆ ก็เรียกว่าเป็นไฟล์ที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับจากสตูดิโอมากที่สุด ซึ่งการที่จะโยนไฟล์ชนิดนี้จากเครื่องเล่นให้มาดังบนหูฟังโดยที่ยังคงประสิทธิภาพที่ดีอยู่ จำเป็นที่จะต้องมีตัวถอดรหัสสัญญาณที่ดี จึงเป็นที่มาของ Bluetooth® LDAC codec บนหูฟังของเราครับ
LDAC เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยให้แบนด์วิธของการส่งสัญญาณเสียงผ่าน Bluetooth กว้างขึ้นกว่าแบบเดิม แต่ก่อนนี้เรามีส่ิงที่เรียกว่า SBC (Subband Coding) ที่ช่วยเราในเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยมีช่วงแบนด์วิธอยู่ที่ 44.1kHz/16bit ซึ่งน่าจะเพียงพอแล้วในสมัยก่อน
ทว่าในปัจจุบันเมื่อเราเข้าสู่ยุค Hi-Res Audio ที่ไฟล์เพลงมีความละเอียดสูงขึ้น เราก็ต้องการช่วงส่งที่กว้างขึ้นด้วยเช่นกันโซนี่เลยได้คิดค้น LDAC ขึ้นมาซึ่งสามารถรองรับบิตเรตได้ที่ 990kbps (ก่อนหน้านี้ได้ 328kbps) ทำให้เวลาที่เราสามารถส่งคุณภาพเสียงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขึ้นไปฟังได้อย่างไม่มีตกหล่น
ซึ่งทางโซนี่ได้แบ่งโหมดให้เราเลือกใช้งาน LDAC ได้สามแบบด้วยกันดังต่อไปนี้
1. Quality Priority mode (990kbps) โหมดใช้งานเต็มประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการฟังในระยะใกล้ ที่ไม่จำเป็นต้องสำรองพลังงาน ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงกว่าฟังจาก CD ธรรมดาถึง 3 เท่า
2. Normal mode (660kbps) โหมดปกติที่ถูกเปิดใช้งานมาจากโรงงานของเครื่องเล่น Walkman ทุกรุ่น
3. Connection Priority mode (330kbps) คล้ายๆ กับโหมดประหยัดพลังงาน ช่วยให้การเชื่อมต่อลื่นไหลไม่มีสะดุด แต่ว่าคุณภาพเสียงก็จะถูก Downsampling ลงมา
นอกจากเรื่องของระบบการส่งสัญญาณแบบไร้สายแล้ว ทั้งตัวเครื่องเล่นและหูฟังยังมาพร้อมกับแอมป์ S-Master HX ที่ถูกปรับจูนมาให้เหมาะกับการเล่นไฟล์ประสิทธิภาพสูงมากขึ้น ด้วยปัจจัยต่างๆ ทั้งหมดนี้เลยช่วยให้ทั้งสองตัวนี้เป็นคู่หูที่พร้อมสำหรับ Hi-Res Audio อย่างแท้จริง
ผมเริ่มทดสอบแบบไร้สายด้วยบรรดาไฟล์ FLAC ที่หลายระดับซึ่งได้มาจากหลากหลายแหล่ง บางไฟล์ก็ 96kHz/24bit บางไฟล์ก็ 192kHz/24bit สลับฟังกันไปเรื่อยๆ กดฟังตรงๆ จาก NWZ-A15 เนื่องจากทั้งสองตัวรองรับเทคโนโลยี NFC เพียงแค่เราหยิบเครื่องเล่นมานาบที่หูฟังข้างซ้าย ตัวเครื่องก็จะทำการจับคู่กันโดยอัตโนมัติ นับว่าออกแบบมาให้ง่ายและสะดวกจริงๆ ส่วนเรื่องการเบิร์นไม่จำเป็นต้องเบิร์นมาก เพราะเครื่องทดสอบนี้น่าจะผ่านมาหลายสำนักรีวิวคงมีการเบิร์นมาบ้างแล้วแน่นอน
หลังจากที่ได้ฟังก็ยอมรับว่า LDAC ช่วยในเรื่องการฟังเพลงประสิทธิภาพสูงได้จริงเสียงที่ได้นั้นออกมาดีสมราคา เนื้อเสียงมาเต็มแบนด์วิธอย่างที่เกริ่นไว้ ที่เห็นได้ชัดคือเพลงที่รายละเอียดเยอะๆ และมีบีตสนุก อย่าง Hero In The Sky จังหวะกลองช่วงอินโทรที่ผ่านการถอดรหัสด้วย LDAC ทำให้มิติและไดนามิคในจังหวะที่ไม้กระทบกับหนังกลองดังออกมาอย่างเป็นธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น ก่อนหน้านี้หากได้ลองฟังแบบบลูทูธสมัยก่อนเสียงที่ถูก Downsampling ลงมาจะทำให้เสียงออกมามีลักษณะแบนๆ ซึ่งลักษณะเสียงแบบนี้จะไม่เกิดกับ MDR-1ABT แน่นอน
ผมเริ่มเลือกแทร็คที่เป็น Vocal Audiophile เน้นเสียงร้องเข้ามาฟังมากขึ้น เพื่อจับคาแร็คเตอร์เสียงของหูฟัง โดยถ้าใครเคยมีโอกาสสัมผัสสินค้าจากโซนี่มาบ้าง ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าลักษณะเสียงจะเด่นในย่านเสียงกลางปลาย มีติดแหลมนิดๆ แล้วก็จะหายไปเด่นอีกทีในเสียงต่ำช่วงต้นๆ ซึ่ง MDR-1ABT ก็มีทิศทางเดียวกันครับ แต่จะมีความละเมียดละไมในการถ่ายทอดมากกว่ารุ่นที่รองลงมา คือถ้าคนชอบก็จะรักเลย แต่ถ้านิยมเสพเสียงที่ Natural ไม่เด่นด้านไหนเลย ก็อาจจะฟังแล้วเหมือนจูนไม่เข้ากับหู
ฟังมาเรื่อยๆ ตัวเครื่องก็ขึ้นเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้จะมอดแล้ว ก็คงไม่แปลกเพราะนับเวลารวมๆ กันแล้วทดลองฟังมานเกือบ 70 ชั่วโมง ฟังทั้งเพลงปกติสลับกับไฟล์ Hi-Res ก็ถือมีอัตราการใช้พลังงานอยู่ในเกณฑ์ที่ดีใช้ฟังต่อเนื่องได้ยาวๆ เหมาะกับการพกพาไปเดินป่าลุยเขาเข้าตลาดสดได้หมดทุกสถานการณ์