7.2-Channel Network AV Receiver
With American Hi-Fi Speaker and Powered Subwoofer
Onkyo TX-NR676E
Polk Signature
Polk HTS-10
ห่างหายการรีวิวเอวีรีซีฟเวอร์จาก Onkyo ไปนาน มาครั้งนี้เป็นรุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องความคุ้มค่าเลย นั่นคือ Onkyo TX-NR676 รุ่นน้องรองจากซีรีส์ตัวท็อปอย่าง RZ Series แต่ดีกรีไม่ได้น้อยหน้า ด้วยฟีเจอร์น่าสนใจมากมาย จนอดไม่ได้ที่จะทำการรีวิว พิสูจน์ให้รู้กันไปว่าจะให้ความคุ้มค่าอย่างที่ร่ำลือกันหรือไม่
ซึ่งฟีเจอร์มากมายที่เอ่ยถึงนั้น มีทั้งด้านภาพและเสียง เช่น รองรับการส่งผ่านสัญญาณ HDR10/Dolby Vision/HLG, รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS:X, บิลต์อิน Chromecast, รองรับบริการสตรีมมิ่งต่างๆ รวมถึง Hi-Grade DAC ที่รับรองเสียงความละเอียดสูงถึง 384 kHz/32-bit เป็นต้น
โดยชุดลำโพงที่ร่วมทดสอบครั้งนี้ก็สมน้ำสมเนื้อเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ชุดลำโพง Polk Signature Series และซับวูฟเฟอร์ไร้สายรุ่นล่าสุด Polk HTS-10 เชื่อว่าหลายท่านคงจะทราบกันดีว่าแบรนด์ Polk Audio นี้ มีเอกลักษณ์เสียงตรงที่เบสมีความหนักแน่นตามสไตล์อเมริกัน จึงนิยมจับคู่กับเอวีรีซีฟเวอร์จาก Onkyo ที่มีความหวานนวลชวนเคลิ้มได้อย่างลงตัว
ราคาของแต่ละรุ่น สนนอยู่ที่…
เอวีรีซีฟเวอร์ Onkyo TX-NR676E ราคา 32,900 บาท
ลำโพงเซ็นเตอร์ Polk Signature S35 ราคา 13,900 บาท
ลำโพงตั้งพื้น Polk Signature S50 ราคา24,900 บาท
ลำโพงวางหิ้ง Polk Signature S15 ราคา 9,900 บาท
ซับวูฟเฟอร์ Polk HTS-10 ราคา 15,900 บาท
Design – การออกแบบ
ดีไซน์ของ Onkyo TX-NR676E ยังคังเอกลักษณ์แบบเดิมเอาไว้ โดยรุ่นนี้เป็นเอวีรีซีฟเวอร์ 7.2-Ch ให้กำลังขับ 165W ต่อแชนแนลที่ 6 โอห์ม น้ำหนักของตัวเครื่องอยู่ที่ 12.5 กก. ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม ให้ความแข็งแรงทนทาน ขนาดตัวค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว หน้ากว้างมีขนาด 53.9 ซม. ความสูง 26 ซม. และความลึก 45 ซม. แนะนำว่าควรวัดขนาดพื้นที่ติดตั้งให้ดี
ด้านหน้าตัวเครื่องมีจอแสดงผลขนาดใหญ่ ให้ความชัดเจนในการอ่านสูง ปุ่มต่างๆ ด้านหน้าประกอบด้วย ปุ่มปิด/เปิดเครื่อง, ปุ่ม Pure Audio, ปุ่มโหมดการฟัง กับ ปุ่มเลือกโทนเสียง ทั้ง 2 ปุ่มนี้จะมีปุ่มหมุนมาด้วย, ช่องอินพุตทุกการเชื่อมต่อใต้จอแสดงผล, ปุ่มเลือกโซน กับ เซ็ตอัพ, ปุ่มจูนคลื่นวิทยุ, ปุ่มหมุนเพิ่ม/ลดระดับเสียง, ช่องต่อหูฟัง 6.35 มม., ช่องต่อไมค์สำหรับเซ็ตอัพเสียง, ช่องต่อ AUX และสุดท้ายช่องต่ออินพุต HDMI
ขยับมาทางด้านหลัง รุ่นนี้ให้ช่องต่อมาครบครันมาก ไม่ว่าจะเป็น Coaxial, Optical, Ethernet, Component, AV In, Phono In, FM/AM, USB, HDMI อินพุต 6 ช่อง และ HDMI เอ๊าท์พุตอีก 2 ช่อง (รองรับ ARC เพียงช่องเดียว) ส่วนช่องต่อสายลำโพงนั้น สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งสายเปลือยและสายหัวกล้วย รองรับการติดตั้งลำโพงเซอร์ราวด์ด้านสูง ในรูปแบบ 5.2.2 แชนแนล และสามารถแยกใช้งานโซน 2 ได้ด้วย ทั้งยังมีเสารับสัญญาณอยู่ 2 เสา รองรับสัญญาณ Wi-Fi แบนด์วิธ 2.4GHz และ 5GHz รวมถึง Bluetooth
สำหรับรีโมทของรุ่นนี้ มีหน้าตาเรียบง่าย ตัดปุ่มตัวเลขออก ทำให้มีรีโมทมีขนาดสั้นลง กะทัดรัดไม่ใหญ่เทอะทะ ปุ่มคำสั่งมีพอดีต่อการใช้งาน เช่น ปุ่มช่องอินพุตต่างๆ, ปุ่ม Net ที่รวมช่องทางสตรีมมิ่งเอาไว้, ปุ่ม Quick Menu, ปุ่ม i เพื่อแสดงรายละเอียดคอนเท็นต์ที่เล่น, ปุ่มตั้งค่า, ปุ่มโหมดเสียง เป็นต้น
ทำความรู้จักกับเอวีรีซีฟเวอร์กันไปแล้ว มาดูดีไซน์ของชุดลำโพง Polk Signature กันบ้าง รุ่นนี้วางจำหน่ายมาสักพักแล้ว หลายท่านคงจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี Polk Audio ไม่ได้ออกชุดลำโพงซีรีส์ใหม่มานาน ซึ่งรุ่นนี้มาในคอนเซ็ปต์ American Hi-Fi จะมีอะไรใหม่ และน่าสนใจอย่างไรบ้าง เดี๋ยวจะอธิบายต่อในส่วนถัดไป
รูปลักษณ์ภายในของซีรีส์ Signature มีความสวยงามเป็นอย่างมาก จนต้องเทคะแนนในเรื่องการออกแบบ ใช้วัสดุหลักเป็นไม้เนียนสวย ขอบตู้โค้งมน ลำโพงตั้งพื้นรุ่น S50 มีความสูง 95 ซม. น้ำหนักประมาณ 14 กก. บริเวณฐานจะยกตัวตู้ลำโพงลอยขึ้นมา ช่องคายเสียงอยู่ใต้ตู้ลำโพงฐานของรุ่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของฟีเจอร์ที่ชื่อ Power Port ที่จะอธิบายในส่วนถัดไปนั่นเอง มีขาลำโพงที่ให้ความแข็งแรงมั่นคงสูง พื้นเป็นยาง ลดการสะเทือนดีเยี่ยม แต่ไม่สามารถใส่สไปค์รองลำโพงได้
S50 ใช้ช่องต่อ Binding Post ชุบทองแบบ Bi-Wire มีบริดจ์เชื่อมสัญญาณมาให้แล้ว รองรับการเสียบสายลำโพงหัวกล้วย สลับมาที่ด้านหน้าบ้าง ช่วงดอกลำโพงจะมีแผงหน้าสีดำมันวาว เพิ่มความสวยงามหรูหรา รอบดอกลำโพงทวีตเตอร์มีการสลักคำเอาไว้ว่า “Polk Audio American HiFi Est. 1972” อันหมายถึง Polk Audio เป็นแบรนด์ที่ให้เสียงคุณภาพสไตล์อเมริกันมาตั้งแต่ปี 1972 เหมือนเป็นการตอกย้ำความมั่นใจในคุณภาพจากชื่อซีรีส์ Signature ขึ้นไปอีก
ดอกทวีตเตอร์ขนาด 1 นิ้ว เป็น Terylene Dome Tweeter หรือก็คือเส้นใยโพลีเอสเตอร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งทาง Polk Audio ได้เคลมเอาไว้ว่ารองรับเสียงระดับ Hi-Res สามารถตอบสนองย่านเสียงได้สูงถึง 40kHz เลยทีเดียว ส่วนดอกลำโพงมิดเรนจ์ของรุ่นนี้มีจำนวน 2 ดอก ขนาด 5.25 นิ้ว เป็น Dynamic Balance ใช้วัสดุที่มีส่วนผสมระหว่าง Mica และ Polypropylene ด้านหลังดอกลำโพงจะมี Voice Coil ที่ซ้อนกันถึง 4 ชั้น ช่วยในเรื่องรายละเอียดเสียงที่มีความกระแทกกระทั้น แต่ยังได้ความชัดเคลียร์
ต่อมาที่ลำโพงวางหิ้งรุ่น S10 ตัวตู้มีขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่ ความสูง 12 นิ้ว ความลึก 7.5 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 5.9 กก. มีดีไซน์แบบเดียวกับ S50 ส่วน Power Port ของ S10 จะอยู่ทางด้านหลัง ด้านช่องต่อเป็น Binding Post ชุบทองแบบ Single-Wire ดอกลำโพงประกอบด้วยทวีตเตอร์และมิดเรนจ์อย่างละ 1 ดอก เป็นไซส์และชนิดเดียวกับรุ่น S50 เลย
ลำโพงรุ่น S35 เป็นอีกหนึ่งลำโพงเซ็นเตอร์ที่มีความอลังการมาก ตรงที่ใช้ดอกลำโพงมากถึง 7 ดอกแบ่งเป็นทวีตเตอร์ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 1 ดอก และลำโพงมิดเรนจ์ขนาด 3 นิ้ว จำนวน 6 ดอก ที่ให้มาเยอะขนาดนี้ เพราะต้องการลดช่องว่างเสียงระหว่างลำโพงเซ็นเตอร์กับลำโพงคู่หน้า เติมเต็มพื้นที่การฟังได้มากขึ้น ด้านหลังลำโพงก็มี Power Port เช่นกัน และช่องสำหรับเสียบแขวน ซึ่งใครที่สะดวกติดตั้งบนชั้นวางทีวี ด้วยความสูงแค่ 4 นิ้ว จึงประหยัดพื้นที่ติดตั้งได้เป็นอย่างมาก
สุดท้ายที่ซับวูฟเฟอร์รุ่น HTS-10 รุ่นนี้ก็เป็นหนึ่งใน Signature Series มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ความสูง 16.5 นิ้ว หน้ากว้าง 15.12 นิ้ว น้ำหนักอยู่ที่ 17 กก. เศษๆ มีดีไซน์เฉกเช่นกับตระกูล Signature รุ่นอื่นๆ ดอกลำโพง Dynamic Balance Polypropylene ขนาด 10 นิ้ว ภายในบรรจุแอมป์คลาส D ให้กำลังสูงสุด 200W ตอบสนองย่านเสียงตั้งแต่ 25Hz-180Hz ด้านล่างตัวเครื่องจะมี Power Port ยกตัวตู้ลอยขึ้นมา ช่องต่อทางด้านหลังมีให้ทั้ง LFE และ RCA (ซ้าย-ขวา) รวมถึงมีปุ่มสำหรับปรับเสียง, จุดตัดเสียง และปรับเฟส มาให้อย่างครบครัน สามารถอัพเกรดสายไฟได้ด้วย