07 Jan 2016
Review

Enhanced Audio Plus Visual Entertainment !! รีวิว Oppo BDP-105D 4K 60Hz Ready Universal Player


  • ชานม

4K/60Hz Ready Universal Player

Enhanced Audio+Visual
Entertainment !!

หลังจากที่ Oppo นำ BDP-103D ซึ่งเป็นรุ่นอัพเกรดของ BDP-103 ออกสู่ตลาด โดยจุดหลักสำคัญของรุ่น “D” เป็นการพัฒนาปรับเปลี่ยนในส่วนวิดีโอสเกลเลอร์ชิพ อาศัยเทคโนโลยีจาก DarbeeVision ซึ่งตรงนี้ไม่ต้องเดาให้เหนื่อยว่าเมื่อถึงคิวของพี่ใหญ่ BDP-105 คงไม่แคล้วดำเนินการแบบเดียวกันในรุ่น BDP-105D

รายละเอียดของ DarbeeVision บริษัทผู้อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีวิดีโอสเกลเลอร์ ที่ Oppo เลือกใช้กับเพลเยอร์รุ่นใหม่ลงท้ายด้วย “D” อาทิ BDP-105D เครื่องนี้ ผมคงไม่กล่าวซ้ำ เพราะได้เกริ่นไปบ้างแล้วใน รีวิว Oppo BDP-103D (<<คลิกเพื่ออ่านรีวิว) ส่วนรายละเอียดภายนอก จะมีความแตกต่างจากรุ่นก่อน (BDP-105) หรือไม่ มาดูกันครับ

Design – การออกแบบ

เป็นดังเช่นที่ Oppo ดำเนินการไปกับรุ่นเล็กก่อนหน้า การอัพเกรดจะสังเกตได้เฉพาะส่วนประกอบข้างในตัวถังเท่านั้น สำหรับภายนอกของ 105D จึงไม่มีความแตกต่างจาก 105 เดิม

ด้านหน้าดูแล้วเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อน การจะแยกแยะว่าเป็นรุ่นใหม่ (105D) ต้องอาศัยดูจากชื่อรุ่นตัวเล็กๆ หรือไม่ก็สังเกตโลโก้ Darbee ที่กำกับไว้ด้านล่าง

ช่องระบายถ่ายเทความร้อนบริเวณฝาครอบตัวถังด้านบน กับดีไซน์ไร้เสียงพัดลมรบกวน (fanless) ของ 105D ยังคงไว้เหมือนเช่นรุ่น 105 (หากเป็นรุ่น 95 จะใช้พัดลมระบายความร้อนออกทางด้านหลัง ไม่มีการเจาะช่องระบายด้านบน)

เอกลักษณ์ปุ่มเพาเวอร์สวิทช์ทางด้านซ้าย ที่จัดวางโลโก้ Oppo เอาไว้ด้วย

แผงหน้าปัดเรียบง่าย มีเพียงปุ่มควบคุมระบบสัมผัสเพียงไม่กี่ปุ่ม (เฉพาะ Eject เป็นปุ่มกด ไม่ใช่สัมผัส) ซึ่งจะเรืองแสงขึ้นเมื่อเปิดเครื่อง สามารถมองเห็นได้แม้ในที่มืด บริเวณส่วนล่างใต้แผงหน้าปัด เป็นตำแหน่งช่องต่ออินพุต/เอาต์พุต ทางด้านหน้า มี USB In, MHL/HDMI In และ Headphone Out (เหมือนกับรุ่น 105) ช่องต่อ Headphone Out นี้ ถือเป็นความพิเศษเฉพาะของรุ่นใหญ่ (105D/105) ไม่มีในรุ่นเล็ก (103D/103) กล่าวคือ ภาคขยายหูฟังคุณภาพสูงถูกติดตั้งมาด้วย

ด้านหลังยังคงเลย์เอาต์เดิมจากรุ่นก่อน ช่องต่อทั้งหมดชุบทอง เงาวับ มาไล่ดูกันอีกทีว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง

จุดเด่นที่ 105D/105 เหนือกว่ารุ่นเล็กอย่าง 103D/103 คือ อะนาล็อกเอาต์พุตแบบ 2 แชนเนล ที่แยกเฉพาะ ไม่ได้รวมอยู่กับช่องอะนาล็อกมัลติแชนเนลเอาต์ (7.1) เหมือนรุ่นเล็ก พร้อมกับให้มาทั้งรูปแบบ Balanced XLR และ Unbalanced RCA จุดนี้สัมพันธ์กับการออกแบบภายในที่แยกแผงวงจร DAC สำหรับ 2 แชนเนลออกมาต่างหาก (มี ESS SABRE32 DAC chip 2 ชุด ชุดหนึ่งสำหรับ 2 แชนเนล อีกชุดสำหรับมัลติแชนเนล)

ด้านล่างจะเป็นตำแหน่งของ Dual HDMI Out แยกสัญญาณภาพและเสียงได้ และยังมี Digital Audio Out ตามมาตรฐาน S/PDIF (Coax, Optic) ให้ด้วย เผื่อใครจะต่อกับ DAC ภายนอก หรือเชื่อมต่อกับ AVR หรือชุดโฮมเธียเตอร์รุ่นเก่า (ที่ยังไม่มี HDMI)

HDMI In (รวมช่องด้านหน้าก็เป็น 2 ช่อง เฉพาะ HDMI In ด้านหน้า รองรับ MHL) มีไว้สำหรับกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อสัญญาณวิดีโอจากแหล่งโปรแกรมภายนอก (อาทิจาก Set-top Box, Smart Phone ฯลฯ) เข้ามาอัพสเกลผ่าน Oppo

USB Input สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ 2 ช่อง (รวมช่องด้านหน้าก็เป็น 3)

การเชื่อมต่อกับเครือข่ายบ้าน รองรับทั้ง LAN และ Wi-Fi ซึ่งอย่างหลัง จะมี USB Wi-Fi Dongle แถมให้มาด้วยเช่นเคย

จากภาพนี้ ด้านบนจะเห็นตำแหน่งติดตั้งช่องสัญญาณอะนาล็อกมัลติแชนเนล (7.1) จัดวางห่างกันให้เชื่อมต่อสายได้สะดวกกว่ารุ่นเล็กมาก ส่วนด้านล่างจะเป็นตำแหน่งของช่องต่อ Digital Audio Input เรียกว่าเป็นทีเด็ดที่ดึงศักยภาพของ DAC ภายใน คือ ESS Sabre32 ออกมาใช้ได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น

Digital Input รองรับสัญญาณดิจิทัลออดิโอรายละเอียดสูงจากแหล่งโปรแกรมดิจิทัลภายนอก อาทิ CD Transport, Set-top Box, Game Console ฯลฯ ผ่านทางช่องต่อ Optical และ Coaxial แต่ที่สำคัญคือ USB Input เพื่อการใช้งานในรูปแบบ Computer Audiophile ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอยู่นั่นเอง (รายละเอียดจะกล่าวถึงต่อไป)

ช่องต่อสายไฟเอซี เป็นมาตรฐาน IEC สามขา ถอดเปลี่ยนสายไฟได้ ดูรายละเอียดภายนอกไปแล้ว ต่อไปดูส่วนประกอบข้างในของ BDP-105D กันบ้างครับ