ภาพ
เสียง
การทดสอบคุณภาพเสียงของ LX800 ผมจะแยกรายงานผลเป็น 2 ส่วน ลำดับแรก จะกล่าวถึงผลการใช้งานเมื่อเชื่อมต่อสัญญาณ Digital HDMI Out ในระบบโฮมเธียเตอร์ และลำดับถัดมาจึงเป็นการรายงานผลการเชื่อมต่อสัญญาณ Analogไปยังซิสเต็มฟังเพลงแบบ 2.0/2.1
มีเคล็ดลับวิธีการให้ได้ภาพและเสียงที่ดีที่สุดจาก LX800 เมื่อเชื่อมต่อสัญญาณ Digital (HDMI) ไปยังระบบโฮมเธียเตอร์ คือ
หากทำได้ดังนี้ ก็จะได้ภาพและเสียงสำหรับระบบดิจิตอลโฮมเธียเตอร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะหาได้ตอนนี้ ซึ่งผลลัพธ์ด้านเสียงผ่านการเชื่อมต่อสัญญาณแบบดิจิตอลนั้น ดูจะเหนือกว่าตำนานอย่าง Oppo 205 ด้วยซ้ำ จุดเด่น คือ น้ำหนักเสียง ดูมีพลังจะแจ้งกว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความสงัดที่ส่งผลให้การรับรู้รายละเอียดต่างๆ ดูชัดเจนขึ้นมาอีกเล็กน้อย
แล้วถ้าเชื่อมต่อใช้งาน LX800 แบบปกติ โดยใช้สาย HDMI เส้นเดียว (Single) และ Off – Transport Mode จุดเด่นข้างต้นอาจจะย่อหย่อนลง แต่ผลลัพธ์ยังดีอยู่ครับ ยังให้ความแตกต่างเหนือกว่ารุ่น LX500 ของ Pioneer เอง ทั้งการถ่ายทอดไดนามิก ความหนักแน่น เสียงร้องมีบอดี้อิ่มหนากว่า และรายละเอียดเล็กๆ น้อยย่านปลายเสียงไปจนถึงเบสลึก เหล่านี้ถึงแม้จะใช้งานร่วมกับซิสเต็มธรรมดาราคาไม่แพงอย่าง Onkyo TX-SR373 และชุดลำโพง SKF-4800/SKS-4800 ก็จับความแตกต่างได้ แต่จะให้ชัด จับคู่กับซิสเต็มโฮมเธียเตอร์ระดับสูงจะดึงศักยภาพออกมาได้สุด คุ้มกับค่าตัว LX800 มากกว่า
ลำดับถัดมา ทดลองกับการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงแบบอะนาล็อกดูศักยภาพของ DAC ภายใน LX800 ดูบ้าง โดยทำการเชื่อมต่อสายสัญญาณ Analog Balanced XLR จาก LX800 ไปยัง Analog Balanced Audio In ของ Onkyo PR-SC5507 กับ PA-MC5501 ใช้งานแบบ 2.0 (Front Bi-amp) ร่วมกับลำโพง Quad 22L บางช่วงอาจลองใช้งานแบบ 2.1 โดยเพิ่มเติมลำโพงแอ็คทีฟซับวูฟเฟอร์ Polk Audio HTS10 พบว่า หากเปรียบเทียบกับ Oppo 205 สไลต์เสียงมีความแตกต่างอยู่ในที
LX800 ให้ความกระฉับกระเฉงและรุกเร้ากว่าเล็กน้อย ฟังกับอัลบั้มทั่วไปไม่เจาะจงแนวเพลงโดยเฉพาะจะสนุกมาก รายละเอียดชัดเจน เบสกระชับ เก็บตัวดี ในขณะที่ Oppo เด่นเรื่องความไหลลื่นในน้ำเสียง ฟังผ่อนคลายเน้นเพลงร้องอิ่มหวานจะเด่นมาก ประเด็นนี้ผมถือว่าไม่มีแพ้ชนะ ขึ้นอยู่กับว่าแนวเสียงแบบไหนที่ต้องกับรสนิยมมากกว่า
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ฟันธงเลยว่าเสียงอะนาล็อกจาก LX800 ดีกว่า LX500 “แบบคนละชั้น” ! พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่า LX500 ไม่ดี แต่ LX800 ทำได้เหนือกว่ามาก บอดีเสียงเป็นสามมิติ และไล่น้ำหนักจับต้องได้ชัดเจนกว่า โดยจะสังเกตความต่างได้ชัดเมื่อเล่นกับฟอร์แม็ต Hi-res ท่านใดที่มองๆ หาเพลเยอร์รุ่นใหม่ไปใช้งานทั้งรับชมภาพยนตร์ และฟังเพลงกับซิสเต็มอะนาล็อก 2 แชนเนล ลงทุนกับ LX800 ก็จะเป็นอะไรที่คุ้มมากครับ
มีคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการรับฟังเสียงผ่านการเชื่อมต่อสัญญาณแบบอะนาล็อกจาก LX800 คือ การเปิด Direct Mode (Pure Audio) ระบบฯ จะปิดการทำงานของภาควิดีโอลง (จะไม่มีสัญญาณภาพออกไปที่จอทีวี) เพื่อลดทอนสัญญาณรบกวนจากวงจรภายใน เสียงจะมีความสงัดมากยิ่งขึ้น หากซีเรียสสามารถปิดจอแสดงผลที่อยู่หน้าเครื่อง LX800 ได้ โดยกดปุ่ม Dimmer ที่รีโมต
ด้วยราคาที่สูงกว่ารุ่น LX500 เท่าตัว อาจดูเป็นการลงทุนที่สูงไม่น้อย อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้น หลายจุดเป็นการเอาใจใส่แม้ในจุดเล็กๆ แต่มันมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การถ่ายทอดคุณภาพของภาพและเสียงสมบูรณ์แบบใกล้เคียงอุดมคติมากยิ่งขึ้น จึงไม่แปลก หาก LX800 จะเป็นหนึ่งใน 4K Universal Blu-ray Player ที่ดีที่สุดเวลานี้
ข้อดี
- 4K Universal Blu-ray Player ที่มีโครงสร้างงานประกอบแน่นหนา จัดการกับสัญญาณรบกวนและให้ความมั่นคงสูงมาก ใส่ใจกับวัสดุอุปกรณ์ภายในคุณภาพโดดเด่นที่สุดเวลานี้
- เล่นฟอร์แม็ตแผ่นดิสก์ได้หลากหลาย ทั้ง 4K/Full HD Blu-ray, 3D, DVD, CD ไปจนถึง SACD และ DVD-Audio รองรับมัลติมิเดียไฟล์ทั่วไปได้ครอบคลุม
- ฟังก์ชั่น Pure Digital Transport Mode ร่วมกับ Dual HDMI Output ให้ภาพ-เสียงดิจิตอลที่สมบูรณ์เหนือ 4K Blu-ray Player อื่นใด
- วงจรอะนาล็อกออดิโอโดดเด่นกว่ารุ่น LX500 มาก เพิ่ม Balanced XLR แยกทางเดินสัญญาณซ้าย-ขวา พร้อม Twin 768kHz/32-bit DAC chip จาก ESS
ข้อเสีย
- Home Menu และอินเทอร์เฟสต่างๆ ดูเชยไปสักนิด บางจุดอาจจะใช้งานไม่สะดวกมากนักแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
- ไม่มี HDMI Input, Digital Audio Input (Asynchronous USB, S/PDIF) และ Built-in Headphone Amp ความอเนกประสงค์จึงยังเป็นรองตำนานอย่าง Oppo 205
- ไม่มี Wi-Fi Built-in แต่ถ้ามองอีกมุมถือเป็นข้อดี เพราะเป็นการตัดวงจรที่จะสร้างสัญญาณรบกวนออกไป
- ไม่มีลูกเล่นรองรับ Online Video/Music Streaming Services แต่คุณสมบัตินี้สามารถเล่นผ่าน Smart TV หรือ AVR ในปัจจุบันได้อยู่แล้ว