02 Feb 2024
Review

รีวิว Klipsch The One Plus ลำโพงตั้งโต๊ะดีไซน์พรีเมียม ที่มีดีมากกว่า Bluetooth


  • ชานม

ไลฟ์สไตล์ทุกวันนี้คงจะขาดลำโพงบลูทูธในบ้านไปไม่ได้ แต่จะดีกว่าไหม หากลำโพงบลูทูธมีประสิทธิภาพรองรับการใช้งานที่หลากหลายไม่ใช่แค่การฟังเพลงผ่านบลูทูธเพียงอย่างเดียว แต่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เพื่อความบันเทิงอื่น ๆ ได้พร้อมกัน และที่สำคัญ คือ เป็นการเชื่อมต่อที่ให้คุณภาพเสียงดีกว่าด้วยครับ…

The One Plus ลำโพงบลูทูธแบบตั้งโต๊ะดีไซน์พรีเมียมรุ่นล่าสุดของ Klipsch เน้นตั้งวางภายในบ้าน การใช้งานต้องเสียบปลั๊กไฟ ไม่มีแบ็ตเตอรี่ในตัว โดยในซีรี่ส์เดียวกัน จะมี The Three Plus อีกรุ่น ขนาดตู้จะใหญ่กว่า

การออกแบบ

The One Plus มีให้เลือก 2 สี คือ ตู้ลายไม้ Walnut คู่กับหน้ากากผ้าสีเทาอ่อน ดูซอฟต์ ออกแนวโมเดิร์น และตู้ลายไม้ Ebony คู่กับหน้ากากผ้าสีเทาดำ เคร่งขรึม ดูคลาสสิก

การควบคุมหลัก ๆ จะดำเนินการผ่านแอป Klipsch Connect บน Smartphone แต่ที่ด้านบนลำโพงก็มีปุ่มควบคุม Multifunction Button คือ ปุ่มเดียวใช้เปิด/ปิดเครื่อง (กด 1 ครั้ง), สลับอินพุตสัญญาณ (กดซ้ำ ๆ), ไปจนถึงเปิดโหมด Bluetooth Pairing (กดค้าง) ส่วนการปรับระดับเสียงดำเนินการผ่านโวลุ่ม

โลโก้ Klipsch บนพื้นโลหะสีเงินที่มุมขวาดูเก๋ไก๋ ช่วยส่งเสริมขับเน้นให้ลำโพงดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

ด้านล่าง มีขายางรองรับ ให้ความมั่นคง กันลื่น และลดทอนแรงสั่นสะเทือน

ช่องต่อ

ดังที่เปิดหัวไปว่า The One Plus เป็นลำโพงบลูทูธอเนกประสงค์ จึงรองรับการเชื่อมต่อเสียงหลากหลาย ทั้งสัญญาณแบบดิจิตอลในรูปแบบไร้สาย และใช้สาย นอกจาก Bluetooth แล้ว ที่เพิ่มเข้ามาพิเศษ คือ ช่องต่อ USB-C ทำหน้าที่ “USB DAC” ได้ ! และยังมีช่องต่ออะนาล็อกแบบ AUX (3.5 mm) ให้ด้วย…

การรับ Bluetooth 5.3 รุ่นนี้รองรับ Codec สูงสุด คือ AAC จากการทดลองเชื่อมต่อกับ Smartphone รวมถึง Smart TV ก็ทำได้ง่าย ๆ เปิดสัญญาณค้นหา-จับคู่แป๊บเดียวก็ได้แล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ต้องเน้น คือ ไม่พบอาการเสียงดีเลย์แต่อย่างใด ฟังก์ชั่นนี้จึงใช้ประโยชน์ได้ไม่ใช่แค่ฟังเพลง จะเชื่อมต่อรับฟังเสียงเวลาดูหนัง หรือเล่นเกม ก็ทำได้ไม่ติดขัด

แต่ทีเด็ด คือ การเชื่อมต่อผ่าน USB-C เพราะให้คุณภาพเสียงโดดเด่นที่สุด ! อันที่จริงการเชื่อมต่อใช้งานก็ไม่ยุ่งยาก หากจะเชื่อมต่อกับ PC ด้วยระบบ Plug and Play เสียบสายกับอุปกรณ์ก็ใช้งานได้เลยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์ ทว่าในกล่องไม่มีสาย USB แถมมาให้นี่สิ แต่คงไม่ใช้ปัญหา เพราะยืมสายจาก Smartphone มาใช้งานได้ (ต้องเป็นสาย USB ที่รองรับ Data Connection สายที่แถมมากับ USB Charger บางเส้นอาจใช้ไม่ได้นะ)

หรือจะเชื่อมต่อกับ Android Smartphone หรือแม้แต่ Android TV/Box ก็ได้ด้วยนะ (ในภาพผมลองเชื่อมต่อกับ Nvidia Shield)

ข้อดีของการเชื่อมตอ่สัญญาณเสียงผ่านสาย USB คือ เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อข้อมูล Digital Audio แบบ “Uncompression (Lossless)” จึงให้คุณภาพเสียงได้เหนือกว่า Bluetooth ที่เข้ารหัสแบบ Lossy Compression ครับ ! ทั้งนี้การรองรับรายละเอียดสัญญาณเสียงสูงสุดผ่าน USB DAC ของ The One Plus จะอยู่ที่ 16-bit/48kHz ยังไม่ถึงขั้น Hi-res แต่ก็ให้คุณภาพเสียงได้โดดเด่นครับ

USB-C ของ The One Plus ยังมีอีกฟังก์ชั่น คือ เสียบ USB Flash Drive เพื่อเล่นไฟล์เพลงได้ด้วย (ต้องสลับโหมดจาก USB DAC เป็น USB Flash Drive ก่อน โดยกดปุ่มสีดำที่ด้านหลัง The One Plus 1 ครั้ง)

สุดท้าย ขาดไม่ได้ คือ ช่องต่อ AUX เอื้อประโยชน์กรณีที่ต้องการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงในรูปแบบอะนาล็อก อย่างเคสนี้ผมทดลองเชื่อมต่อ The One Plus ร่วมกับ Turntable + Phono Stage เพื่อฟังแผ่นเสียงไวนิล ก็ใช้การได้ดี ทว่าต้องจัดหาสายสัญญาณอะนาล็อก Stereo RCA to 3.5 mm หรือ 3.5 mm to 3.5 mm เองนะครับ ในกล่องไม่มีแถมมาให้

คุณสมบัติพิเศษ

Klipsch Connect app ใช้สำหรับตั้งค่า และควบคุมฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ The One Plus อาทิ ปรุงแต่งเสียงผ่าน EQ สำเร็จรูป หรือปรับเสียงแต่ละย่านด้วยตนเอง ซึ่งใช้ชดเชยดุลเสียงจากตำแหน่งตั้งวางได้ ไปจนถึงเปลี่ยนอินพุตแหล่งสัญญาณ ฯลฯ

The One Plus ยังมาพร้อมคุณสมบัติ Broadcast Mode รองรับการเชื่อมต่อร่วมกับลำโพงอื่น ๆ ของ Klipsch เพื่อกระจายเสียงให้ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ภายในบ้านพร้อมกันได้มากกว่า 10 ตัว (ลำโพงแต่ละตัวต้องอยู่ในระยะที่สัญญาณ Bluetooth ส่งไปถึง) สามารถเชื่อมต่อกับลำโพงรุ่นเดียวกัน หรือลำโพงอื่นที่รองรับคุณสมบัตินี้ อย่าง The Three Plus, Nashville, Austin และ Detroit เป็นต้น

ผลการใช้งาน

ถ้าเน้นความสะดวก ต้องยกให้ Bluetooth เพราะไม่มีสายพะรุงพะรังเกะกะ จึงเหมาะกับการเชื่อมต่อฟังเพลงจาก Smartphone จะย้ายตำแหน่งยกลำโพงไปห้องอื่นฟังเพลิน ๆ หรือทำกิจกรรมอื่นไปพร้อมกันได้ แค่เสียบปลั๊กแล้วเปิด Bluetooth เชื่อมต่อแป๊บเดียว

หรือถ้าตั้งลำโพงในห้องรับแขกดูทีวี อาจจะเชื่อมต่อ Bluetooth กับ Smart TV ก็ได้เช่นกัน ช่วยอัพเกรดคุณภาพเสียงของทีวีได้ดีเลย เสียงสนทนาชัดเจนขึ้น ไม่คลุมเครืออุดอู้แบบลำโพงทีวี ที่สำคัญ คือ ปริมาณเบสเต็มอิ่มขึ้นมาก จริงอยู่ว่าเบสลึกอาจไม่เท่าชุดลำโพง 2.1 หรือ ซาวด์บาร์ที่มาพร้อมซับวูฟเฟอร์แยกชิ้น แต่ถือว่าเกินตัว ใช้ร่วมกับการชมภาพยนตร์ หรือเล่นเกมได้ดีเลยนะ คุณภาพการฟังเพลงก็ดีขึ้นมาก

ถ้าจริงจังขึ้นมาหน่อย และมี PC อยู่ใกล้ ๆ (หรือใช้ Notebook, Android TV/Box ก็ได้) ผมแนะนำเชื่อมต่อสัญญาณทาง USB-C จะดึงศักยภาพของลำโพงรุ่นนี้ออกมาได้เต็มที่กว่า รายละเอียดจะเปิดเผยชัดเจนขึ้นกว่าการเชื่อมต่อรูปแบบอื่น น้ำเสียงยังคงฟังสบาย ไม่รุกเร้า

และถ้าใครมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่ ก็เชื่อมต่อสัญญาณมายัง The One Plus ได้เช่นกัน คุณภาพเสียงดี ฟังได้เพลิน ๆ ยิ่งถ้าเครื่องเล่นแผ่นเสียงสไตล์วินเทจ ลายไม้สวย ๆ ยิ่งดูเข้ากัน ใช้แต่งบ้านไปด้วยในตัว ดูพรีเมียมเลยแหละ !

สรุป

ลำโพงบลูทูธก็ต้องมีหน้าที่เอาไว้ฟังบลูทูธเป็นเรื่องปกติ แต่ผมมองว่าหากรองรับการเชื่อมต่ออื่น ๆ ด้วย มันจะให้ความคุ้มกว่า โดยเฉพาะหากใครกำลังมองหาลำโพงตั้งโต๊ะขนาดกะทัดรัดไปใช้งานเป็นชุดแรกในบ้าน ซึ่ง Klipsch The One Plus ตอบโจทย์ในจุดนี้ได้ดีมาก จะฟังเพลงจาก Smartphones/PC อัพเกรดลำโพงทีวีเพื่อดูหนัง-เล่นเกม หรือเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็ทำได้ ไม่ต้องสลับสายไปมาระหว่างอุปกรณ์ ที่สำคัญดีไซน์สวย ดูพรีเมียม เอาไว้แต่งห้องได้ด้วยครับ

ราคา Klipsch The One Plus

12,900 บาท