Picture – ภาพ
LG 65OLEDG2 ก็อย่างที่รู้กันคือมาแทนตัว G1 ของปีที่แล้ว เป็นทีวี OLED ความละเอียด 4K รองรับ HDR แบบ Dolby Vision / Dolby Vision IQ จุดเด่นของพาเนล OLED นอกเหนือไปจากความดำ ที่ดำสนิท ชนิดหาตัวเองไม่เจอ ก็คือสไตล์ภาพที่ใส เปิดสว่าง มุมมองดี เพียงแต่จะขุดรายละเอียดได้ดีแค่ไหน อันนี้เราต้องมาดูกัน เพราะนอกจากเรื่องพาเนลแล้วยังขึ้นกับชิปประมวลผลด้วย อย่างในปีนี้ก็ได้ใช้ชิป α9 Gen5 ที่มีความฉลาดในการอ่านสัญญาณมากขึ้น คอนเทนต์ที่ผู้เขียนได้หยิบเอามาทดสอบในเรื่องของรายละเอียดภาพโดยเฉพาะ คือเรื่อง LOU จาก Netflix ในช่วงที่ตัวละครหลักกำลังจะไปสตาร์ทรถเพื่อหลบหนีในเวลากลางคืน
จากที่สังเกตดูพบว่ารุ่นนี้สามารถเกลี่ยแสงได้เนียนขึ้น รายละเอียดในที่มืดก็ทำได้ดี จุดไหนที่ควรเห็นก็ต้องเห็น จุดไหนที่ไม่ควรเห็นก็ไม่เห็น อย่างจุดที่ต้องเห็นก็เช่นแสงไฟที่ส่องเข้ามากระทบตัวละครแล้วค่อย ๆ ไล่ความสว่างลงไปจนถึงมืดสนิท ยกตัวอย่างเช่นดีเทลของเสื้อผ้า หมวก เส้นผมต่าง ๆ พอจุดถึงที่ต้องมืดก็มืดสนิทไม่โพลน สิ่งเหล่านี้พอรวมกันก็ยิ่งทำให้ภาพดูมีมิติไม่แบน ส่วนโหมดภาพที่แนะนำให้ใช้ในการรับชมคอนเทนต์แบบ HDR คือ Filmmaker Mode เช่นเคย
ด้วยความที่ซีรีส์ G2 จัดเป็น OLED TV ระดับท็อป พาเนลที่ใช้จึงไม่ใช่พาเนล OLED ธรรมดา แต่เป็น OLED evo ที่พัฒนามาจากพาเนล WRGB OLED เดิม โดยจุดเด่นที่สุดคือในเรื่องของความสว่างสูงสุด หรือ Peak Brightness ที่ทำได้มากขึ้น จึงทำให้ตัวทีวีสามารถสู้แสงได้มากกว่าเดิม ภาพ HDR เจิดจรัสมากขึ้น และจากที่ลองใช้เครื่องมือในการวัดก็พบว่าเพิ่มสูงขึ้นจริง อย่างในโหมด Vivid สามารถวัดค่า Peak Brightness ได้ราว 1008 nits แต่แน่นอนเวลาใช้งานจริงเราต้องการภาพที่สบายตา ถ้าสลับมาใช้ Filmmaker Mode ก็จะได้อยู่ที่ราว 961 nits ส่วนขอบเขตสีสามารถทำได้กว้างราว 97.51% ของมาตรฐาน DCI-P3
การชมคอนเทนต์ประเภท SDR ก็จะมีโหมดภาพมาตรฐานที่นิยมใช้งานอย่าง Filmmaker Mode, Cinema, ISF Expert Bright / Dark เพียงแต่การปรับจูนอุณหภูมิสีของโหมดภาพเหล่านี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 5700K ซึ่งถือว่าติดโทนอุ่นเกินไปหน่อย ถ้าถามว่าใช้งานได้ไหม ? ตอบว่าได้ครับ เพราะโทนที่ออกมาอยู่ในช่วงที่ยอมรับได้ แต่พอได้ปรับภาพแล้วค่าที่ออกมาถือว่าดีมาก อุณหภูมิสีอยู่ที่ 6498K ค่าเฉลี่ยความผิดเพี้ยนของ Grey Scale และ Color ก็วัดได้เพียงแค่ 1 เท่านั้น
ด้านการอัปเสกลภาพ จากที่ดูรายการทีวีออนไลน์ หรือหนังที่ความละเอียดภาพไม่ถึง 4K หากดูแบบไม่จับผิด และดูในระยะที่เหมาะสม ภาพเป็นรองในระดับ 2-3 สเตป (ขึ้นอยู่กับหนังใหม่หรือเก่า) ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว
ด้านภาพเคลื่อนไหว หรือ TruMotion โหมดอัตโนมัติอย่าง Cinematic Movement ก็ทำได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว เพียงแต่จะติดกระชากไปสักนิดในบางจังหวะ ถ้าอยากให้ดียิ่งขึ้นแนะนำว่าเลือกปรับเอง เลือก De-Judder ระดับ 5 และ De-Blur ระดับ 8
*ค่าดังกล่าวอ้างอิงจากขนาด 65″
ด้วยคุณสมบัติของ HDMI 2.1 ทำให้ LG 65OLEDG2 รองรับสัญญาณภาพ 4K@120Hz, VRR (Variable Refresh Rate) ด้วย ซึ่งเข้ากันได้กับทั้งค่ายเขียว G-Sync และค่ายแดง FreeSync จึงค่อนข้างตอบโจทย์หากใครจะเอาไปต่อเพื่อใช้เล่นเกม ใช้คู่กันกับโหมดภาพ Game Optimizer และฟีเจอร์ Game Optimizer (ชื่อเดียวกัน) ก็จะยิ่งทำให้การเล่นเกมสนุกขึ้น
โหมดภาพ Game Optimizer เป็นโหมดภาพที่มี Input Lag ต่ำ อย่างในกรณีที่รับสัญญาณ 4K@60Hz ค่า Input Lag ก็จะอยู่ที่ 12.9ms ส่วนถ้าเป็นสัญญาณแบบ 1080p@120Hz ก็จะเหลือแค่ 4.8ms เท่านั้น ส่วนฟีเจอร์ Game Optimizer ก็จะมีหน้าต่าง Game Dashboard ให้ผู้ใช้สามารถดูค่าต่าง ๆ ได้ในขณะเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็น FPS, สถานะ VRR, โหมดภาพย่อยสำหรับเล่นเกม ฯลฯ พร้อมทั้งยังสามารถปรับแต่งค่าเพิ่มเติมได้ด้วย อย่างเช่นใครที่ชอบเล่นเกมในห้องที่ค่อนข้างมืด ก็สามารถเปิดใช้ Dark Room Mode ได้ เมื่อเปิดใช้งานแล้วทีวีก็จะดรอประดับความสว่างลงมาโดยที่จะไม่กระทบกับการตั้งค่าในส่วนอื่น
ทิ้งท้ายเรื่องภาพสักเล็กน้อย รุ่นนี้รองรับฟีเจอร์ Dolby Vision IQ + Precision Rendering สำหรับตัว Dolby Vision IQ หลายคนคงคุ้นกันอยู่แล้วว่าเป็นการปรับความสว่างตามแสงแวดล้อม ส่วน Precision Rendering นั้นค่อนข้างใหม่ เป็นส่วนเสริมที่จะมีอยู่ในชิป α9 เท่านั้น มันจะช่วยเสริมรายละเอียดภาพได้มากขึ้น ซึ่ง Precision Rendering จะเป็นการเปิดใช้งานแบบอัตโนมัติเลยหากเรารับชมคอนเทนต์ Dolby Vision