Picture – ภาพ
ตามที่เกริ่นนำไปว่า เคล็ดลับที่ทำให้ C747 ถ่ายทอดภาพออกมาได้ดี คือ การใช้งาน LED Backlight แบบ Full-array Local Dimming จึงคุมแสงลอดได้ดี
การเลือกใช้ Low หรือ High สำหรับรุ่นนี้จะต้องชั่งน้ำหนักเอา High จะคุมแสงลอดได้ดีที่สุด Black level ดำลึก ในหลาย ๆ ซีนแทบไม่เห็นแสงลอดเลย ทว่าความสว่างโดยรวมจะถูกกดลงเล็กน้อย โดยเฉพาะในฉากมืดภาพจะดูทึมกว่าระดับ Low จึงเหมาะสำหรับดูเวลากลางคืน หรือในห้องคุมแสง – สำหรับรีวิวนี้ ผมจะอ้างอิงที่ระดับ High เป็นหลัก
ส่วน Low จะคุมดำได้ไม่ดีเท่า เพราะระบบจะปล่อยให้มีแสงลอดออกมาเล็กน้อย (แต่ยังคุมดำได้ดีกว่า Off ที่ไม่คุมแสงลอดเลย) สิ่งที่ได้กลับมา คือ ความสว่างโดยรวมของภาพจะสูงกว่า จึงเหมาะใช้งานตอนกลางวัน หรือในห้องเปิดไฟสว่าง
ประสิทธิภาพ Local Dimming โดยสรุป หากเทียบกับตัวท็อป ๆ ของ TCL ปีนี้ อย่าง 65C855 ที่ใช้ Mini LED Backlight (>1000 Dimming Zones) ความละเอียดในการดิมแสงผ่าน Full-array LED (up to 160 Zones) ของ 65C747 จะย่อหย่อนกว่า เพราะโซนไม่ละเอียดเท่า สังเกตได้ในซีนยาก ๆ ที่มีแหล่งกำเนิดแสงเล็ก ๆ กระจายอยู่ในภาพ
อีกจุดที่ผมมองว่าสำคัญกว่าความละเอียด Dimming Zones คือ การตอบสนองที่ฉับไว สามารถปรับเปลี่ยนการดิมแสงเท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของภาพบนจอ การไล่ระดับแสงมีความต่อเนื่อง ไม่รู้สึกวูบวาบรำคาญตา อีกปัจจัยที่ส่งเสริมกัน คือ VA Panel ช่วยคุมแสงฟุ้งได้ดีเมื่อรับชมมุมตรง C747 จึงถ่ายทอดระดับคอนทราสต์ออกมาได้โดดเด่น !
– SDR –
รุ่นนี้ไม่มีโหมดภาพ Filmmaker เช่นเดียวกับทีวีของ TCL รุ่นอื่น ๆ ตัวเลือกโหมดภาพที่มีความเที่ยงตรง “ใกล้เคียง” มาตรฐานอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากที่สุด เมื่อรับชม SDR Content จะเป็นโหมด Movie, Game และ PC ครับ
ทั้ง 3 โหมด อ้างอิงจากผล Lab Test พบว่า ทางโรงงานจูนอุณหภูมิสีมาค่อนข้างโอเค ติดโทนอุ่นอยู่เล็กน้อย ราว 6200K ปรับแก้ Color Temperature เพิ่มเป็น -4 ถึง -3 และปรับชดเชย Gamma เป็น 1 เพื่อแก้ปัญหาดำจม ก็จะดึงศักยภาพของ C747 ออกมาได้ดีแล้ว ทั้งนี้ Movie/PC จะกำหนดความสว่างมาไม่สูงนักเพื่อให้ดูแล้วสบายตา แต่สามารถปรับความสว่างเพิ่มได้ตามความจำเป็น
สำหรับใครที่จริงจัง TCL เปิดโอกาสให้ปรับภาพแบบละเอียดได้ ซึ่งผลลัพธ์ออกมาดีเลย ดูได้จากผล Lab Test ในส่วนของ SDR – Post Calibration และ Rec.709 – Post Color Checker
<กดที่ Tab ด้านบน เพื่อดูผล SDR Calibration Report>
หลังปรับภาพโดยละเอียด ค่าความผิดเพี้ยนสมดุลแสงขาว (Grayscale Avg dE) และค่าความผิดเพี้ยนสี (Color Space Avg dE) ลดต่ำลงมาเหลือเพียง 1.7 และ 1.5 ตามลำดับ ค่าความผิดเพี้ยนสีโดยรวมแบบเฉลี่ย (Rec. 709 Saturation Avg dE) ที่ 1.5 (Max dE = 2.2) ก็อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถนำไปใช้เป็นจออ้างอิงกับงานระดับโปรเฟสชันนัลได้
– HDR –
รุ่นนี้รองรับมาตรฐาน Static HDR ทั้ง HDR10 และ HLG ส่วน Dynamic HDR ก็รองรับครบทั้ง Dolby Vision และ HDR10+ ไม่ต้องรักพี่เสียดายน้อง
ระดับความสว่าง HDR Peak Brightness (10% Window) ของ 65C747 หากกำหนด Local Contrast – High โหมด Dynamic ทำได้ที่ 732 nits ส่วนโหมด Movie ทำได้ที่ 663 nits
ขอบเขตสีครอบคลุม Wide Color Gamut ที่ 88.95/93.41% ของมาตรฐาน DCI-P3 (xy/uv) หรือเทียบเท่า 64.82/71.33% Rec2020 (xy/uv) ขับเน้นแสงสีจาก HDR Content ได้
<กดที่ Tab ด้านบน เพื่อดูผล HDR Calibration Report>
ค่าความเที่ยงตรงของสีสัน เมื่อรับชม HDR Content หากเป็นโหมด Movie, Game หรือ PC ค่าโรงงานจะจูนสีมาได้ดีกว่าโหมดภาพแบบ SDR จะใช้งานเลยโดยไม่ปรับภาพก็ได้
อย่างไรก็ดี หากปรับภาพ HDR แบบละเอียด ในโหมด Movie พบว่า ให้ความเที่ยงตรงดีขึ้นไปอีก Grayscale Avg dE และ Colorspace Avg dE ลดลงจาก 4.4 และ 4.1 เหลือเพียง 1.7 และ 1.4 ตามลำดับ ส่วนความสว่าง HDR Peak Brightness จะลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 658 nits (เมื่อกำหนด Local Contrast – High)