Extra – เพิ่มเติม
ระบบปฏิบัติการ Smart TV ของ Hisense 55U7G ใช้เป็น VIDAA U5 เวอร์ชั่นใหม่มีการปรับปรุงหน้าตาอินเตอร์เฟสให้ดูดี และสีสันสวยงามขึ้น มีการแบ่งหมวดหมู่แอปฯ ได้ชัดเจน รวมถึงแอปฯ สามัญประจำทีวีที่ต้องมีทุกเครื่องอย่าง Netflix, Amezon Prime Video และ YouTube ยังคงให้มาเช่นเคยถึงแม้แอปฯ ที่ให้มาจะดูไม่มากเท่าระบบอื่น แต่ก็ถือว่ามีการอัปเดตแอปฯ ใหม่อย่าง UEFA.TV, iQIYI มาให้รับชมบนทีวีได้แล้วในตอนนี้
*ประมาณเดือน สิงหาคม – กันยายน ปีนี้จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ให้สามารถใช้การ “สั่งงานด้วยเสียง” ผ่านรีโมทได้
แอปฯ Netflix รองรับภาพ 4K Dolby Vision และระบบเสียง Dolby Atmos (DD+) เราสามารถเชื่อมต่อชุดเครื่องเสียงหรือลำโพงซาวด์บาร์ผ่านช่องต่อ HDMI ที่รองรับ ARC/eARC บนทีวีได้เลย
Picture – ภาพ
Hisense 55U7G นั้นใช้พาแนลแบบ VA (Vertical Alignment) ความละเอียด 4K (3840×2160) มีจุดเด่นเรื่องความเปิดโปร่งรวมถึงคอนทราสต์ของภาพที่สูง ผนึกกำลังกับเทคโนโลยี Quantum Dot เข้าไปอีกทำให้ภาพที่ได้นั้นมีขอบเขตสีที่กว้างขึ้น และสามารถหรี่หลอด LED Backlight ที่เป็นแบบ Full-Array Local Dimming ได้ดีพอประมาณเนื่องจากมีโซนหลอดไฟทั้งหมด 72 โซน ช่วยให้การแสดงภาพในฉากมืดนั้นเนียนมากยิ่งขึ้น ต่างกับทีวีที่ใช้การวางหลอดไฟแบบ Edge LED
ซึ่งโหมดภาพจากโรงงานที่ผมแนะนำให้ใช้งาน คือ Cinema Day หรือ Cinema Night ก็ได้ โดยให้สีสัน และความเที่ยงตรงนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีใกล้เคียงกับมาตรฐานมากที่สุดโดยมีค่า Grayscale Avg DeltaE = 3.2, 3.6 เมื่อปรับภาพแล้วลดลงเหลือ 2
55U7G รองรับมาตรฐาน HDR หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น HDR10,HDR10+, Dolby Vision, HLG สามารถใช้รับชมภาพยนตร์หรือคอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
โหมดภาพ HDR ที่ให้ระดับความสว่าง HDR Peak Brightness สูงสุด คือ HDR Standard ที่ 680 nits แต่โหมดที่แนะนำ คือ HDR Day หรือ HDR Night เพราะความเพี้ยนสีต่ำกว่า (Grayscale Avg DeltaE = 7.2 และจะลดลงเหลือ 3.6 หลังปรับภาพ) ส่วนขอบเขตสีอยู่ที่ 94% ของมาตรฐาน DCI-P3 ถือว่าเป็นทีวีรุ่นกลางที่ให้ภาพที่ดี เกินราคาค่าตัวพอสมควรเมื่อเทียบกับทีวีแบรนด์อื่นในรุ่นที่ราคาพอๆ กัน
ส่วนการตั้งค่าภาพเคลื่อนไหวนั้น โหมด Film ก็ถือว่าใช้งานได้เลยหรือหากต้องการความไหลลื่นหรือปรับลดการสะดุดด้วยตัวเองก็ทำได้ผ่านการตั้งค่าแบบ Custom
สำหรับการเล่นเกม Hisense 55U7G นั้นมีฟีเจอร์ ALLM (Auto Low Latency Mode) หรือการเข้าสู่ Game Mode แบบอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อใช้งานโหมดนี้แล้วปิดการใช้งานฟีเจอร์การแทรกเฟรมภาพด้วยแล้ว Input Lag จะเหลือเพียงประมาณ 13 ms เท่านั้นในการใช้งานแบบ 4K@60Hz
*หมายเหตุ: กรณีที่ต้องการ On ตัวเลือก Game Mode เอง (เพื่อความชัวร์) ให้ทำการ Off – Auto Low Latency Mode ก่อน จะสามารถปรับเปลี่ยนตัวเลือก Game Mode ได้
หากต้องการเล่นเกมแบบ High Refresh Rate 120Hz นั้น ตัวทีวีสามารถเล่นได้บนความละเอียดภาพแบบ 1080p เท่านั้นต้องทำการตั้งค่าที่ตัว PC หรือ เครื่องเกมของเราเสียก่อน ตรงส่วนนี้ก็จะช่วยให้ Movement การแพนมุมมองภายในเกมนั้นไหลลื่นขึ้นยิ่ง และส่งผลต่อการตอบสนองที่ดีขึ้นอีกด้วย (Input Lag ต่ำลง)