15 Apr 2019
Review

รีวิว Samsung Galaxy S20 Ultra 5G จอใหญ่จัดเต็มกล้อง 108MP ซูมได้ 100X พร้อมถ่ายวิดีโอ 8K


  • lcdtvthailand

ปี 2020 ดูจะเป็นนิมิตหมายการมาถึงของเทคโนโลยี 8K อย่างเป็นทางการ เพราะนอกจากจะเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการถ่ายทอดสด Tokyo Olympic 2020 แล้ว เราจะได้เห็น 8K TV รุ่นใหม่เพิ่มเติมอีกหลายรุ่นหลายยี่ห้อ แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาเป็นพิเศษเวลานี้ เห็นจะเป็น Smartphone ที่สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 8K ได้ !

Smartphone รุ่นแรกที่ได้รับการอัพเกรดเพิ่มเติมความสามารถถ่ายวิดีโอ 8K คือ Samsung Galaxy S20 Series นั่นเอง แบ่งรุ่นย่อยทั้งหมด 3 รุ่น มีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันเล็กน้อย ที่เห็นได้ชัดภายนอกได้แก่ตัวเลือกสีของบอดี้ ขนาดหน้าจอ และคุณสมบัติของกล้อง แต่ทั้งหมดมีความสามารถถ่ายวิดีโอ 8K ได้

Galaxy S20 Ultra 5G คือรุ่นที่ทีมงานจะทำการรีวิวครั้งนี้ ถือเป็นรุ่นท็อป ใช้จอ Dynamic AMOLED 2X ขนาดใหญ่ถึง “6.9 นิ้ว” ความละเอียด 3200 x 1440 (Quad HD+, 511 ppi) พร้อม HDR10+ Certified และ 120Hz Refresh Rate สีของบอดี้มีให้เลือก 2 แบบ คือ Cosmic Black และ Cosmic Gray

ดีไซน์

กล่องสีดำดูเรียบๆ สกรีนชื่อรุ่น S20 Ultra 5G ชัดเจน
อุปกรณ์มาตรฐานที่ให้มาในกล่อง นอกจากหูฟัง (by AKG) หัวชาร์จไว (Super Fast Charging) สาย USB (หัว Type C ทั้ง 2 ด้าน) ยังมีเคสใสให้ด้วย
บอดี้ขนาดใหญ่มีความหนาพอเหมาะจับได้เต็มไม้เต็มมือ ถือได้กระชับถนัดดี น้ำหนัก 220g รู้สึกได้ว่าหนักกว่า Smartphone ทั่วไปอยู่บ้าง แต่ประเด็นนี้ไม่ส่งผลกับการใช้งานเท่าไหร่
โครงสร้างในส่วนของกล้องใน S20 Series จะนูนหนาขึ้นมาเล็กน้อย หากกังวลว่าส่วนนี้จะกระทบกระแทกเป็นรอยเวลาวาง การใส่เคสจะช่วยป้องกันได้ดีระดับหนึ่ง แต่จะเพิ่มความหนาของบอดี้ขึ้นมาอีกเล็กน้อย
กล้องหน้าความละเอียดสูงสุด 40MP ติดตั้งแบบเจาะฝังอยู่ในหน้าจอดูกลมกลืนดี ตามเทคนิคที่เรียกว่า Infinity-O Display
ช่องต่อ USB 3.2 Gen 1 โอนถ่ายข้อมูลรวดเร็ว พร้อมรองรับ Super Fast Charging (QC2.0 & AFC) และยังรองรับระบบชาร์จไร้สาย Fast Wireless Charging 2.0 ด้วย แต่ต้องซื้อแท่นชาร์จเพิ่ม

ภาพ

จุดเด่นของ S20 Series ทุกรุ่น ใช้จอ Dynamic AMOLED 2X ที่นอกจากสีสดสวย รายละเอียดคมชัด สีดำที่ดำสนิทลึกเข้มแล้ว ยังให้การตอบสนองรวดเร็วระดับ 120Hz อย่างไรก็ดีเมื่อปรับตัวเลือกเป็น High refresh rate (120Hz) ความละเอียดการแสดงผลจะถูกปรับลดลงเป็น FHD+ (2400 x 1080) โดยอัตโนมัติ

แม้ว่า S20 Ultra 5G จะมาพร้อมแบ็ตเตอรี่ความจุสูงถึง 5000mAh แต่กรณีที่ต้องการยืดเวลาใช้งานให้นานขึ้นอีก สามารถปรับลดความละเอียดของการแสดงผลลงได้ กำหนดได้ 3 ค่า คือ HD+ (1600 x 720) จะประหยัดพลังงานที่สุด, FHD+ (2400 x 1080) และสุดท้ายคือ WQHD+ (3200 x 1440 Native Resolution)

อานิสงส์จากอัตรารีเฟรชเรต 120Hz การใช้งานแอพต่างๆ บนหน้าจอของให้ภาพที่ลื่นไหลและดูสบายตาดีมาก

ปัจจุบันเกมมือถือทยอยรองรับเฟรมเรต 120FPS จำนวนมากขึ้นเพื่อตอบรับความสามารถของ Smartphone ยุคใหม่ หนึ่งในนั้น คือเกม InJustice 2 ซึ่งผลการเล่นกับ S20 Ultra 5G ให้ภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องบนจอ 120Hz แท้ๆ เป็นประสบการณ์ที่เหนือกว่าการเล่นบนจอ 60Hz ทั่วไปแบบรู้สึกได้ชัด

ความยอดเยี่ยมของ Dynamic AMOLED 2X ในรุ่น S20 Ultra 5G ไม่ได้มีแค่เรื่องจอใหญ่ และรีเฟรชเรต 120Hz ในแง่สีสันถือว่าโดดเด่นเกินใคร หากปรับโหมดภาพเป็น Vivid จะให้ขอบเขตสีที่กว้างกว่า 100% DCI-P3 ! และยังครอบคลุม Adobe RGB 95.7% เลยทีเดียว หากอิงมาตรฐาน Rec.2020 จะอยู่ที่ 78.1% ในส่วนของค่าความผิดเพี้ยนสี (DCI-P3 Average dE) 4.62 ถือว่าเริ่มต้นมาแววดีเลยทีเดียว

แต่ถ้าต้องการสีสันที่เทียบเคียงมาตรฐานอ้างอิงแบบ sRGB/Rec.709 การเลือกโหมดภาพ Natural ก็นับว่าโดดเด่น ทั้งในแง่ของขอบเขตสี และความเที่ยงตรงของสมดุลสี ค่าความผิดเพี้ยนสี (sRGB Average dE) 2.83 ดีมาก สำหรับค่าเดิมๆ จากโรงงาน

S20 Ultra 5G รองรับการปรับภาพชดเชยความเที่ยงตรงในส่วนของสมดุลแสงขาว (White Balance) แต่จะดำเนินการได้เฉพาะกับโหมดภาพ Vivid เท่านั้น… โดยเป็นการปรับในแบบ 1-point เหมือน Smartphone ของ Samsung รุ่นอื่นๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจไม่น้อย สมดุลแสงขาวที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าความผิดเพี้ยนสี (DCI-P3 Average dE) ต่ำลงเหลือ 3.94 (จากเดิม 4.62)

หน้าจออัตราส่วน 2.22:1 ใกล้เคียงมาตรฐานจอภาพยนตร์ Widescreen Cinemascope 2.35:1 มาก การรับชมจะปรากฏแถบดำบริเวณส่วนบนและล่างเล็กน้อยมาก เมื่อบวกกับขนาดจอที่ใหญ่ถึง 6.9 นิ้ว จึงดูภาพยนตร์ได้ “เต็มตา” กว่ามาตรฐานจอ Smartphone ทั่วไป

หน้าจออัตราส่วน 2.22:1 ใกล้เคียงมาตรฐานจอภาพยนตร์ Widescreen Cinemascope 2.35:1 มาก การรับชมจะปรากฏแถบดำบริเวณส่วนบนและล่างเล็กน้อยมาก เมื่อบวกกับขนาดจอที่ใหญ่ถึง 6.9 นิ้ว จึงดูภาพยนตร์ได้ “เต็มตา” กว่ามาตรฐานจอ Smartphone ทั่วไป

ความเที่ยงตรงของสมดุลสี บวกกับสีสันที่สดใสแบบ Wide Color Gamut (100% DCI-P3) และการถ่ายทอดระดับความสว่าง (Peak Brightness) ที่สูงถึง 1162 nits ! ย่อมส่งอานิสงส์โดยตรงกับการรับชม High Dydamic Range (HDR) Contents ภาพดูเจิดจรัสเตะตาดีมาก

การรับชม HDR Contents ด้วย S20 Ultra 5G มีหลายทางเลือก ไม่ว่าผู้ใช้จะดาวน์โหลดคลิป HDR Video จากอินเทอร์เน็ต หรือจะถ่าย HDR Video โดยใช้กล้องหลักของ S20 ด้วยตัวเองก็ได้ รองรับถึงมาตรฐาน HDR10+ เลยทีเดียว ซึ่งการเปิดรับชมผลลัพธ์บนจอ HDR10+ Certified ของ S20 Ultra 5G  ย่อมจะได้ศักยภาพที่ดี

หมายเหตุ: ตัวเลือกการบันทึกวิดีโอแบบ HDR10+ ของ S20 Ultra 5G จะไม่สามารถเปิดใช้งานร่วมกับการถ่ายวิดีโอ 8K

การรับชม Netflix รองรับ HDR10

YouTube ก็แสดงผลแบบ HDR ได้เช่นกัน ในส่วนของความละเอียดสูงสุดที่รองรับ คือ 1440p60 (ต้องปรับความละเอียดการแสดงผลของหน้าจอ S20 Ultra 5G เป็น WQHD+ ก่อน อาจต้องรีสตาร์ทหลังจากปรับความละเอียด 1 ครั้ง)

เพิ่มเติม

อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ S20 Ultra 5G คือ ความสามารถของกล้อง โดยกล้องหลังมีถึง 4 ชุด (รวม DepthVision Camera) ให้มุมรับภาพที่หลากหลาย ใช้งานได้ยืดหยุ่น โดยกล้องหลัก (Wide-angle) รองรับความละเอียดสูงสุดถึง 108MP ในส่วนของกล้องหน้าเองก็ไม่ธรรมดา รองรับความละเอียดสูงสุด 40MP พร้อมระบบโฟกัสแบบ PDAF ทั้งคู่

กล้องหลักแบบ Wide-angle (1.0x) จะให้คุณภาพของภาพดีที่สุดจากทั้งคุณภาพ Optic ของเลนส์ และยังรองรับโหมดถ่ายภาพนิ่งความละเอียดสูงถึง 108MP ด้วย กระนั้นกล้องและเลนส์แบบ Ultra Wide (0.5x) ความละเอียด 12MP ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ขาดไม่ได้ เพราะให้มุมรับภาพที่กว้างมาก เชื่อว่าน่าจะได้ใช้ประโยชน์บ่อยครั้ง

ไม่ใช่แค่ช่วงเลนส์มุมกว้างที่มีประโยชน์ ในส่วนของ Telephoto ความละเอียดสูงสุด 48MP ก็เพิ่มความอเนกประสงค์มากยิ่งขึ้น ที่ระยะซูมมากกว่า 10x ขึ้นไป คุณภาพของภาพจะเริ่มลดทอนลงเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นการใช้ซอฟต์แวร์ช่วยขยายเพิ่มรายละเอียด แต่น่าจะใช้ประโยชน์ได้ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องถ่ายจากระยะไกลมากๆ

ความสามารถด้านการถ่ายวิดีโอของ S20 Ultra 5G นอกจากรองรับความละเอียด 4K/1080p 60Hz พร้อม HDR10+ แล้ว ที่น่าจับตาเป็นพิเศษ คือ รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 8K (7680 x 4320 24Hz) ด้วย ถึงแม้ด้วยข้อจำกัดของขนาดเซ็นเซอร์ Smartphone มีขนาดเล็กว่าเซ็นเซอร์ของกล้องวิดีโอ 8K ที่ใช้งานในสตูดิโอระดับโปรอยู่พอสมควร คุณภาพของวิดีโอที่ได้จึงยังเป็นรองอยู่บ้าง แต่นับว่าเป็นการประเดิมเปิดโอกาสเข้าถึงมาตรฐาน 8K สำหรับผู้ใช้งานตามบ้าน

การถ่ายวิดีโอ 8K ด้วย S20 Ultra 5G จะพบว่ามุมรับภาพแคบลงเมื่อเทียบกับตอนถ่าย 4K อันเนื่องมาจากระบบทำการ Crop Sensor เพื่อลดทอน Workload ของโปรเซสเซอร์นั่นเอง แนวทางนี้เพิ่มโอกาสที่จะเห็นสัญญาณรบกวนในภาพบ้าง การถ่ายวิดีโอ 8K จึงเหมาะกับที่สว่างมากกว่าจะใช้ถ่ายในที่แสงน้อย และควรจะใช้ร่วมกับขาตั้งหรือกิมบอล เนื่องจากไม่สามารถเปิดใช้ระบบกันสั่น (Stabilization) เมื่อถ่าย 8K ได้ 

การถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ ด้วย S20 Ultra 5G สามารถเปิดใช้งาน Pro Mode ได้ ช่วยให้การกำหนดตั้งค่ากล้องแบบ Manual ทำได้ยืดหยุ่น อาทิ ชดเชยแสง (EV) ปรับ ISO ความเร็วชัตเตอร์ ระยะโฟกัส ฯลฯ แต่น่าเสียดายที่ Pro Mode ไม่สามารถสลับไปใช้กล้อง Ultra-wide และ Telephoto ได้ อีกทั้ง Pro Mode ก็ไม่รองรับการถ่ายวิดีโอ 8K ด้วย แต่คงไม่เป็นปัญหาเนื่องจากระบบ Auto ก็นับว่าให้ผลลัพธ์ได้ดี ในส่วนของการถ่ายภาพนิ่งจะมีระบบ AI ช่วยในการปรับแต่งสีภาพให้อัตโนมัติ

หมายเหตุ: กรณีที่ต้องการเซฟภาพนิ่งแบบ RAW File เพื่อนำไปแต่งภาพเพิ่มเติมภายหลัง จะทำได้เมื่อเปิดใช้ Pro Mode เท่านั้น ทั้งนี้ภาพต้นฉบับจาก RAW File (.DNG) ที่ได้ จะมี Resolution เท่ากับ 12MP

สรุป

Samsung Galaxy S20 Series ปฏิวัติวงการด้วยการเป็น Smartphone เครื่องแรกที่ถ่ายวิดีโอระดับ 8K ได้ และสามารถเล่นไฟล์วิดีโอ 8K 24-30 fps และส่งสัญญาณภาพแบบไร้สาย (Smart View) ไปรับชมกับ 8K TV ได้ ถือเป็นการตอบรับกระแส 8K ที่กำลังจะเปิดตัว TV และจำนวนความหลากหลายของคอนเทนต์ที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นในปีนี้

สามารถรับชมรายละเอียดเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy S20 Ultra 5G ในรูปแบบวิดีโอรีวิวได้ที่นี่

ราคา Samsung Galaxy S20 Ultra 5G : 39,900 บาท