Neo QLED คือ QLED TV ซีรีส์ท็อปสุด ของ Samsung นอกจากหน่วยประมวลผลที่ทำงานรวดเร็วกว่ารุ่นทั่วไปแล้ว จุดเด่นด้านภาพที่สำคัญ คือ การนำ Mini LED มาใช้เป็นแหล่งกำเนิดแสง Backlight และ QN85D ก็คือ Neo QLED ประจำปี 2024 ที่มีราคาเอื้อมถึงได้ง่ายที่สุด ! จุดเด่นจะมีอะไรบ้าง ติดตามจากรีวิวนี้ได้เลย…
ปัจจุบัน QN85D มีให้เลือก 4 ขนาด คือ 55, 65, 75 และ 85 นิ้ว ซึ่งรุ่นที่จะทำการรีวิวต่อไปนี้ คือ “65QN85D” ขนาด 65 นิ้ว ครับ
Design – รูปลักษณ์
การประกอบฐานตั้งเข้ากับจอทีวีรุ่นนี้ ทำได้สะดวกมาก เพราะเป็นโครงสร้างแบบล็อคในตัว ไม่ต้องหาไขควงมาขันน็อต
สามารถจัดระเบียบสายไฟโดยเหน็บตามร่องด้านหลังทีวี ไปออกที่ส่วนล่างของฐานตั้งได้
Connectivity – ช่องเชื่อมต่อ
ช่องต่ออื่นๆ ที่ให้มา ได้แก่ Digital Optical Audio Output, Ethernet Port (มี Wi-Fi & Bluetooth Built-in ให้ด้วย) และ DVB-T2 Antenna In แต่ไม่มีช่องต่อ Audio/Headphones Out ทว่าสามารถเชื่อมต่อหูฟังไร้สายผ่าน Bluetooth ได้
ช่องต่อ USB 2 ช่อง สามารถเชื่อมต่อกับ USB Flash Drive, External HDD (5V/1A) และอาจรวมถึง Keyboard, Mouse ฯลฯ
สรุปจำนวนช่องต่อของ Samsung 65QN85D ได้ดังนี้
HDMI™ In | 4 (ด้านข้าง) เป็น HDMI 2.1 ทั้งหมด |
USB | 2 (ด้านข้าง) |
Ethernet | 1 (ด้านข้าง) พร้อม Wi-Fi Built-In |
Composite Video In | – |
Component Video In | – |
RF (Antenna) In | 1 (ด้านข้าง) พร้อม DVB-T2 Digital Tuner |
PC HD15 In | – |
Analog Audio In | – |
Digital Audio Out | 1 (Optical ด้านข้าง) |
Audio/Headphones Out | – |
Bluetooth Audio | Yes |
Picture – ภาพ
น้องเล็กสุดจากซีรี่ส์ Neo QLED ประจำปี 2024 แน่นอนว่าคุณสมบัติอย่างเช่น ความสว่าง ทำได้เกือบถึงตัวท็อป ราว ๆ 1,000 nits จึงขับเน้นภาพแบบ HDR และสู้กับแสงรบกวนได้ดีอยู่ แต่อานิสงส์จาก Mini LED Backlight ยังมีเรื่องของการแบ่งโซนดิมแสง ซึ่งรุ่นนี้สามารถจัดการกับแสงลอดในซีนที่มีความแตกต่างระหว่างวัตถุสว่างกับพื้นหลังสีดำแบบในภาพได้ดี
แต่ที่สำคัญ คือ การควบคุมหรี่แสง Mini LED ไล่ระดับแบบ 14-bit ! การปรับเปลี่ยนแสงตามภาพที่มืด-สว่างบนจอ จึงสมูทกว่า ลดอาการวูบวาบลงได้มาก
สามารถกำหนด Local Dimming ได้ 3 ระดับ High จะให้ความเปรียบต่างของแสงชัดเจนที่สุด เหมาะกับการรับชม HDR Content ส่วน Medium จะเพลาเรื่องของความสว่าง ลดความเปรียบต่างลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ระดับแสงกระชาก ในบางกรณีอาจช่วยลดอาการล้าของสายตา สามารถใช้งานได้กับการรับชมทั้ง HDR และ SDR Content
รุ่นนี้ใช้งาน VA (Vertical Alignment) LCD Panel ผสานเทคโนโลยี Quantum Dot ให้ขอบเขตสีกว้าง และที่สำคัญคุมระดับคอนทราสต์ได้ดี แสงฟุ้งน้อย แต่จะให้ภาพดีที่สุดเมื่อรับชมในมุมตรง
– SDR –
ในด้านความเที่ยงตรงของการแสดงสีสัน SDR จากผล Lab Test พบว่า Movie และ Filmmaker Mode ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ความต่างก็คือ Filmmaker จะ On ตัวเลือก Brightness Optimisation ไว้ กล่าวคือ ระบบจะปรับระดับความสว่างหน้าจออัตโนมัติโดยอิงจากเซ็นเซอร์วัดสภาพแสงภายในห้อง ใครที่ชอบปิดหรือดิมไฟในห้องเพื่อดูทีวีตอนกลางคืน หรือใช้งานในห้องสภาพแสงไม่คงที่ แสงเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาน่าจะชอบ เพราะทีวีจะปรับลดความสว่างเอง
ส่วน Movie จะฟิกซ์ความสว่างตายตัว เหมาะกับห้องที่คุมแสงแวดล้อมได้คงที่ สามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม
ทั้ง 2 โหมด ภาพจะดูนุ่มนวลสบายตา ไม่เร่งความคมชัด ปรุงแต่งสีสัน (Filmmaker ไม่แทรกเฟรมภาพเคลื่อนไหว) จึงให้ความเป็นธรรมชาติสูงเหมาะแก่การรับชมในบ้าน แต่แน่นอนว่าถ้าเทียบกับโหมดอื่น ความสว่างจะต่ำกว่า และสีสันจะดูไม่สดจี๊ดจ๊าดนัก ทั้งนี้ในบางสภาพแวดล้อมหากรู้สึกว่าภาพ Movie หรือ Filmmaker Mode ดูสว่างหรือมืดเกินไปเมื่อรับชม SDR content ก็สามารถปรับเพิ่มลดความสว่างที่ตัวเลือก Brightness (Backlight) ตามที่เห็นสมควร
<กดที่ Tab ด้านบน เพื่อดูผล SDR Calibration Report>
โหมดภาพ Movie (หรือ Filmmaker Mode ที่ Off – Brightness Optimisation) ของ 65QN85D มีความเที่ยงตรงของสีสันอยู่ในเกณฑ์ดี อุณหภูมิสีเฉลี่ยอยู่ที่ราว 6978K ค่าความผิดเพี้ยนสมดุลแสงขาวเฉลี่ย (Grayscale Avg dE) 2.8 ขอบเขตสีอิงมาตรฐาน Rec.709 ค่าความผิดเพี้ยน (Color Space Avg dE) 1.8
หลังปรับภาพ ค่าความผิดเพี้ยนสมดุลแสงขาว (Grayscale Avg dE) และค่าความผิดเพี้ยนสี (Color Space Avg dE) ลดต่ำลงมาเหลือเพียง 0.7 และ 0.9 ตามลำดับ
Rec.709 Color Checker หลังดำเนินการปรับภาพ ค่าความผิดเพี้ยนสีโดยรวมแบบเฉลี่ย (Saturation Avg dE) ที่ 1.1 (Max dE = 4.8) นำไปใช้เป็นจออ้างอิงกับงานระดับโปรเฟสชันนัลก็ทำได้
– HDR –
รุ่นนี้รองรับมาตรฐาน Static HDR ทั้ง HDR10 และ HLG ส่วน Dynamic HDR รองรับมาตรฐาน HDR10+
ระดับความสว่าง HDR Peak Brightness (10% Window) ของ 65QN85D ที่ 916 nits ในโหมด Standard และ 880 nits ในโหมด Movie/Filmmaker พร้อมรองรับการถ่ายทอดขอบเขตสีแบบ Wide Color Gamut ขับเน้นแสงสีจาก HDR Content ได้ดี
<กดที่ Tab ด้านบน เพื่อดูผล HDR Calibration Report>
ความเที่ยงตรงของสีสัน HDR ในโหมด Movie/Filmmaker ของ 65QN85D (Grayscale Avg dE 6.7, Colorspace Avg dE 13.3) ส่วนขอบเขตสี HDR Color Space ทำได้ครอบคลุม 89.9/94.17% ของมาตรฐาน DCI-P3 (xy/uv) หรือเทียบเท่า 65.64/72.38% Rec2020 (xy/uv)
หลังปรับภาพ HDR ในโหมด Movie/Filmmaker ให้ความเที่ยงตรงดีขึ้นมาก Grayscale Avg dE และ Colorspace Avg dE ลดลงเหลือเพียง 1.9 และ 3.4 ตามลำดับ ส่วนความสว่าง HDR Peak Brightness จะลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 821 nits
ใครที่ชอบการแทรกเฟรมภาพเคลื่อนไหว อยากได้แบบลื่น ๆ รุ่นนี้ก็ทำได้ ซึ่งฟีเจอร์ทำนองนี้ของทีวีทุกค่าย ควรปรับให้พอเหมาะ หากแทรกเฟรมจำลองมากไป มันหลอกตา ดูไม่เป็นธรรมชาติครับ ทดลองปรับดูตามที่เห็นสมควร ผมว่า Judder สัก 1 – 3 กำลังดี หรือจะ Off แทรกเฟรมไปเลย โดยส่วนตัวก็ดูได้นะ
– Gaming –
65QN85D ให้ HDMI 2.1 มาครบทั้ง 4 ช่อง เชื่อมต่อ PC และ/หรือ คอนโซลยุคใหม่ได้จุใจ รองรับ High Frame Rate ที่ความละเอียด 4K 120Hz พร้อม VRR/FreeSync Premium Pro และเปิดการแสดงผล HDR10+/HDR10 ร่วมกับการเล่นเกมได้ไม่มีปัญหา
กรณีที่รู้สึกว่าภาพจากโหมด Game ติดฟ้า อยากได้โทนสีภาพแบบเดียวกับ Movie/Filmmaker สามารถปรับเปลี่ยนตัวเลือกโหมดภาพเป็น Original (ต้นฉบับ) ได้
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เสริม ช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการเล่นเกม อย่าง Virtual Aim Point รวมถึง Minimap Zoom ที่ช่วยแสดงตำแหน่งของผู้เล่นและศัตรูได้ชัดเจนขึ้น
สามารถเปิดแทรกเฟรมภาพเคลื่อนไหวที่เรียกว่า Game Motion Plus ร่วมกับการเล่นเกมได้ รองรับเฉพาะกับสัญญาณ 60Hz และจะส่งผลให้ค่า Input Lag สูงขึ้นเล็กน้อย (28.4 ms @60Hz)
Sound – เสียง
ในสเปค 65QN85D แจ้งว่าให้ลำโพงแบบ 2.2 แชนเนล กล่าวคือ ติดตั้งลำโพงสเตอริโอแยกตำแหน่งซ้าย-ขวา ที่ด้านล่างจอภาพ 2 ชุด พร้อมวูฟเฟอร์อีก 2 ชุด กำลังขับรวม 40 วัตต์ ระดับเสียงโดยรวมสามารถใช้งานในห้องรับแขกตามบ้านได้
การรับชมข่าว รายการเพื่อความบันเทิงต่าง ๆ ให้น้ำเสียงสนทนาได้เด่นชัด ฟังเพลงก็ให้รายละเอียดตลอดย่านเสียงครบถ้วนกว่าลำโพงทีวี ซึ่งอานิสงส์จากลำโพงซับวูฟเฟอร์จึงให้ย่านเสียงความถี่ต่ำแบบได้น้ำได้เนื้อ ทั้งปริมาณและย่านความถี่ที่ลงได้ลึกกว่ามาก อรรถรสจากเพลง ภาพยนตร์ หรือแม้แต่การเล่นเกมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด !
คำแนะนำกรณีที่ต้องการรับฟังระบบเสียง DTS: เนื่องจาก 65QN85D ไม่สามารถ Pass-through ระบบเสียง DTS ไม่ว่าทาง HDMI eARC หรือไร้สาย หากต้องการรับฟังระบบเสียง DTS ให้เต็มศักยภาพ แนะนำให้เชื่อมต่อสัญญาณเสียงจากเครื่องเล่น ตรงเข้า HDMI In ของ Q800D Soundbar วิธีนี้ซาวด์บาร์จะถอดรหัสเสียงได้ครบทุกฟอร์แม็ต ไม่ใช่แค่ Dolby แต่รวมถึง DTS (รองรับได้ถึง DTS:X)
Features – คุณสมบัติเพิ่มเติม
Conclusion – สรุป
แม้จะเป็นรุ่นน้องเล็กในตระกูล Neo QLED แต่ก็ยังให้ความโดดเด่นหลายจุดไม่แพ้รุ่นพี่ ส่วนหนึ่งเป็นอานิสงส์จาก Mini LED Backlight ทำ Local Dimming จัดการกับแสงลอดได้ ผสานกับ VA LCD Panel ผนวก Quantum Dot จึงถ่ายทอดสีสันและคุมระดับคอนทราสต์แบบ HDR ได้ดี ความสว่างหย่อน 1,000 nits เล็กน้อย นับว่ายังสู้แสงได้ อีกทั้งยังให้ HDMI 2.1 ครบทั้ง 4 ช่อง รองรับ 4K 120Hz VRR ไปจนถึงระบบ Smart TV ได้อัพเดทแอปล่าสุดอย่าง HBO Max และ Samsung TV Plus เอื้อต่อการใช้งานทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างคุ้มค่าตัว
ราคาเปิดตัว Samsung 65QN85D Neo QLED TV
41,990 บาท
ราคาเปิดตัว Samsung HW-Q800D Dolby Atmos Soundbar
15,990 บาท