หากเป็นเมื่อก่อน จะหาทีวี 4K จอใหญ่ระดับ 85 นิ้ว คงต้องมีงบเป็นแสน แต่ปัจจุบันเงิน 6-7 หมื่นก็ซื้อได้แล้ว แถมยังได้อัพเกรดแอปความบันเทิงล่าสุด อย่าง HBO Max และช่องรายการฟรีจาก Samsung TV Plus พร้อมคุณสมบัติที่เอื้อต่อการเล่นเกม อย่าง HDMI 2.1 ครบครัน…
ปัจจุบัน Q70D มีให้เลือก 4 ขนาด คือ 55, 65, 75 และ 85 นิ้ว ซึ่งรุ่นที่จะทำการรีวิวต่อไปนี้ คือ “85Q70D” ขนาด 85 นิ้ว ใหญ่ที่สุดครับ !
Design – รูปลักษณ์
Connectivity – ช่องเชื่อมต่อ
ช่องต่ออื่นๆ ที่ให้มา ได้แก่ Digital Optical Audio Output, Ethernet Port (มี Wi-Fi & Bluetooth Built-in ให้ด้วย) และ DVB-T2 Antenna In แต่ไม่มีช่องต่อ Audio/Headphones Out ทว่าสามารถเชื่อมต่อหูฟังไร้สายผ่าน Bluetooth ได้
ช่องต่อ USB 2 ช่อง สามารถเชื่อมต่อกับ USB Flash Drive, External HDD (up to 5V/1A) และอาจรวมถึง Keyboard, Mouse ฯลฯ
สรุปจำนวนช่องต่อของ Samsung 85Q70D ได้ดังนี้
HDMI™ In | 4 (ด้านข้าง) เป็น HDMI 2.1 ทั้งหมด |
USB | 2 (ด้านข้าง) |
Ethernet | 1 (ด้านข้าง) พร้อม Wi-Fi Built-In |
Composite Video In | – |
Component Video In | – |
RF (Antenna) In | 1 (ด้านข้าง) พร้อม DVB-T2 Digital Tuner |
PC HD15 In | – |
Analog Audio In | – |
Digital Audio Out | 1 (Optical ด้านข้าง) |
Audio/Headphones Out | – |
Bluetooth Audio | Yes |
Picture – ภาพ
คุณสมบัติของรุ่นเริ่มต้นจะยังไม่มี Local Dimming แบ่งโซนดิมแสงเพื่อจัดการกับแสงลอดแบบรุ่นสูง แต่ด้วย LCD Panel แบบ VA (Vertical Alignment) ผสานเทคโนโลยี Quantum Dot ให้ขอบเขตสีกว้าง พร้อม ๆ กับถ่ายทอดระดับคอนทราสต์ที่ดี แสงฟุ้งน้อยเมื่อรับชมในมุมตรง
ในส่วนของระดับความสว่าง ทำได้สูงสุดราว ๆ 600 nits ซึ่งสูงกว่า Q70C ของปีที่แล้ว (ที่ทำได้ประมาณ 500 nits) จึงสู้แสงรบกวนได้ดีกว่าเล็กน้อย การถ่ายทอดระดับแสงสี HDR ก็ย่อมจะดีขึ้นด้วย แต่แนะนำว่าควรจัดการคุมแสงรบกวนภายในห้องอย่างเหมาะสม จึงจะดึงศักยภาพของรุ่นนี้ออกมาได้โดดเด่นสมแก่ราคาค่าตัวครับ
– SDR –
ในด้านความเที่ยงตรงของการแสดงสีสัน SDR จากผล Lab Test พบว่า Movie และ Filmmaker Mode ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ความต่างก็คือ Filmmaker จะ On ตัวเลือก Brightness Optimisation ไว้ กล่าวคือ ระบบจะปรับระดับความสว่างหน้าจออัตโนมัติโดยอิงจากเซ็นเซอร์วัดสภาพแสงภายในห้อง ใครที่ชอบปิดหรือดิมไฟในห้องเพื่อดูทีวีตอนกลางคืน หรือใช้งานในห้องสภาพแสงไม่คงที่ แสงเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาน่าจะชอบ เพราะทีวีจะปรับลดความสว่างเอง
ส่วน Movie จะฟิกซ์ความสว่างตายตัว เหมาะกับห้องที่คุมแสงแวดล้อมได้คงที่ สามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม
ทั้ง 2 โหมด ภาพจะดูนุ่มนวลสบายตา ไม่เร่งความคมชัด ปรุงแต่งสีสัน (Filmmaker ไม่แทรกเฟรมภาพเคลื่อนไหว) จึงให้ความเป็นธรรมชาติสูงเหมาะแก่การรับชมในบ้าน แต่แน่นอนว่าถ้าเทียบกับโหมดอื่น ความสว่างจะต่ำกว่า และสีสันจะดูไม่สดจี๊ดจ๊าดนัก ทั้งนี้ในบางสภาพแวดล้อมหากรู้สึกว่าภาพ Movie หรือ Filmmaker Mode ดูสว่างหรือมืดเกินไปเมื่อรับชม SDR content ก็สามารถปรับเพิ่มลดความสว่างที่ตัวเลือก Brightness (Backlight) ตามที่เห็นสมควร
<กดที่ Tab ด้านบน เพื่อดูผล SDR Calibration Report>
โหมดภาพ Movie (หรือ Filmmaker Mode ที่ Off – Brightness Optimisation) ของ 85Q70D มีความเที่ยงตรงของสีสันอยู่ในเกณฑ์ดี อุณหภูมิสีเฉลี่ยอยู่ที่ราว 6945K ค่าความผิดเพี้ยนสมดุลแสงขาวเฉลี่ย (Grayscale Avg dE) 2.4 ขอบเขตสีอิงมาตรฐาน Rec.709 ค่าความผิดเพี้ยน (Color Space Avg dE) 1.8
หลังปรับภาพ ค่าความผิดเพี้ยนสมดุลแสงขาว (Grayscale Avg dE) และค่าความผิดเพี้ยนสี (Color Space Avg dE) ลดลงเหลือ 1.1 และ 1.4 ตามลำดับ
Rec.709 Color Checker หลังดำเนินการปรับภาพ ค่าความผิดเพี้ยนสีโดยรวมแบบเฉลี่ย (Saturation Avg dE) ที่ 1.2 (Max dE = 2.9) นำไปใช้เป็นจออ้างอิงกับงานระดับโปรเฟสชันนัลก็ทำได้
– HDR –
รุ่นนี้รองรับมาตรฐาน Static HDR ทั้ง HDR10 และ HLG ส่วน Dynamic HDR รองรับมาตรฐาน HDR10+
ระดับความสว่าง HDR Peak Brightness (10% Window) ของ 85Q70D ที่ 632 nits ในโหมด Dynamic/Standard และ 595 nits ในโหมด Movie/Filmmaker พร้อมรองรับการถ่ายทอดขอบเขตสีแบบ Wide Color Gamut ช่วยขับเน้นแสงสีจาก HDR Content
<กดที่ Tab ด้านบน เพื่อดูผล HDR Calibration Report>
ความเที่ยงตรงของสีสัน HDR ในโหมด Movie/Filmmaker ของ 85Q70D (Grayscale Avg dE 4.2, Colorspace Avg dE 3.7) ส่วนขอบเขตสี HDR Color Space ทำได้ครอบคลุม 87.13/92.13% ของมาตรฐาน DCI-P3 (xy/uv) หรือเทียบเท่า 62.53/67.88% Rec2020 (xy/uv)
หลังปรับภาพ HDR ในโหมด Movie/Filmmaker ให้ความเที่ยงตรงดีขึ้นมาก Grayscale Avg dE และ Colorspace Avg dE ลดลงเหลือเพียง 2.3 และ 1.3 ตามลำดับ ส่วนความสว่าง HDR Peak Brightness จะลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 538 nits
– Gaming –
85Q70D ให้ HDMI 2.1 มาครบทั้ง 4 ช่อง เชื่อมต่อ PC และ/หรือ คอนโซลยุคใหม่ได้จุใจ รองรับ High Frame Rate ที่ความละเอียด 4K 120Hz พร้อม VRR/FreeSync Premium และเปิดการแสดงผล HDR10+/HDR10 ร่วมกับการเล่นเกมได้ไม่มีปัญหา
กรณีที่รู้สึกว่าภาพจากโหมด Game ติดฟ้า อยากได้โทนสีภาพแบบเดียวกับ Movie/Filmmaker สามารถปรับเปลี่ยนตัวเลือกโหมดภาพเป็น Original (ต้นฉบับ) ได้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เสริม ช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการเล่นเกม อย่าง Virtual Aim Point รวมถึง Minimap Zoom ที่ช่วยแสดงตำแหน่งของผู้เล่นและศัตรูได้ชัดเจนขึ้น
ค่า HDMI Input Lag (Game Mode) ให้การตอบสนองฉับไวสัมพันธ์กับการควบคุมของผู้เล่น ซึ่ง 120Hz วัดได้ 5 ms และ 60Hz ที่ 11.9 ms
สามารถเปิดแทรกเฟรมภาพเคลื่อนไหวที่เรียกว่า Game Motion Plus ร่วมกับการเล่นเกมได้ รองรับเฉพาะกับสัญญาณ 60Hz และจะส่งผลให้ค่า Input Lag สูงขึ้นเล็กน้อย (19.6 ms)
Sound – เสียง
ในสเปค 85Q70D แจ้งว่าให้ลำโพงแบบ 2 แชนเนล กล่าวคือ ติดตั้งลำโพงสเตอริโอแยกตำแหน่งซ้าย-ขวา ที่ด้านล่างจอภาพ 2 ชุด กำลังขับรวม 20 วัตต์ ระดับเสียงโดยรวมสามารถใช้งานในห้องรับแขกตามบ้านได้
ในส่วนของการรับฟังระบบเสียงรอบทิศทางอย่าง Dolby Atmos พบว่า สามารถ Pass-through สัญญาณเสียงผ่าน HDMI ARC/eARC ได้ โดยอุปกรณ์เชื่อมต่ออย่าง AVR/Soundbar จะต้องรองรับการถอดรหัสเสียง Dolby Atmos ด้วยนะครับ และสามารถเปิดใช้งาน Q-Symphony รับฟังเสียงลำโพงซาวด์บาร์รุ่นที่รองรับ ร่วมกับลำโพงทีวีได้
ส่วนระบบเสียง DTS ทุกรูปแบบ จะยังไม่รองรับ… แต่มีระบบ OTS (Object Tracking Sound) เพื่อช่วยให้ทุกรายละเอียดเสียงสำคัญถูกถ่ายทอดตามภาพที่แสดงอย่างสมจริง
Features – คุณสมบัติเพิ่มเติม
Conclusion – สรุป
อีกหนึ่ง ทีวีจอใหญ่คุณภาพแน่นคุ้มค่า ประจำปี 2024 ซึ่งอัพเกรดคุณสมบัติเพิ่มเติมจากรุ่นปีที่แล้ว ทั้งในเรื่องของความสว่าง และที่สำคัญ คือ ความเที่ยงตรงของสีสันที่ได้จากโหมดภาพโรงงาน ส่งผลให้การถ่ายทอดคุณภาพของภาพโดยเฉพาะ HDR โดดเด่นขึ้น อานิสงส์ยังช่วยให้สู้แสงรบกวนได้ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย นอกจากนี้ Tizen OS ยังเพิ่มเติมลูกเล่นความบันเทิง อย่าง HBO Max, Samsung TV Plus พร้อม HDMI 2.1 4 ช่อง ตอบโจทย์การใช้งานดูหนังเล่นเกมได้ครบครัน
ราคาเปิดตัว Samsung 85Q70D QLED TV
69,990 บาท