ภาพ
ทีวี QLED TV รุ่น Q60R ที่ทางเราได้มารีวิวคือขนาด 55” จัดเป็นขนาดหน้าจอเริ่มต้นของซีรีส์ Q เหมาะสมกับความละเอียดภาพ 4K มาตรฐานภาพในปัจจุบัน และยังรองรับ HDR, HDR10+ ด้วย ซึ่งถ้าจะว่ากันตามคุณภาพของภาพแล้ว โดยรวม Q60R ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ถึงจะไม่มีฟีเจอร์ Local Dimming แต่สามารถควบคุมระดับความดำได้ดี สีดำไม่ลอย
และถึงจะไม่ได้ผ่านการ calibrate โหมดภาพอัตโนมัติของ QLED TV Q60R นี้ ก็มีความโดดเด่นเป็นของตัวเอง ซึ่งจากที่ได้ลองดูแล้วพบว่าสามารถเสพภาพได้ถึงสองสไตล์ในรุ่นเดียว ใครที่ชอบภาพแบบสบายตาก็ให้ใช้โหมด Movie แต่ถ้าชอบสีสันโดดเด้ง ก็ให้ใช้โหมด Vivid แต่หลายคนที่อยู่ในวงการ ก็จะทราบดีว่าโหมดภาพ Vivid ให้สีสันสดอิ่มก็จริง แต่ก็ทำให้อุณหภูมิสี การไล่เฉดสีผิดเพี้ยนไป ซึ่งผู้เขียนอยากจะบอกว่า โหมด Vivid ในทีวีซัมซุงรุ่นนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถึงสีบางสีจะดูสดเกินจริงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาพรวมผิดเพี้ยนไปอย่าง ติดอมฟ้าเกิน ติดอมเขียวเกิน เป็นต้น
ภาพในโหมด Movie หลังจากที่ผ่านการ calibrate แล้วมีความเป็นธรรมชาติ สบายตามากขึ้น ส่วนความเจิดจรัสของ HDR เป็นรอง Q6FN ปีที่แล้วอยู่เล็กน้อย เพราะ Peak Brightness โหมด Movie ทำได้อยู่ที่ 466 nits (Q6FN = 742 nits) ค่าตรงนี้ส่งผลกับคอนเทนท์บางประเภทเท่านั้น เช่นแสงจากสายฟ้า แสงเลเซอร์ ประกายไฟ ต่างๆ แต่ถ้าเป็นโหมด Vivid จะทำ Peak Brightness ได้ที่ 544 nits ส่วนขอบเขตสีทำได้ที่ 86.9% ของ DCI-P3
อีกจุดเด่นหนึ่งที่ชอบคือความ “ฉลาด” ของระบบ หากตัวเครื่องจับสัญญาณได้ว่าอินพุตมาจากอุปกรณ์จำพวกเกมคอนโซลอย่าง XBOX, PlayStation โหมดภาพก็จะเปลี่ยนเป็น Game Mode โดยอัตโนมัติ ในโหมดนี้จะตัดถอนฟีเจอร์เรื่องภาพต่างๆ ออกไป เพื่อให้ได้การตอบสนองของภาพที่รวดเร็ว พอใช้เครื่องมือวัดแล้วมี HDMI Input Lag เพียง 15.5ms
และสำหรับคอเกม ฟีเจอร์นี้รับรองว่ายิ่งชอบมากไปกว่าเดิม นั่นก็คือรองรับเทคโนโลยี FreeSync ที่จะมีการปรับเฟรมเรตระหว่างกราฟิกการ์ด กับทีวีให้ตรงกันแบบ “Real Time” ว่าง่ายๆ ปรับตลอดเวลา ทำให้เวลาเล่นเราจะไม่พบกับปัญหาภาพขาด (Screen Tearing) ซึ่งการจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ก็ต้องดูกราฟิกการ์ดที่รองรับด้วย