ภาพ
เอกลักษณ์ของทีวี Samsung คือต้องใช้พาเนลแบบ VA ที่มีจุดเด่นเรื่องระดับสีดำ แต่มีจุดด้อยในเรื่องของมุมมองด้านข้าง ดังนั้นสิ่งแรกที่ผมทำหลังเสียบปลั๊ก เปิดภาพขึ้นมาคือดูเรื่องมุมมองก่อนเลย ซึ่งหลังจากที่ย้ายไปดูซ้ายที ขวาที ผลปรากฏว่า “ชอบครับ” ไม่น่าเชื่อว่า 55RU7200 จะทำมุมมองด้านข้างได้ดีแบบนี้ ถ้าไม่นั่งในมุมที่เฉียงมากจริงๆ สีสันจะดรอปลงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
สไตล์ภาพของ Samsung 55RU7200 ออกมาแนวโทนเปิดสว่าง ดูง่าย สบายตา เพียงแต่บางฉากจะสูญเสียรายละเอียดในที่สว่าง และที่มืดไปบ้าง ซึ่งจุดนี้ถ้าไม่ได้มานั่งจับสังเกตกันจริงๆ ก็จะไม่มีผลต่อการรับชมเลย และในบรรดาโหมดภาพอัตโนมัติทั้งหมดที่มีให้เลือก ขอแนะนำว่าให้ใช้โหมด Movie (หรือภาพยนตร์) สำหรับการรับชมจะดีที่สุด แล้วปรับ Color Temperature เป็น Warm2 เพราะในโหมดอื่น อุณหภูมิสีภาพจะเป็นโทนเย็นมากไป ซึ่งการตั้งค่าเช่นนี้สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งกับคอนเทนท์ HDR และ SDR
ส่วนเรื่องภาพเคลื่อนไหวก็ไม่ต้องห่วง เพราะซีรีส์นี้มีตัวช่วยเรื่องภาพเคลื่อนไหว Auto Motion Plus ใส่มาให้ด้วย ทำให้เวลาถึงฉากต่อสู้ หรือฉากที่มีการแพนกล้อง เราก็จะได้เห็นภาพที่ไม่สะดุด ไม่กระชาก ดูลื่นตา โดยระดับที่แนะนำให้ใช้คือการปรับ Judder Reduction เป็นระดับ 3 – 4 ภาพเคลื่อนไหวก็จะดูดีขึ้น ส่วนระดับที่มากไปกว่านั้น ในบางฉาก บางตอนเราจะเริ่มสังเกตเห็นวุ้นตามวัตถุที่เคลื่อนไหว ถ้าใครยอมรับตรงนี้ได้จะปรับค่ามากกว่านี้ก็ไม่ว่ากัน ส่วน LED Clear Motion ก็ถือเป็นตัวช่วยเรื่องภาพเคลื่อนไหวอีกประเภทหนึ่ง เพียงแต่จะเป็นการแทรกเฟรมดำเข้าไปในภาพ จึงไม่อยากแนะนำให้ใช้ เพราะภาพมันลื่นขึ้นก็จริง แต่ความสว่างก็ถูกลดทอนลงด้วย
ดูภาพของ Samsung 55RU7200 ฉบับ “แกะกล่องเปิดเครื่อง” กันไปแล้ว คราวนี้ลองมาดูภาพหลังจากที่ผ่านกระบวนการปรับภาพแล้วกันบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ค่าที่วัดได้จากโหมด Movie แล้วปรับเปลี่ยน Color Temperature เป็น Warm2 ให้อุณหภูมิสีที่ดีที่สุด อยู่ที่ 6673K (ในโหมด SDR) ใกล้เคียงกับค่าสมดุลแสงขาว 6500K มากที่สุด และค่าที่ได้หลังจากการปรับภาพก็ยิ่งเข้าใกล้มากขึ้น มือใหม่อาจสงสัยว่าค่าสมดุลแสงขาวมันสำคัญยังไง หากทีวีสามารถทำสมดุลแสงขาวได้ดี ภาพที่ถ่ายทอดออกมาก็จะตรงตามโทนสีของคอนเทนท์ต้นฉบับมากที่สุด ก็เหมือนกับผ้าสีขาวนั่นเอง สาดสีอะไรลงไปก็จะเป็นสีแบบนั้น
ด้านภาพแบบ HDR หลังจากปรับภาพแล้วก็ดูดีขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ เพียงแต่ไม่ได้ดีถึงขนาดผิดหูผิดตาไปจากเดิม ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับ 4K HDR รุ่นเริ่มต้น และถือว่าเป็นเรื่องดีไปในเวลาเดียวกัน ทำไมถึงบอกว่าดี? เพราะ 4K HDR TV รุ่นเริ่มต้นทำออกมาเจาะกลุ่มผู้ใช้ที่มักอยากได้ทีวี ที่ภาพดีพอประมาณ ใช้งานง่าย ซึ่งรุ่นนี้ก็ตอบโจทย์พอดี เพียงแค่ปรับค่าตามคำแนะนำก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
มีข้อแนะนำเพิ่มเติมเล็กน้อย ในโหมด Movie ของรุ่นนี้ภาพจะดูนวลตาไปบ้าง หากใครอยากได้ความคมชัดของขอบภาพเพิ่มมากขึ้น สามารถปรับค่า Sharpness ขึ้นสักระดับ 3-5 ก็จะช่วยได้
กับการเล่นเกม ซีรีส์นี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เพียงแค่เชื่อมต่อกับเครื่องเกมคอนโซล ตัวทีวีก็จะทำการปรับเปลี่ยนโหมดภาพเป็น “Game Mode” โดยอัตโนมัติ สาเหตุที่ตัวทีวีเปลี่ยนเป็นโหมดนี้ให้ก็เพราะทำ Input lag ได้ต่ำที่สุด เพียง 12.5ms ขณะที่โหมดภาพอื่นๆ จะเฉลี่ยอยู่ที่ 79.6ms ดังนั้นถ้าใครเล่นเกม อยากลดความเสี่ยงเรื่องภาพตอบสนองช้า ก็ขอแนะนำว่าให้ใช้ Game Mode จะดีที่สุด