31 Oct 2019
Review

รีวิวทีวี Samsung The Frame 2019 เมื่อศิลปะผสานเข้ากับเทคโนโลยีความคมชัดระดับ QLED TV


  • ชานม

ช่องต่อ

The Frame LS03R จะให้กล่อง One Connect มาเช่นเดียวกับ QLED TV ระดับสูง สามารถใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการเก็บซ่อนสายสัญญาณให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ และกรณีที่นำจอขึ้นแขวนผนัง การเชื่อมต่อผ่านกล่อง One Connect ยังทำได้สะดวกกว่าด้วย
ช่องต่อประกอบไปด้วย HDMI In จำนวน 4 ช่อง รองรับ HDMI ARC (Audio Return Channel) ที่ช่อง HDMI 3 In พร้อม Analog Component/Composite Video & Audio Input, Digital Optical Audio Output, Ethernet Port (มี Wi-Fi & Bluetooth Built-in ให้ด้วย), DVB-T2 Antenna In, 3.5mm Service port และที่ขาดไม่ได้คือ One Invisible Connection สายเส้นเดียวที่เชื่อมต่อไปยังจอ The Frame ทำหน้าที่เป็นทั้งสายสัญญาณภาพ เสียง และสายไฟ
ด้านข้าง เป็นตำแหน่ง USB 2.0 จำนวน 3 ช่อง สามารถเชื่อมต่อกับ USB Flash Drive, External HDD, Keyboard, Mouse ฯลฯ

สรุปจำนวนช่องต่อของ Samsung 65LS03R ได้ดังนี้

HDMI™ In 4 (ด้านหลัง)
USB3 (ด้านข้าง)
Ethernet1 (ด้านหลัง) พร้อม Wi-Fi Built-In
Composite Video In1 (ด้านหลัง)
Component Video In1 (ด้านหลัง)
RF (Antenna) In1 (ด้านหลัง) พร้อม DVB-T2 Digital Tuner
PC HD15 In
Analog Audio In1 (ด้านหลัง ร่วมกับ Composite)
Digital Audio Out1 (Optical ด้านหลัง)
Audio/Headphone Out
Bluetooth AudioYes

ภาพ

Samsung ให้ข้อมูลว่า The Frame ประจำปี 2019 มีศักยภาพเทียบเท่าทีวีท็อปซีรีส์อย่าง QLED TV ซึ่งผลการทดสอบ พบว่า LS03R ให้คุณภาพของภาพเทียบเคียง Q60R ในหลายๆ ประเด็น

โหมดภาพสำเร็จรูปจากโรงงานมีจำนวน 4 โหมด เช่นเคย และแน่นอนว่าโหมด Movie/ภาพยนตร์ ให้ความเที่ยงตรงในแง่สมดุลสีดีที่สุด ซึ่งสไตล์ภาพจะออกนุ่มนวลสบายตา ไม่เน้นความสว่างให้เจิดจ้ากระแทกตามากนัก จึงดูได้นานไม่ล้า แต่หากต้องการ สามารถปรับเพิ่ม Backlight ให้ The Frame สว่างสู้แสงรบกวนได้
จุดหนึ่งที่สามารถสังเกตได้จาก The Frame 2019 ที่เหนือกว่ารุ่นปีก่อน คือ “มุมมองการรับชม” เป็นผลจากการที่ Samsung ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างบางจุดของ 4K QLED VA Panel ใหม่ จุดนี้ย่อมจะส่งเสริมการทำหน้าที่เป็นกรอบรูปดิจิตอลเพื่อนำเสนองานศิลปะได้ดี ไม่จำเป็นว่าจะต้องมองมุมตรงหรือในระดับสายตาเท่านั้น อย่างไรก็ดีรุ่นนี้จะยังไม่มีฟีเจอร์ LED Local Dimming แต่จุดนี้หากใช้งานในสภาพห้องรับแขกปกติ สามารถให้ระดับคอนทราสต์ได้ดีอันเป็นคุณสมบัติเด่นของจอภาพ LED TV แบบ VA Panel
สำหรับท่านใดที่จริงจังเรื่องคุณภาพของภาพ The Frame LS03R รองรับ CalMAN Auto Calibration ด้วยนะครับ โดยดำเนินการได้กับทั้งโหมดการรับชมแบบ SDR และ HDR ซึ่งเป็นฟีเจอร์เดียวกับที่พบได้ใน QLED TV ตัวท็อปๆ เลย แน่นอนว่าผลลัพธ์จะให้ความเที่ยงตรงของสมดุลสีได้ดียิ่งขึ้น
ด้านการรับชม HDR Content รองรับมาตรฐาน Static HDR ทั้ง HDR10 และ HLG ส่วน Dynamic HDR รองรับมาตรฐาน HDR10+ ระดับความสว่างสูงสุดที่ทำได้ คือ 478/432 nits ในโหมด Dynamic/Movie และรองรับ Wide Color Gamut ที่ 88.5% DCI-P3 หรือ 65.6% Rec.2020
มี Auto Motion Plus หรือฟีเจอร์แทรกเฟรมภาพเคลื่อนไหวระดับสูงเช่นเดียวกับ QLED TV สามารถแยกปรับระดับ Blur Reduction และ Judder Reduction ได้ละเอียดตามความเหมาะสมของคอนเทนต์หรือแล้วแต่รสนิยมความชอบ ในส่วนของ LED Clear Motion เป็นเทคนิคแทรกเฟรมดำ (Black Frame Insertion) เพื่อเพิ่มความคมชัดลดทอน Motion Blur แต่ระดับความสว่างจะลดต่ำลงและภาพกระพริบเล็กน้อย
ศักยภาพที่สูงเทียบเคียง QLED TV ของ LS03R ยังให้คุณสมบัติตอบรับกับการเล่นเกมได้ดีไม่แพ้กัน อันดับแรก คือ รองรับสัญญาณ High Frame Rate 120 Hz/FPS ที่ความละเอียด 1440p และ 1080p
อีกทั้งยังเปิดใช้งาน Variable Refresh Rate (VRR) โดยใช้เทคโนโลยีของทาง AMD ที่มีชื่อเรียกว่า FreeSync ได้ด้วย รองรับการเชื่อมต่อกับทั้ง PC และ Xbox One S/X ช่วยแก้ปัญหาอาการภาพขาดเป็นริ้วหรือ Screen Tearing สามารถเช็ค Refresh Rate จากการทำงานของ FreeSync ในแบบ Real time ได้โดยดูจาก Info ตำแหน่งมุมขวาบน
การตอบสนองที่รวดเร็วของ LS03R โดยเฉพาะเมื่อ On – Game Mode ส่งผลให้มีระดับ HDMI Input Lag ต่ำมาก เพียง 15.2 ms อีกทั้งยังสามารถเพิ่มเติมการประมวลผลแทรกเฟรมภาพเคลื่อนไหวที่มีชื่อเรียกว่า Game Motion Plus ได้ โดยที่กระทบกับ Input Lag น้อยมากๆ HDMI Input Lag ที่วัดได้เมื่อเปิดใช้ Game Motion Plus อยู่ที่ 28.8 ms

จุดติงเพียงประการเดียวเมื่อเปิดใช้ Game Mode กับ LS03R คือ ดุลสีติดฟ้าแบบโหมด Dynamic แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับภาพ โดยเริ่มจากเปลี่ยนตัวเลือก Color Temperature เป็น Warm2 หรือ Warm1