17 Mar 2021
Review

รีวิว Samsung The Sero ทีวีสุดล้ำ!! หมุนจอเป็นแนวตั้ง หรือแนวนอนก็ได้


  • Dear_Sir

ภาพ

The Sero เป็น QLED TV ขนาด 43” พาเนลแบบ IPS (เจอไม่บ่อยในแบรนด์ Samsung) ความละเอียด 4K รองรับภาพ HDR ทั้งแบบ HDR 10+ และ HLG เห็นได้ว่าแม้ตัวเครื่องจะจัดอยู่ในหมวดไลฟ์สไตล์ แต่สเปกก็ไม่แพ้ทีวีซีรีส์ท็อปของตัวเอง อย่างในโหมดภาพอัตโนมัติก็มีโหมดใหม่อย่าง Filmmaker Mode ใส่มาให้เหมือนกัน จุดเด่นของโหมดนี้คือเป็นโหมดที่แสดงสีสันของทีวีให้ตรงกับที่ผู้กำกับต้องการมากที่สุด

*QLED (Quantum-Dot Light-Emitting Diode Television) เทคโนโลยีทีวีขั้นท็อปของ Samsung ที่จะอยู่ใน LED TV ซีรีส์ท็อปของ Samsung เท่านั้น มีจุดเด่นอยู่ที่สามารถแสดงสีสัน และขอบเขตสีมากกว่า LED TV ทั่วไป

ส่วนในการใช้งานจริง โหมดภาพอัตโนมัติที่แนะนำจากโรงงาน เลือกปุ๊บ ใช้ได้ปั๊บ ก็ย่อมไม่พ้นสองโหมดนี้ นั่นคือ Movie กับ Filmmaker Mode สองโหมดนี้มีโทนสีภาพที่ใกล้เคียงกัน ดูสบายตา ไม่รุกเร้า ต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของความสว่าง หรือถ้าใครคิดว่าสองโหมดนี้มันดูไม่รุกเร้าตาเท่าไหร่ ก็สามารถใช้เป็นโหมด Standard ก็ได้ เพียงแต่ความเที่ยงตรงของสีสันจะสู้สองโหมดแรกที่แนะนำไม่ได้นะ

โหมดภาพ Movie กับ Film Maker Mode ให้สีสันดูสบายตา อุณภูมิสีเที่ยงตรงใช้ได้

ในโหมด HDR ความสว่างสูงสุด (Peak Brightness) ของ The Sero ทำได้สูงสุดอยู่ที่ราว 527 nits ในโหมดภาพ Standard และ 471 nits ในโหมดภาพ Film maker Mode แสดงสีสันตามมาตรฐาน DCI-P3 90.04/94.41% (xy/uv) สามารถเทียบเท่ามาตรฐาน 65.52/71.44% (xy/uv) ของ Rec2020 ค่าดังกล่าวที่วัดออกมาได้ถือว่ามีความสูสีกับตัว Samsung Q80T ได้เลย และจากค่าเฉลี่ยความผิดเพี้ยนของ Grayscale Avg. dE ที่ 4.6 ก็ถือว่าทำได้ดีใช้ได้ ยิ่งพอได้ปรับภาพ ค่าเฉลี่ยก็ลดลงเหลือเพียง 2.4 เท่านั้น

ค่าก่อนปรับภาพ สังเกตได้ว่าภาพจะอมน้ำเงิน
หลังปรับภาพดึงน้ำเงินลงมา สีสันดีขึ้นทันตาเห็น
หลังปรับสีขาวจากหมวกกันน็อคไม่ติดโทนเย็นแล้ว ผิวหน้าคนก็ดูเป็นธรมชาติขึ้น

ด้านการรับชมภาพแบบ SDR ก็ยังคงแนะนำให้ใช้โหมดภาพอัตโนมัติสองโหมดเดิม คือ Movie และ Filmmaker Mode เพราะผลจากการใช้เครื่องมือวัด (จริงๆ มองด้วยตาก็ทราบได้ไม่ยาก) ค่าอุณหภูมิสีของ Filmmaker Mode จะเฉลี่ยอยู่ที่ 7018K ถือว่าใกล้เคียงกับค่าอุณหภูมิสีอุดมคติ 6500K มากที่สุด และถ้าใครเลือกใช้โหมดนี้แล้วเห็นว่าความสว่างน้อยเกินไป ก็สามารถปรับ Backlight ขึ้นมาอีกได้ 

ปรับภาพแล้วอุณหภูมิสีดีมาก

ไม่ใช่แค่การดูหนัง แต่เมื่อเอา The Sero มาต่อใช้งานเพื่อเล่นกับเกมคอนโซลก็ทำงานได้ดีไม่แพ้กัน เพราะตัวเครื่องมี “Game Mode” ที่เอาไว้ใช้ตอนเล่นเกมโดยเฉพาะ ในโหมดนี้ตัวเครื่องจะตัดการทำงาน ฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นอื่นๆ ทิ้งไป เพื่อให้ค่า Input lag ที่ได้ออกมาต่ำที่สุด (ค่า Input lag ยิ่งต่ำยิ่งดี) ซึ่งจากที่ใช้เครื่องมือวัด ผลออกมาอยู่ที่ 33.2ms ในกรณีที่เปิด Game Motion Plus แต่ถ้าหากปิดจะเหลือเพียง 9.9ms เท่านั้น

Input lag ต่ำ

เสียง

ด้วยลำโพง 4.1 แชนแนล กำลังขับ 60W เสียงที่ The Sero ถ่ายทอดออกมาย่อมต้องไม่ธรรมดา ฟังครั้งแรกก็รู้เลยศักยภาพไม่แพ้ซาวด์บาร์หลายพันบาทในท้องตลาดปัจจุบัน เนื้อเสียงมีน้ำหนัก ไม่บางเกินไป เสียงพูดเกลี่ยระดับได้ใกล้เคียงกับเสียงประกอบ ไม่ลอยเด่นออกมา เสียงเบสก็กำลังดีถึงจะไม่ได้ลูกใหญ่ ตึงตัง แต่ก็เหมาะกับขนาดตัวแล้ว เพียงแต่สเตจเสียงไม่กว้าง เพราะชุดลำโพงอยู่บริเวณกึ่งกลางทีวี

โหมดเสียงที่ให้มา มีด้วยกันทั้งหมดสองโหมดคือ Standard กับ Amplify สองโหมดนี้มีความต่างกันอย่างชัดเจน โดยโหมด Standard เสียงจะเปิด รายละเอียดดี ส่วนโหมด Amplify เสียงจะหนักแน่นกว่า เพียงแต่จะขาดรายละเอียดเสียงเล็ก เสียงน้อยไปบ้าง ใครชอบสไตล์เสียงแบบไหนก็เลือกใช้งานได้ตามใจของตัวเองได้เลย