ภาพ
ด้านภาพ Sony X9500G จัดว่าเป็นทีวีรุ่นระดับท็อปเทียร์ของทีวีประเภท LED ก็ว่าได้ด้วยตัวชิปประมวลผลอย่าง X1 Ultimate ชิปตัวท็อปที่มีเฉพาะในทีวีระดับสูงอย่างรุ่น A9G เท่านั้น ตัวพาแนลจอที่เป็นแบบ VA ที่บวกพลังกับเทคโนโลยี Triluminos จึงทำให้สีสันที่ได้ในการรับชมนั้นสดอิ่มและสดใสกว่าพาแนลแบบอื่นและเนื่องจากตัวทีวีใช้หลอดไฟแบบ Full-Array LED ทำให้สามารถควบคุมความดำในฉากมืดได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ผมแนะนำให้ปรับระดับ Local Dimming เป็นระดับ High ทำให้การควบคุมเปิดปิดหลอดไฟอยู่ในระดับที่ดีที่สุดและภาพยังสามารถดูได้จริง
จากโหมดภาพโรงงานที่ให้ติดทีวีมาก่อนที่ทีมงานจะทำการ Calibrate นั้นตามค่ามาตรฐานที่บ่งบอกว่าทีวีนั้นมีคุณภาพของภาพที่ดีนั้นจะต้องมีค่า Δ<2.0 (Δ=ค่า DeltaE) โดย Sony X9500G ก่อนปรับภาพนั้นมีค่า Δ = 1.3 ถือว่าอยู่ในระดับน้อยพอสมควรมีความใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานถือว่าแกะกล่องออกมาแล้วใช้งานได้เลยสำหรับภาพในโหมดของ SDR
หลังจากใช้โหมด Custom แล้วทำการ Calibrate ทั้งโหมด SDR และ HDR ค่า Δ ลดลงเหลือเพียง 0.5 เท่านั้นสำหรับโหมด SDR และในโหมด HDR ค่า Δ เหลือเพียง 1.2 ทำให้สีสันดูเป็นธรรมชาติมาขึ้นและทำให้ความถูกต้องของสีใกล้เคียงมาตรฐานยิ่งขึ้นไปอีก แต่หากเทียบ Peak Brightness โหมด Custom กับ Cinema ทำได้ประมาณ 1073 nits โหมดภาพ Vivid ทำ Peak Brightness ได้สูงที่สุดอยู่ที่ 1173 nits และมีค่าขอบเขตสีอยู่ที่ 86.6% ของ DCI-P3 ถือว่าเป็นทีวีที่ปรับภาพ SDR แล้วส่งผลให้ภาพ HDR นั้นดียิ่งขึ้นอีกด้วย
ภาพแบบ SDR คุณภาพก็ดีไม่ต่างกันถือว่าดีเลยทีเดียวรับชมรายการทีวีหรือการ์ตูนได้แบบสบายๆ สีสันสดใส
แต่หากใครที่ชื่นชอบการรับชมซีรีส์ Netflix เป็นชีวิตจิตใจรุ่น X9500G เค้าก็มีโหมดภาพโดยเฉพาะอย่าง Netflix Calibrated Mode ซึ่งโหมดภาพนี้ไม่ได้มีให้กับทีวี Sony ทุกรุ่นจะหาใช้ได้ก็เพียงแค่ทีวี OLED รุ่นท็อปอย่าง A9G เท่านั้นแต่นี้กลับมีให้ใช้ถือว่ามีความพิเศษพอสมควร
สำหรับการเล่นเกมตัวทีวีทำออกมาได้ดีตามที่ผมได้ทดสอบด้วย Input Lag อยู่ที่ 20 Ms ทำให้เวลาเล่นเกมผมจึงแนะนำให้ใช้ Game Mode จะตัดปัญหาการอาการจอยหน่วงหรือตอบสนองช้าแบบทีวีรุ่นเริ่มต้นทั่วไปได้ทันทีแถมสีสันและความถูกก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่ผิดเพี้ยน
เสียง
มาถึงส่วนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือคุณภาพของเสียง Sony X9500G มีการออกแบบระบบเสียงที่เรียกว่า Acoustic Multi-Audio กำลังขับเสียงอยู่ที่ 10+10 watts ใช้หลักการจำลองเสียงของลำโพง Down Firing และ ลำโพง Tweeter ทำหน้าที่ยิงเสียงสะท้อนมิติด้านข้างเพื่อสร้างมิติโอบล้อมเราเวลารับชมนั่งอยู่ในระยะที่เหมาะสม แถมรุ่นนี้มีการเพิ่มโหมดเสียงให้เลือกใช้ถึง 6 โหมดดังนี้ Standard, Dialogue, Cinema, Music, Sports และ Dolby Audio ต่างจากรุ่นน้องอย่าง X8500G ที่ไม่ได้ให้มา ทำให้เราเลือกใช้โหมดเสียงได้ตามประเภทของคอนเทนต์ได้ตามสบาย
หากใครอยากได้คุณภาพและเนื้อเสียงที่ดียิ่งขึ้นสามารถใช้ซาวด์บาร์อย่าง Sony HT-Z9F มาเชื่อมต่อเพื่อขยายเสียงได้ทำให้เรารับชมหนังหรือฟังเพลงของเราได้เนื้อเสียงที่มีมวลมากขึ้นดูมีน้ำหนัก แถมยังสามารถถ่ายทอดมิติเสียงแบบ Dolby Atmos ออกมาได้ดียิ่งขึ้นด้วย
สรุป
สรุปโดยรวม Sony X9500G ถือเป็น 4K LED TV รุ่นท็อปอีกหนึ่งตัวที่มีคุณภาพและลูกเล่นที่ถือว่าคุ้มสมราคา รอบรับการใช้งานที่หลากหลายผ่าน Android TV มีการอัพเดตตัวระบบอยู่เรื่อยๆ อย่างในปัจจุบันได้มีการเพิ่ม AirPlay2 เข้ามาแล้วทำให้สาวก iOS สามารถใช้งานกับทีวีได้แบบสะดวกมาขึ้นกว่าเดิม บวกกับการใช้งานแบบสมาร์ทโฮมที่สามารถตอบสนองการใช้งานกับอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ ภายในบ้านเรา Sony ก็ทำได้แบบไม่ยากเลย
ข้อดีของ Sony 55X9500G
1.เป็น Android TV เวอร์ชั่นล่าสุด 9.0
2.รองรับมาตรฐานภาพสูงสุดอย่าง Dolby Vision และถอดรหัสเสียง Dolby Atmos ผ่าน HDMI eARC ได้
3.โหมดภาพจากโรงงานถือว่าสีเที่ยงตรงสามารถงานใช้ได้เลย
4.รองรับการทำงานกับอุปกรณ์ของ Apple ผ่าน Apple HomeKit และ AirPlay2
5.มีโหมดภาพ Netflix Calibrate Mode ทำให้การรับชมภาพ Netflix มีความถูกต้องมาตรฐานเดียวกันกับผู้กับกำ
ข้อสังเกต Sony 55X9500G
1.โหมดเสียงที่ตัวทีวีให้มาอาจมีความแตกต่างไม่ชัดเจนนัก
2.ตรงส่วนขาตั้งช่องเก็บซ่อนสายสัญญาณมีขนาดเล็กจึงทำให้เก็บซ่อนสายได้น้อย
3.ในการใช้งาน Google Asisstant ควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอาจมีขั้นตอนหรือวิธีติดตั้งที่ซับซ้อนจำเป็นต้องใช้ความเข้าใจในการทำ
คะแนน
Sony 55X9500G 4K Android TV
8.5
*มาตรฐานคะแนนปี 2020
Sony 55X9500G 4K Android TV (55″)
ราคาเปิดตัว 36,990 บาท รับประกัน 3 ปีเต็ม