ข้อดีของ 3D Passive คือแว่นที่สวมใส่ได้สบายเพราะมีน้ำหนักที่เบา และภาพสามมิติที่ไร้การกะพริบจากการทำงานของแว่นโดยสิ้นเชิง มิติลอยลึกทำได้ดี ผลพวงจากจอภาพแบบ IPS ทำให้ได้มุมมองที่กว้าง ความละเอียด Native Resolution ยังส่งผลให้สามารถรับชม 3D Passive ได้ในระยะรับชมที่ใกล้ยิ่งขึ้นกว่าสมัยยุคพาเนล 1080P ด้วยครับ เรียกว่าต้องยืนใกล้มากพอสมควรเลยจึงจะเห็นการแบ่งแยกเส้นคู่และเส้นคี่ ซึ่งระยะที่จะเห็นเส้นรบกวนเมื่อรับชม 3D Passive นี้ เป็นระยะที่ใกล้เกินไปสำหรับการรับชมปกติจึงมิต้องกังวลไป
หากจะมีจุดที่ด้อยกว่ารุ่น X9300C ก็เป็นเรื่องของ Brightness Uniformity ถึงแม้จะจัดวางไฟส่องหลังแบบ Edge LED Backlight เหมือนกัน แต่ด้วยข้อได้เปรียบของพื้นที่ติดตั้ง X9300C จึงให้ผลลัพธ์ในแง่การเกลี่ยแสงเท่าเทียมทั่วทั้งผืนจอได้ดีกว่า นอกจากนี้ระดับความสว่างสูงสุดของ X9300C ก็สูงกว่า X9000C พอสมควร และ X9300C สามารถทำ Local Dimming ได้ แต่แน่นอนว่าต้องแลกกับค่าตัวที่สูงกว่า และรูปลักษณ์จอภาพที่จะดูเทอะทะกว่า
เสียง
X9000C ก็เป็นเช่นทีวีระดับสูงของ Sony รุ่นอื่นๆ ที่เน้นเรื่องของคุณภาพเสียงมาไม่น้อย ซึ่งนอกจากรองรับการเล่นไฟล์ Hi-res Audio Formats (24-bit/192kHz WAV/FLAC) แล้ว รุ่นนี้มีระบบ ClearAudio+ และ DSEE (Digital Sound Enhancement Engine) ซึ่งคล้ายๆ กับการอัพแซมปลิ้งปรับปรุงคุณภาพสัญญาณเสียงตั้งแต่ CD Quality ไปจนถึง Lossy Audio Formats ให้มีรายละเอียดที่ครบถ้วนเหมือน Hi-res
ทั้ง ClearAudio+ และ DSEE ทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน จึงไม่สามารถเปิดใช้งานพร้อมกันได้ แต่ทั้งคู่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพเสียงแบบสัมผัสได้ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จากการรับฟังร่วมกับระบบลำโพงของ X9000C จะให้ความแตกต่างได้ไม่ชัดเจนมากเท่ากับที่สัมผัสได้ในรุ่นใหญ่กว่า อย่าง X9300C ซึ่งมีระบบลำโพงที่ดีกว่า การตอบสนองต่อระบบเสียง Hi-res ของ X9000C จึงด้อยกว่าบ้าง
สรุป
ข้อดีของ Sony KD-65X9000C
1. LED TV ที่จอภาพดีไซน์ได้เกินคาดมากๆ บางไม่แพ้ OLED
2. มาพร้อมขาตั้ง ที่เลือกตำแหน่งติดตั้งให้เหมาะกับขนาดชั้นวางได้ พร้อมขาแขวนที่แนบสนิทไปกับผนัง ให้ภาพที่โดดเด่นทว่าดูกลมกลืนในทุกมิติ
3. ฟังก์ชั่นอัพสเกล 4K ทำได้ดีกว่ามาตรฐานของ 4K TV เจนฯ ก่อน มีฟีเจอร์ Mastered in 4K ไว้ใช้กับแผ่นบลูเรย์ประเภท Mastered in 4K แต่ต้องปรับแต่งสักหน่อยหากต้องการภาพที่ดีที่สุดจากฟีเจอร์นี้ เช่นเดียวกับผลลัพธ์ภาพเคลื่อนไหวจาก MotionFlow ที่ทำได้ดีกว่าเจนฯ ก่อนเช่นกัน พร้อมรองรับการปรับแต่งเพิ่มเติม
4. สามารถเล่นไฟล์ออดิโอระดับ Hi-Res อาทิ WAV/FLAC 24-bit/192kHz, มีฟีเจอร์ DSEE และ ClearAudio+ ทำหน้าที่ทำนองอัพแซมปลิ้งคุณภาพเสียงสำหรับฟอร์แม็ตที่ยังมิใช่ Hi-res
5. ระบบปฏิบัติการ Android ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้ Sony Android TV มีลูกเล่นมากขึ้น แอพฯ มีปริมาณและคุณภาพดีกว่าเดิม สามารถใช้จอยแพด (รองรับ PS4 Controller) ในการควบคุมเล่นเกม Android ได้
ข้อเสียของ Sony KD-65X9000C
1. จัดวาง Backlight แบบ Edge LED ยังไม่มี Local Dimming ในส่วนของ Brightness Uniformity เป็นรองรุ่น 65X9300C
2. ด้วยข้อจำกัดของลำโพง คุณภาพเสียงจึงไม่เด่นเหมือนรุ่น 65X9300C การรองรับ Hi-res ของรุ่น 65X9000C จึงยังไม่เต็มที่
3. การปิดทีวีจากปุ่ม Power Off (และรีโมต) ไม่ใช่การปิดจริงๆ แต่เป็นการ Standby จะกินไฟอยู่ที่ราว 20W
4. แอพพลิเคชั่นแบบที่ใช้งานกับ Android TV โดยเฉพาะ ยังมีไม่มากเท่ากับ Smart Phone แต่แนวโน้มคงจะมากขึ้นเรื่อยๆ
คะแนน
Sony KD-65X9000C (2015)
8.5
หมายเหตุ : มาตรฐานคะแนนปี 2015