24 Feb 2016
Review

ตะลึงงันไปกับเทคโนโลยี HDR ด้วยความเจิดจรัสระดับไม่มีใครเกิน !!? รีวิว Sony 65Z9D Flagship 4K HDR TV


  • ชานม
คุณสมบัติเด่นของ 65Z9D ยังมีอีกมากที่ยังมิได้กล่าวถึงในบททดสอบนี้ ในข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ สามารถรับชมผ่านคลิปวิดีโอแนะนำของทีมงาน LCDTVTHAILAND ด้านบนนี้ได้เลยครับ

ภาพ

ด้วยดีกรีรุ่นเรือธง ความคาดหวังเรื่องของคุณภาพของภาพและเสียงจึงต้องมีมากตามไปด้วย มาดูกันว่า 65Z9D เครื่องนี้ ทำได้โดดเด่นเพียงใด…

เริ่มแรกทดสอบกันที่ความสามารถถ่ายทอดระดับความสว่างสูงสุด หรือ Peak Brightness ผลลัพธ์น่าประทับใจมากครับ ในโหมดแสดงผลแบบ HDR นั้น (โดยวัดจาก 10% Windows Pattern ตามมาตรฐานอ้างอิง) 65Z9D ทำความสว่างได้สูงมากที่ 1668 nits เรียกว่าสูงที่สุดในบรรดา 4K HDR TV ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย !! อันเป็นอานิสงส์จากจำนวนหลอด LED Backlight จำนวนมาก แบ่งการทำงานอิสระครอบคลุมกว่า 600 โซน กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ด้านหลัง LCD Panel ที่ Sony เรียกว่า “Backlight Master Drive” จากคุณสมบัตินี้ ไม่ต้องเดาก็บอกได้ว่าส่งผลกับการรับชมคอนเทนต์ยุคใหม่ทั้งภาพยนตร์และเกมแบบ HDR ได้เจิดจรัสกว่าใคร !

คลิปวิดีโอสาธิตการทำงานของ Backlight Master Drive จากบูธ Sony ภายในงาน IFA 2016

ซึ่งจุดเด่นของ Backlight Master Drive ยังส่งอานิสงส์ต่อเนื่องไปถึงการควบคุมแสงไฟส่องหลังมิให้เล็ดลอดออกมายามเมื่อจอภาพต้องแสดงสีดำได้เป็นอย่างดีอีกด้วย พื้นที่บริเวณที่เป็นสีดำจะดำลึกเพราะไฟส่องหลังบริเวณนั้นดับลง ในขณะที่ส่วนส่วางยังคงเจิดจ้า อีกทั้งการตอบสนองของ LED Backlight ที่ต้องเปิด-ปิดให้สัมพันธ์ตามการแสดงผลตามภาพบนจอ ก็ทำได้รวดเร็วฉับไวดีมาก ผลการถ่ายทอดความเปรียบต่างของแสงจากทั้งความสว่างและความมืด Z9D จึงทำได้ยอดเยี่ยมดังคาด ในบางคอนเทนต์นั้น โดยเฉพาะฉากที่ไม่ซับซ้อน (มีการแยกพื้นที่ส่วนมืด-ส่วนสว่างชัดเจน) ความดำจะให้ผลลัพธ์น้องๆ OLED เลยทีเดียว ในขณะที่ความสว่างนั้นเจิดจ้ากว่ามาก

ตัวเลือกตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน Backlight Master Drive โดยตรง คือ Auto Local Dimming ซึ่งระดับ High จะให้ความเปรียบต่างของแสงสูงที่สุด แต่ระดับ Normal จะคุมพื้นที่ควบคุมการทำงานของ Backlight แบบละเอียดในแต่ละจุดได้ดีกว่าเล็กน้อย

Sony 65Z9D Pre Calibration Data (SDR Mode)

Picture ModeCTTGammaLuminanceBacklightColorPower
avgavgfLTempW
Vivid151231.52195.1MaxCool279
Standard97462.46135.335Neutral203
Cineama Pro65522.4135.240Expert1199
Cinema Home65622.16144.935Expert1207
Sports97302.4685.7MaxNeutral152
Animation98002.73139.435Neutral205
Photo-Custom66392.2146.635Expert1229
Game65582.22101.635Expert1162
Graphics66482.213440Expert1245
Custom66422.2133.940Expert1246
Custom (calibrated)65012.34131.440Expert1198
หมายเหตุ: มาตรฐานอุณหภมิสี คือ 6500K, ระดับ Reference Gamma อยู่ที่ราว 2.2 – 2.4 (Power และ ITU BT.1886)

มาดูในส่วนความเที่ยงตรงของการแสดงสีสันกันบ้าง มาตรฐานทีวีจาก Sony ที่ผ่านมาไม่ทำให้ผิดหวังสักครั้งและครั้งนี้ก็เช่นกัน โหมดภาพจากโรงงานหลายๆ โหมด ไม่ว่าจะเป็นโหมดที่เหมาะกับการรับชมภาพยนตร์, ทำงานกราฟิก (Graphics), ควบรวมไปถึงโหมด Game พบว่า ให้สมดุลแสงขาวได้ดีมาก แต่ถ้าให้เลือกโหมดที่เที่ยงตรงที่สุด แนะนำ “Cinema Pro” เหมาะกับการใช้งานรับชมภาพยนตร์หรือรายการทีวีต่างๆ ในสภาพแวดล้อมห้องรับแขกทั่วไปได้ดี หรือจะเลือกใช้งานโหมดภาพ “Cinema Home” ได้อีกโหมดหนึ่ง (สว่างกว่า Cinema Pro นิดหน่อย)

ในกรณีที่ต้องการใช้งานในห้องที่มีแสงรบกวนมาก อาจทำการปรับเพิ่มในส่วนของ Brightness (Backlight) ตามความเหมาะสมจะดีกว่าเลือกใช้โหมดภาพ Vivid ที่แม้จะสว่างที่สุด (สำหรับ SDR) แต่ลดทอนความถูกต้องของสีสันให้ผิดเพี้ยนไปพอสมควร

ส่วนท่านที่จะนำไปใช้ในห้องมืดหรือห้องสลัวแล้วไม่ต้องการให้ทีวีสว่างจ้าเกินไปจนแสบตา สามารถ On ในส่วนของ Light Sensor เพื่อให้ทีวีปรับความสว่างอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อม หรือจะปรับลด Brightness (Backlight) ลงด้วยตัวเองตามความต้องการก็ได้เช่นกัน

ทุกโหมดภาพของ 65Z9D รองรับการไฟน์จูนปรับภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องใกล้เคียงอุดมคติยิ่งขึ้น โดยในส่วนของ White Balance สามารถปรับได้ละเอียดถึงระดับ “10P” เลยทีเดียว ผลลัพธ์ RGB Balance จึงทำได้เพอร์เฟ็กต์! แต่ทว่ายังไม่สามารถปรับชดเชยในส่วนของ CMS (Color Management System) ในจุดนี้จึงย่อหย่อนจากรุ่นเรือธงของแบรนด์อื่นอยู่บ้าง ทว่าผลลัพธ์เมื่อเปรียบเทียบในการใช้งานจริง อาจสังเกตความแตกต่างในจุดนี้ได้ยาก 

65Z9D มีตัวเลือกให้เปิด-ปิดฟังก์ชั่นการแสดงผลแบบ HDR ได้ที่หัวข้อ Video options แต่เพื่อป้องกันความสับสน (เพราะทีวี Sony จะไม่มี Info แจ้งว่าทีวีกำลังแสดงผล HDR อยู่หรือไม่) แนะนำให้ตั้ง Auto ไว้ กรณีที่ไม่ต้องการให้มีระบบฯ ของทีวีทำการแสดงผล HDR ก็ให้ไปตั้งค่า (ปิดฟังก์ชั่น HDR) ที่เครื่องเล่นแทนจะยืดหยุ่นกว่า

ตัวเลือก Color Space ของ 65Z9D นอกเหนือจาก Auto แล้ว สามารถปรับได้ 3 โหมด  คือ sRGB/BT.709, DCI และ BT.2020 แต่ถึงแม้จะตั้งไว้ที่ BT.2020 ขอบเขต Color Space ก็ยังทำได้ครอบคลุมเพียง 85.1% ของ DCI-P3 (อ้างอิงเมื่อแสดงผลแบบ HDR ด้วยโหมดภาพ Vivid หากอ้างอิงโหมดภาพ Cinema Pro จะอยู่ที่ 82.7% และหลังปรับภาพจะอยู่ที่ 83.4%) ซึ่งห่างจากตัวเลขที่มาตรฐาน Ultra HD Premium กำหนดไว้อยู่ถึง 5% ผิดวิสัยสำหรับพาเนลแบบ Triluminos อย่างไรก็ดีในจุดนี้น่าจะเป็นปัญหาที่ตัว Sample หากมีโอกาสได้ทดสอบ 65Z9D ตัวขายจริงแล้ว จะมารายงานผลในส่วนของ Color Space อีกครั้งครับ

คำแนะนำในการตั้งค่าส่วนของตัวเลือก Color Space แนะนำให้ตั้งไว้ที่ “Auto” ระบบฯ จะปรับการแสดงผลอิงตามมาตรฐาน Color Space ของคอนเทนต์ที่กำลังรับชม เพื่อป้องกันการแสดงสีสันที่ผิดเพี้ยน ทว่ากรณีที่ต้องการเติมเต็มสีสันบางส่วนให้กับคอนเทนต์ยุคก่อนอย่าง Full HD Blu-ray, DVD-Video, HDTV ฯลฯ อาจกำหนดในส่วนของตัวเลือก Live Color เพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม  (ไม่แนะนำให้ใช้ตัวเลือก BT.2020 กับคอนเทนต์ยุคเก่า เพราะสีจะเพี้ยนหนักมาก)

X-tended Dynamic Range เป็นตัวเลือกที่ใช้จำลองแสดงผลคอนเทนต์ปกติ (SDR) ให้มีลักษณะเหมือนกับ HDR ได้ พูดง่ายๆ ว่าเป็นตัวเลือกที่ใช้จำลองการแสดงผลแบบ HDR นั่นเอง และกรณีเปิดใช้งานตัวเลือกนี้กับการรับชมคอนเทนต์แบบ HDR แท้ ก็จะช่วยเพิ่มระดับ Peak Brightness ขึ้นไปอีกเล็กน้อย (เมื่อเทียบกับ Off) เช่นเดียวกับตัวเลือก Adv. contrast enhancer (ทั้ง 2 ตัวเลือกนี้ กับหลายๆ โหมดภาพ จะถูก On ไว้เป็น Default เมื่อทีวีแสดงผลแบบ HDR)

แต่บางท่านอาจรู้สึกว่าตัวเลือกเหล่านี้  (โดยเฉพาะ Adv. contrast enhancer) ทำให้รายละเอียดบริเวณส่วนสว่างของภาพหดหายไปบางส่วน (อาจสังเกตได้กับบางคอนเทนต์) ก็สามารถปิดใช้งานได้ ไม่มีข้อกำหนดตายตัว ทดลองแล้วพิจารณาดูว่าชอบหรือไม่ครับ 

ทดลองเล่นเกมแบบ HDR ดูบ้าง กับ The Last Of Us ผ่าน PS4 รุ่นเก่า (1080p HDR) พบว่า สามารถแสดงผลได้ไม่มีปัญหา ได้อรรถรสจากความสวยงามของแสงและรายละเอียดสีสัน เฉดสี โดดเด่นกว่าทีวียุคก่อนที่ยังไม่มี HDR ชัดเจน ในส่วนของความเจิดจ้า (Peak Brightness) Z9D ก็ทำได้ดีกว่ารุ่นน้อง X9300D ขึ้นไปอีกระดับ สังเกตความแตกต่างได้ไม่ยาก

ทั้งนี้การตรวจสอบว่าทีวีกำลังแสดงผลแบบ HDR อยู่หรือไม่ สำหรับ Sony จะไม่มี Info แจ้งบอก จึงอ้างอิงได้ยากหน่อย แต่เบื้องต้นสามารถสังเกตจากตัวเลือก Brightness (Backlight) โดยระบบฯ จะปรับเปลี่ยนค่าเป็น Max ให้โดยอัตโนมัติ (รวมถึงการปรับเปลี่ยนตัวเลือกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง) เมื่อกำลังแสดงผลแบบ HDR ครับ

ส่วนท่านที่ซีเรียสเรื่อง HDMI Input Lag เมื่อเล่นเกม จากการทดสอบพบว่าหากเปิด MotionFlow เอาไว้ ค่าจะสูงอยู่ที่ราว 96ms แต่ถ้าเปลี่ยนโหมดภาพเป็น Game จะลดลงเหลือ 47ms อย่างไรก็ดีโหมดภาพที่มี Input Lag ต่ำที่สุดสำหรับ 65Z9D คือโหมด Graphic อยู่ที่ 42ms ครับ

MotionFlow เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นจากรุ่นนี้ที่ทำได้ดี ซึ่งตัวเลือกสำเร็จรูปอย่าง Standard ให้ผลลัพธ์ได้ดี ช่วยลดทอนอาการภาพสะดุดจากคอนเทนต์เฟรมเรตต่ำได้ดี ในขณะที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่ แต่หากกำหนดเองในส่วนของ Custom ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ยืดหยุ่น ลงตัวกับมาตรฐานคอนเทนต์ภาพเคลื่อนไหวที่หลากหลายได้ลงตัวมากยิ่งขึ้น