25 Jan 2016
Review

เพลิดเพลินอารมณ์เพลง!! รีวิว TEAC A-R650 Integrated Amplifier


  • boom

ย้อนกลับไปเมื่อสมัยอดีตกาลตั้งแต่ยังไม่มีคำว่า​ “ไฟฟ้า” อยู่บนโลกนี้ การที่มนุษย์หนึ่งคนอยากจะเสพย์ดนตรี เค้าคนนั้นต้องพาตัวของเขาไปยังเวทีการแสดงดนตรี เพื่อที่จะดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองเมโลดี้ต่างๆของตัวโน้ต จนถึงยุคปัจจุบันที่เราเพียงนั่งเฉยๆอยู่ที่บ้านกับอุปกรณ์สุดไฮเทคของเรา ก็มีเพลงมาเสิร์ฟถึงที่แบบดิจิตอลผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต แต่กระนั้นแล้วเราก็ยังโหยหาความคลาสสิคแบบอะนาล็อคอยู่ จึงเป็นที่มาของสินค้าที่ผมกำลังจะแนะนำให้ทุกท่านได้ชมในรีวิวนี้นั่นก็คือ TEAC Integrated Amplifier A-R650

Integrated Amplifier เรียกสั้นๆว่า Int.Amp เป็นแอมป์ที่รวมเอาทั้งภาคขยายและภาคปรับแต่งเอาไว้ด้วยกัน ตรงตามชื่อเรียกของมันนะครับ ฉะนั้นแล้วจุดประสงค์หลักแบบเนื้อๆเน้นๆของมันเลยก็คือการฟังเพลงนั่นเอง ซึ่งในรุ่น A-R650 ที่เรานำมารีวิวนั้นก็ถือว่าเป็นภาคต่อจาก A-R600 ในปีที่แล้วที่ได้เสียงตอบรับค่อนข้างดี กับการทำหน้าที่เป็น Stereo Amp ที่ให้เสียงที่คุ้มกับค่าตัวก็ต้องมาดูกันครับว่า A-R650 จะยังคงสืบทอด DNA เสียงแบบเดียวกันมาหรือไม่

TEAC A-R650 Specification
– 90 W + 90 W RMS Output Power into 8Ω
– 120 W + 120 W RMS Output Power into 4Ω
– 7-times Input Selector: 5 x Audio, 2 x Video
– Motor-Driven Master Volume Control
– Bass, Treble Tone Control
– Balance Control
– Mic Mixing with Level Control
– A/B Speaker Channel Selection
– Binding Post Speaker Terminals (Speakers A)
– 6.3 mm Gold-plated Mic Jack
– 6.3 mm Gold-Plated Phones Jack
– WxHxD: 435 x 142 x 355 mm
– Weight: 9.7 kg

ราคาโปรโมชั่น 11,850 บาท
ถึง 31 ธ.ค. 2556 นี้เท่านั้น

Design – การออกแบบ

เป็นที่ทราบกันดีนะครับว่าในวงการเครื่องเสียง การดีไซน์ตัวถังส่วนใหญ่จะเน้นหนักให้คงทนแข็งแรงต่อความร้อนและที่สำคัญต้องดูเรียบหรูไม่หวือหวาจนดึงความสนใจของคนฟังไป ด้วยความที่เสียงไม่สามารถสัมผัสด้วยตาได้ ฉะนั้นจึงเป็นสาเหตุที่หลายๆแบรนด์เครื่องเสียงจึงลำดับความสำคัญเรื่องดีไซน์ไว้เป็นรองจากประสิทธิภาพของสินค้านั่นเอง

บริเวณด้านหน้าของ TEAC A-R650 ครับ เห็นแล้วต้องอุทานออกมาดังๆ
“เหมือนของปีที่แล้วเลยนะเนี่ยย!!” แหมก็เค้าเพิ่งปรับหน้าตาในช่วง A-R500 มา A-R600 จะให้รีบดีไซน์ใหม่ก็กระไรอยู่
ดูละเอียดอีกที มีการเปลี่ยนสีของตัวอักษรบนเครื่องจากสีทองในรุ่นที่แล้วเป็นสีเทาแทน
ดูขรึมขึ้นกว่าเก่าพสมควร ปุ่มใช้งานต่างๆก็ถูกวางไว้ใตตำแหน่งที่ง่ายต่อการหยิบจับ
นอกจากนี้ยังมีช่องเสียบหูฟังอีกด้วยแต่เป็นแจ็คใหญ่ซึ่งหูฟังส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะไม่ค่อยมี
ปุ่มเปิดปิดเป็นแบบสองเสต็ป คือต้องกด Power เพื่อปล่อยไฟให้ไหลเข้าไปก่อน
แล้วกด Standby/On เพื่อให้วงจรทั้งหมดทำงานอีกที มีไฟแสดงผลบอกสถานแบบนี้


ด้านขวาก็เช่นเดียวกันครับ ส่วนตัวผมชอบการออกแบบตัวหมุนวอลุ่มแบบนี้นะ มันจับถนัดมือ
แต่ยังได้อิมเมจแบบตัวหมุนใหญ่ๆอยู่ เข้าใจทำจริงๆ พร้อมกับปุ่ม Loudness ที่ตามคู่มือบอกว่าเป็นการยกย่านเบสขึ้น
พร้อมกันนี้ยังมีอีกช่องนึงคือ MIC หรือช่องเสียบไมค์เพื่อทำหน้าที่เป็นแอมป์คาราโอเกะได้อีกด้วย
ตรงกลางเป็นตัวปรับ EQ ของเสียงย่าน Bass และ Treble ส่วนอันที่สามเป็นตัวปรับ Balance ซ้ายขวาครับ
ด้านหลังอุดมไปด้วยช่องต่อที่จำเป็นมากมาย ดูแล้วเรียบง่ายและสะอาดตาพอสมควร
พร้อมกันนี้ยังมีพัดลมระบายอากาศอีกหนึ่งตัวเพื่อไล่ลมร้อนออกจากข้างในเครื่อง
ด้วยความมือบอนเลยขอแงะด้านในออกมาดูเป็นดังภาพครับ จะเห็นว่ามีพัดลมซ่อนอยู่ภายในหนึ่งตัว
เสมือนว่าตัวนี้เป็นตัวดูดอากาศร้อนแล้วส่งต่อไปยังฮีทซิงค์ที่เห็นหลังเครื่องในรูปที่แล้ว น่าจะช่วยให้ระบายอากาศ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น