ตระกูล FL5605 เป็น Full LED LCD TV ครับ หลายคนอ่านแล้วงง จริงๆ LED TV ก็คือ LCD TV นั่นเองครับ แต่เปลี่ยนเทคโนโลยีไปใช้หลอด LED ทำแสดงสว่างแทนระบบเดิม ซึ่ง LED นี้ให้ความสว่างมากกว่า แต่กินไฟลดลง 40% (ที่ความสว่างเท่ากัน) ยิ่งเทคโนโลยีใหม่ Full LED คือ ติดหลอดเต็มแผงหลัง แทนที่จะติดที่ขอบ แล้วให้แผ่นสะท้อนแสงกระจายแสงให้ (โอกาสที่จะเจอไฟรั่วที่ขอบมีสูง) ทำให้ Full LED ที่สว่างมากกว่า สม่ำเสมอกว่า นอกจากจะช่วยลดค่าไฟลงแล้ว (จอใหญ่จะเห็นความแตกต่างมาก) แต่ Full LED ก็ทำให้มีขอบหนาขึ้นนะครับ ทำบางไม่ได้
จุดเด่นอีกข้อของ FL5605 คือ มันเป็น 100Hz ครับ
FL5605 ขนาด 32 นิ้ว จะกินไฟสูงสุด 105 W , ส่วน FL5605 ขนาด 40 นิ้ว กินไฟสูงสุดที่ 110 W และสามารถปรับแต่งภาพให้กินไฟเพียง 50 W ได้อีกด้วย (ตรงนี้จะคุ้มมาก อยากได้สูตรปรับ ให้แจ้งผมมาอีกที)
แต่เมื่อนำมาเทียบกับ Sony 32" KDL-32EX520 ซึ่งเป็น Edge LED ออกใหม่ล่าสุดของ Sony ก็ลำบากครับ เพราะตัวใหม่ ดีไซน์ใหม่ดูหรูกว่า บางกว่า และใช้ Chipset ใหม่ที่ดีกว่า ตัวนี้สามารถลด Noise ได้มาก และรองรับ Internet TV อีกด้วย (ถึงยังไม่มีคีย์บอร์ดไทย) แต่มันก็ไม่ใช่ 100Hz
ดังนั้น เมื่อให้จับชนกันระหว่าง Philips 32" 32PFL5605 กับ Sony 32" KDL-32EX520 แล้ว เน้นคนละจุด มีข้อดีข้อเสียคนละแบบครับ
หากพูดเรื่องการกินไฟของจอ 32 นิ้ว ปรากฎว่ากินไฟในระดับเดียวกัน ไม่แตกต่าง , Philips ให้ Contrast, Brightness จริงสูงกว่า เพราะเป็น Full LED แต่สีสันของ Philips 5605 จะออกใสๆ นุ่มๆ นิ่มๆ ไม่เน้นสีสด ไม่เน้นสีจัด , Sony มีระบบอินเตอร์เน็ตมาให้ ดูหนังออนไลน์ ดูข่าวออนไลน์ อ่านข่าวออนไลน์ ตรวจสภาพอากาศได้
จอ 100Hz ของ FL5605 เป็นไม้ตายเด็ด ที่ควรพิจารณาด้วยนะครับ
เมื่อมองศูนย์บริการแล้ว Sony ได้เปรียบกว่า มีมากกว่า ในขณะที่ Philips อ่อนเรื่องนี้มาก ไม่สต๊อกอะไหล่ด้วย หากเสียมาจะรอนาน (แต่ก็ไม่ได้เสียง่ายๆ)
แต่ผลทดสอบการใช้งานจริง พบกว่า Phlipls FL5605 ซึ่งออกมานาน 2 ปีแล้ว ถึงมีสเปคสูงลิ่ว แต่เทคโนโลยีเก่า เมื่อเปิด 100Hz ของมัน กับหนังโหดๆ อย่าง AVATAR Blu-Ray กลับพบว่ามีการสะดุดของภาพในบางฉาก (ประมวลผลไม่ทัน)
และการเปิดปิดของ Full LED ยังทำได้ไม่ดีอย่างที่คิด นั่นคือ การไล่โทนสี จะพบกว่าฉากสีดำที่ไม่เท่ากันของหนัง จะปรากฎเป็น Pixel สี่เหลี่ยมบนจอชัดเจนกว่า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับค่า Contrast, Brightness, Sharpness ที่มากนั่นเอง --> สว่างมาก ชัดมาก เห็น Pixel, Noise ง่าย
ผมให้ข้อมูลทดสอบจริงกับท่านแล้ว ให้ไปพิจารณาการใช้งานหลักของท่านอีกทีนะครับ ว่าจะเข้าทางตัวไหนมากกว่ากัน