แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - deam205

หน้า: 1 ... 256 257 [258] 259 260 ... 263
4627


หลายคนอาจมองว่า การทำความดีนั้นเป็นเรื่องยาก การทำไม่ดีนั้นดูเหมือนจะง่ายกว่า แต่ความจริงแล้วการทำความดี เป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนสามารถทำได้ นอกจากจะเกิดผลดีกับตนเองแล้ว อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้อีกมากมาย แล้วจะดีแค่ไหน ถ้ามีช่องทางให้เราได้ส่งต่อความดีแบบง่าย ๆ เพียงแค่ปลายนิ้วคลิก

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง องค์กรสาธารณกุศล ที่มุ่งมั่นบรรเทาทุกข์ และบำรุงสุขให้แก่เพื่อนมนุษย์ ภายใต้ปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” อยู่เคียงคู่ชีวิตคนไทยมายาวนาน 110 ปี ได้จัดทำต้นไม้แห่งความดี ในรูปแบบดิจิตอล “110 ปี ล้านความดี ป่อเต็กตึ๊ง” เพื่อให้คนไทยได้ร่วมกันสืบสานความดีให้ครบ 1,100,000 ความดี ในโอกาสครบรอบ 110 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ผู้ที่ต้องการเข้าไปร่วมส่งต่อปณิธานความดี สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงคลิกเข้าไปที่ www.ต้นไม้แห่งความดี.com เมื่อเข้ามาแล้วจะเห็นโลโก้ “110ปี ล้านความดี ป่อเต็กตึ๊ง” ถัดลงมาจะมีฟีเจอร์ 3 ปุ่มด้านล่างให้คลิก ได้แก่ เรื่องราวความดี สะสมความดี สร้างบัญชี สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกใหม่ เริ่มต้นตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

•คลิกที่ปุ่มสร้างบัญชี กรอกรายละเอียดและข้อมูลพร้อมตั้งรหัสผ่าน เพื่อเข้าสู่การสะสมความดี หรือเลื่อนลงมาที่แถบล่างก็สามารถกดลิงก์เพื่อเชื่อมการลงทะเบียนผ่าน Facebook หรือ Gmail ได้อีกทางหนึ่ง

•เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วระบบจะเข้าสู่หน้าหลัก และคลิกไปที่ปุ่มสะสมความดี เพื่อทำการสะสมความดีผ่านช่องทางที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้ว และสามารถเลือกหมวดสะสมความดี “11 รากแก้วแห่งความดี” ที่มีอยู่ทั้งหมด 11 หมวด

•จากนั้นพิมพ์ชื่อและความดีที่ทำลงในใบโพธิ์ไม่เกิน 150 ตัวอักษร โดยขั้นตอนนี้สามารถบันทึกภาพลงในมือถือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ และยังสามารถส่งต่อความดีในหน้า Facebook ของเราได้อีกด้วย

มาร่วมกันส่งต่อปณิธานความดี จะเป็นสิ่งใดก็ได้ที่ทำด้วยความตั้งใจ ความดีจาก 1 ใบโพธิ์เล็ก ๆ จะผลิใบเจริญงอกงาม กลายเป็นต้นโพธิ์ใหญ่แผ่ร่มเงา เปรียบเสมือนหลายล้านความดีรวมกันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยต่อไป

4628


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการเราชนะในส่วนของกรอบวงเงินในโครงการจากเดิมที่ได้รับจัดสรรวงเงินประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาท โดยปรับลดลงประมาณ 6.76 พันล้านบาท

ทั้งนี้วงเงินที่ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาทดังกล่าวได้รวมวงเงินที่อยู่ระหว่างดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเราชนะวงเงินประมาณ1.42 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯซึ่งหกาตรวจสอบแล้วไม่พบการทุจริตจะดำเนินการยกเลิกการระงับสิทธิ์แอปพลิเคชั่น “ถุงเงิน”และจ่ายเงินให้กับร้านค้าต่อไป


สำหรับผลการดำเนินงานของโครงการเราชนะกระทรวงการคลังได้รายงานให้ที่ประชุม ครม.รับทราบว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 มีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯจำนวนทั้งสิ้นกว่า 33.22 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มผู้มีบัตรสัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.6 ล้านคน กลุ่มผู้มีแอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์จำนวน 8.3 ล้านคน

กลุ่มผู้ลงทะเบียนฯจำนวน 8.71 ล้านคน และกลุ่มต้องการความช่วยเหลือ จำนวน 2.4 ล้านคน โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์จำนวนกว่า 2.72 แสนล้านบาท โดยในจำนวนนี้รวมวงเงินที่ต้องมีการดำเนินการโอนเงินซ้ำให้แก่ผู้ประกอบการที่โอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 645,533.77 บาท

กระทรวงการคลังโดย สศค. ได้มีการกำหนดแนวทางเพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างเข้มงวด โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะ โดยคณะทำงานฯ ในการติดตามตรวจสอบผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างต่อเนื่องในกรณีที่ตรวจพบธุรกรรมที่มีความผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ เช่น การรับ แลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด เป็นต้น จะดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการฯ และร่วมมือกับ หน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป 

โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีธุรกรรมผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯจำนวน 3,000 ราย โดยมีวงเงินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหบักเกณฑ์และเงื่อนไขอยู่ประมาณ 1.42 หมื่นล้านบาท

4629
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice) ข้าวปลอดสารพิษ เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผล ข้าวปลอดสารสุรินทร์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้าวปลอดสารเคมีสุรินทร์(Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวกล้องออร์แกนิคที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชน ข้าวปลอดสารพิษสุรินทร์ ข้าวปลอดสารเคมีสุรินทร์ คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวกล้องอินทรีย์ส่งทั่วไทยถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิต  ข้าวปลอดสารพิษส่งทั่วไทย ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ (  ปรับเปลี่ยนปลูกข้าวอินทรีย์ )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

 นาข้าวอินทรีย์  ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ต้นข้าวอินทรีย์ 277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ขายข้าวหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิก
3. ข้าวปะกาอำปึลปลอดสารพิษ #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4.  ข้าวอินทรีย์ผสมหลายสายพันธุ์ สุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงปลอดสารพิษ
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7.  ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์


 
 

4630


ขอต้อนรับเข้าสู่เดือนแห่งวันแม่ด้วยการหยิบเรื่องราวน่ารักๆ ของไลน์แมนไรเดอร์แม่เลี้ยงเดี่ยวสุดเปรี้ยว แนต-วราพร นะนิ่มนวล

ที่ไม่ว่าจะขับรถส่งอาหารที่ไหนก็จะหิ้ว น้องอ๊อฟ ลูกชายวัย 5 ขวบไปด้วยทุกครั้ง ที่สะดุดตาที่สุดก็คงเป็นชุดคู่หูปฏิบัติหน้าที่ส่งอาหารที่ทุกคนต้องหันมอง เรามาลองทำความรู้จักกับแม่-ลูกสุดแกร่งคู่นี้กัน

แนต ซิงเกิ้ลมัมสุดสตรองคนนี้หาเลี้ยงตัวเองและลูกชายด้วยการเป็นพนักงานจ้างเหมาที่บริษัทฯ แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เช้า จนถึงบ่ายสามโมง หลังจากเลิกงานจึงมาขับไลน์แมนส่งอาหารซึ่งตลอดทั้งวันน้องอ๊อฟจะติดสอยห้อยตามแม่ ไปในทุกที่ สำหรับทั้งคู่แล้ว การขี่จักรยานยนต์ส่งอาหารเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่รอคอยเพราะมันทำให้ทั้งคู่ได้เป็นตัวเอง อย่างเต็มที่ และได้เที่ยวไปในที่ใหม่ๆ

ถ้าพูดถึงความเป็นตัวเองคงบอกได้จากสีสันสุดจี๊ดสะดุดตาจากการแต่งตัวและหมวกกันน็อคคู่ใจที่ชวนให้คนที่ เห็นถึงกับต้องมองตามกันเป็นแถว แนตเล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจที่ต้องการให้คนรอบข้างยิ้มได้ “ถ้ามันอยู่ในจุดที่ อยากจะทำ ก็ทำเลย” ทุกการเดินทางไม่ว่าจะไปรับอาหารจากร้านอาหาร หรือส่งอาหารให้กับลูกค้าก็ช่วยสร้างรอยยิ้ม ทุกครั้ง บางคนถึงกับขอถ่ายรูปด้วยเลยทีเดียว

สำหรับ น้องอ๊อฟ ลูกชายที่คอยซ้อนท้ายแม่ไปทุกที่ และจะตื่นเต้นทุกครั้งเวลาที่ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ แถมยัง เป็นนักชิมตัวจิ๋วเวลาที่ไปถึงร้านขนมอีกด้วย แนตเล่าให้เราฟังว่าด้วยความจำเป็นของสถานการณ์ช่วงนี้ ทำให้ต้องพา น้องอ๊อฟไปทำงานด้วยตลอดจนกว่าโรงเรียนจะกลับมาเปิดอีกครั้ง

แนตเล่าว่า การมาทำอาชีพขับรถส่งอาหารเป็นงานเสริมทำให้มีรายได้ 2 ทาง มีความอิสระในการแบ่งเวลา ทำงานระหว่างงานประจำกับงานนี้ แล้วยังได้ประสบการณ์สนุกๆ ใหม่ๆ ร่วมกับลูกชายในทุกวัน เช่น เปลี่ยนพื้นที่รับงาน ได้เจอที่ใหม่ๆ คนใหม่ เพราะมีงานให้กดและรับ-ส่งอาหารทุกจุด และการมีระบบที่เอื้ออำนวยทำให้การทำงานง่ายขึ้นมาก “บางทีลูกค้าปักหมุดมาไม่ตรง เราก็พิมพ์แชทหรือส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ถามลูกค้าได้ สะดวกดี”

เมื่อถามว่าแนตคาดหวังอนาคตของน้องอ๊อฟไว้อย่างไร แนตบอกว่าขอให้ลูกชายคนนี้สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และเป็นคนที่แข็งแกร่ง “อย่างน้อยเราจะได้หมดห่วง ให้เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้โดยไม่ยอมแพ้ ไม่ได้คาดหวัง อะไรมาก ไม่ต้องมาเลี้ยงเรา แต่ให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง” ส่วนน้องอ๊อฟเองก็เคยพูดกับแม่ว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะเลี้ยงดูแม่ของเขา ด้วยตัวเอง รวมถึงคอยมอบกอดให้กำลังใจเสมอทุกวัน นี่คือเรื่องราวที่น่ารักและอบอุ่นของคู่หูแม่-ลูกไรเดอร์ที่ทำให้ทุกวัน เป็นทั้งวันแม่ และวันลูกสำหรับทั้งสองคนเสมอ

4631


นายพุน ฉง กิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มาสเตอร์ แอด (MACO) กล่าวว่า ไตรมาสแรกของงวดปี 64/65 บริษัทมีผลการดำเนินงานเชิงบวกเมื่อเทียบปีต่อปี แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจโฆษณา 201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.3% คิดเป็นสัดส่วน 33.3% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งมาจากรายได้ของธุรกิจโฆษณาในประเทศ 170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.5% ผลมาจากการรับรู้ค่าตอบแทนขั้นต่ำรายไตรมาสจาก บมจ.แพลน บี มีเดีย (PLANB) และรายได้ธุรกิจโฆษณาในต่างประเทศ 30 ล้านบาท ลดลง 35.7% จากวิกฤตโควิด-19

ด้านรายได้จากงานด้านระบบครบวงจรเพิ่มขึ้น 9.5% คิดเป็นสัดส่วน 66.7% ของรายได้ทั้งหมด หรือ 402 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของการบริหารโครงการ

รวมถึงในไตรมาสนี้บริษัทมีต้นทุนขายลดลงจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานสื่อโฆษณาของสนามบินในประเทศมาเลเซีย 437 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 27.6% จาก 11.4% และมีรายได้อื่นอยู่ที่ 200 ล้านบาท จากการกลับรายการค่าสัมปทานสนามบินในมาเลเซีย จำนวน 188 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่ไม่เกิดขึ้นประจำดังกล่าวเป็นผลจากการเจรจากับทางการสนามบินมาเลเซียเพื่อขอลดค่าสัมปทานสำหรับงวดปี 63/64 ได้ประสบความสำเร็จ

สำหรับทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัท VGI MACO (Singapore) Private Limited และ Trans.Ad Solution Co.,Ltd. สามารถเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามเพิ่มเติมได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย จากความสำเร็จในครั้งนี้จะทำให้ MACO สามารถเดินตามกลยุทธ์ได้อย่างเต็มกำลัง ทั้งในส่วนของธุรกิจโฆษณาและงานด้านระบบครบวงจร ผ่านการดำเนินงานโดย VGI Vietnam Joint Stock Company และ Transad Vietnam Joint Stock Company และนอกจากนี้ ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ ได้เติบโตอย่างมีศักยภาพในอุตสาหกรรมโฆษณาของเวียดนามที่นับเป็นเส้นทางสำคัญของการก้าวไปสู่การเป็นผู้นำสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH) ในประเทศเวียดนามได้ตามทิศทางที่วางไว้อีกด้วย

แม้ทั่วโลกจะเริ่มได้รับวัคซีนโควิด-19 แต่วิกฤตการแพร่ระบาดยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง สร้างความไม่แน่นอนไปทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดหลักของเรา อย่างไรก็ตาม MACO ยังคงยืนหยัดในแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ดังเช่นการเจรจาธุรกิจในต่างประเทศที่ได้บรรลุผลสำเร็จดังที่กล่าวไปในข้างต้น นอกจากนี้ ข้อตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทฯ กับ PLANB สำหรับการชำระค่าตอบแทนขั้นต่ำล่วงหน้าทั้งปีนั้นได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นข้อตกลงที่ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในประเทศของบริษัทฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้

สำหรับความมั่นคงทางการเงิน บริษัทฯ ดำเนินงานภายใต้การบริหารต้นทุนและสร้างสภาพคล่องของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านกระแสเงินสดและเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ให้พร้อมรับมือกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ยังคงมีความยืดเยื้อ สุดท้ายนี้เราได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าจากวิกฤตดังกล่าว ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการท่ามกลางภาวะหยุดชะงักของการดำเนินงานในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพาบริษัทผ่านพ้นสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปได้ และกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งเมื่อตลาดกลับสู่ภาวะปกติ

4632
  • ไฟตกหมึกใต้น้ำ แบบใช้หย่อนลงในน้ำ
  • โคมไฟใต้น้ำรุ่นนี้จะมีหลอดไฟLEDทั้งหมด 180LED มีกำลังวัตต์ประมาณ18w ให้แสงสีเขียว ใช้งานง่ายโดยนำสายไฟมาต่อขั้วบวกและลบเข้าแบตเตอรี่แล้วจุ่มไฟลงในน้ำ เพียงเท่านี้ก็เปิดล่อหมึกได้แล้ว แสงสีเขียวจะสว่างส่องในทิศทางรอบตัวโคม ซึ่งจะกระจายแสงได้ดี อีกทั้งแสงสีเขียวของโคมนั้นสามารถทะลุทะลวงชั้นผิดน้ำทะเลได้ดีอีกด้วย
  • การหย่อนโคมไฟลงใต้น้ำควรคำนึงถึงแรงกดอากาศด้วย ยิ่งหย่อนลงลึกเท่าไหร่แรงกดอากาศจะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น (แนะนำควรใช้งานไม่เกินความลึกที่2เมตร)
  • คุณสมบัติไฟตกหมึกใต้น้ำ 15W 12V แสงสีเขียว
  • -หลอด LED สีเขียว ความสว่าง 900 Lumens
  • -ใช้แรงดันไฟ 12 v 18 Watts.
  • -ประกอบด้วยหลอด LED ทั้งหมด 180 หลอด
  • -ใช้สำหรับล่อปลา ล่อหมึก
  • -การใช้งานหย่อนลงใต้น้ำล่อปลา ปลาหมึกใต้น้ำ ใต้ท้องเรือ
  • สายยาว 5 เมตร
สั่งซื้อ https://bit.ly/2VBceGl

 

4633


The Economist รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลล่าสุดจาก covid19.trackvaccines.org ระบุว่า "แอสตร้าเซนเนก้า" เป็นวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆมากที่สุดในโลก รองลงมาคือวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทค และสปุตนิกวี 

แต่น่าสังเกตว่า สปุตนิกวี ของรัสเซียติดอันดับ 3 ของวัคซีนยอดนิยมทั่วโลก โดยได้รับการยอมรับจาก 70 ประเทศ แม้ว่ายังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO)


ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

รายละเอียดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทต่างๆที่ได้รับการยอมรับ และได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ ทั่วโลก 10 อันดับแรก เป็นดังนี้ 

1. แอสตร้าเซนเนก้า (121 ประเทศ)

2. ไฟเซอร์-ไบออนเทค (97 ประเทศ)

3. สปุตนิกวี (70 ประเทศ)

4. โมเดอร์นา (65 ประเทศ)

5. ซิโนฟาร์ม (59 ประเทศ)

6. จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (59 ประเทศ)

7. โควิชิลด์ (45 ประเทศ)

8. ซิโนแวค (39 ประเทศ)

9. โควาซิน (9 ประเทศ)

10. . (8 ประเทศ)

4634
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 

4635


เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 64 ที่สโมสรทหารราบที่ 23 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กองทัพภาคที่ 2 อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา พล.ต.ไพวัลย์ จุ้ยเจริญ ผู้บัญชาการกองพลพัฒนาที่ 2 พร้อมด้วย นายกอบชัย บุญอรณะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นพ.นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ร่วมกันตรวจความพร้อมและเปิดสถานกักกันโรคแห่งรัฐ ตำบลโพธิ์กลาง State Quarantine เพื่อใช้เป็นสถานที่กักตัวกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ที่รอผลการตรวจหาเชื้อวิด-19


พล.ต.ไพวัลย์ จุ้ยเจริญ ผู้บัญชาการกองพลพัฒนาที่ 2 กล่าวว่า ทางกองทัพภาคที่ 2 มีนโยบายสนับสนุนงานด้านสาธารณสุขในแต่ละจังหวัด ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งกองบัญชาการกองพลพัฒนาที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งด้านแพทย์ พยาบาล และกำลังพล ที่จะช่วยเหลือประชาชน จึงได้ร่วมกับทางสาธารณสุขจังหวัด เทศบาลตำบลโพธิ์กลาง เปิดสถานกักกันโรคแห่งรัฐ ตำบลโพธิ์กลาง State Quarantine ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์คัดกรอง ช่วยเหลือด้านสาธารณสุข แบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลหลัก ทั้งแพทย์ พยาบาล และระบบสาธารณสุข ซึ่งสถานกักกันโรคแห่งรัฐ ตำบลโพธิ์กลาง แห่งนี้สามารถรองรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัว ได้จำนวน 50 เตียง

ด้าน นพ.นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดล่าสุดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 488 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต แยกเป็นติดเชื้อนอกจังหวัด 311 ราย ติดเชื้อในจังหวัด 177 ราย โดยผู้ป่วยรายใหม่ พบในพื้นที่ อ.สูงเนิน 119 ราย อ.โนนไทย 52 ราย อ.ประทาย 49 ราย อ.สีคิ้ว 32 ราย อ.ครบุรี 30 ราย อ.เสิงสาง 26 ราย อ.เมือง 23 ราย อ.ห้วยแถลง 21 ราย อ.พิมาย 18 ราย อ.ขามสะแกแสง 16 ราย อ.โนนสูง 16 ราย อ.บัวใหญ่ 16 ราย อ.ด่านขุนทด 11 ราย อ.วังน้ำเขียว 11 ราย อ.ปักธงชัย 8 ราย อ.บ้านเหลื่อม 7 ราย อ.พระทองคำ 7 ราย อ.ชุมพวง 6 ราย อ.ลำทะเมนชัย 6 ราย อ.สีดา 5 ราย อ.จักราช 4 ราย อ.บัวลาย 3 ราย และ อ.ขามทะเลสอ 2 ราย

4637
7 ขั้นตอน แม่ค้าออนไลน์หน้าใหม่ ต้องเตรียมอะไรบ้างhttps://www.chatstickmarket.com/single-post/7stepsfornewonlinemerchantswhatdoyouneedtoprepare

4638


GPSC สุดแกร่งผลประกอบการไตรมาส 2/2564 คว้ากำไร 2,302 ล้านบาท โต 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โชว์ศักยภาพแผนการดำเนินงานครึ่งปีหลัง เดินหน้านวัตกรรมพลังงานเต็มสูบ รับรู้ผลการดำเนินงานจากพอร์ตพลังงานสะอาดในต่างประเทศทั้งอินเดีย และไต้หวัน พร้อมยกระดับมาตราการคุมเข้มป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ดูแลความมั่นคงระบบการผลิต ป้อนไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง

นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทโกล. เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 มีรายได้ทั้งสิ้น 18,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 โดยมีกำไรสุทธิ 2,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 (YoY) โดยสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี การรับรู้รายได้จากเงินชดเชย ค่าประกันภัยของโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงานระยะที่ 5 ปัจจัยบวกจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงของก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น แม้ว่ากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) จะลดลงในส่วนของโรงไฟฟ้าเก็คโค่วัน ที่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของไตรมาส 2/2564 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 (QoQ) มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 329 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17% เป็นผลการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเงินชดเชยจากค่าประกันโรงไฟฟ้าโกลว์ พลังงานระยะที่ 5 และมีกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า IPP ถึงแม้ว่า กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า SPP ลดลง เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะเดียวบริษัทฯ ยังรับรู้มูลค่า Synergy ร่วมกับ GLOW จากการควบรวมกิจการสุทธิหลังภาษี จำนวน 436 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ รวมถึงการใช้โครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน ทั้งยังสามารถลดต้นทุนจัดซื้อจัดจ้าง และงานซ่อมบำรุงได้ตามเป้าหมาย

สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 4,276 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 34,858 ล้านบาท หรือลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังคงแสวงหาโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านพลังงาน จากกลยุทธ์หลักในการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ที่ประสบความสำเร็จในช่วงเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ได้แก่ วันที่ 13 ก.ค. 2564 บริษัท โกล. รีนิวเอเบิล ซินเนอร์ยี่ จำกัด (GRSC) ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 100% ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าลงทุนในบริษัท Avaada Energy Private Limited (Avaada) สัดส่วนประมาณ 41.6% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 14,825 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเทศอินเดีย กำลังผลิตรวม 3,744 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้วประมาณ 1,392 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวนประมาณ 2,352 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอย COD ในปี 2564-2565 ทำให้สามารถรับรู้รายได้ทันที นอกจากนี้ วันที่ 14 ก.ค. 2564 GRSC ยังได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับกองทุน CI-II และ CI-III ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท Copenhagen Infrastructure Partners (CIP) เพื่อเข้าลงทุนในสัดส่วน 25% ในโครงการ Changfang และ โครงการ Xidao (CFXD) ซึ่งเป็นโครงการการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมนอกชายฝั่ง (Offshore wind) ในไต้หวัน กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมจำนวน 595 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอย COD ในช่วงปี 2565-2567 CFXD มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ บริษัท Taiwan Power Company โดยคาดว่าการดำเนินการตามเงื่อนไขบังคับก่อนดังกล่าวจะแล้วเสร็จและสามารถดำเนินการโอนหุ้นได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565

พร้อมกับความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมพลังงาน โดย GPSC ได้เปิดโรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงานด้วยเทคโนโลยี SemiSolid กำลังการผลิตเริ่มต้น 30 MWh ต่อปี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 เป็นการผลิตแบตเตอรี่ G-Cell ที่ใช้เทคโนโลยี 24M เป็นแบตเตอรี่ชนิดกึ่งแข็ง ที่มีความปลอดภัยสูง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นหน่วยงานกักเก็บพลังงานจากพลังงานหมุนเวียนในการเพิ่มประสิทธิภาพจ่ายไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถรองรับอุตสาหกรรมไฟฟ้ายานยนต์แห่งอนาคต (EV)

"แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ทำให้หลายองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน มีมาตรการต่างๆ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด โดย GPSC ในฐานะผู้ผลิตสาธารณูปโภคในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจและสังคม ได้ยกระดับมาตรการป้องกันเข้มข้นสูงสุด ผ่านการดำเนินงานโดยศูนย์เฝ้าระวังและติดตามการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส (GPSC G-COVID Center) ของบริษัทฯ โดยกำหนดให้พื้นที่กระบวนการผลิตเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ ตั้งทีมปฏิบัติการเฉพาะกิจของแต่ละโรงไฟฟ้า ห้ามบุคคลภายนอกเข้าพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ปฏิบัติการอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อให้การผลิตไฟฟ้า ไอน้ำและสาธารณูปโภคเป็นไปมีเสถียรภาพและความมั่นคง ตอบสนองความต้องการใช้ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง" นายวรวัฒน์กล่าว

4639


ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 6 ส.ค. 2564

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนขานรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ และมองข้ามความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่กำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,208.51 จุด เพิ่มขึ้น 144.26 จุด หรือ +0.41% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,436.52 จุด เพิ่มขึ้น 7.42 จุด หรือ +0.17% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,835.76 จุด ลดลง 59.36 จุด หรือ -0.40%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และนักลงทุนได้พากันเข้าซื้อหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 469.97 จุด เพิ่มขึ้น 0.01 จุด หรือ +0.002%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,816.96 จุด เพิ่มขึ้น 35.77 จุด หรือ +0.53%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,761.45 จุด เพิ่มขึ้น 16.78 จุด หรือ +0.11% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,122.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด หรือ +0.035%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในอังกฤษ

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,122.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด หรือ +0.035%

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 68.28 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 7.7% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 59 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 70.70 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 6.2% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายสัญญาทองคำในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยออกมา หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนก.ค.พุ่งขึ้นเกินคาด

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 45.8 ดอลลาร์ หรือ 2.53% ปิดที่ 1,763.1 ดอลลาร์/ออนซ์ และร่วงลง 2.97% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 มิ.ย.

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 96.6 เซนต์ หรือ 3.82% ปิดที่ 24.326 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 33.5 ดอลลาร์ หรือ 3.33% ปิดที่ 972.2 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 25 ดอลลาร์ หรือ 0.9% ปิดที่ 2,630.10 ดอลลาร์/ออนซ์

-- ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนก.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาด

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.58% แตะที่ 92.7918 เมื่อวันศุกร์

ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.20 เยน จากระดับ 109.75 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9150 ฟรังก์ จากระดับ 0.9061 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2559 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2494 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1758 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1835 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3877 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3932 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7352 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7404 ดอลลาร์

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 35,208.51 จุด เพิ่มขึ้น 144.26 จุด, +0.41%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,436.52 จุด เพิ่มขึ้น 7.42 จุด, +0.17%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 14,835.76 จุด ลดลง 59.36 จุด, -0.40%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,122.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด, +0.035%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,816.96 จุด เพิ่มขึ้น 35.77 จุด, +0.53%,

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,761.45 จุด เพิ่มขึ้น 16.78 จุด, +0.11%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 54,277.72 ลบ 215.12 จุด, -0.39%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,203.43 จุด ลดลง 1.99 จุด, -0.03%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,489.80 จุด ลดลง 5.98 จุด, -0.40%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,539.91 จุด ลดลง 7.36 จุด, -0.11%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,177.18 จุด เพิ่มขึ้น 2.08 จุด, +0.07%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 26,179.40 จุด ลดลง 25.29 จุด, -0.10%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,458.23 จุด ลดลง 8.32 จุด, -0.24%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 17,526.28 จุด ลดลง 76.84 จุด, -0.44%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 3,270.36 จุด ลดลง 5.77 จุด, -0.18%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 27,820.04 จุด เพิ่มขึ้น 91.92 จุด, +0.33%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,538.40 จุด เพิ่มขึ้น 27.30 จุด, +0.36%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,806.50 จุด เพิ่มขึ้น 26.90 จุด, +0.35%

4640


แอนโทนี เฟาซี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับสูงของสหรัฐฯ เร่งเร้าฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นอย่างสมเหตุสมผลโดยเร็วแก่บุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ พร้อมยอมรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกำลังจับตาอย่างจริงจังเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อและแพร่เชื้อสู่คนอื่นๆ ได้

"เราจำเป็นต้องมองพวกเขาต่างออกไป" เฟาซี ให้สัมภาษณ์กับรายการ “Fareed Zakaria GPS" ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์ (8 ส.ค.) "แน่นอนว่าเราจะมีการฉีดเข็มกระตุ้นให้คนกลุ่มนี้ก่อนฉีดเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปที่ฉีดวัคซีนแล้ว เราควรทำมันอย่างสมเหตุสมผล"

เฟาซี ยังได้พูดถึงประเด็นถกเถียงที่ขยายวงกว้างมากขึ้น เกี่ยวกับเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ "breakthrough" ในบรรดาคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว และควรเห็นชอบฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือไม่ ในขณะที่วันอาทิตย์ (8 ส.ค.) อิสราเอล ซึ่งเป็นชาติแรกของโลกที่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในวงกว้าง เผยว่า ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนเข็ม 3 แก่ประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไป แล้วมากกว่า 420,000 ราย

เฟาซี ชี้ว่า คนส่วนใหญ่ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ในนั้นรวมถึงบุคคลที่ผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะหรือบุคคลที่ทำเคมีบำบัด "ไม่ได้รับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเพียงพอ" จากวัคซีนโควิด-19

เมื่อถามว่ากลุ่มคนอื่นๆ ควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วยหรือไม่ เฟาซี ระบุว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) พร้อมออกคำแนะนำดังกล่าวอย่างเร็วที่สุด หากพวกเขาพบเห็นหลักฐานที่ชัดเจนจากข้อมูลที่ได้รับ

เวลานี้ทางซีดีซีกำลังติดตามระดับความคงทนของภูมิคุ้มกันในหมู่คนสูงวัย กลุ่มสูงอายุที่อยู่ตามบ้านพักคนชราและคนหนุ่มสาว แบบเดือนต่อเดือน และทางเฟาซี ระบุว่า "ทันทีที่พวกเขามีระดับความทนทานของภูมิคุ้มกันลดลง เมื่อนั้นคุณอาจได้เห็นคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่คนกลุ่มนี้"

นอกจากนี้แล้ว ทางเฟาซี ยืนยันด้วยว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังจริงจังกับประเด็นเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ และเขายอมรับว่าตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งแพร่เชื้อได้ง่ายมากและกำลังโหมกระพือเคสผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ มากกว่า 100,000 คนต่อวันในเวลานี้จะก่อให้เกิดเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก

ขณะเดียวกัน เฟาซี ยอมรับด้วยว่าตัวกลายพันธุ์เดลตาได้ก่อปัญหาเพิ่มเติม ซึ่งก็คือบุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วสามารถแพร่เชื้อไวรัสสู่คนอื่นๆ สถานการณ์ที่ทำให้ทางซีดีซีเปลี่ยนแปลงคำแนะนำด้านการสวมหน้ากากเมื่อไม่นานที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เฟาซี เน้นย้ำว่า "วัคซีนกำลังทำงานได้อย่างดีในสิ่งที่คุณต้องการให้พวกมันทำในเบื้องต้น นั่นคือป้องกันคุณไม่ให้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ไปจนถึงปกป้องคุณจากการล้มป่วยอาการสาหัส"

ก่อนหน้านี้ เฟาซี ให้สัมภาษณ์กับรายการ “Meet the Press." ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี คาดหวังว่าสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ จะอนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19 โดยสมบูรณ์ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ "ผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้นภายในเดือนสิงหาคม"

ปัจจุบันวัคซีนต่างๆ ในสหรัฐฯ ยังอยู่ในขั้นอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เหุผลที่ประชาชนบางคนใช้ปฏิเสธฉีดวัคซีน

(ที่มา : บลูมเบิร์ก)

4641


วันที่ 8 ส.ค. หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร - หอการค้าไทย ไทยพีบีเอส - ธนบุรี เฮลท์แคร์กรุ๊ป ขอเชิญผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปมีสัญชาติไทย จองคิวลงทะเบียนฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกา (เข็มที่ 1) โดยจะเปิดลงทะเบียนผ่านทางโทรศัพท์ ในวันอาทิตย์ที่ 8 ส.ค.2564 โทร.02-790-2855 (40 คู่สาย) ระหว่างเวลา 09.00-16.00 น. หรือจนกว่าจะเต็มจำนวน ที่สถานฉีดวัคซีนไทยพีบีเอส ถ.วิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กทม.

ทั้งนี้ จะเริ่มฉีดระหว่างวันที่ 9 - 14 ส.ค. 64 รวม 6 วัน (วันละ 4 รอบ รอบละ 100 คน รวมทั้งสิ้น 2,400 คน)

รายละเอียดรอบการจองลงทะเบียนฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกา (เข็มที่ 1)

รอบที่ 1 เวลา 10.00 - 11.00 น.

รอบที่ 2 เวลา 11.00 - 12.00 น.

รอบที่ 3 เวลา 12.00 - 13.00 น.

รอบที่ 4 เวลา 13.00 - 14.00 น.


เงื่อนไขการจองลงทะเบียนฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกา (เข็มที่ 1)

1.ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป สัญชาติไทย

2.สงวนสิทธิ์การโทรลงทะเบียน 1 ครั้ง แจ้งชื่อได้ไม่เกิน 2 ท่าน

3.ทีมงานขอสงวนสิทธิ์ให้สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนไว้เท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชื่อภายหลังได้ทุกกรณี

4.ในวันที่นัดหมายให้มาก่อนเวลานัด 30 นาที เพื่อลดความแออัด

4642


วันนี้ (7 ส.ค. 64) ที่ กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ โดยระบุว่า การระบาดในต่างประเทศ เป็นระยะขาขึ้นในหลายประเทศ ขณะที่ไทย มีการเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเป็น 29 จังหวัด และการฉีดวัคซีนซึ่งเร่งรัดการฉีดในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ฉีดได้ในจำนวนสูง ขณะนี้ มีวัคซีน 4 ตัว คือ ซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า ซิโนฟาร์ม และไฟเซอร์

"การที่ทำให้การป่วย ติดเชื้อ เสียชีวิตลดลงต้องใช้หลายมาตรการร่วมกัน ขณะที่การฉีดวัคซีนจะลดการเสียชีวิตได้ เรามีวัคซีนที่มาใหม่ปลายเดือนที่ผ่านมา 30 ก.ค. 64 ได้รับจากสหรัฐ 1.5 ล้านโดส มุ่งดูแลบุคลากรด่านหน้าที่มีความเสี่ยงจากการดูแลผู้ป่วย รวมถึง จัดสรรให้กับผู้สูงอายุไทยและต่างชาติ นักเรียนไทย นักธุรกิจที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ"


ไฟเซอร์ รอบแรก กทม. ตจว. 446,160 โดส

วัคซีน 'ไฟเซอร์' ซึ่งมีวิธีการเก็บรักษายุ่งยากกว่าวัคซีนอื่นๆ ติดลบ 70 องศา วัคซีนที่ยังไม่กระจายออกไป ตอนนี้อยู่ในภาวะแช่แข็งอยู่ และต้องขนส่งด้วยอุณหภูมิติดลบ โดยวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับ ผลิตเมื่อเดือน มิ.ย. หมดอายุ พ.ย. 64 การกระจายวัคซีนตั้งแต่เมื่อวันที่ 4-6 ส.ค. หลังจากที่ตรวจคุณภาพมีการส่งวัคซีนไปทั่วประเทศ 77 จังหวัด 170 รพ. และหลาย รพ.เริ่มฉีด การขนส่งด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ รักษาอุณหภูมิ จำนวนวัคซีนที่ส่งไปรอบแรก 446,160 โดส โดยใน กทม. 120,960 โดส ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ได้รับ 325,200 โดส


ฉีดเข็มกระตุ้น 'บุคลากรด่านหน้า' 4.6 หมื่นคน
สำหรับบุคลากรด่านหน้า ใช้ทั้งข้อมูลสำรวจจาก รพ. และข้อมูลที่ได้จาก ระบบทะเบียนการบันทึกการฉีดวัคซีน จะรู้ว่าบุคลากรท่านใดได้ซิโนแวคสองเข็มแล้ว ในกลุ่มนี้มีจำนวนและสำรวจมา เมื่อมารวมกัน ส่วนใหญ่ 80% ต้องการไฟเซอร์ และมีบางส่วนที่ฉีดแอสตร้าเซนเนก้า กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ การจัดส่งไปในรอบแรกจึงอยู่ที่ราว 50-75% ของจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประวัติฉีดซิโนแวค 2 เข็ม


เน้นส่งไปที่ รพ.ประจำจังหวัด และขนาดใหญ่ เพราะวัคซีนต้องเก็บต่อในตู้เย็น เพื่อป้องกันการสูญเสียคุณภาพ โดย 1 ขวด จำนวน 6 โดส โดสละ 0.3 ซีซี กระตุ้นบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ไปแล้ว 4.6 หมื่นคน (4-6 ส.ค.64) ผลการฉีดไม่พบอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง มีปวดเมื่อย บวมบ้างในการฉีดและหายเองได้


ย้ำ วัคซีนแม่สอด ไม่ได้หาย  
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจากมีกระแสข่าวปลอมที่ว่า วัคซีน อ.แม่สอด จ.ตาก หายไป แต่เมื่อตรวจสอบพบว่า จำนวน 4,320 โดส นำส่ง รพ.สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จ.ตาก ครบถ้วน เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 64 เวลา 15.00 น. ขอเรียนให้ทราบว่าทุกอย่างมีการตรวจสอบดูแลอย่างดี

โควตาศูนย์ฯ หมอยง ยังไม่ได้ถูกส่งไป
ขณะที่ อีกหนึ่งกระแสข่าวที่บอกว่า สธ.ส่งไฟเซอร์ฉีดบุคลากรทางการแพทย์ โดยส่งให้ศูนย์ปฏิบัติการฯ ที่หมอยงเป็นหัวหน้า ขอเรียนว่า สำหรับบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า กลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทุกคน  รวมทั้งนักศึกษาแพทย์ พยาบาล หรือวิชาชีพอื่น ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 เช่น แผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน คลินิกทางเดินหายใจ ห้องฉุกเฉิน แผนผู้ป่วยวิกฤติ รพ.สนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักกัน หรือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการกิจการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 อื่นๆ ตามการพิจารณาของสถานพยาบาล หน่วยงานต้นสังกัด

ดังนั้น ห้องปฏิบัติการเป็นที่หนึ่งที่เป็นบุคลากรด่านหน้า จากข่าวดังกล่าว ศูนย์ห้องปฏิบัติการ มีคนที่ได้ฉีดซิโนแวค 2 เข็มไปแล้ว และจะขึ้นชื่อในระบบ มีโควตาให้ แต่วัควีนยังไม่ได้ถูกส่งไป เพราะวัคซีนจำนวนน้อยจะถูกส่งไปที่สำนักอนามัย แต่ที่ศูนย์มีเพียง 20 คน ประกอบกับได้รับแจ้งทางศูนย์ ว่าบุคลากรด่านหน้า ได้รับการฉีดกระตุ้นด้วยแอสตร้าแล้วบางส่วน ดังนั้น โควตาที่ว่ายังอยู่ที่ กทม. คือ สำนักอนามัย หากไม่มีการใช้จะรอจัดสรรให้องค์กรอื่นต่อไป ขอแจ้งให้ทราบว่า ไม่ได้มีการส่งวัคซีนไปแต่อย่างไร

“ในกทม. มีจุดฉีดจำนวนไม่มาก เพราะจุดใหญ่จะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ทำงานอยู่ จุดที่น้อยๆ จะไม่ได้ส่งให้ เพียงแค่กันไว้ให้ และแบ่งส่วนให้ต่อกับแพทย์ ทันตแพทย์ ที่อยู่ตามคลินิก ที่ไม่ได้มีสังกัด ขณะที่ ทันตแพทยสภา มีการรวบรวม แพทย์ สถานพยาบาลขนาดเล็ก เพื่อรวบรวมรายชื่อ ในการฉีดกระตุ้นไฟเซอร์ และจะมีกำหนดจุดฉีดและนัดหมายต่อไป" รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว 

4643


นาทีนี้เชื่อว่าชื่อ หนูนา - ยลภัทร แก้วกันเนตร คงติดหูคอเพลงลูกทุ่งบ้างแล้ว เมื่อเธอสามารถคว้าแชมป์ในรายการ ร้องต้องรอด ได้ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 4 สะสมเงินรางวัลรวมสูงถึง 90,000 บาท!! และตำแหน่งแชมป์นี้ไม่ใช่ว่าจะได้มาแบบฟลุค ๆ เพราะทุกคนที่ได้ฟังเสียงของ หนูนา ต่างยอมรับว่าเธอนั้นเป็นนักร้องคุณภาพจริง ๆ ขนาดที่เหล่าคอมเมนเตเตอร์ยังบอกว่าคนที่จะมาโค่น หนูนา ลงได้ต้องสายแข็งมาก ซึ่งผู้ท้าชิงคนล่าสุดก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือตลกสุดจ๊าบ ปลาคราฟ เชิญยิ้ม ที่หลายคนมักจำเขาได้กับบทเพลง หน้าไม่ทันสมัย แม้ครั้งนี้จะไม่ได้ร้องเพลงประจำตัว แต่ก็สามารถฝ่าด่านระบบ AI ได้ฉลุย และเข้ามาลุยต่อในรอบชิงแชมป์

ซึ่ง ปลาคราฟ สู้เต็มที่แล้ว แต่ก็ต้านพลังเสียงของ หนูนา ไม่ไหว ต้องร่วงเวทีกลับบ้านไปก่อน เจ้าตัวบอกไม่เสียดายเลย เพราะแชมป์เก่งมาก ยินดีที่ได้มีโอกาสร้องเพลงด้วย



“วันนี้สนุกมากครับ ตอนแรกเห็นนุ้ย เชิญยิ้มมา ผมเลยอยากมาลองบ้าง พอเอาเข้าจริงเกร็งมากนะ ต้องวัดกับระบบ AI ซึ่งรอบแรกน้องต้องก็ร้องดีมาก แต่น้องเขาอาจจะเกร็งไปหน่อย ผมเลยผ่านเข้ามาได้ แต่พอมาเจอน้องหนูนา แค่เขาร้องท่อนแรกก็กระหึ่มเลย เขาร้องดีมาก ต้องยอมรับว่าเป็นนักร้องรุ่นใหม่ที่ร้องเพลงลูกทุ่งได้ดี ดีใจที่ได้มีโอกาสร้องเพลงบนเวทีเดียวกัน” ปลาคราฟ กล่าว


เมื่อถามถึงการดำเนินชีวิตช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากในปัจจุบัน ปลาคราฟ เล่าว่า “ช่วงนี้เปิดร้านส้มตำอยู่ที่เขาใหญ่ ชื่อร้านตะอำ ช่วงนี้ยังนั่งทานได้แต่ก็เว้นระยะห่างทำตามมาตรการเพื่อความปลอดภัย รายได้ก็พอประคองเลี้ยงตัวเองและลูกน้องในร้านได้ ถ้าสถานการณ์ดีขึ้นก็น่าจะมีทิศทางที่ดี ผมอยากให้ทุกคนสู้นะครับ ตัวผมเองก็สู้ตลอด เมื่อต้องพักงานแสดง เราก็ผันตัวมาขายของ ต้องหาทางรอดให้ชีวิตต่อไป”



สุดท้าย ปลาคราฟ ฝากว่าสำหรับใครที่รู้ตัวว่าร้องเพลงดี ขอให้มีความมั่นใจ ฝึกฝนให้เยอะ แล้วมาสู้ในรายการนี้ ที่นี่มีโอกาสที่คุณจะคว้าเงินรางวัลกลับบ้านรออยู่ ทุกคนสามารถมา ร้องต้องรอด ได้เสมอ

โดยสามารถติดตามรายการได้ทุกวันจันทร์ - วันพุธ เวลา 18.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35 พร้อมติดตามข่าวสารได้ทาง Facebook : ร้องต้องรอด Standing Singer (https:// www.facebook.com/StandingSinger) และรับชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube : ZENSE Entertainment

4644


โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมลงรับโควิดในประเทศ ระบาดหนัก หวั่นกระทบเศรษฐกิจ-กำไร บจ. โดยนักลงทุนต่างชาติขายถึง 5 พันล้านบาทเมื่อวานนี้ ส่งผลให้อาจมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องในวันนี้

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซึมตัวลง จากแรงขายนักลงทุนต่างชาติที่เมื่อวานนี้ขายสุทธิมากว่า 5 พันล้านบาท ทำให้ไปกดดันดัชนีฯ ซึ่งก็เป็นผลจากเงินบาทอ่อนค่า โดยวานนี้มาที่ 33.2 บาท/ดอลลาร์ฯ อ่อนค่าสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือน จากความกังวลเศรษฐกิจไทยจะชะลอกว่าที่ประเมินไว้เดิม อันเป็นผลจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ไม่ดีขึ้น และวันนี้จำนวนผู้ติดเชื้อ กับจำนวนผู้เสียชีวิต ได้ขึ้นทำนิวไฮอีก แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีความสามารถที่จะจัดการได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้อาจมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นสหรัฐฯก็บวกได้ด้วย แต่ก็อาจจะหนุนตลาดบ้านเราไม่ได้มากนัก เพราะตลาดบ้านเราให้ความสำคัญกับปัจจัยในประเทศมากกว่า ซึ่งแม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/64 ส่วนใหญ่จะออกมาดี แต่ตลาดฯก็ยังขาดปัจจัยหนุน

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ติดลบเล็กน้อยมากราว 0.1-0.2% โดยยังต้องติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายวัน, การทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2/64, MSCI Quarterly review ซึ่งจะประกาศในวันที่ 11 ส.ค.นี้ และวันนี้ก็ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่จะออกมา

พร้อมให้แนวรับ 1,513-1,520 จุด ส่วนแนวต้าน 1,530-1,535 จุด

หน้า: 1 ... 256 257 [258] 259 260 ... 263